ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 3 ภารกิจเมืองตายาย

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 56


    ตอนที่ 3 ภารกิจเมืองตายาย

        เด็กทั้งสองเริ่มออกเดิน ต่างพบเจอผู้เล่นใหม่ด้วยกันตลอดทาง ในมือถือมีดสั้นคนละเล่มหรืออาวุธรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพ แต่สัตว์อสูรในพื้นที่กลับเป็นกวางป่าจุดสีชมพูน่ารักขี้กลัว พวกมันเว้นระยะห่างจากกลุ่มผู้เล่นห้าหกเมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตน่าเอ็นดูกลุ่มนี้ให้ค่าประสบการณ์น้อย ใครๆ ก็เลยไม่ยุ่ง

        เมืองแรกสุดที่ต้องเจอชื่อว่าเมืองตายาย เหตุเพราะเป็นเมืองหลวงของทวีปตายายซึ่งพวกเขาเหยียบอยู่... และถึงเรียกเมืองหลวง แต่ทวีปตายายก็มีแค่สองเมืองเท่านั้น... อีกเมืองติดทะเลเลยได้ชื่อเมืองท่าบรรพบุรุษ มิเชลบอกได้แค่ว่า... คนตั้งช่างไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลยจริงๆ

        ก่อนเข้าเมือง พวกเขาต้องเดินเลียบกำแพงอิฐสีเทาน้ำตาลจนเจอทางเข้า บริเวณรอบนอกก่อนถึงประตูใหญ่มีโต๊ะกับม้านั่งหินอ่อนวางเรียง เด็กๆ จึงตกลงเอาไอเทมมาแผ่ดู เพราะที่ผ่านมาก็สักแต่เก็บ ไม่รู้อะไรไว้ทำอะไรบ้าง

        นอกจากฟันหนู หนวดหนู และหนังหนู กับของจากหมอผีโจเซ่ที่มีเหมือนกันแล้ว สิ่งที่ต่างคงเป็นรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพ มิเชลมีซุปซอง กระดาษโน๊ตยับ หีบสีม่วง กิ่งไม้ติดผลึกลูกแก้วสวย กับถุงของขวัญจากหมอผีโจเซ่ ส่วนโทนี่มีกล่องอุปกรณ์เครื่องมือช่าง คู่มือ และชุดผู้เริ่มต้นที่เพิ่งถอดออก

        มิเชลพยายามหาวิธีอ่านกระดาษโน๊ตยับๆ แต่เอียงมุมไหนก็อ่านไม่ออก สุดท้ายเลยลองใช้แว่นขยายส่อง ดูเหมือนเธอเลือกถูกวิธีเพราะมีเสียงดัง ‘ปุ้ง’ และแว่นขยายก็หายไปจากมือ

        “มันเขียนว่าอะไร”

        “ขอให้โชคดี ถ้าเธออ่านกระดาษแผ่นนี้ได้แปลว่าได้ทดลองใช้แว่นขยายที่ระบบแจกแล้ว แว่นขยายน่ะมีไว้ส่องไอเทมที่ไม่รู้จัก” เธออ่านออกเสียง.... “เป็นแค่กระดาษอธิบายเกี่ยวกับเรื่องแว่นขยาย”

        “ลองใช้แว่นขยายดูกับของที่เรามีละกัน” เด็กชายเสนอ

        พวกเขาใช้มันส่องทุกอย่าง กระทั่งเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ เธอค่อยเรียนรู้ว่าชุดคลุมเขียวมีชื่อ ชุดนักพรตพงไพร พลังป้องกันต่ำ แต่สามารถดูดซึมธาตุจากธรรมชาติมาเสริมผู้สวมได้ห้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนกิ่งไม้สวยๆ คือ กิ่งไม้เลเวล 1..!? พลังโจมตีกายภาพ 0  พลังโจมตีเวทมนตร์ 0

        แว่นขยายถูกใช้ทั้งหมดเพียงสามชิ้น เพราะไอเทมทุกอย่างที่โทนี่ถือมีคำบรรยายอยู่แล้วในตัว มันจึงไม่ทำให้เกิดเสียง ‘ปุ้ง’ เพิ่ม

        พอรื้อจัดไอเทมในตัวเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าเมือง โทนี่พยายามกวาดตาสำรวจทุกอย่างเอาไว้ เขาดูเบลอๆ แต่ถือว่าพัฒนาขึ้นเพราะแยกระหว่างกำแพงกับต้นไม้ออกแล้ว มิเชลยังคงทำหน้าที่มัคคุเทศน์ พากย์ชื่อสิ่งของตามทางไปเรื่อยๆ พอเข้าละแวกตลาด เด็กชายพบปัญหาการอ่านป้ายราคาไม่ออก เธอจึงสอนรูปร่างของตัวเลขไล่ตั้งแต่ 0 ถึง 9 ให้เขาจำ

        โซนตลาดทุกอาคารเลือกใช้หลังคาลายแดงสลับเขียว ลวดลายกำแพงแต่งตามชนิดสินค้าที่ขาย ข้างประตูจะติดป้ายไม้ทาสีส้มลงชื่อเรียกร้านไว้ ส่วนราคาไอเทมสามารถมองเห็นแต่ไกลผ่านกระจกใส มิเชลบอกได้ว่าเธอเห็นตัวเลขศูนย์เติมท้ายยาวๆ แทบทุกรายการ.... และพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้... ต่างมีใบหน้าเรียบๆ ไร้อารมณ์ ยิ่งการยืนขาแข็งทั้งวันช่วยบ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์

        หลังออกจากย่านตลาดเข้าสู่ลานกลางเมือง จะเจอป้ายประกาศมากมาย ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของมิเชลในการอ่านออกเสียง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมาก ซ้ำไปซ้ำมาระหว่างประกาศหาเพื่อนตั้งกลุ่ม ประกาศขายของ ประกาศขอของฟรีๆ หรือประกาศสั้นๆ ที่ไม่มีความหมายอย่างเช่นคำว่า ‘สวัสดี’ หรือ ‘เฮ้’

        "เราก็ลงประกาศมั่งสิ" เธอร้อง

        "เธอมีอะไรให้ลงในประกาศด้วยเรอะ"

        "อะไรก็ได้นี่นา ใครๆ เขาก็แปะอะไรมั่วๆ กัน มิเชลจะเขียนว่า มิเชลมาเยือน! ตัวใหญ่ๆ อยากทำแบบนี้มานานแล้ว"

        "ถ้าเธอไม่ตาบอด กำแพงเพื่อนบ้านเธอคงละเลงแล้วใช่ไหมเนี่ย"

        "มิเชลไม่เขียนกำแพงเพื่อนบ้านหรอกน่า พ่อจะเดือดร้อนเอา... เอ๊ะ..จะลงประกาศต้องเสียเงิน 2เหรียญด้วย มิเชลไม่มีเงินเลยนี่นา เราเอาไอเทมไปขายหาเงินแบบที่หมอผีโจเซ่บอกไว้กัน"

        โทนี่ส่ายหัว ถ้าหากไม่ใช่กำแพงเพื่อนบ้านที่พ่อต้องเดือดร้อนก็จะทำสินะ..

        เธอกับโทนี่ขายไอเทมจากหนูจิ๊ดทั้งหมดให้พ่อค้ารับซื้อขยะ แต่ได้กลับมาเพียงคนละสี่สิบกว่าเหรียญ มิเชลเลยตัดใจไม่ใช้เงินสองเหรียญกับประกาศเล่นๆ ของป้ายละแวกน้ำพุใจกลางเมือง ดูท่าเกมนี้เงินจะหายากทีเดียว

        พอมาถึงเรื่องของอาวุธ มิเชลเป็นนักเวทจึงต้องใช้ไม้เท้า ส่วนโทนี่ก็อยากได้ของใหม่บ้าง แต่เจอกับราคามหาโหด กระทั่งมีดสั้นเริ่มต้นในมือพวกเขายังราคาสูงถึงแปดสิบเหรียญ ส่วนคฑาอันที่ถูกสุดก็ปาเข้าไปสามร้อยเหรียญ เธอยอมถือกิ่งไม้จิ้มสัตว์อสูรแทนการควักตังซื้อยังดีซะกว่า

        บริการในเมืองทุกอย่างต่างต้องใช้เงิน ของกินก็แพง ร้านอาหารกับขนมโดยมากจึงร้าง ผู้เล่นส่วนมากแค่ด้อมๆ มองๆ กลืนน้ำลาย กินแค่มโนภาพกันไป เกมนี้เพิ่งเปิดมาแค่สองอาทิตย์กว่าๆ เลยยังไม่มีกลุ่มไฮโซแต่งตัวดีนั่งซัดเค้กราคาเท่าโน้ตบุ้คให้เห็น
        
        เด็กทั้งสองมองเงินในมือ มองหน้ากัน แล้วนึกเสียดายไอเทมที่โยนทิ้งระหว่างทางเพราะของเต็ม ไม่งั้นป่านนี้คงถือเงินคนละเกือบสองร้อยเหรียญแล้ว กระทั่งกระเป๋าสตางค์ระบบยังมีค่าอัพเกรด... เริ่มต้นจะบรรจุได้หนึ่งหมื่นเหรียญ เกินกว่านั้นต้องจ่ายเพิ่ม มิเชลกับโทนี่จึงพร้อมใจเดินออกจากธนาคารทั้งที่เพิ่งก้าวเข้าไป จำนวนตัวเลขเลยเถิดจากความเป็นจริงไกลโข แค่หาเงินมาทำให้กระเป๋าสตางค์เต็มได้ก็ยอดแล้ว! สองสหายใช้สีหน้าคุยกันว่า ช่างมันเหอะ!

        "มิเชล"

        "หืม..." เธอหันไปมองเพื่อน

        "ตรงไหนบ้างที่เรายังไม่ได้สำรวจ" โทนี่เอามือตบป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ พวกเขากลับมายังบริเวณลานกลางเมืองอีกครั้ง เสียงน้ำพุดังซู่ๆ อยู่ใกล้หู

        "เราไปโซนร้านของกิน ที่ช้อปปิ้ง ธนาคารแล้ว ดูจากแผนที่เหลือแค่ยังไม่ได้แวะไปสมาคมผู้กล้าเลย" เธอใช้นิ้วไล่ไปทีละชื่อ

        "เหลืออีกหลายอันที่เธอไม่ได้อ่านให้ฉันฟัง" โทนี่ทัก

        "พวกจุดสีเทามันยังไม่เปิดใช้งาน.. อ๊ะ.. ลืมไปว่าโทนี่ยังจำสีได้ไม่ได้ ไว้มิเชลจะหาของที่มีสีพื้นฐานให้จำนะ"

        "ไม่ต้องหรอก พอจำได้เยอะแล้ว อันนี้สีเทา แดง เขียว น้ำเงิน บ้านหลังนั้นก็หลังคาสีขาว พื้นเป็นสีน้ำตาล... หมาตัวนั้นก็..." เขาชี้ตามแต่ละจุดสีบนแผนที่แล้วไล่บอกชื่อสีอื่นๆ ให้ฟังโดยยึดสภาพแวดล้อมเป็นเกณฑ์ แต่รวมๆ มันก็ครบทุกสีในโลกแล้ว!!!..... มิเชลมองเพื่อนตาค้าง.... "ก็เธอคอยพูดให้ฉันฟังตั้งแต่เข้าเกมมาเลยนี่นา"

        "...แต่นั่นมิเชลพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองเผื่อๆ เอาไว้ ไม่คิดว่าโทนี่จะจำได้หมดจริงๆ"

