ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ☣ FAKE LOVE รักปลอมๆ

    ลำดับตอนที่ #5 : FAKELOVE :: CHAPTER 4 100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    CHAPTER 04

     

    อย่าให้เขามายุ่งกับลูกของเรา

     

    ทำไมผมจะจำประโยคนี้ของฟางเมื่อคืนไม่ได้กันทางออกของคนเมาที่มีสติเพียงเล็กน้อยมักพูดอะไรที่กักเก็บไว้ออกมาจนหมดสิ้นไม่หลงเหลือเลยด้วยซ้ำอีกทั้งน้ำตายังเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าสิ่งที่เธอเครียดจนหาทางออกลงกับของมึนเมาแบบนั้นมันคงสุดทางแล้วจริงๆ แหละ

     

    ฟางชอบเก็บเรื่องคนอื่นมาทำให้ตัวเองกังวลและเอาเรื่องคนอื่นมาเป็นปัญหาชีวิตเสมอไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรคำว่า ‘ช่างแม่ง’ ใช้ไม่ได้กับผู้หญิงคนนี้เลยสักนิดเดียวนี่คือข้อเสียที่ไม่ว่าจะถูกผมต่อว่าแนะนำไปเท่าไหร่อีกฝ่ายจะกันออกจากความคิดเสมอ

     

    ไม่รู้เหมือนกันทำไมไม่รักตัวเองก่อนรักคนอื่น

     

    ห่วงตัวเองก่อนห่วงคนอื่น

     

    หลากหลายความรู้สึกที่ได้รู้และได้เห็นมาจากผู้หญิงคนนี้มันต่างจากหลากครั้งที่ผมได้เห็นจากคนอื่นและชัดสุดก็เมื่อ 3 ปีก่อนแบบนั้นละมั้งผมถึงได้พยายามรู้จักเธอให้มากขึ้น

     

    “ชาตอนบ่ายค่ะคุณชายต้า”

     

    “ครับ”

     

    สาวใช้ประจำบ้านใหญ่ที่ได้รับการอบรมอย่างอย่างดีเอาชามาให้แล้วก็ถอยตัวกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อส่วนผมที่นั่งมองไปด้านหน้าซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ใจกลางเมืองไหลผ่านนานครั้งจะมีเรือใหญ่แล่นผ่านอีกฟากตรงข้ามเป็นตึกสูงเรียงลดขั้นต่ำสูงไปตามกัน ตรงที่ผมอยู่คือวังสัตบรรณในส่วนด้านหลังที่สร้างเป็นระเบียงใหญ่บริเวณนี้ถ้าไม่มีอะไรก็จะเป็นเพียงระเบียงไว้สูดอากาศและนั่งซึมซับบรรยากาศแต่ถ้ามีช่วงเทศกาลก็ไว้จัดปาร์ตี้เล็กๆ สำหรับครอบครัว

     

    สนามหญ้าสีเขียวสดสะท้อนสายตาของผมทุกครั้งที่เข้ามาที่นี้และทุกครั้งถ้าเข้ามาผมก็จะชอบมานั่งตรงนี้เสมอ ที่โปรดถ้าถามก็คงตอบว่าใช่แหละเพราะถึงขนาดทุกคนในวังเรียกระเบียงชายต้าแบบนี้แล้วผมยอมรับมันก็ได้

     

    “มานานยัง”

     

    “ไม่นาน” ร่างสูงโปร่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวชายเสื้อสอดเข้าไปในกางเกงเรียบร้อยสไตล์คุณชายใหญ่หรือที่ทุกคนเรียกว่าชายตุลย์มันยังไม่เปลี่ยนต่างไปจากเดิมสักนิดเดียว “เป็นไงบ้างการทำงาน”

     

    “ยุ่งว่ะ หัวหมุนมาก”

     

    “แล้วทำไมยังคิดจะเข้าใกล้ชายเต”

     

    ระหว่างที่ไม่อยู่ต่อหน้าใครคำหยาบไม่ใช่เรื่องต้องห้ามระหว่างผมกับมันใช้ได้เลยแหละและตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าธุระของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียเวลา

     

    “มันก็มีเวลาว่างอยู่”

     

    “ทุ่มกับงานเถอะตุลย์”

