คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Devil Hi School โรงเรียนป่วนก๊วน ปีศาจ - คาบที่ 4 ระดับ
แสงจันทราสาดส่องทั่วพื้นฟ้า ดาวนับล้านดวงต่างแย่งกันเปล่งแสง ใบหน้าขาวใสดูมีเลือดฝาดดูเหม่อลอย เซอร์เร่เน่นั่งจิบชาบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าสีขาวประดับลูกไม้บนยอดปราสาท แววตาสีทับทิมฉายแววครุ่นคิด
"เธอแน่ใจงั้นหรือ" เสียงไม่สูงไม่ต่ำดังมาจากด้านหลัง "ฉันไม่เห็นว่าเขาจะใช้พลังเลยนะ"
"ไม่รู้สิ" เซอร์เรเน่ตอบโดยไม่หันไปมอง เธอเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เพลสไม่ใช้พลังจนถึงวินาทีสุดท้าย หรือว่าเขาอาจจะไม่ใช่...
ร่างเล็กส่ายหน้าไปมา ไม่ผิดแน่ คนที่หลบเฟรีเคียได้ถึงสองครั้ง และยังปรากฎตัวในช่วงเวลาเดียวกับคำทำนายอีก
"ยังไงก็เถอะ" เซอร์เน่กล่าว แววตาสีแดงเพลิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ "ฉันจะจับตาดูเขาไปก่อน"
คนในเงามืดพยักหน้าก่อนที่จะหายตัวไป
"เพลส..." ร่างเล็กเอ่ยเบาๆ "ไม่ผิดแน่ นายคือแกรนเชียส"
แสงแดดอบอุ่นลอดผ่านผ้าม่านหน้าต่างไร้กระจกกระทบเปลือกตาผม ทันทีที่รู้สึกตัว ความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่สมอง ผมเอามือกุมแขนขาที่ปวดไปหมด เมื่อวานผมไปทำอะไรมาเนี่ย
"โอ้ย!!!" ผมขบกรามแน่น ค่อยๆยืนอย่างยากลำบาก พลันภาพบางอย่างปรากฎภายในหัว "อ้าค!!!"
ผมยกมือขึ้นกุมหัว รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไหลผ่านภายในสมอง มันปวดจนแทบระเบิด ก่อนเสียงอันแผ่วเบาจะดังขึ้นภายในโสตประสาท
...นายคือ แกรนเชียส...
"เฮือก... แฮ่ก แฮ่ก" ผมหอบตัวโยน ความเจ็บปวดเริ่มหายไปทีละนิด ผมนั่งลงกับเตียง เสื้อผ้าตอนนี้เปียกชุ่มไปหมด
"เมื่อกี้มันอะไรน่ะ..." ผมถามตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนความทรงจำบางอย่างมันพยายามที่จะทะลักเข้ามา แต่อยู่ๆมันก็หายไป
ฟุบ
ผมเอนตัวลงบนเตียง มือทั้งสองข้างมีผ้าพันแผลพันรอบอยู่เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนผมเป็นมัมมี่ ผมค่อยๆเกะผ้าที่พันออก รอยแผลที่เหมือนเขี้ยวของอะไรบางอย่างแห้งกรัง ทีนี้ผมค่อยๆลุกอีกทีก่อนจะเหลือไปดูนาฬิกาเข็มสีชมพูหวาน(ที่ไม่ได้เข้ากับ ผนังสักนิด)
"เจ็ดโมง..." เข็มสั้นชี้เลขเจ็ด ผมเอี้ยวตัวไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนจะลุกไปเปลี่ยนชุด โรงเรียนนี้ไม่มีเครื่องแบบนักเรียนดังนั้นผมเลยเลือกใส่อะไรก็ได้ ตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลเปลือกไม้ถูกเปิดออก ผมไล่นิ้วไปตามเสื้อแต่ละตัวก่อนจะหยิบเสื้อขาวแขนสีส้มมาใส่ แต่ระหว่างที่ถอดชุด ผมสังเกตุเห็นรอยฉีกขาดที่เสื้อ
...จำได้แล้ว...
"ยัยเซอร์เรเน่..." ผมเค้นเสียงผ่านไรฟัน เมื่อวานยัยนั้นทำผมเกือบตาย วันนี้อย่าให้เจออีกนะ ไม่งั้นผมจะ...