        "ก็จำได้ทุกอย่างที่เธอพูดมาน่ะแหละ ความจำฉันดีเป็นพิเศษ เธอก็รู้ ฉันไม่เก่งคำนวณ แต่ก่อนสอบเลขฉันก็จำโจทย์กับคำตอบเข้าไปเยอะๆ อะไรที่ผ่านหัวครั้งเดียวฉันก็จำได้หมด โจทย์เลขพวกนั้นฉันก็ยังจำได้"

        โทนี่พิสูจน์คำพูดด้วยการอ่านทุกอย่างที่มิเชลเคยบอกออก! เขาจำมันเป็นรูปภาพ... แถมแม่นทุกรายละเอียด ขนาดแกล้งเขียนผิดแค่สระหนึ่งตัวก็ยังบอกได้ว่าไม่เคยเห็น รู้แบบนี้ เธอจึงรีบสอนตัวหนังสือให้จบรวดเดียว และนึกอยากเขกกะโหลกเพื่อนข้อหาที่ทำให้ต้องเหนื่อยพากย์มาตั้งนาน

        ภาษาเบรลที่เด็กตาบอดทั้งสองใช้ มีไวยากรณ์และศัพท์เหมือนภาษาคนตาดีทุกประการ ต่างแค่วิธีเขียนเท่านั้น การสอนจึงเป็นลักษณะจำมันเข้าไปในแบบโคตรถนัดของโทนี่ มิเชลอึ้งทึ่งยิ่งกว่าเมื่อเพื่อนซี้สามารถจบบทเรียนเพียงแค่กวาดสายตาผ่านสองครั้ง (ครั้งแรกผ่านอักษรเบรล ครั้งที่สองผ่านอักษรปกติ)

        "มิเชลรู้ว่าโทนี่ความจำดี แต่เรารู้จักกันตั้งแต่อนุบาล ทำไมมิเชลไม่เคยรู้ว่าโทนี่จะเก่งขนาดนี้...” เด็กหญิงคิ้วขมวด สักพักก็ทำหน้าเหมือนบรรลุ “จริงสิ...! โทนี่ไม่เคยใช้เทปบันทึกเสียงอาจารย์ตอนเรียนเลยนี่นา! เป็นเพราะมิเชลไม่ใช้เทปเสียงเหมือนกันก็เลยไม่รู้แน่ๆ..!"

        "ไม่เกี่ยวสักหน่อย อลิสยังรู้เลย อลิสก็หูหนวกเลยไม่ใช้เทปเสียงเหมือนกัน” โทนี่แย้ง “เธอน่ะโผล่มาเรียนแค่อาทิตย์ละครั้ง เรื่องนี้ใครๆ ในห้องก็รู้ทั้งนั้น"

        มิเชลกับโทนี่เดินต่อไปยังสมาคมผู้กล้า มันตั้งอยู่ติดกับย่านร้านค้า ตัวตึกสร้างจากอิฐทั้งหลังและทาสีครีมอ่อนทับ หลังคาใช้กระเบื้องแดง มีประตูทางเข้าอยู่ระหว่างกลางหน้าต่างกลมๆ สองบาน ลวดลายบนกำแพงเป็นรูปตายายคุยกันบนเก้าอี้ไม้โยก แม้เบื้องหน้ากำลังสนใจสิ่งปลูกสร้างหน้าตาน่ารัก ทว่าข้างในหัวเธอยังลืมเรื่องความจำระดับพระกาฬของเพื่อนไม่ลง....

        ข้างในสมาคมเหมือนจะแบ่งเป็นสองโซนอย่างเห็นได้ชัด ฟากหนึ่งเป็นเคาท์เตอร์ของสมาคมกับป้ายประกาศข่าวสาร อีกฝั่งนั้นเป็นบาร์เหล้า ซึ่งกินพื้นที่ไปกว่า70% โต๊ะเก้าอี้ทุกตัวทำจากไม้ ค่าอาหารแพงจ๋าเหมือนข้างนอก แต่ราคาเครื่องดื่มกลับถูก เพราะจนๆ อย่างพวกเขายังมีปัญญาซื้อ

        และเพราะแบบนั้น ฝั่งบาร์จึงแน่นขนัด โต๊ะว่างเหลือเฉพาะตำแหน่งไม่น่านั่ง แม้ใครๆ ดูออกว่าบรรดาพนักงานเสิร์ฟเป็นเพียงโปรแกรมตัวหนึ่ง แต่กลิ่นแอลกอฮอล์กับเสียงเอะอะเฮฮาจากผู้เล่นเมาช่วยเสริมบรรยากาศให้เหมือนร้านเหล้าจริงๆ พอมิเชลมองขึ้นค่อยเห็นสภาพหลังคาข้างใน มันมีไม้เก่าสองบานตอกตะปูพยุงไว้ ถ้าไม่ใช่ฉากในเกม คงแปลกมากที่ไม่ยอมถล่มลงมาสักที

        "เดี๋ยวก่อน" โทนี่ดึงตัวเพื่อนสาวไว้ก่อนเธอก้าวไปที่เคาท์เตอร์

        "อะไรหรือ?" เธอหันกลับมา หยุดยืน

        "ถ้าคุยกับคนอื่นเธออย่าใช้คำพูดแบบผู้หญิงดีกว่า ตอนนี้ตัวเธอเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย ฉันว่ามันจะแปลกๆ คนอื่นเค้าจะเห็นฉันเป็นกระเทยด้วยไปอีกคน" เด็กชายกระซิบ

        "ก็บอกเค้าไปสิว่ามิเชลเป็นผู้หญิงที่เล่นตัวละครชาย กดเลือกเพศผิด หรืออะไรก็ได้"

        "ตอนสร้างตัวละครไม่มีเลือกเพศหรอก ทุกคนโดนแสกนข้อมูลจากบัตรประชาชนตั้งแต่ลงทะเบียนแล้ว คนอายุไม่ถึงทำบัตรประชาชนอย่างฉันก็ใช้สูติบัตรลงทะเบียน"

        "แต่มิเชลใช้คำพูดแบบผู้ชายไม่เป็น" เธอบ่นเสียงเบา

        "งั้นเธอก็พูดให้น้อยๆหน่อย มีอะไรให้ฉันพูดแทนเองให้หมด เวลาจำเป็นต้องพูดจริงๆ ก็นึกถึงสไตล์การพูดของฉันแล้วพูดตามๆ ไปซะ"

        "มิเชลเข้าใจล่ะ"

        "ต้องหยุดเรียกตัวเองด้วยชื่อด้วย! ใช้คำว่าฉัน หรือ ผม แทน" เขารีบเตือน ไอ้การเรียกตัวเองว่ามิเชลๆ ดูเป็นนิสัยที่แก้ยากที่สุดของเพื่อนตนแล้ว

        "มิเชล.. เอ้ย.. มิเชล... มิ... อ่า.. ฉัน..เข้าใจ"

        พอตกลงกันเสร็จก็ค่อยเดินไปยังเคาท์เตอร์สมาคมผู้กล้า พนักงานเป็นหญิงสาวหุ่นดีใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น เธอสวมผ้าคาดอกสีแดงกับกางเกงทรงอินเดียสีม่วง ผมบลอนด์หางม้าแม้ผูกสูงยังยาวถึงกลางหลังดูพริ้วไหว ดวงตาสีฟ้าคมคายพราวเสน่ห์ จมูกเล็กมีสันรูปทรงสวย ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มหวาน องค์ประกอบทั้งหมดต่างรับกับใบหน้าเรียวงาม บนข้อมือทั้งสองและรอบคอของเธอสวมกำไลทองวงโตหลายอัน พอเจ้าหล่อนขยับตัวจะได้ยินเสียงเครื่องประดับกระทบกันกรุ๊งกริ๊ง หน้าอกหน้าใจกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะ

        "สวัสดีค่ะ เป็นคู่หูที่ต่างอายุกันดีนะคะ พี่น้องหรือคะ"

        "ไม่ช...."

        "ไม่ใช่ครับ!!" โทนี่รีบแทรก เพราะรู้ว่ายัยคนข้างๆ ต้องลงท้ายหางเสียงด้วย 'ค่ะ' แน่ๆ

        "งั้นหรือคะ" เธอยิ้มขำในน้ำเสียงจริงจังของเด็กชายตรงหน้า "แล้วมีธุระอะไรที่ต้องจัดการที่สมาคมหรือคะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันสามารถตอบได้ตรงคำถาม ผิดกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พวกท่านเคยเจอมา เพราะดิฉันเป็นคนจริงๆ เหมือนกับท่านลูกค้าทั้งสอง ตัวละครที่ออกแบบมาเพื่อตอบคำถามอย่างละเอียดจะไม่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ค่ะ"

        "พวกผมเพิ่งเคยมาสมาคมผู้กล้าครั้งแรก ที่นี่ไว้สอบถามหรือครับ" โทนี่เป็นฝ่ายถาม ทั้งยังแอบใช้ภาษามือแบบสัมผัสบอกให้มิเชลปิดปากไปเลย

        "ใช่ค่ะ แต่นอกจากการสอบถามแล้วที่นี่ยังใช้รับส่งภารกิจ หรือเป็นตัวกลางในการจ้างวานผู้เล่นด้วยกันได้ด้วย"

        "ภารกิจคืออะไรหรือครับ"

    "เป็นการรับงานจากสมาคมไปทำค่ะ ถ้าทำสำเร็จจะได้รางวัล สามารถดูรายชื่อภารกิจได้จากป้ายประกาศด้านซ้ายมือของดิฉัน ภารกิจไหนที่ทำไปแล้ว จะไม่สามารถทำซ้ำได้อีก สมาคมผู้กล้าเมืองตายายมีทั้งหมดเจ็ดภารกิจให้ทำค่ะ"

        "โทนี่ ภารกิจพวกนี้ให้เงินด้วย!" เธอร้องอย่างตื่นเต้น "ทำกันเถอะๆๆๆ จะได้ไปซื้ออาวุธดีๆ ใช้กัน"

        "ใจเย็นๆ สิ ยังถามพี่เขาไม่จบเลย"

        "ดูแล้วไม่รู้เลยนะคะว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่" เธอหัวเราะคิก "ลืมแนะนำตัวไปสนิท ดิฉันชื่อเจสสิก้า นักเต้นประจำสมาคมผู้กล้าเมืองตายายค่ะ ถ้ามาในเวลากลางคืนอาจจะได้เห็นดิฉันเปลี่ยนหน้าที่ ไปยืนเต้นอยู่บนเวทีฝั่งร้านเหล้านะคะ"

        "คุณเจสสิก้าเต้นด้วย เก่งจัง" มิเชลโพล่งขึ้น

        "ขอบคุณค่ะ และก็นี่ค่ะ คูปองเครื่องดื่มฟรีหนึ่งแก้วสำหรับการเข้ามาในสมาคมผู้กล้าครั้งแรก เครื่องดื่มที่นี่มีราคาถูกจึงไม่สามารถสั่งกลับบ้านได้ เป้าหมายของเราคือต้องการสร้างชุมชนพูดคุยของผู้เล่นในสมาคมผู้กล้าค่ะ" เธอเริ่มหรี่ตาไปทางโทนี่ "และถ้าอายุผู้เล่นไม่ถึงสิบแปดจะไม่สามารถสั่งเครื่องดื่มแฮลกอฮอลได้นะคะ จะขอแนะนำเป็นน้ำพันช์ที่ขึ้นชื่อของเราแทน"

        ทั้งคู่รับคูปอง และเลือกสั่งน้ำพันช์มาคนละแก้ว มิเชลลองเอ่ยปากขอเหล้าดู แต่บริกรหญิงเล่นประกาศเสียงดังว่าอายุไม่ถึง ทำเอาคนรอบข้างที่ได้ฟังฮาครืน เพราะตัวละครของเธอดูแล้วเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ แถมดันหล่อกระชากใจ ทำเอาสาวๆ หลายคนต้องเดาะลิ้นเสียดาย