     

    “กีดกันว่างั้นใช่มั้ยว่ะต้า”

     

    “ไม่หรอกถ้าเจอปกติแบบครอบครัวแต่ถ้าเกินเหตุก็ไม่”

     

    “แต่ที่มึงต้องการเหมือนมันจะเป็นแบบนั้นมากกว่าว่ะต้า”

     

    “ถ้ากูว่าใช่มึงจะหยุดมั้ยล่ะตุลย์”

     

    “…”

     

    แน่นอนความเงียบเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่สามารถให้คำตอบได้ขาของผมจึงเหยียดยาวออกไปก่อนทิ้งตัวพิงเก้าอี้อย่างสบายแม้จะมองอย่างอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายตัวเองแต่ทำไมจะไม่รู้ว่ามันทำหน้าแบบไหนในตอนนี้ การคาดเดาของผมไม่เคยผิดไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม

     

    “ในฐานะลุงกับหลานกูให้มึงได้เสมอ”

     

    “ฐานะอื่นไม่ได้เหรอ”

     

    “มึงต้องการอะไร” คราวนี้ผมรู้ว่าน้ำเสียงตัวเองแข็งขึ้นความจริงจังเริ่มเข้ามาเยือนไม่มีการเล่นเล่นหรือว่าประวิงเวลาอีกต่อไปแล้ว “ต้องการในสิ่งที่ไม่เคยต้องการมันใช่เหรอวะ”

     

    “ไอ้ต้า”

     

    “มึงทำตัวเองนะตุลย์ กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ย”

     

    “…”

     

    “มาตอนนี้มึงก็ไม่ได้อะไรนะ”

     

    มันคือความจริงที่มันต้องยอมรับให้ได้เพราะถ้าตอนนั้นมันไม่ยอมแน่นอนผมไม่มีสิทธิแต่ตอนนี้ไม่ใช่เลยเพราะผมมีสิทธิทุกอย่างกับกลายเป็นมันนั่นแหละที่ไม่มีสิทธิ

     

    “กูขอแค่นี้จริงๆ”

     

    “ตอนนี้กูว่ามึงเริ่มล้ำเส้นในสิ่งที่ตกลงแล้วนะตุลย์”

     

    “…”

     

    “มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยนะสำหรับสิ่งที่ขอ”

     

    อย่างอื่นผมให้ได้

     

    แต่ไม่ใช่แบบนี้เพราะผมให้ไม่ได้

     

    “…”

     

    “อย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย”

     

    “กูแค่อยากใกล้เขาบ้าง อยากให้ชายเตเห็นกูอยู่ในสายตาบ้างต้า”

     

    “…”

     

    “อยากให้กูเป็นคนทำให้เขาหัวเราะ อยากให้กูเป็นคนทำให้เขายิ้ม อยากให้ทุกๆ อย่างที่เขาอยากได้ กูอยากเป็นแบบนั้นจริงๆ”

     

    “มันเป็นไปไม่ได้ไงตุลย์ ความต้องการมึงมันสวนทางกับความต้องการของฟาง”

     

    ใช่ฟาง

     

    “มึงพูดกับฟางให้กูหน่อยได้มั้ยวะ”

     

    “…”

     

    “กูอยากอยู่กับลูกบ้าง”

     

    “อยู่แล้วยังไง...” เอาเถอะถึงผมจะพูดแบบโหดร้ายออกมาแต่มันก็ยังดีกว่าพูดประโยคดีๆ แล้วทำให้มันมีความหวัง “มึงไม่เคยรู้อะไรกับเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไม่รู้ว่าเขาอยากไปไหนหรือว่าไม่อยากไปไหนแบบนี้มึงยังจะดันทุรังต่องั้นเหรอตุลย์”

     

    “กูเป็นพ่อเขา”

     

    ผมไม่มีคำตอบให้กับคนตรงหน้าผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองในประโยคที่กำลังอ้างคำว่าพ่อออกมามันคงจนปัญญาจริงนั่นแหละถึงได้กล้าเอ่ย

     

    “มันอดีตตอนนี้กูต่างหากที่เป็นพ่อของชายเต”

     

    “…”

     

    “ไม่ใช่มึง”

     