"จะทำอะไรฉันเหรอคะ" เสียงหวานจนเลียนดังมาจากหน้าประตู ทำเอาผมตัวแข็งทื่อ ผมค่อยเอี้ยวคอไปมองเด็กสาวผมแดงในชุดโลลิต้า เซอร์เรเน่ฉีกยิ้มกว้างมาให้ผม ซึ่งผมรู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่หวังดีแน่
"เคาะประตูน่ะเป็นมั้ย" ผมเอ่ยเสียงกึ่งดุ ซึ่งเด็กสาวหน้าประตูก็ไม่ได้สำนึก เธอเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ
"เธอจำได้มั้ยว่าวันนี้วันอะไร" ริมฝีปากบางเอ่ยถาม ผมสายหน้า แววตาสีทับทิมจ้องผมนิ่ง "วันนี้จะมีการแบ่งกลุ่ม"
แบ่งกลุ่ม? จำได้ล่ะ ครอสบอกว่าวันนี้จะมีการแบ่งกลุ่มปีศาจนี่น่า ผมพยักหน้ารับรู้
"นายรู้วิธีที่เค้าจะแบ่งกลุ่มมั้ย?" ร่างเล็กเอ่ยถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะเห็นเซอร์เรเน่เอามือกุมขมับเหมือนผมมันน่าผิดหวังหรืออะไร สักอย่าง ก็คนมันไม่รู้นี่เนอะ
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก" เซอร์เรเน่พูดต่อ "ก็แค่แสดงพลังปีศาจแค่นั้นแหละ"
อ๋อ แสดงพลังเฉยๆสินะ นึกว่าอะไร...เอ๊ะเดี๋ยวก่อน
"พยายามเข้าล่ะ" ร่างเล็กเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะจากไป ขณะที่ผมแข็งทื่อเป็นหินไปแล้ว
ผมมีพลังปีศาจกับเค้าซะที่ไหนเล่า!!!
วันนี้ท้องฟ้าดูสดใสอีกตามเคย ต่างกับอารมณ์ของผมที่มืดหม่นเต็มที ก็จะไม่ให้มือหม่นได้ไงล่ะ สมองตันไปหมดแล้วเนี่ย ผมเดินไปตามทางที่จะเข้าอาคารเรียน ตรงพื้นปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าบ่งบอกว่าผมเพิ่งจะออกมาจากปราสาทสีฟ้า แต่ขณะที่ผมเดินมาได้ครึ่งทาง ร่างสูงที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลก็เดินออกมาจากทางเดินอีกฝั่งพอดี
ดวงตาสีทองภายใต้เรือนผมสีแดงเพลิงนั่น ผมจำได้ดี
"โรเมอร์..." ผมกล่าวเบาๆก่อนร่างสูงจะหันเจอผมเข้าพอดี หวังว่าเขาคงมีธุระอย่างอื่นนะ "เฮ้ย!!!"
ทันทีที่โรเมอร์เห็นผม เขาก็วิ่งเข้ามาหาแทบจะทันที สร้างความตกใจให้ผมไม่น้อย ผมได้แต่ยืนรับแรงกระแทกหรืออะไรประมาณนั้น เนื่องจากโรเมอร์พุ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
ฟุบ
จู่ๆเขาก็หยุดอยู่ต่อหน้าผม และทำสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน
"เพลส ยกโทษให้ฉันด้วย" โรเมอร์คุกเข่าลงแบบที่ถ้าคนอื่นเห็นอาจจะจินตนาการว่าหมอนั่นขอผมเป็นแฟนได้ง่ายๆ
"เห?" เจ้านั่นเอาเครื่องหมายคำถามตัวโตๆมาวางไว้บนหัวของผมไปซะแล้ว "ขอโทษผมเรื่องอะไรงั้นเหรอ"
"ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว" โรเมอร์เอ่ยเสียงสั่น "คนของแก๊งเราไปหาเรื่องนายก่อน ดังนั้น ยกโทษให้ฉันด้วย"
พูดจบหมอนั่นก็ร้องไห้โฮออกมา ผมเอามือกุมขมับ ผมน่าจะบอกลูกน้องเจ้านั่นให้พามันไปตรวจสมองหน่อยล่ะมั้ง
"ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันผ่านมาแล้ว" ผมกล่าวเสียงเรียบ โรเมอร์เงยหน้าขึ้นมามองผม ใบหน้าหล่อเหล่าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
"จริงนะ" จู่ๆหมอนั่นก็ลุกมากอดผมแน่น ผมพยายามปลีกตัวออกมาแต่หมอนั่นแรงวัวแรงควายชะมัด ผมจึงเอานึ้วจะกิดหมอในและส่งสายตาประมาญปล่อยผมซะทีได้มั้ย
ตุบ
โรเมอร์ปล่อยผมกระทันหันทำเอาผมเซไปนิด
"เรามาเป็นเพื่อนกันนะ" โรเมอร์พูดหลังจากผมตั้งหลักได้ ทำให้ผมเกือบเสียหลักไปอีกรอบ
"หา..." ผมถึงกับเหวอ ไม่นึกว่าคนที่เกือบจะฆ่าผมเมื่อวานจะพูดแบบนี้
"นั่นสินะ..." โรเมอร์ก้มหน้าหงุด "นายคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับอันธพาลอย่างฉันหรอก"
"ไม่นะ ไม่นะ" ผมรีบพูด เพราะกลัวเจ้านั่นจะปล่อยโฮออกมาอีก "เราเป็นเพื่อนก็ได้"
"โฮฮฮ..."