        ทั้งคู่วิ่งไล่ทำภารกิจส่งของในเมืองเกือบหมด ช่วยกันสะสมเงินได้คนละสี่ร้อยเหรียญ กับน้ำยาฟื้นพลังขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาใช้ความสามารถในการจำรายละเอียดที่เหมือนปีศาจของโทนี่ เลยจบงานเร็ว เจสสิก้าทึ่งจนพูดเสียงหวานชมพวกเขาไม่หยุด เธอเป็นคนสวยหุ่นนางแบบ แค่เวลาซอกคอเรียวระหงเจ้าหล่อนขยับมาใกล้ มิเชลก็รู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงของผู้ชายในร้านเป็นระยะๆ

        "ที่จริงมิเชลเป็นผู้หญิงนะ... ต้องเขม่นโทนี่สิถึงจะถูก" มิเชลบ่นกับตัวเอง

        ภารกิจสุดท้ายที่เจสสิก้ามอบค่อยสมกับเป็นเกมต่อสู้หน่อย พวกเขาต้องไปฆ่าราชาสัตว์อสูรตัวหนึ่ง แล้วเอาหางมันกลับมา เธอบอกข้อมูลแค่ว่าเจ้าตัวนี้อาศัยอยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำภูเขาไฟสองคูหา และแนะนำให้หาซื้อแผนที่ทวีปตายายไว้ด้วย แต่มันกลับมีราคาสูงถึง 500เหรียญ แม้เจ้าของร้านคะยั้นคะยอให้ซื้อเก็บคนละใบ อย่างไรเงินก็ไม่พอ เลยตกลงรวมตังค์ช่วยกันออกไปก่อน โดยมิเชลจะถือแผนที่เอง ส่วนโทนี่ไม่ต้องเพราะจำได้หมดแล้ว

        ทางเข้าถ้ำภูเขาไฟสองคูหานั้นหาไม่ยาก แค่ลัดเลาะออกจากเมืองตายายขึ้นเหนือ เดินเอียงๆ ขวานิดหน่อย จะเจอฝูงลามะป่ากับทุ่งโล่งและโขดหินใหญ่เป็นแหล่งซ่อนตัว มิเชลกับโทนี่หยุดแวะฆ่าพวกมันกันสักพักเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ก่อนไปต่อ เขาเก็บของที่หล่นจากซากลามะเกือบทุกอย่าง

        ทั้งคู่เก็บกันเพลินเนื่องจากมองทุกอย่างเป็นเงินหมด เป้ความจุ 300 กับสายคาดเอวความจุ 80 จึงเต็มเร็วมาก พวกเขาเลยตัดสินใจย้อนเข้าเมืองไปขายของทิ้งรอบหนึ่ง แล้วค่อยวกกลับมาทางเก่า

        โทนี่เสนอให้ย่างเนื้อลามะกิน เขาอยากลองอย่างอื่นนอกเหนือจากผลไม้บ้าง แต่เด็กทั้งสองดันไม่มีใครทำกับข้าวเป็นซะงั้น ทว่า... มีตรรกะอยู่ข้อหนึ่งบอกไว้ อาหารจะต้องผ่านความร้อน มิเชลเลยเรียกไฟมาเผาเอาดื้อๆ ส่วนนอกจึงไหม้เกรียม ตรงกลางดิบสนิท บริเวณที่สุกกินได้คือชั้นบางๆ ระหว่างชิ้นไหม้กับชิ้นดิบ

        “ก็โอเคล่ะนะ มันยังพอกินได้” โทนี่เปรย พลางเอานิ้วแหวกส่วนที่ดิบออก “แต่เธอไม่เอาน้ำสาดดับไฟได้หรือเปล่า เนื้อมันเปียก”

        “ไฟที่มิเชลร่ายออกไปมันคุมไม่ได้ มันจะลุกไหม้ของมันเองไปเรื่อยๆ คิดๆ ดูแล้ว เวทจุดไฟก็น่าจะเผาตัวมิเชลเองได้เหมือนกัน” เธอใช้กรามฉีกเนื้ออย่างลำบาก “เนื้อเหนียว แล้วก็ไม่อร่อยเลย”

        “คนยุคถ้ำเขาก็กินกันแบบนี้แหละ ฉันว่ามันกินยากไปหน่อย เก็บผลไม้กินเหมือนเดิมดีกว่ามั้ง”

        “แต่โจเซ่เค้าบอกไว้ว่าเนื้อจะอยู่ท้องได้นานกว่าผักผลไม้ ทำให้ไม่ต้องแบกเสบียงเยอะ----- โทนี่ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย... เขาพูดตอนโทนี่หลับน่ะแหละ”

        พวกเขาช่วยกันย่างเนื้อและฉีกเฉพาะส่วนที่สุกกินได้เก็บลงกล่องถนอมอาหารจนเต็ม เด็กๆ ต่างเติมน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ข้างลำธาร หลังล้างมือก็ใช้นิ้วถูลงกับหญ้าเพื่อกลบกลิ่นคาวเนื้อออก จากนั้นค่อยมุ่งหน้าต่อไปตามทิศทางที่แผนที่บอก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

        ถ้ำภูเขาไฟสองคูหานั้นมืดสนิท มองอะไรไม่เห็น พวกเด็กๆหยุดยืนหน้าทางเข้าสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่มิเชลจะวิ่งหายไป และกลับมาพร้อมกับกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือสองอัน ทักษะการคลำทางของคนตาบอดมามีประโยชน์ในเกมเอาตอนนี้นี่เอง

        ช่วงเดินอยู่ในความมืดก็ปลอดภัยดี พวกเขาคอยแกว่งกิ่งไม้ซ้ายทีขวาทีเช็คสิ่งกีดขวางไปเรื่อยๆ แต่ไม่เจอสัตว์อสูรสักตัว พอก้าวจนเจอลำแสงลอดลงจากเพดานถ้ำ ฝูงค้างคาวชุดใหญ่ค่อยบินกรูลงมา เด็กทั้งสองชักมีดขึ้นพร้อมรบ มิเชลชูมือกวาดอาวุธจัดการได้หลายตัว เธอโยกหลบได้ตลอด และยังต้องเข้าไปช่วยโทนี่จากการโดนรุมอยู่หลายครั้ง เด็กชายเริ่มสะกิดใจกับความเร็วระดับลิงค่างของเพื่อนสาว

        ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งสว่างขึ้น แล้วก็ยิ่งเจอสัตว์อสูรโหดขึ้นเรื่อยๆด้วย หลังจัดการฝูงค้าวคาวเสร็จ ทหารโครงกระดูกก็แห่กันมาเป็นกองทัพ พวกมันโจมตีเป็นระบบ พอตัวนึงฟันนำ อีกตัวจะลงดาบตาม โทนี่ได้แต่กลิ้งหนีอยู่บนพื้น หมดโอกาสโต้ตอบอย่างสิ้นเชิง

        มิเชลกำลังกลิ้งอยู่บนพื้นเหมือนกัน แต่เธอทำเพื่อรอจังหวะโต้กลับ เด็กสาวเงื้อมีดจ้วงขาทหารกระดูก แล้วบุกทะลวงพร้อมกับโยกหลบคมอาวุธไปด้วย บางทีก็เอาขาเกี่ยวพวกมันให้ล้ม เปิดช่องให้ตัวเองได้จัดการ และไม่ลืมที่จะหาทางช่วยหนีบโทนี่ออกจากวงล้อมเมื่อสบโอกาส

        เหล่าทหารกระดูกยืนสับสนทุกครั้งที่มีพรรคพวกล้มลง พวกมันจะเริ่มขยับอีกครั้งเมื่อมีตัวใหม่เข้ามายืนประจำตำแหน่งแทนตัวเก่า เธอสังเกตได้... เลยตะโกนบอกจุดอ่อนให้เพื่อนรู้ โทนี่รีบฉวยโอกาสลุกเมื่อเห็นว่ากองทัพสัตว์อสูรกำลังเป็นอัมพาต พอรู้จังหวะ ทั้งคู่จึงช่วยกันรุมซ้ำจนหมดเกลี้ยง

        หลังจบจากกองทหารกระดูก ก้าวไปยังบริเวณใหม่ไม่ทันไร ก็มาเจอกับตุ่นไฟ มิเชลเมื่อยแขนเต็มทีแล้ว โทนี่พยายามเป็นทัพหน้าบ้าง มือของเขาถือดาบกับโล่ที่หยิบจากศพกองทหารกระดูกขึ้นแกว่งรอบทิศ ตั้งใจเปิดฉากให้เพื่อนได้มีเวลาพักเหนื่อย

        ตุ่นไฟมีขนาดตัวเล็กแค่หัวเข่า และยิ่งได้เห็นองศาการก้มของโทนี่ที่น้อยกว่ากันหลายเท่า มิเชลก็ยิ่งอยากถอนเวทดอกไม้จงบานกลับคืนสู่ร่างเดิมเหลือเกิน แขนขายาวๆ ทำให้เก้งก้าง เธอรู้สึกเกะกะมันมาก เด็กสาวพยายามเปลี่ยนไปใช้เวทสู้แทน ทว่า... พลันร่ายเวทจุดไฟ พวกมันก็กลืนลงท้องเสมือนอาหาร พอสาดน้ำใส่ เจ้าสัตว์อสูรจิ๋วกลับทำท่าสดชื่น เด็กสาวต้องพับเวทเก็บไว้ แล้วใช้มีดฟันแทงอย่างเก่า ส่วนโทนี่สถานการณ์ไม่สู้ดี เขาซดน้ำยาฟื้นพลังรัวมาก

        “โทนี่! ไปอยู่ข้างหลังมิเชล... ไม่งั้นโทนี่ตายแน่นอน!” เธอแน่ใจในคำพูดตัวเองสุดๆ เพราะจากการแอบไล่นับจำนวนยาฟื้นพลังที่โทนี่กิน มันก็เกือบหมดกระเป๋าแล้ว

        “แต่...” เด็กชายรู้กำลังตัวเอง ติดแค่ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายค้ำคอ เขาไม่กล้าถอยระหว่างเพื่อนผู้หญิงลุยเป็นกองทัพหน้า

        “ถ้าโทนี่ตาย มิเชลก็กลับออกไปไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่รู้ทางกลับ!” เธอร้อง

        การเดินในถ้ำมืดไม่ใช่เส้นตรง มันมีกิ่งก้านสาขาน้อยใหญ่แตกออกไปตลอด ทั้งสองอาศัยแค่ว่าเจอทางตันเมื่อไหร่ ค่อยย้อนกลับมาทางแยกแล้วเลือกถนนอีกสายแทน ถ้าหากขาดหน่วยความจำระดับปีศาจของโทนี่ คงต้องหลงทางแน่นอน

        พอยกเรื่องหลงทางมาเป็นตัวประกัน โทนี่จึงยอมถอยกลับไปยืนแนวหลัง เขาหยิบน้ำยาฟื้นพลังส่วนของตัวเองเตรียมไว้ในมือ ตั้งใจรอสนับสนุนเต็มที่ ส่วนมิเชลไล่ฆ่าสัตว์อสูรต่อเนื่อง เธอใช้เวลานานเพราะขนาดตัวมันเล็กจนเล็งยาก แต่สุดท้ายก็สามารถจัดการตุ่นไฟได้หมดฝูง เด็กสาวปล่อยกายตนหล่นลงพื้น นอนกางแขนแผ่ขาหมดสภาพ

