คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 2. When we first meet
Chapter 2
มีใครบางคนเคยบอกว่า ’ความทรงจำ’ คือสิ่งที่...จองจำเราไว้ในอดีต
และ ’การลืม’ เป็นส่วนหนึ่งของ...อิสรภาพ
บางความทรงจำล้วนมีแต่ความเจ็บปวด...ความโหยหา
แต่ใครบางคนก็เลือกที่จะเจ็บปวดจากการจดจำมันมากกว่าการลืม
...เพียงเพราะอยากรักษาคนที่เคยอยู่ในความทรงจำนั้นให้นานที่สุด...
‘เอเซล!!!!!’
เฮือก!
ร่างเล็กสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันทีเหมือนโดนไฟช็อตเมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เศร้าราวกับจะขาดใจดังขึ้นในหัว พอตัดสินใจจะลุกขึ้นยืนก็ต้องยกมือขึ้นไปกุมหัวเบาๆเมื่อรู้สึกถึงความปวดจี๊ดเหมือนมีโดนอะไรมากระทบหัวแรงๆ เธอจึงเลือกที่จะนั่งเฉยๆรอให้ความเจ็บปวดนี้บรรเทาลงไป แม้จะยังแปลกใจอยู่บ้างว่าที่นี่คือที่ไหนก็ตาม
ผ่านไปซักพักเมื่อความเจ็บปวดเริ่มคลายๆลงสมองก็เริ่มประมวลผลต่อ...ดวงตากลมโตกวาดตามองไปรอบๆเพื่อสำรวจแต่เมื่อได้เห็นสถานที่รอบตัวชัดเจนขึ้น นัยน์ตาที่ปกติก็กลมโตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก แล้วเสียงหวานใสเอ่ยเบาๆท่ามกลางความเงียบเหมือนคนลืมตัว
“ที่นี่...ทำไมถึง...นี่มันฤดูหนาวไม่ใช่เหรอ...ทำไม...”
ที่นี่ที่ไหน...แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กัน...
และที่สำคัญเธอ...เป็น...ใคร
ภาพที่สะท้อนอยู่ภายในแววตาเธอคือภาพเนินเขาเล็กๆที่ปกคลุมด้วยผืนหญ้าสีเขียวขจี...เหล่าพืขพรรณน้อยใหญ่ต่างแย่งกันแทรกตัวขึ้นสู่ผิวดิน สายลมโชยอ่อนๆหอบเอาความหอมกรุ่นของดอกไม้แรกแย้มฟุ้งกระจายทั่วอาณาบริเวณคลอไปกับเสียงน้ำไหลเอื่อยๆจากลำธารเล็กๆสีฟ้าใสจนมองเห็นปลาหลากหลายสายพันธุ์ว่ายวนอยู่ก้นลำธาร ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาว...ทำไมที่นี่ถึงไม่มีหิมะ...แม้กระทั่งความหนาวเย็นก็สัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่นิด
“เธอเป็นใคร เข้ามาทำอะไรที่นี่ห้ะ!! ยัยสวะ!!!”
เสียงตวาดที่ดังกึกก้องท่ามกลางความเงียบสงบทำเอาเธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว ความกลัวเริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจ ใบหน้าหวานหันไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ แต่เมื่อได้เห็นหน้าตาเจ้าของเสียงแล้วความหวาดกลัวในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ
เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่...ผู้มีนัยน์ตาสีแดงสดดุดันเหมือนสีเลือด ยิ่งรวมกับรอยแผลเป็นประปรายบนใบหน้าเขาแล้วก็ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัว...
...กลัว...