...เวรกรรม
"ที่นี่ไม่มีคนปกติเลยหรือไงฟะ" ผมพึมพำกับตัวเองขณะที่กำลังเดินไปอาคารเรียนกับโรเมอร์ จะว่าอาคารเรียนก็ไม่ถูกนักเพราะขนาดมันใหญ่ยังกับวัง ตามทางเดินปูด้วยแผ่นหินสีขาวนวลตา ด้านซ้ายเป็นผนังที่สลักลวดลายบางอย่าง ส่วนด้านขวาเป็นสระน้ำที่มีปลาแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด
"นั่นสินะ" โรเมอร์กล่าวเห็นด้วยโดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองก็อยู่ในกลุ่มนั้น ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆไปให้เค้า
เมื่อกี้ผมไปกินข้าวกับเจ้านี่มา ทำให้ผมรู้ว่าเขาก็แพ้อาหารปีศาจพอๆกับผม เราเลยสั่งข้าวผัด(เรืองแสง)กันคนล่ะจาน ระหว่างกินหมอนั่นก็เล่าวีรกรรมของมันไปเรื่อย แต่หลักๆที่ผมจับใจความได้คือมันเป็นลูกของขุนนางในโลกปีศาจ ซึ่งพ่อของเจ้านั่นก็ส่งคนมาเรียนเป็นเพื่อนด้วยเพื่อคุ้มกันลูกอะไรประมา ญนั้น แต่เจ้าเพื่อนพวกนั่นก็ชวนกันตั้งแก๊งซะงั้น อย่างนี้แหละที่เขาว่าคบพาลพาลพาไปหาผิด
"นายจะแสดงอะไรงั้นเหรอ" โรเมอร์พูดขึ้นขัดจังหวะที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่าน
"เออ..." ให้ตายสิ คนอุตส่าห์ทำเป็นลืมแล้วแท้ๆเชียว "ที่ผ่านมาเคยมีคนที่ใช้พลังไม่ได้บ้างมั้ย?"
ผมถามเปลี่ยนเรื่องขณะที่โรเมอร์ชักสีหน้าครุ่นคิด หมอนี่หลอกง่ายชะมัด
"อืม ก็พอจะมีอยู่นะ" คำพูดของโรเมอร์ทำให้ผมโล่งอกขึ้นมาหน่อย
"แล้วพวกนั้นอยู่ระดับอะไรเหรอ" ผมถามต่อ
"ก็... น่าจะถูกไล่ออกล่ะมั้ง"
นั่นแหละที่ต้องการ...
ผมฉีกยิ้มกว้างอย่างสบายใจ ขณะที่โรเมอร์มองผมแปลกๆ
"มีอะไรงั้นเหรอ" หนุ่มผมแดงถาม
"เปล่า" ผมตอบกลับเสียงสูงพลางยิ้มอย่างใสซื่อ
ภายในห้องเรียนครึ่งวงกลม มีเพียงไม่กี่คนที่มานั่งกันก่อนแล้ว ทันทีที่ผมก้าวเข้าไป สายตาแทบทุกคู่ก็จับจ้องมาที่ผมกับโรเมอร์ บ้างก็ซุบซิบกัน บ้างก็จ้องตาเป็นมัน
"ลูกพี่ฮะ" เด็กผมดำตะโกนเรียกผมท่ามกลางสายตานับสิบ ฟรอสยังยืนหน้ายิ้มแป้นอยู่อีกตามเคย อารมณ์ดีจริงๆหมอนี่
ผมแยกกับโรเมอร์และเดินไปที่นั่งตัวเอง โชคดีที่ยัยเซอร์เรเน่ยังไม่มา
"เพลสจาง" คิดไม่ทันขาดคำ เสียงหวานใสก็ดังมาจากหน้าประตู ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เด็กสาวผมแดงกับผมสลับกันไปมาเหมือนดูการแข่ง ขันปิงปองอะไรประมาณนั้น
เซอร์เรเน่วิ่งเข้ามาเหมือนพยายามจะแท็คเคิลผมยังไงอย่างงั้น...อะไรอีกล่ะนั่น
"หิวอ่ะ" ร่างเล็กพูดเสียงออดอ้อนจนผมรู้สึกสยอง "ไปหาอะไรให้กินหน่อยน้า"
แล้วไม่หาเองล่ะฟะ... คิดได้แค่นั้น จากนั้นผมก็ต้องเดินไปซื้อไอตัวขาวๆเป็นเส้นๆให้ยัยนั่นอยู่ดี
ชื่อป้ายน๊อต ฟอ เซล เดวิลฟูด ยังคงเด่นหลาสร้างความเอือมระอากับคนตั้งชื่อร้านอยู่เหมือนเดิม ประตูไม้มันวาวถูกเปิดออก ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า บรรยากาศในนี้ดูแปลกออกไปจากเมื่อวาน
"ยินดีต้อนรับค่ะ" เสียงไพเราะราวเครื่องดนตรีดังขึ้น ผมหันหน้าไปมองตามเสียงเรียก แต่ทันใดนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลใสของผมก็ต้องเบิกกว้าง
นัยน์ตาคู่สวยสีฟ้าใสราวอคามารีนดูเข้ากับใบหน้ารูปไข่ให้ความรู้สึกดึงดูด อย่างน่าประหลาด เส้นผมสีบลอนยาวเหมือนมีประกายระยิบระยับ ผิวยังขาวเนียนราวกับหิมะ บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่