        มิเชลเรียกเวทดอกไม้จงบานลงที่ตัวเอง แต่ความเหนื่อยล้ากลับไม่หาย เธอลองใช้มันอีกทีใส่ผู้ร่วมทาง ตั้งใจรอดูปฏิกิริยาว่าทักษะนี้ได้ผลไหม ทว่าเขาดันปั้นหน้าเดิมค้างและเหม่อลอยผิดวิสัย มิเชลรู้ดีว่าเพราะอะไร... ตั้งแต่เจอสัตว์อสูรตัวแรกโทนี่เป็นเหมือนตัวถ่วง แม้เพื่อนกันไม่ถือสา แต่ผู้ชายย่อมคิดมากในเรื่องนี้

        พักกันได้แปบๆ เด็กสาวก็รีบสะกิดให้เดินต่อก่อนสัตว์อสูรชุดใหม่โผล่ ในใจนึกสงสัยถึงปริมาณน้ำยาฟื้นพลังที่เหลือของเพื่อนแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม มิเชลอยากแบ่งส่วนของตนให้เพราะหากโดนรุมอีก โทนี่มีสิทธิตายจริงๆ และตัวเธอคงต้องหลงทางจนเหนื่อยตายตามไปอย่างไร้ข้อกังขา

        แต่เมื่ออารมณ์เพื่อนแบบนี้ ขืนบอกยกยาฟื้นพลังให้คงยิ่งหดหู่หนัก เธอเลยต้องปิดปากเงียบ ก้าวเท้าเดินต่อ แอบหวังว่าถึงกำลังเหม่อลอย ก็คงช่วยจำทางในถ้ำอยู่.... พวกเขาโดนสัตว์อสูรโหมบุกตลอดเส้นทาง มิเชลเริ่มรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้จัดการง่าย แค่ต้องเหนื่อยหลบเพราะดันชอบแห่มาเป็นฝูงใหญ่ แล้วไอเทมที่หล่นจากมันก็เยอะดี ยิ่งมีบทเรียนเก่าเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยติดนิสัยต้องเก็บทุกอย่างลงกระเป๋า

        ดูเหมือนโทนี่จะคิดต่างกันว่าสัตว์อสูรโหดนรกเพราะผจญอยู่กับศึกหนักทุกรอบ แม้คอยมองท่วงท่ามิเชลแล้วเลียนแบบ แต่ทำไม่ได้เลย เขามืดมนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเปลี่ยนไปเดินซึมข้างหลัง ตั้งใจเลิกเกะกะการต่อสู้แทน เด็กสาวทนสภาพนี้ไม่ไหว ขืนเจอศัตรูตึงมือ แล้วเพื่อนดันคิดเอาเองว่าเธอจัดการคนเดียวได้... ตายแน่...! แค่นี้ก็เหนื่อยแทบล้มแล้ว แถมเปลี่ยนใช้ดาบกับโล่ของทหารโครงกระดูกไม่ได้อีกเนื่องจากอาชีพนักเวท

        "กินข้าวกันเถอะ" เธอเรียกพร้อมกับล้วงกล่องถนอมอาหารออกมา "สังเกตนานแล้วว่าตรงส่วนมืดๆ ของถ้ำจะไม่มีสัตว์อสูรโผล่ เราไปกินกันในมุมมืดนั้นกัน"

        "อืม" เขาหยิบกล่องข้าวเดินตามเธอ

        เด็กทั้งสองจะอยู่ในมุมมืดสนิทแค่ไหนพวกเขาก็สามารถจับเนื้อลามะลงปากตรงเป้า เพราะชีวิตจริงต่างต้องกินแบบคลำๆ เอาเหมือนกัน มิเชลเคี้ยวไปพร้อมนึกหาจังหวะเหมาะๆ ในการเริ่มพูด

        "เรามาแบ่งงานตอนสู้กัน มิเชลจะลงมีดแรก พอมันเซแล้วโทนี่รีบเอาดาบจัดการ ถ้าต้องใช้มีดสั้นฟันจนมันตาย แขนมิเชลต้องหลุดก่อนได้ออกจากถ้ำชัวร์" เธอสะบัดแขนให้ดู "ดาบทหารโครงกระดูกที่โทนี่ใช้มีพลังโจมตีสูงกว่าเยอะ มีดสั้นมันโจมตีได้เบามาก มิเชลจะทำให้มันเสียจังหวะอย่างเดียวพอ"

        "อืม" เขารับคำ น้ำเสียงกระตือรือร้นเพิ่มเล็กน้อย

        จากนั้นการจับคู่สู้จึงราบรื่นขึ้น เธอเน้นฟันขาของศัตรู แล้วถีบส่งมันไปตายใต้วงดาบเพื่อน โทนี่มีกำลังใจเพิ่ม แถมมิเชลไม่ต้องทนเมื่อยแขนด้วย ถ้าตัวไหนที่ถูกทำให้เสียหลักกำลังตั้งต้นใหม่ได้ เด็กสาวจะรีบซ้ำอีกที

        ยิ่งสู้ มิเชลยิ่งคล่อง บางทีก็รู้สึกเหมือนกำลังกระโดดเต้นอยู่โดยมองภาพต่างๆ ผ่านไป ตัวเธอเป็นเหมือนสายลมคอยลอดซ่อกแซ่กตามช่องว่าง ขอเพียงมีพื้นที่ นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มสามารถไถลร่างเข้าได้หมด ขนาดเจ้าตัวยังนึกแปลกใจกับความไหลลื่นมากเกินปกติของตน

        ทางในถ้ำวกวน มีจุดมืดและสว่างสลับกัน สัตว์อสูรที่โผล่ก็ชักมากหน้าหลายตาจนเธอเริ่มจะลืมหน้าตาของตัวแรกสุดเสียแล้ว พวกเขาลุยจนไปหยุดหน้าประตูหินบานใหญ่สองอัน ฝั่งซ้ายสีแดง ด้านขวาสีเขียว มีป้ายเขียนกำกับไว้ข้างบน

        ขอแสดงความยินดีในการพิชิตถ้ำภูเขาไฟสองคูหา ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่ารออยู่หลังประตูแดง สำหรับผู้ไม่พร้อมกรุณาเลือกประตูเขียวซึ่งเป็นทางลัดออกจากถ้ำ

        "ก็ต้องประตูแดงสิ ไม่อยากกลับเข้ามาใหม่แล้ว" เด็กสาวร้อง เธอยกมือขึ้นจะผลักประตูหินสีแดง แต่โดนโทนี่ดึงไว้ก่อน

        "เดี๋ยว พวกเราจะไม่เตรียมพร้อมอะไรกันหน่อยเลยหรือไง"

        "ก็จริง... ตอนนี้โทนี่มีน้ำยาฟื้นพลังอยู่เท่าไหร่" เธอคิดว่าเป็นจังหวะเหมาะที่ควรถามแล้ว

        "น้ำยาเล็ก 2ขวด น้ำยาใหญ่ 3ขวด"

        "งั้นตอนนี้โทนี่ก็มี 32ขวด กับ 13ขวดล่ะ" เธอผลักส่วนของตัวเองทั้งหมดให้ "ถ้ากระเป๋าเต็มยัดยาเพิ่มไม่ลงก็เอาของอย่างอื่นมาไว้ที่มิเชล"

        "นี่เธอยังไม่ได้เปิดใช้เลยสักขวดจริงน่ะ..." เขารับมันไว้ในมือ ตาหันไปนับจำนวนยา กับมองค่าเลือดมิเชลจากหน้าต่างกลุ่ม เธอยังไม่เสียเลือดสักหยด.... "จะไม่พกไว้หน่อยรึไง เรากำลังจะไปสู้หัวหน้าใหญ่ของถ้ำนี้นะ ยังไงก็เผื่อไว้ก่อน"

        "โทนี่ต้องเป็นคนใช้ยาให้มิเชลไง มิเชลจะเป็นตัวล่อวิ่งวนทำให้มันเสียจังหวะเหมือนเดิม"

        สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน จะสามารถใช้น้ำยาฟื้นพลังแทนกันได้ เธอจึงมอบหมายงานนี้ให้เด็กชายผู้อยู่กองหลังไปเลย

        "ถึงเธอจะเร็วมากแต่วิ่งๆ แล้วก็ระวังด้วยละกัน เพราะในฐานะของคนเคยเจ็บตัว ขอบอกว่า มันเจ็บโคตรๆ เลย"

        เธอหัวเราะยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนทีนึงแล้วผลักประตูบานสีแดงเข้าไป "ถ้ามิเชลผลักผิดบานจะเป็นยังไงเนี่ย"

        "ฉันจำทางได้ รอบหน้าเราจะใช้เวลาอยู่ที่หนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง ไม่สิ...ถ้าดูจากการเข้าคู่ของพวกเราช่วงครึ่งหลังนี้ ชั่วโมงเดียวก็มาถึงแล้ว"

        พอเข้าไปข้างใน ถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างหนัก ปรากฏเงาดำขนาดมหึมาคร่อมตัวพวกเขา เธอยังคิดอะไรไม่ทัน แต่เพราะเด็กชายตะโกนบอกให้มองขึ้น ทั้งคู่เลยโดดหลบไปข้างๆ

        “ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าเลเวล 30 ปรากฏตัว ผู้ที่โดนหมาป่าคิเมร่าสังหารจะถูกหักเงินหมดกระเป๋า”

        “หักเงินหมด? ไม่ตลกเลยนะ” มิเชลประท้วงใส่อากาศ เพราะนั่นคือแรงกายแรงใจทั้งหมดของเธอตั้งแต่เข้าเกมมา!

        ราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าหล่นมายืนสี่ขาตระหง่านตรงหน้า มันชูคอแยกเขี้ยวคำรามก้องก่อนกระโจนใส่พวกเขา หางอันเป็นเป้าหมายภารกิจมีลักษณะเหมือนหางสิงโตกำลังสะบัดไปมา เด็กสาวเอาเท้ายันเพื่อนให้กระเด็นออกห่างพร้อมกับกลิ้งหลบการโจมตี มิเชลตะโกนห้ามโทนี่เข้าใกล้บริเวณอันตรายจนกว่าเธอจะถือไพ่เหนือกว่าได้

        เด็กชายหยิบโล่กับดาบขึ้นเตรียม แต่ไม่เข้าไปร่วมวงตะลุมบอนตามคำเพื่อน ความตะขิดตะควงในฐานะผู้ชายยังมี ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาถือศักดิ์ศรี และเขาต้องทำหน้าที่ของตัวเอง

        ภายในห้อง... ด้านหลังประตูสีแดงค่อนข้างมืดสลัว มีคบไฟแค่ 4อัน ณ มุมทั้งสี่ ถ้าไม่เพราะเสียงคำรามฮื่อแฮ่ ก็คงหาตำแหน่งมันลำบาก ห้องนี้นับว่าแคบสำหรับราชาสัตว์อสูร แต่กว้างเมื่อเทียบกับขนาดตัวผู้เล่น พวกเขาต้องออกแรงวิ่งหลายสิบก้าว ในขณะที่หมาป่ายักษ์กระโดดแค่ครั้งเดียวถึง

        มิเชลเล็งขาของศัตรูเหมือนอย่างเคย แต่พอฟันโดน เท้าเจ้าหมาป่าก็ยังเกาะพื้นอย่างมั่นคง ต่างจากบรรดาสัตว์อสูรข้างนอกที่จะเสียหลักเอาง่ายๆ มีดสั้นใช้โจมตีได้แค่ครั้งละสิบกว่าแต้มเท่านั้น เธอลองจุดไฟใส่หลายครั้งจนค่าพลังเวทหมดแต่ปรากฏว่าเปล่าประโยชน์ นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มไม่สามารถทำให้มันติดสถานะลุกไหม้ได้เลย

        “เราตัดแต่หาง... แล้วเอาไปให้สมาคมผู้กล้าอย่างเดียวได้ไหมเนี่ย!!” เสียงเธอขาดเป็นช่วงเพราะความเหนื่อย

        จากตอนแรก... มนุษย์กับราชาสัตว์อสูรผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทั้งสองฝั่งสู้ยิบตาไล่รุกต้อนศัตรูอย่างดุเดือด ท่วงท่า พลังเวท มีเท่าไหร่โดนงัดใช้หมด แต่สักพักก็ต้องเปลี่ยนเป็นภาพคนกำลังวิ่งหนีหมายักษ์ไปรอบๆ และโดนล่าอยู่ฝ่ายเดียว

        “ไม่เห็นมีใครเตือนเลยว่าสัตว์อสูรก็ใช้เวทได้เหมือนกัน!” นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มร้อง ข้างหลังมีสายฟ้าลากเป็นเส้นตรงตามมาติดๆ ก้นจวนเจียนจะโดนผ่าอยู่มะรอมมะร่อ แต่เด็กหญิงยังพยายามวิ่งวนให้ห่างจากเพื่อน เพราะขืนมันเบนความสนใจไปที่โทนี่ คงได้ชวนกันตายหมู่ อย่างน้อยๆ เขาก็ถือน้ำยาฟื้นพลังของกลุ่มไว้ทั้งหมดนะ!