    ผมปฏิเสธตอบโต้ทันควัน

     

    พี่ชายก็พี่ชายเถอะ

     

    ถึงจะเห็นนัยน์ตาคู่ตรงข้ามเจ็บปวดแค่ไหนมันก็ไม่สามารถทำให้ใจอ่อนได้สักนิดเดียว การดำเนินชีวิตก็เหมือนกับสายตาที่ไม่ว่าจะอยากกลับไปแค่ไหนสายน้ำก็ไม่มีวันหวนกลับคืนไปยังจุดเดิม

     

    “ทำไมมึงใจร้ายกับกูนักวะ ชายเตไม่ใช่ลูกมึงนะ”

     

    อ้างว่าเป็นพ่ออีกแล้วงั้นเหรอ

     

    เอามาพูดแค่ตอนหน้าผมเท่านั้นแหละคำว่าพ่อที่หลุดจากปากมัน

     

    “…”

     

    “เถียงมาดิวะว่าเขาเป็นลูกมึง”

     

    “…”

     

    “เพราะไม่ใช่ไงมึงถึงไม่เถียงกูต้า”

     

    “…”

     

    “แล้วมึงยังใจร้ายอีกเหรอวะ”

     

    “กูไม่ใจร้ายแต่แม่เขาไม่ชอบให้ใกล้มึง กูต้องเลือกแม่เขามั้ยตุลย์ในเมื่อเขาต้องการแบบนั้น” เพราะถ้าให้ผมเลือกอีกกี่ครั้งผมก็จะเลือกแม่เขาไม่ใช่เลือกไอ้ตุลย์ “ที่สำคัญนะมึงอย่าติดกับอดีตเลยชายเตไม่ใช่ลูกมึงตั้งแต่ 3 ปีก่อนที่เขาคลอดแล้วไม่ใช่เหรอ”

     

    “…”

     

    “มึงต่างหากตุลย์ที่ไม่ใช่พ่อของชายเต”

     

    “…”

     

    “ข้อนี้มึงควรย้ำตัวเองให้มากๆ หน่อยนะ”

     

    “…”

     

    “แล้วอย่าทำให้เมียกูลำบากใจอีกไม่งั้นมึงเองที่จะอกแตกตายเพราะไม่ได้เจอชายเต”

     

    “…”

     

    “มึงก็รู้ว่าถ้าฟางสั่งอะไรกูไม่ขัดเขา กูทำตามที่เขาบอกทุกอย่างแม้กระทั่งมึงจะได้ไม่เจอชายเตอีก”

     

    “…”

     

    “อยากเป็นแบบไหนคิดดีๆ แล้วกันตุลย์ กูเตือนมึงได้แค่นี้”

     

    ม.ร.ว.รังสิมันต์ สัตบรรณ : TALK END

     

     


              “นี่อะไรแกอุ้มลูกใครเข้าบ้านมาฟาง”

     

    “เอ่อ...”

     

    ฉันในตอนนั้นกับการเผชิญหน้าพ่อและแม่รู้ไหมมันโคตรกดดันเป็นที่สุด มือที่โอบอุ้มร่างเล็กห่อด้วยผ้าขาวราวกับดักแด้กระชับเข้าหาตัวเองแน่นหัวใจเต้นตุบตับแทบกระเด็นออกมาถ้าเป็นไปได้นี่ยังไม่รวมไปถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมออกรอบกรอบใบหน้าของตัวเองแต่แค่เสี้ยวหนึ่งเมื่อสายตาก้มลงมามองดวงตากลมใสบริสุทธิ์ในอ้อมกอดทุกอย่างที่กลัวมันไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว มีแต่การยอมรับแล้วก็พยายามต่อสู้

     

    “เอาไปคืนซะ ลูกใครก็ไม่รู้อย่ามาอุ้มมั่ว”

     

    “พ่อ...” ฉันสบสายตาท่านที่นั่งเก้าอี้ไม้หวายแล้วเลื่อนสายตามามองอีกคนที่นั่งตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะหวานเล็กๆ คั่นกลางบนโต๊ะหวายนั่นมีชุดน้ำชาอยู่ “แม่...”