เมื่อเห็นเธอยังคงนั่งตัวสั่นไม่ตอบคำถามเขาจึงเดินเข้ามากระชากแขนเธอให้ลุกขึ้นแต่เมื่อมือของเขาทะลุผ่านแขนของเธอไป เขาจึงชะงักและนิ่งค้างไปด้วยความตกใจดวงตาก็กวาดตามองผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้ง ไม่ต่างจากหญิงสาวตรงหน้าที่เบิกตากว้างมองแขนตัวเองอย่างตกใจ ริมฝีปากบางสั่นระริกคล้ายคนร้องไห้และไม่นานดวงตาคู่สวยนั้นก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เสียงสั่นๆตะกุกตะกักเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างลืมความหวาดกลัวตอนแรกไปหมดสิ้น ในตอนนี้...เธอมีสิ่งที่กลัวมากกว่าอยู่...
“...นี่ฉัน...ฉ่ะ...ฉันตายแล้ว...เหรอคะ...”
“ฉันชื่อแซนซัส...เธอชื่ออะไร ยัยสวะ”
เจ้าของเสียงตวาดเมื่อครู่ลดเสียงลงจนเหลือเพียงแค่เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามไปเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำถามที่เธอเอ่ยออกมา...เพราะเขารู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าคงไม่ต้องการคำตอบ ถ้าเป็นปกติเขาคงจะเป่าสมองคนตรงหน้ากระจุยไปแล้วตั้งแต่เห็นเธอมาอยู่ในนี้ พื้นที่ของเขา... และคงไม่เสียเวลาเดินเข้ามาหาถ้าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้มีผมสีบลอนด์เหมือนเด็กผู้หญิงที่อยู่ในความทรงจำของเขา
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งไปก่อนจะเอียงคออย่างไม่เข้าใจในคำถามที่จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาของคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าน้ำเสียงที่ใช้จะอ่อนลงมากแล้วก็ตาม...แต่เมื่อเงยหน้าไปสบเข้ากับนัยน์ตาดุดันนั้นแล้วเธอก็ต้องรีบก้มหน้าลงเหมือนเดิม...ยังไงเขาก็ยังน่ากลัวอยู่ดี...ในหัวก็พยายามนึกหาคำตอบให้เร็วที่สุดแต่กลับค้นเจอแต่...ความว่างเปล่า...
“ฉัน...ฉันไม่รู้ค่ะ...ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย”
“ยัยสวะเอ๊ย!! ไม่ได้เรื่องจริงๆ!!”
“ฮึก...ขอ โทษค่ะ...ฮือ...ฉันขอโทษ”
“แล้วจะร้องทำเวรอะไรวะ!! ฉันไม่ได้จะฆ่าเธอทิ้งซักหน่อยแค่ถามชื่อเฉยๆ!”
“กะ...ก็คุณ...คุณดุฉัน...”
คิดว่าเขาเป็นใครกัน! เขาเป็นถึงบอสใหญ่ของหน่วยลอบสังหารวาเรียควอริตี้เชียวนะ!! เขาไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะเว้ย! ทำตัวเหมือนเด็กขี้แยไปได้แซนซัสคิดได้แค่นั้นก็ต้องหยุดและปรายตามองคนตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตัวเล็กเหมือนเด็กอายุแค่ 14 – 15 ปีเท่านั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอีกและครั้งนี้น้ำเสียงก็เจือความหงุดหงิดไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“จะว่าไป...เธออายุเท่าไหร่”
คำตอบที่ได้รับเป็นความเงียบงัน อาจเป็นเพราะเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวจึงไม่ได้ยินที่เขาถาม ถึงแม้เจ้าของเสียงจะพยายามยกมือเล็กๆทั้งสองข้างขึ้นปาดน้ำตาทิ้งไปก็ตามที...แต่กระนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลลงมาเรื่อยๆ และพอคนตัวเล็กตรงหน้าตรงหน้าเห็นเขาจ้องอยู่ด้วยแววตาไม่พอใจก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!
“ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ โอเคมั้ย! ทีนี้นึกให้ออกแล้วตอบคำถามมา ถ้ายังร้องไห้อยู่อีกฉันจะไปแล้วมันเสียเวลา! จากนั้นเธอก็ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!!”