        เด็กชายลุ้นตัวโก่งเพราะห่วงเพื่อน แต่แค่มองก็พอรู้อยู่แก่ใจว่าฉากต่อสู้เบื้องหน้าระดับสูงมาก ให้ร่วมลุยด้วยคงเป็นการช่วยผิดวิธี โทนี่เร่งรื้อกระเป๋าไอเทมหาหนทาง พลางนึกโทษตนเองที่ไม่ยอมจัดของก่อนลงศึกใหม่

        มิเชลล้มตัวกลิ้งหนีเวทสายฟ้า เด็กสาวหาจังหวะลุกขึ้นไม่ได้เพราะหมาป่าคิเมร่ามีขนาดตัวใหญ่มาก แค่หนึ่งก้าวของมันเธอก็กลิ้งได้ตั้งสิบตลบ ฉะนั้นแค่กลิ้งหนีจึงเต็มที่แล้ว

        "มิเชล!! มาทางฉันเดี๋ยวนี้ จะโยนไอเทมให้ เธอกับเจ้าหมานั่นขยับกันเร็วมากจนฉันไม่รู้จะโยนให้ยังไงดี" เด็กชายเรียกพร้อมกับเขย่าน้ำยาหลอดสีเขียวในมือ

        "โทนี่ก็ใช้น้ำยาให้มิเชลไปเลยซี่! กลุ่มเดียวกันโยนน้ำยาใส่กันได้ไม่ใช่หรือไง!"

        "ไม่ใช่! ฉันลองแล้วมันไม่ได้ น้ำยาที่โยนใช้ให้กันได้มีแต่น้ำยาฟื้นพลัง เธอต้องมารับขวดนี้ไป!"

        "ก็ได้! แต่ถามมันเอาเองนะว่าเมื่อไหร่มันจะยอมให้ไปรับน้ำยาจากทางโทนี่!"

        หมาป่ายักษ์วิ่งเบียดปิดทางไปหาโทนี่เลยต้องกลิ้งออกห่างอย่างช่วยไม่ได้ แขนขาที่ไถอยู่กับพื้นนานๆ ชักจะระบมขึ้นมา เธอสาดน้ำใส่หน้าราชาสัตว์อสูร แล้วรีบฉวยโอกาสคลานลอดใต้ขามันเพื่อเข้าใกล้เพื่อนโดยไว

        "เจ๋งมาก ฉันจะโยนไปล่ะ" โทนี่เขวี้ยงน้ำยาขวดเขียวให้กลิ้งมากับพื้น

        มิเชลคว้าไว้

        "ช่วยรีบกินมันทั้งหมดทันที โดยไม่ต้องถามอะไรเลย" โทนี่กลิ้งน้ำยาไปให้เพิ่ม มีทั้งขวดสีแดง.. เหลือง... ดำ

        "นี่~! มิเชลมีสองมือ! แถมยังมีหมายักษ์ไล่ฆ่าอยู่ด้วย!... จะให้กินทั้งหมดมัน..." มิเชลเอามือควานไปโอบขวดน้ำยาทั้งสี่ เธอยังคงพะวงหลังเพราะกลัวราชาสัตว์อสูรตามหลังมาอีกครั้ง ทว่า... พอมองกลับไป สีหน้าเธอซีดขึ้นกว่าเดิม...

        โทนี่ยกดาบฟันราชาสัตว์อสูรหมาป่าคิเมร่าจากด้านหลัง เขายืนรอจนแน่ใจว่ามันเล็งเขาเป็นเป้าหมายแล้วค่อยวิ่งหนี พอเห็นว่าเพื่อนสาวยังจ้องตาค้าง น้ำยาไม่แตะ ก็เลยต้องหันไปว้ากใส่ "บอกว่าให้รีบๆ กินไงเล่า! ฉันถ่วงเวลาแล้ว รีบกินเดี๋ยวนี้เลย!"

        มิเชลเปิดจุกขวดทั้งสี่แล้วยกดื่มพร้อมกันหมด รสเปรี้ยวหวานปนเปผสมอยู่ในปาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่ลองชิมน้ำยาของเกม พลางแอบนึกว่าหากค่อยๆ ละเลียดกินทีละหลอดคงอร่อยกว่านี้ เด็กสาวรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจึงลองหันกลับไปสู้ดู.... ร่างกายเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น... กำลังแขนหนักกว่าเก่า แถมยังมีออร่าสีดำกระจายคลุมอยู่รอบอาวุธที่ถือ

        มิเชลกระโดดตอดเลือดหมาป่ายักษ์ไปมา มีดของเธอฟันเข้าได้หนักกว่าเก่า กระทั่งความเร็ว กำลังกายก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า คงเพราะผลจากน้ำยาที่โทนี่ให้ นักเวทสาวลองเรียกเวทจุดไฟอีกครั้ง แต่ยังไม่เกิดผลอยู่ดีจึงต้องใช้อาวุธเดิมต่อ

        "ควันดำๆ นี่มันอะไรน่ะ รู้สึกไม่ดีเลย!" มิเชลอดโพล่งถามไม่ได้ เธอรู้สึกขยะแขยงหมอกสีดำรอบปลายมีดตน

        "หลอดสีดำตะกี้ทำให้ศัตรูพลังป้องกันลดลงห้านาที" โทนี่ตอบพร้อมกับเงื้อดาบฟาด ตั้งใจใช้เวลาห้านาทีให้คุ้มค่าที่สุด "อันอื่นเป็นพวกน้ำยาเร่งความเร็ว เพิ่มพลังโจมตี พลังป้องกันให้ผู้ใช้ ทุกอย่างมีผลห้านาทีหมด"

        ลดพลังป้องกันศัตรู.. เพิ่มกำลังกับความไวผู้ใช้.. มิน่าเธอถึงรู้สึกตัวเบาขึ้น และยังเร็วกว่ามันก้าวหนึ่งด้วย จากที่เคยโจมตีเข้าทีละสิบกว่าแต้ม ก็ขึ้นมากลายเป็นร้อยกว่าๆ ราชาสัตว์อสูรคิเมร่าปล่อยฟ้าผ่าลงมากลางวง แต่รอบนี้มิเชลสามารถอุ้มโทนี่หลบไปพร้อมกันได้

        "เกาะดีๆ พะยะค่ะ เจ้าหญิงโทนี่" เธอหยอก

        "อะไรของเธอ"

        "ไว้จะหาการ์ตูนที่มีฉากอัศวินช่วยเจ้าหญิงให้เปรียบเทียบดู"

        "ขอบใจ แต่ไม่ต้อง" เขาไม่รู้ว่าฉากช่วยเจ้าหญิงมีหน้าตาแบบไหน แต่ก็พอเดาได้จากปฏิกิริยายียวนล่ะ

        เด็กสาวเหวี่ยงเพื่อนออกไปห่างสัตว์ร้ายประมาณสามเมตร ตั้งใจว่าโทนี่จะได้มีเวลาลุกยืนตั้งตัวก่อนลงมาร่วมวงไพบูลย์ใหม่

        "เบาๆ หน่อยก็ได้... อัศวินเขาไม่จับเจ้าหญิงทุ่มหลังจากเพิ่งอุ้มหรอก..." เขาโอดครวญ

        "ก็อยากปล่อยลงดีๆ นะ แต่เจ้าตัวข้างหลังมันยอมให้มีเวลาได้ทำแบบนั้นซะที่ไหน!" เธอตะโกน ฟัน แล้วก็คอยหลบไปด้วย สายฟ้าชักจะผ่าถี่ขึ้นเรื่อยๆ

        พอโทนี่ลุกขึ้น ก็มาร่วมด้วยช่วยฟัน เด็กชายวิ่งวนอยู่วงนอก และฟันตอดยามที่ราชันสัตว์อสูรลืมไปว่าอีกคนหาจังหวะลอบกัดอยู่ ถึงเขามีความจำระดับปีศาจ แต่ยังไม่ใช่ความเร็วระดับปีศาจอย่างมิเชลหรือหมาป่าคิเมร่า เลยต้องหลบๆ มุดๆ ให้ประจัญกันซึ่งๆ หน้าคงเป็นการหาเรื่องตายโดยใช่เหตุ

        หลังจากกลิ้งน้ำยาสี่สีทั้งกองไปให้เพื่อน เด็กชายเริ่มนึกสงสัยว่าพลังชีวิตหมาป่ายักษ์เหลือแค่ไหน จำต้องฟันจนถึงพรุ่งนี้เช้าหรือเปล่ามันถึงล้ม? ถ้าแบบนั้นไอเทมคงเกลี้ยงก่อน ตามด้วยมิเชลที่หมดแรงตาย แล้วก็ตัวเขาผู้ไม่เห็นทางรอดแต่แรกแล้ว

        "โทนี่! คิดว่ามันเลือดเท่าไหร่! โทนี่จำตัวเลขที่เด้งบนหัวมันได้หมดนี่นา ทั้งหมดมันเท่าไหร่แล้ว!" ดูเหมือนมิเชลจะคิดตรงกัน เธอรู้สึกว่ากำลังฟันอย่างไร้จุดหมายเพราะเจ้าตัวตรงหน้าไม่ยอมตายสักที

        "ไม่รู้! ตัวเลขน่ะจำได้ แต่ฉันไม่ถูกกับวิชาเลข! ถ้าอยากรู้คงต้องให้ฉันจะไล่ทีละตัว แล้วเธอบวกเอง!"

        "ไม่ต้อง...ก็ได้ แบบนั้น.." มิเชลตอบอย่างหมดแรง... วุ่นขนาดนี้ใครจะมีสมาธิบวกเลขในใจกัน!

        "เดี๋ยวก่อน! ฉันนึกอะไรออกล่ะ" พูดจบ โทนี่ก็ถอยออกจากระยะต่อสู้เพื่อรื้อกระเป๋าอีกรอบ มือล้วงแว่นขยายขึ้นมา "เจ้านี่อาจจะใช้ดูเลือดที่เหลืออยู่ได้ ทำไมฉันลืมคิดไปนะ!"

        เขาลองยกขึ้นส่อง มองราชาสัตว์อสูรผ่านเลนส์ แต่ยังไม่เกิดผลจึงค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปทีละเก้า ตายังจ้องหมาป่ายักษ์ผ่านแว่นขยายตลอด "ใช่เลย!"