     

    “กลับจากแลกเปลี่ยนมาแค่วันเดียวแกเอาเวลาไหนไปรู้จักกับลูกคนอื่นยัยฟาง”

     

    “…”

     

    “เอาไปคืน”

     

    “ลูกฟางเองค่ะ”

     

    ความเงียบสนิทเงียบแบบกริบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเช่นเดียวกับโลกนี้กำลังหยุดหมุน เหมือนเวลาค้างไว้ตรงนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันเอ่ยไปมันจะทำให้ทั้งพ่อและแม่นิ่งได้มากขนาดนี้ด้วยซ้ำ นี่เตรียมใจมาว่ายังไงต้องโดนแน่ๆ ยังไงก็ไม่มีทางที่จะได้รับคำชมหรือความเข้าใจหรอกกระทั่งพ่อลุกขึ้นวางแก้วน้ำชาในมืออย่างแรง

     

    “ลูกแก ไอ้เด็กคนนี้คือลูกแกงั้นเหรอ แกไม่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ”

     

    “ไปค่ะพ่อแต่ฟาง...”

     

    “เรียนทั้งที่ท้อง กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนรู้ถึงไหนอับอายถึงนั่น!” แล้วอารมณ์ของพ่อก็ระเบิดขึ้นดื้อๆ ไม่แค่นั้นมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาฟาดลงใบหน้าของฉันในทันทีก่อนที่ความชาจะเข้ามาเยือนพร้อมกับความเจ็บปวด สิ่งที่ฉันทำได้ก็คงแค่เพียงกอดร่างเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวเอาแน่นเท่าที่จะปกป้องได้ “อีลูกชั่ว! มึงมันชั่ว!”

     

    “ฟาง...”

     

    “พ่อลูกแกละอีฟาง พ่อมันเป็นใคร” แม่ที่เข้ามากระชากผมให้ฉันหันหน้าไปมองแล้วตอบท่านซึ่งอารมณ์ที่ควบคุมแม่มันน่ากลัวมาก “บอกกูมา ไอ้นั่นมันเป็นใคร”

     

    ฉันไม่มี

     

    ไม่มีพ่อของลูก

     

    แค่ได้เห็นแววตาและความเงียบของฉันแม่ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะท่านคว้าไม้ที่ไว้เกาหลังมากระหน่ำตีๆ ลงแผ่นหลังของฉันด้วยความโมโห การกระหน่ำตีพร้อมกับเสียงด่าทอแน่นอนทั้งฉันแล้วก็ลูกร้องไห้ตีกันระงมทั่วบ้าน เสียงความเจ็บปวดแล่นเข้ามาหาฉันซ้ำๆ ไม่มีความปรานีใดๆ จากแม่กระทั่งไม้ในมือแม่หัดคาหลังฉัน

     

    แม่ยังหันซ้ายขวาเพื่อหาไม้มาแทน

     

    และสิ่งที่ฉันเจ็บปวดมากสุดก็คือพ่อคว้าด้ามไม้กวางส่งให้แม่

     

    รู้ว่าแค่แม่รับด้ามไม้กวาดนั้นความเจ็บปวดต้องเข้ามาสู่ตัวฉันแน่นอนและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ความแรงที่ไม่ผ่อนมีแต่แรงขึ้นเรื่อยๆ กับการกระทบแผ่นหลังของฉัน

     

    “บอกกูอีฟางมึงให้ไอ้นั่นทำไม มึงมันร่าน มึงไม่เหมือนพี่มึง อีลูกชั่ว”

     

    “ฮือ... ฟะ ฟาง”

     

    “อี... ลูกสารเลว”

     

    “ขอโทษ ฟางขอโทษแม่ ฟางเจ็บแล้ว” ใช้เงยหน้ามองแม่ด้วยน้ำตาไหลพราก ความชัดเจนไม่มันหรอกเพราะแค่มองหน้าแม่การโฟกัสของสายตาเบลอมัวไปหมด “เจ็บแล้ว พอแล้ว อย่าตีฟางเลยนะแม่”

     

    ไม่หรอกแม่ไม่สนใจ

     

    มือแม่ค้างตึงบนอากาศด้วยความสั่น

     

    “มึงท้องไม่มีพ่อใช่มั้ยอีฟาง”

     

    เพราะแม่มัวแต่หยุดแบบนั้นมือใหญ่ของพ่อถึงคว้าด้ามไม้กวาดในมือแม่แล้วไม่รอช้ากำลังกับอะไรทั้งสิ้น พ่อกำลังจะฟาดลงบนตัวฉันอีกและครั้งนี้มันต้องแรงกว่าครั้งอื่นๆ แน่นอนในเมื่อฉันทำอะไรไม่ได้จึงหลับตาลง

     

    ปึก!

