คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กองทัพปลาทู : Chapter 4
4
“อา หอม~~”
ฉันสูดดมกลิ่นหอมจากวาฟเฟิลไส้กล้วยที่ตัวเองเพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆจากเครื่องทำวาฟเฟิลใหม่ที่ได้มาเมื่อสองวันก่อน
และสปอนเซอร์หลักคือผู้ชายข้างห้อง
วันนั้นที่ฉันขอตัวไปดูเครื่องทำวาฟเฟิลในระหว่างที่กำลังเก็บข้อมูลว่าเครื่องไหนดีและถูกที่สุดเพื่อจะได้เก็บเงินซื้อตาลุงกองทัพที่เดินตามมาตลอดทางก็จัดการคว้าตัวที่ฉันเล็งไว้แล้วตรงไปยังแคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินในทันที
ในตอนแรกฉันโวยวายแล้วพยายามห้ามเขาเพราะเกรงใจแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมพร้อมบอกด้วยว่าของตอบแทนคือเวลาฉันทำขนมต้องเอาไปให้เขาเป็นคนแรก
ก็ดีที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อเองแต่คือฉันต้องเป็นหนี้เขาอีกน่ะสิ
เพิ่งจะชดใช้เรื่องขนมจากฟู้ดแฟร์ไปหยกๆเอง
วันนี้ตาลุงกองทัพไม่อยู่
ฉันเห็นทางหน้าต่างว่าเขาขับรถบิ๊กไบค์ของตัวเองออกไปไหนไม่รู้เพราะฉะนั้นฉันจึงใช้ส้อมเสียบวาฟเฟิลออกไปวางไว้ในกล่องพร้อมกับเดินออกไปนอกห้อง
อุตส่าห์ทำแล้วจะให้กินคนเดียวก็ไม่ไหวหรือถ้ารอตาลุงกลับมาคงจะเย็นไม่อร่อยพอดี
ไว้เขากลับมาค่อยทำให้อีกทีละกัน
ฉันกดลิฟต์ไปที่ชั้นสี่ เมื่อลิฟต์ถึงที่หมายฉันก็เดินตรงไปยังห้องห้องๆแล้วลงมือเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไม่ถึงหนึ่งนาทีคนข้างในก็เปิดประตูออกมา
ใบหน้าจิ้มลิ้มแสนน่ารักนั้นจ้องมองฉันก่อนจะระบายยิ้มกว้าง
“อ้าวพี่ปลาทู”
ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ‘บี๋’ เธอเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์
ปีสอง มหาวิทาลัยเดียวกับฉันและย้ายเข้าอพาร์ทเม้นนี้ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
เราสองคนเจอกันเพราะน้องบี๋เป็นคนใช้เครื่องซักผ้าก่อนหน้าฉันและดันลืมตะกร้าผ้า
ด้วยความที่ฉันรีบเลยต้องหยิบเสื้อผ้าของเธอใส่ตะกร้าของฉันอย่างช่วยไม่ได้เราเลยได้คุยกันและสนิทกันในที่สุดเพราะฉันรู้สึกถูกคอกับเธอ
เธอเป็นคนค่อนข้างซื่อบื้อและเด๋อด๋าเป็นบางครั้ง ฉันมักจะชวนเธอไปกินอะไรด้วยกันบ่อยๆและเวลาทำขนมก็จะนำขึ้นไปให้เธอด้วย
“พี่ทำวาฟเฟิลมาฝาก” ฉันยื่นกล่องใส่ขนมไปให้รุ่นน้องตรงหน้า
“โอ้โห้ ขอบคุณมากค่ะ! หอมทะลุกล่องเลย” น้องบี๋เบิกตากว้างพลางรับไปหมุนดูอย่างสนอกสนใจ เอ่อ...หมุนอย่างนั้นกล้วยคงทะลักออกมาแล้วมั้ง
“งั้นพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” น้องบี๋โบกมือลา ฉันส่งยิ้มไปให้ก่อนจะหมุนตัวตรงไปยังลิฟต์เพื่อกลับเข้าห้องของตัวเอง
จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนฉันนั่งทำขนมเสร็จเป็นสิบๆชิ้น
ทั้งเดินเอาไปให้พี่น้ำหนึ่งทั้งเดินขึ้นลิฟต์ไปให้น้องบี๋แต่จนแล้วจนรอดตาลุงข้างห้องก็ไม่ยอมมาสักที
โอ๊ยไอ้คนที่วันๆไม่ทำอะไรวันนี้มันกลับหายไปไหนวะเนี้ย!