        เสียง ‘ปุ้ง’ ที่คุ้นหูดังขึ้น หน้าต่างข้อมูลชุดเล็กลอยเด้งเหนือหัว ยังไม่ทันได้อ่าน เด็กชายก็ถูกเพื่อนผลักกระเด็นอีกรอบ เธอรีบอธิบายต่อสายตาค้อนๆ ว่าเมื่อกี้ราชาสัตว์อสูรเฉียดจะตะปบใส่ท้องเขาแล้ว

        น่ายินดีที่เลือดของมันเหลือต่ำกว่าหนึ่งในสาม อย่างน้อยการต่อสู้คงได้จบคืนนี้ พอดูข้อมูลเสร็จ โทนี่ก็ร่วมโจมตีด้วย และเมื่อรู้ว่าเป้าหมายอีกไม่ไกล เด็กทั้งสองต่างมีกำลังใจฮึดสู้มากกว่าเดิม

        หน้าต่างข้อมูลหมาป่าคิเมร่าลอยตามโทนี่ และดูได้แค่คนส่องคนเดียว มิเชลจะเห็นเพียงรหัสอักขระรูปร่างประหลาดเท่านั้น เขาจึงคอยอ่านค่าพลังชีวิตที่เหลือของราชาสัตว์อสูรให้ฟังเรื่อยๆ ดีว่าเด็กสาวสอนตัวหนังสือเพื่อนแล้ว ไม่งั้นเธอคงเป็นฝ่ายใช้แว่นขยาย แล้วพากย์ไป สู้ไป หลบไป นอกจากเหนื่อยยังต้องคอแห้งอีก!

        "แจ๋วมากมิเชล! เลือดมันเหลือแค่แปดพันห้าแล้ว! อะ.. ตอนนี้เหลือแปดพันหนึ่ง... เจ็ดพันเก้า... โอยอ่านไม่ทัน ตัวเลขเปลี่ยนตลอด หกพันสอง... ห้าพันห้า..."

        มิเชลคิดว่า...หากตนเป็นคนอ่านคงไม่เจ็บคอเท่าโทนี่แน่นอน เขาพูดรัวจนลิ้นพันกัน แล้วยังได้ยินเสียงไอค่อกแค่กเพราะน้ำลายติดหลอดลมเป็นของแถม เด็กชายตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระเด็นหลุดออกนอกอก

        พอแอบเหม่อลอยนึกนินทาเพื่อนเลยโดนฟ้าผ่าเต็มๆ ลืมหลบไปหนึ่งที ค่าพลังชีวิตหายวับเกินครึ่ง โทนี่ชะงักก่อนลุกลี้ลุกลนใช้น้ำยาฟื้นพลังให้ เขานึกว่ามิเชลสามารถจบการต่อสู้อย่างไร้บาดแผลจึงไม่ทันตั้งตัว ส่วนเธอยังคงลุยต่อจนเด็กชายร้องว่าเลือดหมาป่าคิเมร่าต่ำกว่าหนึ่งพันแล้ว เด็กทั้งสองหัวใจพองโต เพราะกำลังจะพิชิตราชาสัตว์ร้ายได้ ทว่า.. กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างหลังลงดาบสุดท้าย

        "เลือดมันเหลือ 1! ฟันเลย!" เขาเห็นทั้งมิเชลทั้งหมาป่ายักษ์ยืนค้าง เลยกระโจนเข้าไป หมายฟันดาบสุดท้าย

        "อย่าเข้ามา!" เธอห้าม "อยู่ตรงนั้นเตรียมใช้น้ำยาฟื้นพลังดีกว่า!"

        "ทำไมล่ะ" เขาหยุดยืนตามคำเตือน

        "ฟันไม่เข้า เหมือนมีเกราะคุ้มกันใสๆ"

        “ราชาหมาป่าคิเมร่าถูกไล่ต้อนจนตื่นจากภวังค์” เสียงประกาศดังก้องไปทั่วห้อง “พลังโจมตี เวทมนตร์และความเร็วเพิ่มขึ้น แต่พลังป้องกันลดลง”

        "ทุกอย่างเพิ่มหมด แต่ลดพลังป้องกันให้...ตอนที่เลือดเหลือ หนึ่ง.. เนี่ยนะ!?.. ต่อให้เพิ่มพลังป้องกันขึ้นสิบเท่า แต่เลือดหนึ่งแต้ม เอาปากกัดแทนยังได้เลย" เด็กชายเซ็ง

        "ความเร็วมันเพิ่มขึ้น... โทนี่ห้ามเข้ามาใกล้ล่ะ ถ้าโดนมันกัดตายตอนนี้น่าเสียดายแย่ มิเชลจะจัดการมันเอง"

        "อื้ม.. ระวังด้วย"

        มิเชลคอยสังเกตจากไออุ่นบางๆ ของเกราะป้องกันใส พอมันเลือนหายไปเธอจึงรีบลงมีด ปรากฏว่าราชาสัตว์อสูรรู้จักการหลบเป็นครั้งแรก!... ที่ผ่านมาขนาดโทนี่ยังฟาดโดนได้ง่ายๆ เขาเพียงยืนสู้ระยะประชิดไม่ไหวเพราะหมาป่าคิเมร่าโจมตีเร็วและหนัก

        เธอหลบแล้วฟันกลับ แต่มันก็ทำได้เหมือนกัน จนกลายเป็นการต่อสู้ทุบลม วืดกันไปวืดกันมา เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา สักพักมีตีลังกา กระโดด คลานต่ำ และกลิ้งตัว มิเชลโมโหที่ทำอะไรหมาป่าคิเมร่าไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังเล่นไล่จับอย่างไรอย่างนั้น เพียงแค่ปลายมีดเฉียดนิดเดียว พวกเขาจะชนะแล้วแท้ๆ

        ราชาหมาป่าคิเมร่าถอยกลับไปอยู่ข้างหลังพร้อมยิงสายฟ้าขู่กันเธอไล่ตาม สัตว์ร้ายยกหัวแยกเขี้ยวคำรามเสียงสนั่น แสงสีขาวกระจายบาดตา เด็กสาวรีบถอยออกมาห่างๆ แล้วโวยวายให้เพื่อนหลบอยู่คนละมุมห้อง โทนี่ทำตามหน้าที่ เขาเว้นตัวเองจากระยะโจมตีทั้งหมด ถือน้ำยาฟื้นพลังเตรียมพร้อมไว้

        มิเชลกระโดดโหยงเหยงหลบก้อนสายฟ้ากองโตที่กินอาณาเขตเป็นบริเวณกว้าง แขนโดนเฉี่ยวเล็กน้อยแต่โทนี่ใช้น้ำยาฟื้นพลังให้ทันทีจึงไม่เป็นปัญหา ดูเหมือนราชาหมาป่าพยายามกันเธอไว้ห่างๆ มันไม่รุกไล่เข้ามา แต่กระโดดถอยหลังหนีพร้อมกับยิงเวทไปด้วย

        “มิเชล อย่าหนีมันนะ!” โทนี่ร้องบอก “มันหนีเธออยู่ วิ่งไล่มันไปเลย! มันก็ห่วงเลือดหนึ่งแต้มสุดท้ายของตัวเองเหมือนกัน!”

        “แต่สายฟ้ามันไม่ได้มาเป็นเส้นแล้วอ้ะ... มันโยนโครมลงมาเป็นแหจับปลาเลย!”

        “ลอดตามช่องว่างที่ไม่มีสายฟ้าให้ได้ เธอเร็วพออยู่แล้ว!”

        สิ้นเสียง.. เด็กสาวพุ่งใส่อย่างเอาเป็นเอาตาย คอยโยกหลบซ่อกแซ่กจนเข้าไปคลุกวงในกับมันอีกรอบ ราชาหมาป่าไม่กล้าร่ายสายฟ้าระยะประชิดดังคาด เวทนี้คงผ่าโดนตัวผู้ใช้ได้เหมือนที่เธอสามารถจุดไฟเผาตัวเอง มิเชลกวาดมีดมั่วหวังให้แฉลบโดนบ้าง แต่สัตว์อสูรกลับรอดหมดทุกดาบ

        “ขึ้นหลังมัน ขี่มันให้ได้ ด้านหลังของมันโจมตีเธอไม่ได้” โทนี่ร้องบอกพอเห็นช่อง

        ครึ่งชั่วโมงถัดมา เธอก็ขี่หลังได้ แต่โดนมันเหวี่ยงตลอดจนต้องเกาะ และเกาะลูกเดียว มือซ้ายเกาะ มือขวารั้งมีดไม่อยู่ ร่วงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนขาลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศจากแรงสะบัดของราชาหมาป่า

        “จะตกแล้ววววววว” เธอร้อง มิเชลตอนนี้ไร้อาวุธเลยก้มลงเอาปากกัดเผื่อจะลดเลือดได้ ปรากฏว่าชั้นผิวหนังมันหนา เลยทำความเสียหายให้ราชาหมาป่าไม่ได้เลย เด็กสาวพยายามยื้อราชาหมาป่าไว้เต็มกำลัง

        “ทนไว้นะ ฉันจะโยนมีดไปให้!”

        เจ้าหมาป่ายักษ์วิ่งควบสะบัดศัตรูบนหลังให้ตก แต่เธอย้ำกับตัวเองแล้วว่าถึงตายก็ห้ามปล่อย... มิเชลออกแรงดึงหนังหัวสัตว์อสูรให้ตึงไปทางซ้าย ราชาประจำถ้ำสองคูหาเลยต้องหันขวาอย่างช่วยไม่ได้ มันจึงยังวิ่งตรง ในขณะที่มองขวา... และชนกำแพงเสียงดัง

        น่าเสียดายที่กำแพงไม่ได้ถูกออกแบบให้ลดเลือดสัตว์อสูร เพราะมันแค่ตึงๆ มึนๆ งงทิศ แต่ถือว่าได้ผล มิเชลพยายามดึงบังคับให้หน้าหันไปคนละทางกับด้านหน้า มันพยายามฝืน ดิ้นสะบัดรุนแรง พยายามยกหัวกลับมากัด ซึ่งแน่นอนว่าเธอมีความสามารถพอจะหลบ

        “โทนี่ หยิบดาบขึ้นมา แล้วหาจังหวะแทงเอาเองเลย!” เธอตะโกน “ไม่ต้องโยนมีดให้มิเชลแล้ว โทนี่นั่นแหละแทงเลย..!”