     

    แรงกระทบดังขึ้น

     

    แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บอะไรทั้งสิ้น

     

    “ผมเองครับ” น้ำเสียงนุ่มแถมมีหางเสียงลงท้ายบ่งบอกถึงการได้รับการอบรมที่ดีทำให้ทุกอย่างเงียบลงเมื่อลืมตาก็พบว่ามีมือใหญ่เข้ามากอบกำด้ามไม้กวาดไว้ก่อนมันจะฟาดลงกลางหลังฉัน “ผมคือพ่อของเด็ก”

     

    ฉันไม่รู้จักเขา

     

    ฉันไม่คิดจะทักเขา

     

    ถึงแม้จะเคยเจอที่โรงพยาบาลก็เถอะ

     

    ร่างสูงโปร่งแต่แต่งตัวดีมากถึงเรียบแต่หรูน่าเชื่อถือในสายตาคนมองทำให้ทั้งพ่อและก็แม่เงียบลงมากแต่ก็ยังใช้สายตาสำรวจอย่างต่อเนื่อง

     

    “เป็นใคร ผัวอีฟางจริงเหรอ”

     

    พ่อเอ่ยพูดขึ้นโดยที่สายตายังไม่ละจากเขาเลย ผู้ชายคนนี้ถือด้ามไม้กวาดในมือลงแล้วเคลื่อนตัวมายืนข้างฉันนิ่งไม่แสดงความกลัวออกมาสักนิดเดียว แค่ยืนข้างก็รู้สึกถึงความต่างและกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ก็ปะทะเข้าจมูกของฉันอย่างต่อเนื่อง เขาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนตรงแขนทั้งสองข้างพับขึ้นเล็กน้อยพ่อให้เห็นเครื่องประดับแค่ชิ้นเดียวบนตัวคือนาฬิกายี่ห้อแพงแสดงขึ้น

     

    “จริงครับ ผมสามีฟาง”

     

    ตอนไหนแค่ชื่อฉันยังไม่รู้จักเลย

     

    “จริงเหรออีฟาง” แม่ท่านถามย้ำอีกครั้ง

     

    “เอ่อ...”

     

    “กูถาม”

     

    “จะ จริงค่ะ” ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เออออก่อนแล้วกัน “เขาเป็นพ่อของลูกฟาง”

     

    “รู้จักกันที่ไปแลกเปลี่ยนเหรอ”

     

    “ครับที่นั่น ผมชื่อต้าครับ”

     

    ต้างั้นเหรอ... คุ้นจัง 

     

    “ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ทำอาชีพอะไร การงานที่ทำอะไร” พ่อถามประโยคยาวเหยียด “คิดเหรอว่าฉันจะยอมง่ายๆ แค่เด็กเอามาบังหน้าไม่ได้หรอกนะ เด็กฉันไม่ได้รักอะไรขนาดนั้น”

     

    พ่อหมายถึงว่าถึงจะทำฉันท้องมีลูกคลอดออกมาแล้วแต่ก็ไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก

     

    หลานหรือว่าเด็กไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น

     

    “ผมเรียนอยู่...” เสียงเขาหายไปแต่ยังสบตาพ่อนิ่งไม่หวั่นไหวกับอะไรทั้งสิ้น “ผมเป็นลูกของเจ้ารัชกรณ์และหม่อมหญิงดารุณี สัตบรรณ เจ้าของธนาคารสัตบรรณครับ”

     