"นางฟ้า..." ผมหลุดปากพูดโดยไม่รู้ตัว
"มีอะไรเหรอคะ" ดูเหมือนผมจ้องนานไปหน่อยทำให้อีกฝ่ายทำขึ้น
"ละ แล้วเจสสิก้าไม่อยู่เหรอครับ" ผมพยายามลำดับสมองให้เข้าที่ขณะกำลังเอ่ยถาม
ร่างเล็กยิ้ม มันเป็นยิ้มที่ดูเปล่งประกายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
"เจสสิก้าไม่อยู่ค่ะ ฉันเลยมาทำแทน" ร่างเล็กเอ่ย ก่อนแนะนำตัว "ฉันซินฟาเนียค่ะ เรียกสั้นว่า ฟา ก็ได้นะคะ"
"พะ เพลสครับ" คนอะไรเนี่ย สวยแล้วชื่อยังเพราะอีก
แต่จะว่าไปฟาก็ให้ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายๆกับเรย์ แต่มันดูตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
"เธอเป็นแม่มดงั้นเหรอ" ผมถาม เพราะผมเห็นป้ายของเรย์เขียนว่าเป็นเผ่าผู้ใช้เวทย์หรือแม่มดพ่อมดอะไรเทือกๆนั้น
ทันทีที่ได้ยินแววตาสีอความารีนก็เบิกกว้างอย่างตกใจ ใบหน้าขาวใสซีดลงอย่างเห็นได้ชัด อยู่ๆบรรยากาศรอบตัวก็มีแต่ความอึดอัดไปหมด
"นายรู้ได้ไง" เสียงไพเราะเริ่มเจือความไม่ไว้ใจ
"มะ มีอะไรเหรอครับ" ผมถามเสียงตะกุกตะกัก อยู่ๆเป็นอะไรไปเนี่ย ผมยิ้มอย่างใสซื่อไปให้
"..." ร่างเล็กเงียบไปนานจนน่ากลัว แต่บรรยากาศอึดอัดเริ่มหายไปทีล่ะน้อย ก่อนฟาจะเอ่ยคำแรกออกมา "จะรับอะไรดีคะ"
"ไอนี่ครับ" ผมเดินไปหยิบไอตัวสีขาวๆมาวางไว้ที่หน้าเค้าเตอร์
"นายรู้จักแกรนเชียสมั้ย" อยู่ๆฟาก็ถามขึ้นทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย จะว่าไปก็คุ้นๆอยู่นะ
แต่ผมส่ายหน้าให้ไปก่อนฟาเจะเล่าอะไรบางอย่างให้ฟัง
"ในตำนานว่าไว้ว่า เขาคือศาสตร์ตราวุธแห่งพระเจ้า ผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อปกป้องมนุษย์และปีศาจ" ฟากล่าวต่อ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้ผมตั้งใจฟังราวกับมันเป็นเรื่องของตัวเอง "ยามใดที่มนุษย์หรือปีศาจคิดจะรุกราน แกรนเซียสจะปรากฏตัว พระจันทร์จะกลายเป็นสีเลือด กลิ่นอายแห่งหายนะจะเข้าปกคลุมซินเทีย"
"..." ผมนิ่งเงียบ รู้สึกแปลกๆอย่างอธิบายไม่ถูก
"นั่นเป็นนิทานปรัมปราน่ะค่ะ" ฟาเอ่ย
"ครับ" ผมพูดก่อนจะส่งเหรียญทองแดงสามเหรียญให้ฟาก่อนจะเดินออกไป
"แล้วเจอกันใหม่นะคะ" ฟาพูดไล่หลังผมมา "คุณแกรนเชียส"
ตึก ตึก
แสงแดดร้อนระอุกระทบผิวหนังของผม แม้จะมีร่มไม้บังอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนที่แผ่ออกมาเย็นลงเท่าไหร่นัก การเดินทางกว่าห้าชั่วโมงท่ามกลางแดดร้อนระอุทำให้ผมต้องการน้ำ
เมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว ครอสบอกว่าการทดสอบต้องไปทำที่เนินเขาปีศาจที่อยู่ด้านตะวันตกของโรงเรียน เนื่องจากที่นั่นทำให้พลังปีศาจแสดงอำนาจได้สูงสุด
ช่างเถอะ ยังไงผมก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้วนี่...
"ถึงแล้ว" ครอสกล่าว ถึงมันจะเป็นคำง่ายๆ แต่มันเป็นคำที่ผมอยากฟังที่สุดในตอนนี้
"เฮ้ออ..." ผมแทบลงไปกองกับพื้น เหนื่อยชะมัด
ด้านหน้าผมเป็นโดมคล้ายสนามกีฬาที่อยู่กลางทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
"แฮ็ก... ถึงซะที" โรเมอร์ก็มีสภาพไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก เพียงแต่ใบหน้าหล่อเหลาเวลาได้เหงื่อนี่มัน...