แกร๊ก!
เสียงไขกุญแจที่ดังแล่นเข้ามาส่งผลให้ฉันกระเด้งลุกขึ้นยืนแล้วสับเท้าไปกระชากประตูห้องออกทันทีและอย่างที่คิด
ตาลุงกองทัพกำลังยืนเปิดประตูห้องตัวเองอยู่
“ไปไหนมาลุง?” ฉันเท้าเอวมองอีกฝ่ายที่เบนหน้าหันมามอง
“ออกไปข้างนอกมา” เขาตอบเสียงสบายๆก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออกฉับพลันมุมปากเขาก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“อย่าบอกนะว่าอีหนูรออะ?”
หือ...นี่ฉันรอเขาเหรอ? บ้าน่า
“จะบ้าเหรอลุง!” ฉันละมือออกจากอกแล้วพูดเสียงสูงจนผู้ชายตรงหน้าเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อเพราะแบบนั้นฉันจึงเลิ่กลั่กในการแก้ต่างให้ตัวเอง
“น...หนูก็แค่จะเอาวาฟเฟิลไปให้ลุงอะแต่ลุงหายไปไหนทั้งวันไม่รู้จนหนูเอาไปเดินแจกเขาเกือบทั้งอพาร์ทเม้นแล้วเนี้ย”
“โอ๋ๆ” เขาบุ้ยปากราวกับกำลังปลอบเด็ก “ถือว่าครั้งนี้อนุโลมให้ งั้นทำใหม่ตอนนี้เลยแล้วกัน”
“อ...อืม” ฉันพยักหน้ารับอย่างงงๆที่เขายอมพูดดีด้วยแต่ไม่นานกลับต้องมองบนอีกรอบเมื่อตาลุงทำท่าจะเดินเข้ามาในห้องฉัน
“งั้นเดี๋ยวฉันไปรอในห้อง”
“ไม่ต้องเลยลุง” ฉันใช้ฝ่ามือดันอกเขาให้ออกห่าง
เผลอไม่ได้เลยลุง! “ไปรอที่ห้องตัวเองนู้นไปเดี๋ยวเสร็จแล้วหนูเอาไปให้เอง”
“เอาไปให้ถึงในห้องเลยนะ ฉันจะนั่งรออยู่ที่เตียง” ตาลุงยักคิ้วลิ่วตาจนฉันต้องแว้ดกลับไปอีกรอบ
“โอ๊ย...เลิกหื่นสักวินาทีได้มั้ยลุง!” พร้อมกับรีบวิ่งกลับเข้าห้องของตัวเองในทันที
หลังจากนั้นฉันก็มัวทำวาฟเฟิลให้ตาลุงบ้านั่นแล้วเอาไปให้เขา
เขาก็ยอมรับวาฟเฟิลไปนั่นแหละแต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือทำไมต้องลงไปนั่งกินตรงโต๊ะไม้หินอ่อนตรงล่างอพาร์ทเม้นโดยลากฉันไปด้วยเล่า!
“อร่อยว่ะ” ร่างสูงที่เคี้ยวตุยๆพึมพำออกมา
“ของมันแน่ในเมื่อคนทำมันสวย” ฉันส่ายตัวระริกระรี้ในคำชมจนอีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเอือมๆส่งมาให้
ระหว่างนั้นฉันก็นั่งจ้องเขาอย่างพินิจพิจารณา
เขาทำงานอะไรวะ วันนี้ก็ออกไปทั้งวัน
ก่อนหน้านี้ก็เหมาฟู้ดแฟร์มาให้ฉันไหนจะไอ้เครื่องทำวาฟเฟิลแถมยังมีบิ๊กไบค์แสนหรูนั่นอีกดูทรงแล้วคงจะรวยน่าดู
ปอกลอกเลยดีมั้ยเนี้ย
“เออลุง” คนถูกเรียกเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘มีอะไร?’ ฉันเลยพูดต่อ “ลุงทำงานอะไรอะ?
เห็นวันๆอยู่แต่ในห้อง”
เขายืดหลังตรงก่อนจะนั่งด้วยท่าทีสบายๆ “หลายอย่าง”
“Example”
“แหนะมีอินตงอินเตอร์ด้วยเว้ย” ลุงกองทัพแค่นหัวเราะ “ก็สานต่อธุรกิจของครอบครัวแล้วก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง”
เจ้าของธุรกิจด้วยว่ะ เชรดดด...