        “หา ฉันเนี่ยนะ..!” เด็กชายทำหน้ามึน เขามองภาพเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงของหมาป่าคิเมร่าแล้วอยากตาย “ไม่มีทางหรอก... เร็วขนาดนั้น”

        “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว โทนี่ต้องแทง! มิเชลกวนจนมันไม่สนใจโทนี่แล้ว ตอนที่มันกำลังขวิดกำแพงนี่แหละ ถึงจะเร็ว แต่ถ้ามันไม่สนใจโทนี่ ก็คงไม่หลบ... ถ้ามันเลือกที่จะหลบโทนี่ก็ฟันไม่โดน”

        โทนี่พยักหน้าหงึกหงัก เขาย่องตอดเข้าไปด้านหลัง แอบเว้นระยะปลอดภัยไว้นิดหน่อย มิเชลชักตาลายเพราะถูกเหวี่ยง แต่พลันเห็นเพื่อนขยับมาใกล้ เลยต้องรั้งสติไว้ เธอออกแรงฝืนดึงให้สัตว์อสูรพุ่งใส่กำแพง ทว่าคราวนี้...ราชาหมาป่ารู้ทัน มันเลิกวิ่งมั่ว แล้วกระโดด... จากนั้นกลับตัวกลางอากาศ ตั้งใจเอาส่วนหลังลงพื้น... เด็กสาวคิดอะไรไม่ออก จึงหันไปมองเพื่อน และเข้าใจความหมายจากภาษามือ

        เธอกำลังจะถูกทับ ดันกลับไม่คิดที่จะขยับปีนหนีไปเกาะข้างๆ ลำตัวสัตว์อสูร... โทนี่รีบรุดไปอยู่ใต้เงาของร่างยักษ์ หันปลายดาบขึ้น ทั้งมิเชล ทั้งหมาป่าคิเมร่าโดนดาบเสียบพร้อมกัน แต่เด็กสาวมีเพื่อนช่วยใช้ยาฟื้นพลังทันที ส่วนราชาแห่งถ้ำสองคูหาไม่มีค่าเลือดเหลือจึงล้มลง

        “ขอแสดงความยินดีในการปราบราชาหมาป่าคิเมร่า ผู้ลงดาบสุดท้ายจะได้รับรอยสักราชาหมาป่าคิเมร่าแห่งถ้ำภูเขาไฟสองคูหา”

        เสียงประกาศจากระบบดังขึ้นพร้อมกับร่างหมาป่าคิเมร่าค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงรางวัลสำหรับผู้ชนะหล่นกองอยู่กับพื้น ที่คาดผมหูหมาป่าสีขาวน่ารัก เนื้อไม่มีเน่า 2ชิ้นใหญ่ เสื้อคลุมขนหมาป่า และหางอันเป็นไอเทมภารกิจ

        “ไม่ยุติธรรมเลย... มิเชลอยากได้รอยสักด้วย!” เธอโวยวาย ขาลุกขึ้นยืน ใช้มือหวีเส้นผมสีดำยาวยุ่งเหยิง มิเชลพยายามจัดทรงให้มันเรียบร้อย “ขอดูรอยสักโทนี่หน่อยสิ มันเป็นแบบไหน”

        “อยู่บนต้นแขนขวาเนี่ย” โทนี่โชว์ มันเป็นรอยสักสีดำล้วน มีรูปร่างขาดๆ แต่เป็นทรงเรขาคณิต ถ้ามองดีๆ ก็พอเห็นเป็นภาพหมาป่าได้เหมือนกัน

        พอเห็นแล้วต้องเปลี่ยนใจ ไม่มีสาวน้อยคนไหนอยากได้รอยสักน่าเกลียดบนตัว แม้ว่า.. สาวน้อยคนนั้นจะอยู่ในร่างชายหนุ่มโตเต็มวัยก็ตาม… มิเชลนึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำมีดหล่นระหว่างสู้ พลาดไปนิดเดียวมันคงมาประดับแขนน้อยๆ ของเธอแล้ว

        ด้านรางวัลนั้น ที่คาดผมน่ารักเป็นของมิเชลโดยปริยายเพราะเธอร้องจะเอา เสื้อคลุมขนหมาป่าโทนี่โดนบังคับจับสวมทับชุดน่าเกลียดตัวเก่า ส่วนเนื้อไม่มีเน่าถูกแบ่งลงกล่องถนอมอาหารคนละกล่อง... ถึงชื่อบอกอยู่ว่าไม่เน่า แต่อย่าเสี่ยงเป็นดีที่สุด

        “ผู้ชายตัวโตๆ กับที่คาดผมหูแมว น่าเกลียดมาก” โทนี่หัวเราะ

        “หูหมาป่าต่างหาก..! เห็นไหมว่ารูปทรงหูมันไม่เหมือนกันนะ หูมันเรียวกว่า” เธอสวมทับบนหัวโดยไม่สนใจเสียงเพื่อน

        “ตุ๊ดตัวใหญ่ชัดๆ เข้าเมืองแล้วขอเหอะ ถอดนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมเดินกับเธอแน่ๆ”

        “งั้นถ้ามิเชลจะสวมตอนนี้ก็อย่าห้ามละกัน เข้าเมืองแล้วมิเชลใส่ไม่ได้นี่นา”

        มิเชลจับๆ ลูบๆ ที่คาดผมเพื่อชื่นชม ในใจนึกบ่นความไม่เข้าใจเด็กผู้หญิงของโทนี่... ของน่ารักสำหรับผู้หญิงไม่จำเป็นต้องใส่แล้วเข้ากับหน้าเสมอสักหน่อย... ขอแค่ชอบก็สวมได้ทั้งนั้นแหละน่า...

        "ข้างหลังรูปปั้นมีอะไรแปลกๆ ด้วยล่ะ" โทนี่เปรย มิเชลเพิ่งเห็นว่าเขากำลังก้มทำอะไรกุกกักอยู่คนเดียว เด็กสาวละความสนใจจากที่คาดผมน่ารัก แล้วรีบตามไปดู

        ภาพวงกลมกับดาวห้าแฉกวางซ้อนบนพื้นหินด้านหลังรูปปั้นราชาหมาป่า มันกำลังเรืองแสงสีฟ้า โทนี่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เขาตั้งใจสำรวจสภาพโดยรอบก่อนทำอะไร พอเพื่อนสาวเข้ามาใกล้ เด็กชายรีบยกแขนขึ้นกั้น เป็นนัยว่าอย่าเพิ่งจับ แต่มองนานแค่ไหนก็ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นร่องรอยบอกใบ้สักนิด มิเชลรอจนเบื่อ เลยแปะมือลงดื้อๆ โทนี่อ้าปากร้องห้ามแต่ช้าไป

        แสงสีฟ้าขึ้นปกคลุมรอบกายมิเชล ร่างของเธอค่อยๆ จางลงจนใสแจ๋ว มองทะลุผ่านได้ แล้วเลือนหายต่อหน้าต่อตา โทนี่เลิกคิดให้มากเรื่อง เขารีบวางมือบนสัญลักษณ์เพื่อไล่ตามเพื่อนทันที เด็กชายรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในพื้นที่มืดสนิท สักพักก็หล่นวูบ ประหนึ่งว่าแรงโน้มถ่วงหยุดทำการชั่วขณะ

        "โทนี่คิดมากเกินไป บางอย่างต้องลงมือทำถึงจะเห็นผล" น้ำเสียงกวนๆ แบบเก่าดังขึ้น มือใหญ่สองข้างแกว่งโบกขึ้นลงตรงหน้าเขา "ดูสิ! พวกเรามาอยู่ที่ทางออกแล้วนะ!"

        มิเชลเงยหน้าคุย แม้ปกติจะมีร่างสูงใหญ่ แต่เพราะนั่งก้นติดพื้นกอดเข่า ระดับศีรษะเธอจึงต่ำกว่าเขา เด็กหญิงกำลังขยำต้นหญ้า นิ้วจับคลึงถูเล่นไปมา ขาค่อยๆ เหยียดออกด้านข้างในท่าสุดสบาย ท้องฟ้ามืดสนิท รอบกายมีสายลมกลางคืนพัดผ่าน สีสัน ความงามของธรรมชาติ และเสียงแมลงได้ช่วยผ่อนคลายอาการตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว โทนี่เผลอล้มกายลง สายตาจ้องดูจุดแสงระยิบระยับกลางอากาศ และพยายามจำแนกกลุ่มดาวที่เคยอ่านจากตำราเรียน

        "นั่นคือดาว" เธอเริ่มสอนเพื่อนอีกครั้ง

        "ฉันพอจะดูออก"

    "งั้นก้อนกลมๆ ที่เปล่งประกายใหญ่ที่สุดตรงนั้นคือ..."

        "พระจันทร์" โทนี่ตอบอย่างมั่นใจ

        "ผิด! หลอดไฟยักษ์ตะหาก"

        "แล้วหลอดไฟไปทำอะไรอยู่บนนั้น"

        "คนทำเกมเขาคงเอามาขึงเพิ่มความสว่างล่ะมั้ง จะได้ผจญภัยตอนกลางคืนต่อได้" เธอหัวเราะ

        "ถึงฉันไม่เคยเห็นของพวกนี้ แต่ฉันมีสติพอที่เลือกเชื่อตัวเองมากกว่าเธอ"

        "ว้า..." มิเชลเซ็งที่หลอกเพื่อนไม่สำเร็จ เธอยกกำไลขึ้นมากดดูเวลาของโลกแห่งความเป็นจริง ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว นั่นหมายถึงไม่เกินห้าชั่วโมงในเกมจะเป็นเวลานอน

        เมื่อพักหายเหนื่อยเด็กทั้งสองจึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับเมือง พวกเขาลากขาช้าๆ ชิมบรรยากาศกลางคืนเย็นๆ ประดับแสงดาวตลอดเส้นทาง ....ด้วยเลเวลที่สูงขึ้น สัตว์อสูรรอบข้างจึงเว้นระยะไว้ให้เดินเล่นสบายๆ อีกต่างหาก ปกติมิเชลสามารถเลือกเสียงและพื้นหลังของห้องทุ่งดอกไม้ในวิช่วลเวิร์ลได้ตามใจชอบ แต่การอยู่กับเพื่อนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวทัศน์บางอย่าง พอมีคนร่วมทอดสายตา ร่วมชื่นชมด้วยกัน อะไรๆ ก็สวย มีเสน่ห์น่าดูซะหมด

        ระหว่างเดินโทนี่ก้มเงยอยู่สองมุม มุมบนฟ้ากับมุมหน้าตรง บางทีก็หันซ้ายขวา เมินทั้งผู้ร่วมทางและวิวกลางคืน แม้สายตาคอยหันมองภาพรอบตัว แต่ก็เหมือนใจลอยไปที่หนึ่งๆ กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวคนเดียว มิเชลคิดเอาเองว่าเพราะเขายังเข้าไม่ถึงคำว่าสวยงามจึงเป็นแบบนี้

        เดินอยู่ยี่สิบนาทีก็มาถึงเขตทุ่งหญ้าหน้าเมือง พวกเขาเริ่มเห็นฝูงผู้เล่นจับกลุ่มเก็บเลเวล โดยมากสวมเครื่องแต่งกายคล้ายๆ กันคือชุดเสื้อกล้ามเริ่มต้นกับมีดสั้น มีเพียงไม่กี่คนใช้ดาบยาวหรือถือไม้เท้านักเวท ประตูเมืองที่เคยเปิดอ้าทั้งสองบาน พอถึงเวลากลางคืนกลับแง้มๆ เหลือไว้บานเดียว และจากคุณยามถือหอกเล่มยาวสูงถึงหัว ยืนขาตรงเคร่งวินัย ดันเปลี่ยนไปนั่งสัปหงกในป้อม ทำเอามิเชลแอบขำพร้อมสะกิดชี้ให้เพื่อนดู เหมือนเป็นมุขตลกเล็กๆ ของเกม

        ก่อนเข้าเมืองโทนี่ทำเสียงดุให้ถอดที่คาดผมออก และเธอก็ทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก บรรยากาศยามดึกมีคบไฟจุดสลัวๆ อยู่ทุกมุมบนถนนเส้นหลัก พวกเขาตั้งใจขายของทิ้งก่อน แต่พ่อค้ารับซื้อขยะดันปิดในเวลากลางคืน จึงต้องเดินเลยไปร้านเหล้า เพื่อส่งมอบไอเทมภารกิจแทน

        ในร้านเฮฮากว่าปกติ เป็นเพราะเจสสิก้า กำลังทำงานอยู่บนเวที เธอส่ายสะโพก สะบัดผ้า จีบไม้มือเต้นในท่าสุดเซ็กซี่ คนเล่นเกมส่วนมากรู้จักสนิทสนมกับเธอที่เป็นทั้งคนคอยตอบคำถามทั้งคนมอบภารกิจ เหล่าลูกค้าจึงช่วยกันส่งเสียงเชียร์ดังลั่น ส่วนเคาน์เตอร์ภารกิจนั้น กลับมีชายหนุ่มหน้าจืด ส่วนสูงปานกลาง แต่งชุดพนักงานเสิร์ฟยืนประจำอยู่แทน