อิจฉาโว้ย!!!
ผมมองไปยังเรย์ นี่ก็เงียบตลอดทาง ถึงอย่างนั้นใบหน้าขาวใสก็ยังฉายแววความเหนื่อยล้าให้เห็นอยู่
ส่วนฟรอส ทางนั้นได้กลายสภาพเป็นสัตว์สี่เท้าไปแล้ว หรือเรียกง่ายๆว่าคลานน่ะแหละ
ร่างของเจสสิก้าถูกลากผ่านหน้าผมไป ท่าทางยัยนั่นจะหัวเราะไม่ดูพลังงานตัวเองอีกแหละ
แม้แต่ครอสเองยังมีอาการเหงื่อตกให้เห็น
"เดินทางแค่นี้ทำเป็นเหนื่อยไปได้" เซอร์เรเน่กล่าวขึ้น ส่วนผมได้แต่มองเธอด้วยสายตาไม่เห็นด้วยนัก
คำว่าแค่นี้ของเธอมันเกือบยี่สิบกี่โลนะเฟ้ย...
ฟุบ
ครอสวางมือบนประตูบานสีขาว ตรงกรอบประตูสลักเป็นรูปหนอนตัวยาวๆมีหนามปักอยู่เต็มไปหมด
"เค้าเรียกเถาวัลหรอก" เสียงใสดังมาทางด้านหลัง เซอร์เรเน่ยืนกอดอกมองผมอย่างเอือมระอา "จินตนาการของนายนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ"
จึก
ก็ใครใช่ให้แกะสลักเป็นแบบนี้เล่า ไม่ว่าใครก็ดูผิดทั้งนั้นแหละน่า
"ผิดแล้วโทษคนอื่นเค้าอีก" เซเรเน่พูดตอกย้ำทำเอาผมเซวูบ
โอเค ผมผิด ผมคิดพลางหันหน้าไปยังครอส ทางนั้นเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ประตูเปิด นักเรียนก็ค่อยๆทยอยเข้าไปข้างในกันทีล่ะคน
สภาพภายในไม่ต่างจากสนามกีฬามากนัก มันเป็นที่นั่งเรียงเป็นขั้นๆล้อมรอบจุดศูนย์กลางที่เป็นแท่นกว้าง
นักเรียนแต่ละคนเริ่มจับจองที่นั่ง ผมจึงหาที่นั่งบ้าง
"ลูกพี่จะแสดงอะไรงั้นเหรอ" ฟรอสถามผม ทำให้ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้ปีศาจคนนึงหลงผิดมานับถือ
"เดี๋ยวก็รู้เองแหละ" ผมตอบปัด "รอดูล่ะกัน"
ฟรอสทำสีหน้าสงสัย ก่อนจะถามอีกคำถาม
"ลูกพี่เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ" ฟรอสถามพลางชี้ไปทางยัยเซอร์เรเน่ ทำเอาผมเกือบสำลัก
"อึก อยู่เงียบๆเป็นมั้ยฮะ" ผมเค้นเสียงดุ
"ท่าทางเป็นแฟนกันจริงๆด้วย" ฟรอสหันกลับไปแล้วพึมพำ ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก...ล่ะมั้ง
อยู่ๆยัยเซอร์เรเน่ก็เดินมาหาผม และนั่งข้างๆ
"นายคงเตรียมอะไรมาแล้วสินะ" ริมฝีปากบางเอ่ย "หวังว่าคงไม่ทำให้ผิดหวังหรอกนะ
ผมยิ้มอย่างใสซื่อ "ไม่หรอกครับ"
"สวัสดีนักเรียนทุกคน" เสียงทุ้มก้องกังวาลดังขึ้นจากชายแก่ร่างเล็กบนแท่นกลางเวที ส่งผลให้ทุกเสียงเงียบกริบราวกับต้องมนต์สะกด
"นั่นใครเหรอ" ผมหันไปถามฟรอส แต่ทางนั้นกลับทำหน้าตาสงสัยมากกว่าผมอีก
"ลูกพี่เคยไปหาผอตั้งสองครั้งไม่ใช่หรือไง" หมอนั่นถามน้ำเสียงตื่นเต้น "แล้วไม่เจอกับครูใหญ่เลยเหรอครับ"
ผมส่ายหน้า เจ้าฟรอสจ้องผมราวกับเห็นผียังไงหยั่งงั้น ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่สนใจตามเคย
หลังจากนั้นผมก็ฟังครูใหญ่ร่างเล็กร่ายยาวไปเรื่อย แต่ประเด็นหลักๆจะเป็นเรื่องกฎของโรงเรียนเอย ปรัชญาของโรงเรียนเอย ซึ่งมันกระตุ้นต่อมความง่วงของผมได้มากพอดู ผมจึงหันไปทางเซอร์เรแน่เผื่อหาเพื่อนคุย
กรรม!!! ผอ. หลับไปแล้ว
แล้วผมจะทนง่วงอยู่ไปทำไมล่ะ ว่าแล้วก็งีบสักหน่อย
ตึง ๆๆๆๆ