ความอดทนที่ถูกเก็บไว้ได้ถูกนำมาใช้จนหมดเสียแล้วแต่เป็นเพราะเขาอยากรู้จริงๆจึงนับหนึ่งถึงร้อยในใจอย่างพยายามจะใจเย็นที่สุดเพื่อรอให้คนตรงหน้านี้ตอบคำถามมาเสียที เพราะตอนนี้เขาหงุดหงิดจนแทบอยากจะฆ่าใครซักคนขึ้นมาจริงๆซะแล้ว!!
และพอคนตรงหน้าเขาได้ยินดังนั้น หญิงสาวร่างเล็กจึงรีบเอื้อมมือมาคว้าแขนเขาไว้ทันทีราวกับเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่สุดท้ายและแน่นอนว่ามือของเธอทะลุผ่านท่อนแขนของเขาไป ใบหน้าที่มองดูแล้วสวยหวานเลอะคราบน้ำตานั่นหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะดึงมือกลับมาที่ตักตัวเอง และทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ริมฝีปากก็เม้มติดกันจนแน่น และไม่นานเสียงหวานใสก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
“เอ่อ...คือ...ก่อนที่ฉันจะตื่นมาที่นี่...ฉันได้ยินคนเรียกว่าเอเซล...ฉัน...ฉันคิดว่านั่นเป็นชื่อฉันค่ะ”
“เออ! ก็แค่นี้!! เสร็จแล้วก็ไสหัวออกไปได้แล้ว!!”
เมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจเขาจึงลุกยืนแล้วหันหลังเตรียมตัวกลับคฤหาสน์วาเรียทันทีและไม่คิดจะสนใจหญิงสาวตรงหน้าอีกต่อไป ถึงแม้เธออาจจะเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นจริงๆแต่เธอก็ตายไปแล้ว เพราะงั้นก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
...คำสัญญานั่นก็คงจะหยุดลงแค่นี้...
“เดี๋ยวค่ะ! ฉ่ะ...ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”
เอเซลรีบลุกขึ้นมาแล้วมาดักหน้าชายหนุ่มที่บอกว่าตัวเองชื่อแซนซัสแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทิ้งให้เธออยู่คนเดียว แม้จะเกือบร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อแววตาดุๆนั่นตวัดมองมาก็ตามที แต่เธอก็ยังคงทำใจดีสู้เสือขอร้องออกไปและเผลอช้อนสายตาอ้อนแบบไม่รู้ตัว
“...ได้โปรดเถอะค่ะ...ช่วยฉันที...นะคะ”
“แล้วฉันจะได้อะไร...วิญญาณสวะอ่อนแอท่าทางขี้โรคแบบเธอจะทำอะไรตอบแทนให้ฉันล่ะ?”
...มาเฟียไม่รับคำขอร้อง คำขอบคุณ หรือแม้กระทั่งคำอ้อนวอน รับแต่บุญคุณกับความแค้นเท่านั้น...
บอสแห่งวาเรียหรี่ตามองอย่างพิจารณา และจ้องหน้าเธอเงียบๆหลังจากถามออกไปด้วยวิสัยของมาเฟีย เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไรก็เบี่ยงตัวหลบแล้วเดินออกมาโดยไม่หันไปมองดวงวิญญาณที่ทำท่าจวนเจียนจะร้องไห้อีกครั้งแม้แต่น้อย ขณะที่ขาก้าวไปความคิดของเขาก็เริ่มล่องลอยไปยังอดีตอีกครั้ง แล้วก็ต้องหัวเราะเยาะความคิดของตัวเองที่เผลอคิดไปว่าเธอคนนี้อาจจะเป็นคนที่เขารอคอย
...ไม่เห็นเหมือนซักนิด เด็กผู้หญิงคนนั้นกล้ากว่านี้...
“ฉัน!!...ฉันจะช่วยงานคุณ...ให้ฉันทำอะไรก็ได้!!”