        "สวัสดีครับ ถ้าเป็นเรื่องของภารกิจต้องรอเจสสิก้าเสร็จงานส่วนนั้นก่อนนะครับ ผมมีหน้าที่แค่ตอบคำถามเท่านั้น" เขาชิงพูดขึ้นก่อน และยิ้มให้อย่างสุภาพ

        "นานหรือเปล่าค..ครับ" มิเชลถูกโทนี่บีบแขนเตือนให้รู้ว่าต้องใช้ภาษาผู้ชาย

        "แปปเดียวครับ เจสสิก้าจะเต้นทีละยี่สิบนาทีทุกๆ สามชั่วโมง รออีกสักพักก็จะเสร็จแล้วครับ นั่งชมนักเต้นประจำร้านของเราไปก่อนสิครับ เธอแจ๋วที่สุดแล้ว"

        เสียงเครื่องประดับบนข้อเท้าของเจสสิก้าดังกรุ๊งกริ๊งคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสสิค เธอร่ายรำในสไตล์อินเดีย ทำตัวอ่อนงอ จีบมือสะบัดรวดเร็ว ท่วงท่าร้อนแรงพร้อมกับจังหวะเพลงที่เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า มิเชลมองอย่างชื่นชม นึกฝันอยากเต้นได้เท่แบบนี้บ้าง กระทั่งโทนี่ยังเผลอจ้อง แต่จ้องคนละตำแหน่งกับเพื่อนสาว เพราะสะโพก หน้าอกมันเด้งขึ้นลงจนไม่รู้ว่าต้องเอาตาวางไว้ไหนดี

        "สุดยอดไปเลย" มิเชลตบมือรัวๆ หลังจบการแสดง "โทนี่เห็นตะกี้ไหม ตอนที่เจสสิก้าจีบมือค้างไว้บนหัวแล้วหมุนตัวทันที ท่าเมื่อกี้สวยมากเลย"

        "อ..อือ เห็น" โทนี่ถูกสะกิดให้หลุดจากภวังค์หน้าอกกับก้น ตั้งแต่เข้าเกมมา เขาไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรสวยไปกว่ากัน ทุกอย่างเป็นของใหม่สำหรับดวงตาเขาหมด เลยแอบนึกแปลกใจกับตัวเองที่ถูกปลุกสัญชาติญาณเด็กหนุ่มด้วยภาพได้

        ซึ่งจริงๆ แล้ว... เป็นเพราะเขากำลังอยู่ในเกม ระบบของเจสสิก้าถูกตั้งค่าไว้ให้กระตุ้นสารฟีโรโมนในสมองยามเต้นรำ ขอเพียงเป็นเพศชายที่เข้าสู่วัยรุ่น จะต้องหลงเสน่ห์เธอกันหมด ส่วนมิเชลที่เป็นหญิงจึงไม่เกิดผลกระทบใดๆ

        "คุณนักเดินทางตัวน้อย กับคุณนักเดินทางตัวใหญ่ที่อายุไม่ถึงเกณฑ์กินเหล้า เจสสิก้าพร้อมให้บริการแล้วค่ะ" เธอเรียกพร้อมกับส่งยิ้มหวาน ส่วนพนักงานชั่วคราวถอยหลบฉากไปข้างๆ

        "พวกผมมารับรางวัลภารกิจครับ" โทนี่วางหางหมาป่าคิเมร่าแหมะลงบนเคาน์เตอร์

        "เอ๋... เร็วจังเลยนะคะ พวกคุณทั้งสองได้รวมกลุ่มกับคนอืนมาหรือคะ"

        "เปล่าครับ ไปกันสองคน" โทนี่ตอบ "อย่างน้อยน่าจะมีเตือนกันก่อนนะว่าข้างในสัตว์อสูรเยอะมาก พวกผมโดนรุมตลอดทาง แถมหมาป่าคิเมร่าเร็วมากเลย"

        "เข้าไปกันสองคนในถ้ำมืดๆ น่ะหรือคะ?" เธอทำเสียงตกใจ "ที่จริงภารกิจนี้ต้องการให้ผู้เล่นไปถึงถ้ำแล้ววิ่งกลับมาหาดิฉันเพื่อขอคบไฟเข้าไปอีกที ทางในนั้นทั้งวกวนทั้งมืด บริเวณที่มีแสงก็จะถูกสัตว์อสูรก่อกวน กว่าจะไปถึงตัวราชาหมาป่าปกติกินเวลานานหลายวัน พวกคุณคงโชคดีมากที่เดินเข้าไปถูกทางพอดี... ไม่สิ ต้องเก่งมากด้วยที่ชนะมันได้..!”

        มิเชลอมยิ้ม จริงๆ พวกเธอแทบจะเดินวนทุกซอกทุกมุมของถ้ำภูเขาไฟสองคูหา เพียงแต่ความจำระดับปีศาจของโทนี่ทำให้ไม่ต้องเดินซ้ำทางเก่า โดยเฉพาะคนตาบอดผู้เคยลงเรียนวิชาสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหวนั้น ทั้งสองสามารถใช้ไม้เท้าในสถานที่แปลกใหม่สบายๆ อาจมีสะดุดพื้นต่างระดับบ้าง แต่ก็พาตัวก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ

        เจสสิก้าวางถุงรางวัลสองใบบนโต๊ะ หางหนึ่งชิ้นสามารถใช้จบภารกิจด้วยกันได้หากรวมกลุ่มสู้ เธอพยายามส่องสายตามองหาบางอย่างจากตัวมิเชล แต่ไม่พบ.. จากนั้นค่อยหันไปทางโทนี่แล้วถือวิสาสะปลดเสื้อนอกออกดื้อๆ รอยสักหมาป่าปรากฏเด่นชัด... สาวนักเต้นดึงแขนเขาขึ้นพร้อมประกาศว่าเด็กชายคือผู้กำราบราชาแห่งถ้ำภูเขาไฟสองคูหา

        ทุกสายตาหันมามองโทนี่ เกิดเสียงวิพากวิจารณ์เซ็งแซ่ ฝูงชนรอบข้างจ้องเริ่มเด็กชายด้วยสีหน้าแปลกๆ บางคนเดินเข้ามาคุยด้วย และพยายามถามอย่างสุภาพถึงวิธีที่ใช้ฆ่าหมาป่าคิเมร่า แต่บ้างก็ก่นด่าเหมือนออกคำสั่งว่าอย่ากั๊กเทคนิคไว้กับตัวเอง ต้องกระจายๆ ให้รู้ทั่วกัน สักพักเรื่องของเขาก็ถูกลงช่องสื่อสารสาธารณะ ความวุ่นวายจึงแผ่ขยายหนัก

        โทนี่รู้สึกกดดันพิลึก เขาตอบคำถามที่โดนยิงเข้ามาไม่ทัน เลยรีบคว้าถุงรางวัลพร้อมดึงแขนเพื่อนหนี เด็กทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาตลอดทาง พอเดินไปเกือบถึงประตูเมืองจึงค่อยสงบลง กลุ่มม๊อบเล็กๆ เลิกไล่ตามแล้ว มิเชลแสดงอาการเสียดายความชุลมุนเมื่อครู่ จริงๆ เธอสนุกนิดหน่อยด้วยซ้ำ

        “เมืองนี้เราเที่ยวหมดแล้ว เราไปเที่ยวที่อื่นต่อกันเถอะ” เธอเสนอ

        “ใจเย็น เราจะไปทั้งๆ ไอเทมเต็มมือแบบนี้หรือไง!” โทนี่รั้งเธอไว้ “ที่จริงอยากรอให้ถึงตอนเช้า ขายของเสร็จแล้วค่อยออกจากเกม แต่แม่ฉันให้สัญญาว่าถ้าเล่นเกมนี้ ต้องเข้านอนสามทุ่มครึ่ง ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวแม่ลุกมาเช็คจะซวยเอา”

        “พ่อมิเชลให้นอนห้าทุ่มได้ ก่อนเล่นเกม พ่อให้นอนสามทุ่มด้วยซ้ำ การเล่นเกมก็เป็นการนอนหลับอย่างนึง เพียงแต่หลับไม่สนิทเท่านั้น บอกแม่ของโทนี่ไปสิ เราจะได้อยู่เล่นด้วยกันถึงห้าทุ่มทุกวัน”

        “แม่ฉันไม่เข้าใจหรอก เผลอๆ จะโดนห้ามเล่นเกมเปล่าๆ เอาเป็นว่าฉันต้องไปแล้ว”

        “อืม” เธอทำหน้าเซ็ง “จะออกจากเกมต้องไปจ่ายตังค์ค่าห้องพัก หรือบอกกับยามประตูเมือง มา... มิเชลจะไปส่ง ไปหายามดีกว่า ฟรี”

        พวกเขาอยู่เกือบถึงประตูเมืองอยู่แล้ว ทั้งคู่ปลุกยามที่กำลังหลับ และทางเข้าออกคือภายในป้อมนั่นเอง หลังจากส่งโทนี่ มิเชลเดินเล่นชมวิวกลางคืนต่ออีกสักพักคนเดียว จากนั้นจึงเลิกเล่นเกมก่อนเวลานอนด้วยความเบื่อ ขณะนั้นเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง เธอลุกไปแปรงฟัน แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียง

        พอห้าทุ่ม พ่อเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง เธอรู้ได้ด้วยแรงกระเทือนบนพื้น เขาเริ่มถามด้วยภาษามือแบบสัมผัสว่าสนุกไหม มิเชลโอบลำตัวผู้เป็นพ่อ แล้วกอดแน่นๆ แทนคำตอบ ชายหนุ่มขยี้หัวลูกสาวแรงๆ ทีนึงอย่างดีใจ

        มิเชลใช้ภาษามือพูดถึงโทนี่ ถ้ำภูเขาไฟสองคูหา บ่นเรื่องความยากของหมาป่าคิเมร่า แล้วอ้อนขอเรียนเต้นรำให้เหมือนเจสสิก้า เธอเล่าหลายเรื่อง และดูท่าไม่จบง่ายๆ เขาจึงรีบตัดบทให้เข้านอนซะ เด็กหญิงดื้อนิดๆ แต่ยอมนอนโดยดี พ่อจูบลงกลางหน้าผากทิ้งท้าย จากนั้นเดินออกนอกห้อง ปิดประตูกระแทกแรงๆ ตามปกติ เพื่อลูกสาวจะได้รู้ว่าไปแล้ว

        วันนี้ควรเหมือนค่ำคืนผ่านๆมา แต่กลับนอนไม่หลับ ในใจยังนึกถึงเวลาสู้กับหมาป่าคิเมร่า หัวใจเด็กสาวเต้นถี่ ความรู้สึกที่เลือดสูบฉีดรุนแรงไหลผ่านทั่วกาย เธอสนุกเพราะได้กระโดดโลดเต้นโดยไม่ต้องพะวงว่าจะชนหน้าชนหลัง..? หรือเป็นเพราะว่าได้สู้กับ...สัตว์อสูรเก่งๆ นะ...

        มิเชลขดตัว กลิ้งไปกลิ้งมา พยายามผ่อนคลายให้ใจสงบ แต่กว่าจะหลับลงก็เกือบตีสอง เธอข่มความคิดลุกขึ้นมาเปิดเกมเล่นอีกรอบอยู่หลายครั้ง เด็กสาวคิดว่าหากได้เข้าไปในนั้นแล้ว คงได้นอนตอนใกล้ๆ เช้า และพ่อคงไม่ชอบแน่





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×