เสียงเครื่องดนตรีดังสนั่นดังขึ้นขณะหัวยังไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ ทำให้ผมต้องจำใจลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"ขอเปิดพิธีแบ่งระดับ ณ บัดนี้" เสียงทุ้มของครูใหญ่ดังขึ้นซึ่งผมหวังว่าน่าจะเป็นประโยคสุดท้ายของแกแล้วนะ
หลังจากพูดจบ ครูใหญ่ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหน้าแท่น จากนั้นก็มีคนสามคนตามไปสมทบ ร่างทั้งสามใส่เสื้อคลุมมีฮูดเพื่อปกปิดใบหน้า นั่นทำให้ความสงสัยของผมเริ่มทำงาน
"นั่นใครงั้นเหรอ?" ผมหันไปหาเซอร์เรเน่ซึ่งตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงกลองแล้ว
"ผู้พิทักษ์แห่งซินเทีย" ร่างเล็กเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางยังงัวเงียอยู่นิดๆ "ที่จริงมีอยู่สี่คน แต่อีกคนไม่มีใครเคยเห็นหน้าสักครั้ง"
"ซินเทีย?" ผมถามอย่างสงสัย รู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้อยู่ครั้งนึง
"นายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน้า" เซอร์เรเน่กล่าวอย่างไร้อารมณ์ "ซินเทียเป็นชื่อเรียกของอาณาจักรปีศาจซึ่งอยู่คู่ขนานกับโลกมนุษย์ไงล่ะ"
"อ่อ..." ผมพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
ผมหันไปยังผู้พิทักษ์คนหนึ่ง เส้นผมสีทองที่สยายออกมาทำให้ผมรู้สึกคุ้นๆยังไงไม่รู้ มันให้ความรู้สึกเหมือนถูกมนต์ะกด ส่วนอีกคนกลับให้ความรู้สึกสนุกสนาน แต่คนสุดท้ายเป็นคนเดียวที่ให้ความรู้สึกกดดัน
"คนผมทองนั่นชื่อซาฟาเนีย" เซอร์เรเน่เอ่ย "เป็นเจ้าหญิงแห่งเวนิเซีย"
รู้สึกชื่อคุ้นๆยังไงไม่รู้สิ
"คนตรงกลางชื่อแจ็ค เป็นกษัตริย์แห่งเวสเทน"
อันนี้ไม่รู้จักสักนิด
"และคนสุดท้ายชื่อไรอัล" เซอร์เรเน่กล่าวต่อ "กษัตริย์แห่งทาบารอส"
วันนี้มันวันรวมราชวงศ์หรือไงเนี่ย...
การแบ่งระดับก็เริ่มขึ้นโดยครอสบอกว่าใครพร้อมก็ออกมาก่อน ซึ่งผมไม่อยากทำให้พิธีเสียเร็วนักจึงคิดว่าจะออกไปเป็นคนสุดท้าย ไม่นานนักก็มีคนใจกล้าเปิดเป็นคนแรก
"โรเมอร์?" ผมเอ่ยเสียงเบาหลังจากเห็นหนุ่มผมแดงหน้าตาหล่อเหลาประดับด้วยแผลเป็นซึ่ง มันทำให้หน้าดูเข้มขึ้นอีก ร่างสูงเดินขึ้นไปบนแท่นกลางเวทีเป็นคนแรก ผมได้แต่หวังว่าเขาคงไม่ร้องไห้โฮออกมาอีกนะ...
"เริ่มได้" ครูใหญ่เอ่ยเชิงอนุญาตให้ระเบิดเวทีได้เต็มที่
โรเมอร์ดูผิดแปลกจากที่เห็นทุกครั้ง คราวนี้เขาดูน่าเกรงขามขึ้น นัยน์ตาสีทองสุกปิดลงก่อนความมืดจะเข้าปกคลุมทั่วโดม
"อะไรน่ะ" ผมรูู้สึกถึงความผิดปกติ
"นั่นล่ะพลังของแวมไพร์" เซอร์เรเน่จ้องไปยังโรเมอร์ไม่วางตา เธอดูใจจดใจจ่อกว่าทุกครั้ง "เรียกความมืดได้มากขนาดนี้ไม่ใช่ธรรมดาแน่"
ผมหันไปดูที่โรเมอร์ต่อ แปลกใจนิดหน่อยที่แวมไพร์ไม่แพ้แสงอาทิตย์ มือทั้งสองข้างของเขาถูกกางออก พลังความมืดทั้งมวลหลอมมารวมตัวอยู่ที่ตัวเขา นัยน์ตาสีทองสุกเปิดออก มันดูเรืองแสงท่ามกลางความมืด อยู่ๆผมก็รู้สึกอึดอัดผิดปกติ
"พอได้แล้ว" ไรอัล หนึ่งในสามผู้พิทักษ์เอ่ยเสียงหนัก "นายคงไม่คิดดูดวิญญาณคนทั้งสนามนี่หรอกนะ"
สิ้นเสียง โรเมอร์หยุดนิ่ง ความมืดสลายไปเหมือนหมอกควัน
"ขะ ขอโทษครับ" โรเมอร์เอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ เวรแล้วไง!!!