             แค่นี้ทุกอย่างก็เหมือนง่ายดายขึ้นมากกว่าเดิมความรุนแรงทุกอย่างสงบลงโดยที่พวกเราทั้งหมดกลับมานั่งโต๊ะรับแขกประจำบ้าน สายตาทั้งพ่อและแม่แน่นอนมีแววความไม่พอใจฉายอยู่ตลอดเวลาข้อนี้ทำไมฉันจะไม่รู้ดีพ่อไม่มีทางยอมรับเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฉันเป็นแน่แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อคำยืนยันจากทั้งพ่อและก็แม่มีให้คือทางเดียวฉันต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ฉันต้องเลี้ยงลูกเองอีกอย่างที่สำคัญมากจะไม่ส่งเสียอะไรอีกต่อจากนี้

     

    เหมือนโดนทิ้งอยู่ในเรือที่ลอยกลางทะเลใหญ่เลย

     

    โดนทิ้งแบบไม่ใส่ใจทั้งที่ฉันไม่สามารถขับเรือนั้นเข้าฝั่งได้

     

    จะทำไงได้ในเมื่อฉันยอมรับที่จะทำแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ฉันยืนยันว่าจะให้เด็กอยู่ยังไงซะก็ต้องยอมรับให้ได้กับสิ่งที่เผชิญแล้วก็ตามมา การนั่งเงียบบนรถของคนที่พึ่งรู้จักแม้กระทั่งชื่อเป็นทางเลือกแรกในตอนนี้ที่ฉันต้องเผชิญกับเด็กน้อยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดกระทั่งรถที่เคลื่อนได้หยุดลงที่ไหนสักแห่งหนึ่งซึ่งพอมองออกไปรอบๆ คงเป็นสวนสาธารณะ

     

    “จะทำแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย”

     

    ประโยคแรกทำลายห้วงความคิดลง

     

    “…”

     

    “จะได้หาทางเตรียมไว้”

     

    “มะ หมายความว่าไง”

     

    “ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องรับผิดชอบไง” แบบนี้ก็ได้เหรอคือสิ่งที่ฉันคิดได้ออกมาในขณะนั้นเพราะตรรกะแบบนี้ก็มีด้วย ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรจะมามัดมือชกง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก “ที่ช่วยแค่นี้ก็ดีแล้วส่วนที่เหลือจะคิดเองว่าจะทำอะไรต่อไปดีไม่อยากติดหนี้คำว่าบุญคุณใคร”

     

    “บอกก่อนว่าไม่ชอบให้บุญคุณใครเหมือนกัน”

     

    “เด็กไม่ใช่ลูกคุณ” เหมือนอีกคนจะดื้อไม่มากกว่าฉันสักนิดเดียวจึงทิ้งเรื่องบุญคุณไปเถอะเริ่มเรื่องใหม่จะดีกว่าหลายเท่าและเป็นเรื่องความจริงที่เขาควรรับรู้เอาไว้จะมารับผิดชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไร “อย่าเอาตัวเองเข้ามายุ่งเลย”

     

    “แล้วเธอ... เอาตัวเองเข้ามายุ่งทำไมกัน”

     

    “…”

     

    นั้นสิ หาคำตอบไม่ได้เลย

     

    ว่าเอาตัวเองมายุ่งเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมกัน

     

    “ก็ให้คำตอบไม่ได้แต่ถ้าพี่ชายฉันมันไม่เอาลูกตัวเอง ไม่เป็นไรฉันเลี้ยงได้”

     

    “พี่ชาย...”

     

    “ก็คนที่ทำเด็กเกิดมาไง พ่อเด็กมันคือพี่ชายฉัน”

     

     

    “ฟาง ฟาง... เอ่อ ฟาง!”

     

    “คะ?”

     

    “เหม่อได้อีกพี่ถามว่ารดแปลงนี้ด้วยมั้ย”

     

    “อ่อรดค่ะ”

     

    ทั้งตอบรับแล้วแถมพยักหน้าให้คนตัวสูงที่ยืนห่างออกไปฉันคงจมกับความคิดในอดีตมากไปหน่อยถึงได้ไม่ได้ยินเสียงเรียก ร่างสูงโปร่งถือสายฉีดน้ำในมือฉีดรดไปทั่วหลายแปลงแล้วโดยที่ถ้ามองออกไปทางครัวซึ่งเป็นด้านหลังจะสามารถเห็นสายตาของอีกหลายคู่ต่างมองมาทางนี้คงแปลกและไม่อยากให้คุณผู้ชายในบ้านต้องมาแย่งหน้าที่อะไรทำแบบนี้แน่ๆ