พอเห็นฉันทำท่าสนอกสนใจรอให้พูดต่อเขาก็ยักคิ้ว “มาเฟียน่ะรู้จักปะ”
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจอย่างปลงๆ
สภาพแบบนี้เนี้ยนะเป็นมาเฟีย? ถ้าบอกว่าเป็นกุ๊ยข้างถนนยังน่าเชื่อกว่าอีก
ฉันไม่น่าตั้งใจฟังเขาเลยให้ตาย
“เป็นเจ้าของบ่อนแต่ไม่ค่อยไปที่นั้นเท่าไหร่ส่วนมากจะนั่งดูรายงานที่พวกลูกน้องส่งมาให้มากกว่า”
เจ้าของบ่อนก็มา นี่อ่านนิยายมากไปรึเปล่าวะเนี้ย “มีอะไรต่ออีกมั้ย?”
ฉันเท้าคางลงกับโต๊ะ ดูจากท่าทางการนึกคิดของเขาคงมีอาชีพที่จะบอกอีกเยอะอะ
“แล้วก็เป็นเจ้าของค่ายมวย”
“เจ้าของค่ายมวยด้วย?” ฉันแสร้งเบิกตาโตทำเป็นตกใจ
บอกว่าตัวเองอาชีพเยอะแยะแต่นั่งอยู่ในห้องตลอดเวลาเนี้ยนะ เอาเวลาไหนไปทำมิทราบ
“ก็ฝึกพวกที่จะไปทำงานในบ่อนไง” เอาเข้าไป ฉันล่ะอยากจะเพลีย
เอาอย่างนี้ดีกว่าถามให้ตรงประเด็นไปเลย
“แต่ลุงรวยใช่ปะ?” นี่แหละสิ่งที่อยากรู้
ตาลุงกองทัพย่นจมูกก่อนจะยักไหล่ “ไม่”
“อะไรอะลุงวันนั้นยังเหมาฟู้ดแฟร์มาให้หนูอยู่เลย” ฉันประท้วง
“ตอนไหนวะไม่เห็นจะจำได้?” แต่เขากลับทำท่านึกราวกับจำไม่ได้จริงๆแต่ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งฉันยังไงก็ไม่รู้
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างหนักๆ นั่นสิถ้าเขารวยจริงคงไปอยู่คอนโดแล้วจะมาอยู่ในอพาร์ทเม้นแบบนี้ทำไมวะ
“เฮ้อ!” ฉันดึงกล่องใส่วาฟเฟิลที่ว่างเปล่ามาก่อนจะลุกขึ้นหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับขึ้นห้องของตัวเองโดยไม่ฟังเสียงร้องของผู้ชายข้างหลัง
อะไรนะเป็นเจ้าของบ่อน มาเฟียแล้วก็เจ้าของค่ายมวยงั้นเหรอ?
เหอะใครเชื่อก็โง่แล้ว!
- วันต่อมา -
“จะกลับห้องกันเลยใช่ปะ?” ทันทีที่เลิกคลาสสุดท้ายแล้วเดินออกมานอกอาคารแล้วฟ้าใสก็เอ่ยปากถาม
“คงจะอย่างนั้นอะ” ฉันกับน้ำตอบออกมาพร้อมกันส่งผลให้ฟ้าใสหน้างอง้ำขึ้นมาทันทีแถมยังเบ้ปากคล้ายเด็กน้อยอีกด้วย
อยากจะบอกจริงๆว่ามันไม่น่ารักเว้ย!
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกันเลยอะ อีกไม่ถึงปีก็จบแล้วเนี้ย”
“จบการศึกษา?”
“จบชีวิตนี่แหละอิเหี้ยแม่งเรียนอะไรก็ไม่รู้หนักฉิบหาย!”
ฉันหัวเราะให้กับสิ่งที่ฟ้าใสพูด
มันก็จริงอย่างที่เธอว่านั่นแหละยิ่งเข้าปีสี่ยิ่งเรียนหนักโดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาขาเคมีอย่างพวกฉันแล้วด้วยนั้น...นรก
“วันนี้ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวว่ะ” น้ำถอนหายใจออกมา อาจจะเพราะก่อนหน้านี้เจอแฟนเก่าของตัวเองเดินควงคู่มากับผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้
นี่แหละข้อเสียของการคบคนคณะเดียวกัน เจอหน้ากันเกือบทุกวันไปดิ
“งั้นแยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” พอเดินมาถึงแยกฉันก็หันไปบอกกับเพื่อนทั้งสองคน
พวกเธอพยักหน้าแล้วเดินตรงไปส่วนฉันเลี้ยวซ้ายเพื่อไปรอรถเมล์อย่างเคย
ครืด
การสั่นของสมาร์ทโฟนส่งผลให้ฉันหยิบขึ้นมาดู
ก่อนหน้านี้ฉันปิดเสียงเพราะกำลังเรียนแล้วลืมเปิด พอเห็นรายชื่อคนที่โทรมาพลันต้องขมวดคิ้ว
‘ตาลุง’
เขาจะโทรมาทำไม!?