ตึ้ง
เสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นก้อง กลางสนามปรากฎเป็นหน้าจอใหญ่ยักษ์และตัวอักษรเอส
"ว่าแล้วเชียว" เซอร์เรเน่เอ่ยขึ้น "มาถึงคนแรกก็ได้ระดับ S"
"อะไรคือระดับ S" ผมถาม
"นายรู้อะไรบ้างไหมเนี่ย" เซอร์เรเน่มองผมด้วยสายตาดูถูก แต่ขอโทษเถอะ ผมชินแล้ว "จะโง่ก็โง่ให้มีขอบเขตบ้างสิ"
จึก โอเค ผมอาจจะยังไม่ชินก็ได้
"ตัวเอส ย่อมาจากสเปเชียล" เซอร์เรเน่เริ่มอธิบาย "หมายความว่าพิเศษ ระดับเอสในที่นี้หมายถึงพวกที่มีพลังมากเกินขอบเขตพลัง หรือไม่ก็พวกที่มีพลังแตกต่างจากคนทั่วไป"
ผมพยักหน้า ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ
"คนที่มีพลังระดับนี้ไม่ค่อยจะมีให้เห็นง่ายๆนักหรอก รอบสามปีมานี้ดูเหมือนหมอนั่นจะเป็นคนแรก" เซอร์เรเน่กล่าวต่อ พลางจ้องไปยังโรเมอร์ไม่วางตา ผมจึงจ้องตามบ้าง
"โฮฮฮ..."
...ใครก็ได้เอามันไปเก็บที
ร่างสูงผมแดงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตามานั่งข้างๆผม ใจจริงก็สงสารอยู่หรอก แต่มันหมั่นไส้มากกว่าเนี่ยสิ
"เมื่อไหร่นายจะออกไปงั้นเหรอ" โรเมอร์ปาดน้ำตาก่อนจะถามผม
"เดี๋ยวก็รู้เอง" ผมตอบปัด
เมื่อมีคนแรกกล้าออกมา คนอื่นๆก็ดูเหมือนจะมีความกล้าเพิ่มขึ้นเหมือนกัน ดูจากการที่เริ่มทยอยกันออกมาไม่ขาดสาย ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นกับพลังแปลกๆที่ถูกปล่อยออกมาอยู่หรอก แต่พอนั่งดูไปนานๆแล้วมันอดรู้สึกเบื่อไม่ได้ อาจจะเพราะไม่มีใครได้ถึงแม้แต่ระดับ B เลยล่ะมั้ง
ผมนั่งงัวเงียไปมาอย่างเบื่อๆเพราะเซอร์เรเน่หายไปสักพักแล้ว หลังจากที่กินไอ้ตัวขาวๆยาวๆน่ะแหละ ตอนนี้ผมเริ่มอยากจะเอนหลังแล้วสิ
เสียงพูดคุยดังสนั่นขึ้นมากระทันหันทำเอาผมรีบเด้งตัวขึ้นมา ตัวอักษร S ปรากฎเด่นหราที่กลางแท่นสนาม นั่นทำให้ผมตวัดสายตาเพื่อไปดูหน้าคนที่ได้
"ฟะ ฟรอส" ไม่อยากจะเชื่อ ภาพฟรอสยื่นนิ่งอยู่กลางเวทีทำเอาผมตะลึงอยู่เหมือนกัน
"เมื่อกี้มีอะไรเหรอ?" ผมถามโรเมอร์
"หมอนั่นใช้เวทย์แห่งการสร้างได้!!!" โรเมอร์พูดน้ำเสียงตื่นๆ ทำเอาผมรู้สึกอยากไปห้องสมุดเร็วๆรู้สึกตัวเองไม่รู้อะไรสักอย่างจริงๆแฮะ แล้วเวทย์แห่งการสร้าง คืออะไรอะ
"มันเป็นเวทย์ที่หายสาบสูญไปราวๆสี่ร้อยปีแล้ว" ราวกับโรเมอร์จะรู้ความคิดผม เขากล่าวต่อ "เนื่องจากมันสามารถสร้างสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริงๆได้"
"เห?" ผมชักสีหน้าสงสัยเต็มที่ แล้วที่หมอนั่นสร้างความมืดล่ะ
"นั่นไม่ใช่การสร้าง" เสียงใสดังมาจากด้านหลัง ผมจำเสียงนี้ได้ดี เซอร์เรเน่ "แต่มันเป็นการรวบรวมความมืดที่มีอยู่มาใช้"
อย่าแอบอ่านความคิดคนอื่นสิฟะ...