เสียงหวานตะโกนขึ้นมาแม้จะไม่ดังมากเท่าคนทั่วไปแต่ในสถานที่เงียบสงบแห่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาหันมาสนใจ เขาคิดว่ายัยเด็กนี่จะร้องไห้ด้วยซ้ำไป ไม่นึกว่ายัยหนูนี่จะกล้าตะโกนออกมาอย่างนี้
...หึ!! ก็กล้ากว่ากว่าที่คิด...
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กๆ แล้วหันกลับไปมองยังด้านหลังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงดุดันเพื่อวัดใจกับดวงวิญญาณขี้แยตรงหน้า
“อะไรก็ได้? เฮอะ!ก็ดี!! งั้นเธอต้องการอะไรยัยสวะ!”
และแน่นอน...เมื่อเห็นเขาถามด้วยน้ำเสียงดุดันเธอก็ตัวสั่นและน้ำตาเริ่มคลออีกครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้และพยายามขอร้องเขาด้วยเสียงสั่นๆอย่างแน่วแน่
“พะ...พาฉันไปด้วยนะคะ ฉัน...ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
หลังจากเธอพูดจบทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ตกอยู่ในความเงียบ เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำไหลเอื่อยๆจากลำธารและเสียงนกที่ร้องตามกิ่งไม่ของต้นไม้ใหญ่รอบๆ...
ฟึ่บ!
เขาหมุนตัวกลับและเดินออกไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะตอบเธอ ทำให้เอเซลเริ่มจะร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองต้องอยู่คนเดียว ทั้งๆที่จำอะไรไม่ได้เลย...และไม่แน่ว่าคนในโลกใบนี้อาจจะไม่เห็นด้วยซ้ำไป
คนใจร้าย...ทั้งๆที่อุตส่าห์คิดว่าคุณใจดี…
แต่แล้ว...เสียงที่ตะโกนกลับมาก็ทำให้เธอนึกโกรธตัวเองที่ไปต่อว่าเขาในใจแบบนั้น แล้วปาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาออกไป ในตอนนี้...บนดวงหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มดีใจอย่างปิดไม่มิดเลยทีเดียว ว่าแล้วเธอก็ค่อยๆพาตัวไปไปยังที่ตรงนั้นทันที...ที่ๆเขากำลังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยง’รอ’เธออยู่...
...ผู้ชายปากร้ายใจดีคนนั้น...
ประโยคนี้สร้างความประทับใจให้เธอไม่น้อยเลยล่ะ
“เฮ้ย! ยืนทำบื้ออะไรอยู่วะ! จะมามั้ยยัยสวะ!!”
มาคุยกัน>__<
- อืม...จบไปแล้ว 20 เปอร์เซ็น มาทีละน้อยก็ดีกว่าไม่มาเนอะ^^ พระ-นางเจอกันแล้วววว เราแต่งให้ป๋าแลดูโหดร้ายมากเกินไปรึเปล่าหว่า ทำให้สาวน้อยเรากลัวตั้งแต่เจอกันเลยแฮะ= =; แต่ก็ช่างมันเถอะเนอะ#เปลี่ยนเรื่องหน้าด้านๆ ปล.ถ้าอยากให้ป๋าของเราโหดร้ายน้อยลงกว่านี้#โดนยิงเฉียดหัว เอ่อ...ฮ่าฮ่าก็เม้นๆกันมานะคะ มีตอนละเม้นเราก็มีกำลังใจอัพแล้วล่ะ^__^b
- วะฮ่าฮ่าครอบร้อยเปอร์แล้ว ตอนนี้ยาวมั้ย>..< อยากบอกว่าเราแค่วางโครงเรื่องไว้คร่าวๆแล้วมาแต่งสดเอาเลย ถ้าอ่านแล้วสะดุดตรงไหน หรือรู้สึกแปลกๆก็เม้นบอกกันได้น้าT^T เราจะได้เอาไปแก้ไข
...ทิ้งท้าย...
ถ้าได้ซัก 3 เม้น เราจะอัพตอนต่อไปให้น้าา เพราะเวลาอัพแล้วไม่มีคนเม้นมันโหวงเหวงอ่า
ความคิดเห็น