     

    แต่พี่ต้าเขาดื้อไง

     

    เขาไม่ทำตัวสูงส่งถือยศกับใครหรอก

     

    การที่ต้องมารับหน้าที่รดต้นไม้แบบนี้ก็ไม่มีใครสั่งสักคนเดียวอาสาตัวเองล้วนๆ ปกติฉันชอบมานั่งสวนตรงนี้อ่านหนังสือบ้างหรือไม่ก็ทำงานส่งอาจารย์บ้างตามวันหยุดซึ่งทุกครั้งจะรดต้นไม้ด้วยเลยทว่าวันนี้เขาอยู่บ้านจึงตามมาทำแบบนี้ให้นับว่าน้อยครั้งจริงนั่นแหละ

     

    “เรียบร้อยแล้ว”

     

    “น้ำค่ะ” เห็นเหงื่อเม็ดเล็กออกเกาะซึมรอบกรอบใบหน้าก็อดเคลื่อนแก้วน้ำเย็นไปให้ตรงหน้า น้ำใบเตยกลิ่นหอมของโปรดเขาเลยละ “ถ้ามองหาลูกยังไม่ตื่นหรอก”

     

    “ขี้เซาจัง”

     

    “อย่าว่าให้เตเลย”

     

    เพราะยิ่งโตก็ยิ่งถอดแบบเหมือนเขามากขึ้นทุกวัน

     

    ไม่แค่เหมือนนิสัยนะใบหน้าท่าทางก็เหมือนทั้งที่ไม่ใช่พ่อ

     

    “นี่จะบอกว่าลูกเหมือนพี่สินะครับ”

     

    “ยังไม่ได้พูดอะไรเลย พี่ต้าเอ่ยพูดออกมาเองนะคะ”

     

    “ครับยอมแล้วครับ” พี่ต้าเอื้อมมือยกแก้วน้ำใบเตยขึ้นมาดื่มแต่สายตายังจ้องฉันแบบนั้นไม่ละทิ้งไปไหน “เรื่องนั้นพี่จัดการแล้วนะครับไม่ต้องห่วง”

     

    “…”

     

    “แล้วอย่าไปที่แบบนั้นอีก”

     

    “พี่ยังไปได้เลยนิ”

     

    “ดื้อหน่าฟาง วันนั้นเลี้ยงสายก็เลยไปต่างหาก”

     

    เพราะไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่าฉันกับพี่ต้าเว้นครอบครัวนอกนั้นก็ไม่มีหรอกแม้กระทั่งเพื่อน แบบนี้ไงทุกครั้งที่ไม่ว่าใครแอบปลื้มเขา ทางเพจมอเอาพี่ต้าลงก็ใส่สถานะโสดทุกครั้งแต่มันก็เป็นความจริงมาตลอด

     

    ฉันกับเขาแค่พ่อแม่ปลอมๆ

     

    ฉันกับเขาแค่สามีภรรยาปลอมๆ

     

    ฉันกับเขามีครอบครัวที่ปลอมๆ เท่านั้น

     

    ข้อนี้มีแค่ฉันกับเขาที่ตกลงกันไม่มีใครรู้มากไปกว่านี้

     

    “อย่าให้วุ่นวายก็แล้วกันค่ะ”

     

    “…”

     

    “รู้ใช่มั้ยว่าฟางเป็นคนใจเย็น... และเลือดเย็นพอๆ กัน”

     

    “…”

     

    “แล้วยังไม่ลืมใช่มั้ยว่าถ้าฟางขออะไรก็ตามจากพี่ พี่ก็จะทำให้ฟางเสมอ”

     

    “ใช่ครับ”

     

    “…”

     

    “แลกกับที่ฟางไม่อดแหวนนิ้วนางข้างซ้ายมันก็จะเป็นแบบนั้นตลอด”

     

    “ค่ะ ฟางรู้แต่ถ้าพี่ต้าถอดแหวนเลือดหัวพี่ต้าก็ออกด้วยเช่นกัน”

     

    “…”

     

    “ข้อนี้อย่าลืมนะคะ”

     

    --------------------------------------------------

    ต้าตีฟาง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×