"ก็นายอยากคิดดังเองนี่" ร่างเล็กกล่าว ไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกสักนิด
ครับๆ ผมผิด
"เด็กสาวคนนั้นน่าสนใจนะ" เซอร์เรเน่พูดขึ้น ทำให้ผมหันไปมองตาม
"เรย์" ผมอุทานเมื่อเห็นร่างเล็กเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ก้าวขึ้นบนแท่นเวที จากนั้นผมก็จ้องอย่างจดจ่อ อยากรู้แล้วสิว่าพลังของเรย์จะเป็นยังไง
"..." เงียบ
"ทำไมไม่แสดงซะทีล่ะ" โรเมอร์เอ่ยขึ้นหลังจากรอมานาน จากนั้นก็เริ่มมีเสียงซุบซิบดังเรื่อยๆจนเหมือนผึ้งแตกรัง หมอนี่มีภาวะผู้นำที่ดีจริงๆ
ตึ้ง
ตัวอักษรรูปตัวเอสปรากฎขึ้นท่ามกลางความตกตะลึง แต่จากนั้นไม่นานก็เริ่มมีเสียงซุบซิบดังเอะอะเหมือนเดิม
"อะไรน่ะ" ผมเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
"ติดต่อกับวิญญาณ" อยู่ๆยัยเซอร์เรเน่ก็พูดขึ้นทำเอาผมขนหัวลุก "น่าสนใจดีนี่"
ขอร้องเถอะ อย่ายิ้มแบบนั้นได้มั้ย เห็นเด็กสาวตัวเล็กๆแสยะยิ้มชั่วร้ายแล้วมันรู้สึกอนาถใจจริงๆ
"ฉันออกไปก่อนล่ะ" เซอร์เรเน่กล่าวก่อนลุกเดินออกไป ผมจัดตาดูร่างเล็กผมสีเพลิงที่เดินขึ้นเวทีอย่างสง่างาม ท่าทางพลังของยัยนี้คงเป็นพวกระเบิดภูเขาเผากระท่อมล่ะมั้ง...ต้องใช่แน่ๆ
ร่างเล็กยืนเด่นสง่าอยู่บนเวที จากนั้นก็
"..." เงียบ
"..." เริ่มมีเสียงซุบซิบ
"..." นี่ตกลงคุณเธอจะแข่งสงครามเงียบสินะ
ตึ้ง
สัญลักษณ์รูปตัวเอสปรากฎท่ามกลางเสียงฮือฮา แต่ผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนักหรอก สงสัยยัยนั่นคงสะกดจิตเหล่ากรรมการแหง
ร่างเล็กเดินมานั่งข้างๆผมเหมือนเดิม ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่สนใจอะไรมากนัก
"เมื่อไหร่นายจะออกไป" เซอร์เรเน่ถามเสียงเรียบ
"หลับดีกว่า" ผมเอนตัวลงนอน
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆราวกับทรายรั่ว รู้สึกว่าตอนนี้เหลือคนที่ยังไม่ได้ออกไปอยู่ไม่ถึงสิบคน
"จะหมดสนามแล้วนะ" เซอร์เรเน่เอ่ยเป็นเชิงเตือน
"อืม" ผมตอบแค่นั้น
ตึ้ง
ตัวอักษรรูปตัวเอของคนสุดท้ายปรากฎขึ้น นั่นเป็นสัญญาณว่าผมต้องขึ้นเวที
"เฮ้อ..." ผมถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นอย่างงัวเงียก่อนเดินไปบนแท่น ทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นมา ผมก็รู้สึกได้ถึงความกดดันแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะประหม่าก็ได้มั่ง
"หมอนั่นทำไมไม่เริ่มซะทีน่ะ"
"ได้ยินว่าเคยชนะโรเมอร์ด้วยนะท่าทางจะเก่งมากเลยล่ะ"
"เป็นคนเดียวที่เคยพยหน้า ผอ. ด้วยแหละ"
เสียงซุบซิบดังระงมไปทั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นว่าทำไมผมไม่เริ่มแสดงซะที ผมตั้งสมาธิก่อนสูดอากาศเข้าปอดเป็นการใหญ่ ก่อนจะเอ่ย
"ผมใช้พลังมะ..."
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมปรากฎหลุมกว้างเส้นผ่านศูญกลางกว่า4เมตรด้านหน้า ผม ทุกสายตามองไปที่หลุมนั้นอย่างตกตะลึง ใช่ นั่นรวมถึงผมด้วย
ตึ้ง
ตัวอักษรรูปตัวเอสปรากฎเด่นอยู่ด้านบนของผม ตอนนี้ผมเริ่มจะปะติดปะต่ออะไรได้บ้างแล้ว ไม่ผิดแน่...หลุมนี่
ฝีมือของยัยเซอร์เรเน่
-------------------------------------------------------------
ตอนต่อไป
เผยโฉมหน้าคนในเงามืด กับคาบเรียนวันแรกที่น่าปวดหัว
ความคิดเห็น