“ไงลุง” ฉันกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป
[อีหนูเลิกเรียนแล้วยัง?]
“เลิกแล้ว”
[โอเคงั้นเดี๋ยวไปรับ ที่เดิมนะ]
“หือ...ทำไมต้องมา เฮ้ยลุง ลุง!” ไม่ทันแล้วตาลุงกองทัพวางสายไปเรียบร้อย
ถ้าฟังไม่ผิดคือเขาจะมารับฉัน...เพื่อ?
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือแค่หยอกเล่นแต่รู้ตัวอีกทีฉันก็ก้าวเท้ามาหยุดอยู่ตรงที่ที่เขาเคยมารับฉันไปฟู้ดแฟร์จนได้
ก็เผื่อตาลุงมารับฉันจริงๆถือว่าดีเพราะวันนี้ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ารถแต่ถ้าเขาไม่มาตรงนี้มันก็รอรถเมล์ได้เหมือนกัน
แต่เขาจะมาจริงๆเหรอวะ?
ประมาณห้านาทีกว่าๆรถบิ๊กไบค์สีดำคันโตก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
ถึงแม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะสวมหมวกกันน็อคทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าได้แต่มันกลับขลับให้เขาดูเท่เป็นเท่าตัวเพราะแบบนั้นผู้คนรอบข้างจึงเริ่มหันมาสนใจ
“ซิ่งสุดๆเลยนะเนี้ย” เขาเปิดหมวกกันน็อคออกพร้อมกับยักคิ้วข้างหนึ่งส่งมาให้
เฮ้อ...ผู้ชายคนนี้ควรอยู่นิ่งๆไม่ได้ทำสีหน้าไม่ต้องพูดอะไรดีที่สุดอะ
“ซิ่งทำไม ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะลุง” ฉันรับไอ้หมวกกันน็อคพิลึกกึกกืออันเดิมมาสวมโดยไม่วายบ่นเขาไปด้วย
“เป็นห่วง?”
“กลัวตายขึ้นมาแล้วหนูต้องย้ายหออีกรอบเพราะข้างห้องมันเฮี้ยนอะดิ” เหมือนเขาจะจำได้ว่าฉันขึ้นไอ้รถบ้านี่ไม่ได้จึงตั้งใจจอดชิดริมฟุตบาทฉันเลยสามารถกระโดดขึ้นคร่อมรถคันโตนี่สำเร็จถึงแม้ว่าจะทุลักทุเลไปหน่อยก็ตาม
“ถึงย้ายก็จะตามไปอะใครจะทำไม?”
“เฮี้ยนจริงๆด้วยวุ้ย” ฉันพึมพำ ตาลุงกองทัพปิดหมวกลงก่อนจะออกรถไปในทันที
ฉันดีลให้เขาเป็นวินมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวดีมั้ยเนี้ย?
“ลุงๆ” ฉันสะกิดหัวไหล่คนที่นั่งอยู่ข้างหน้า
ครั้งแรกเขาไม่ได้ยินฉันจึงสะกิดอีกเป็นครั้งที่สองเจ้าตัวถึงได้เอี้ยวหน้ามาฟังแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนท้องถนน
“อะไร?”
“หนูหิว” ฉันบอกไป “ลุงจอดแวะร้านสุกี้ข้างทางข้างหน้านี้หน่อยได้ปะ?”
“อาๆได้ๆ” อีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมกับกลับไปหันมองถนนอย่างเต็มตัวเหมือนเดิม
พอขับมาใกล้ร้านที่ฉันบอกตาลุงก็ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางแล้วจอดรถหน้าร้านพอดิบพอดี
ฉันรอให้เขาลงก่อน...เพราะอีกฝ่ายต้องอุ้มฉันลง
ลุงกองทัพยื่นแขนมาช้อนใต้รักแร้แล้วยกฉันลอยอย่างง่ายดาย
“กินนมเยอะๆ” เขาว่างั้นแล้วก็เดินออกไป
หน๊อย...ฉันสูงกว่าตอนม.หกตั้งเซ็นหนึ่งนะ!
ฉันถอดหมวกแล้วครอบลงกระจกก่อนจะสาวเท้าตามไป วันนี้คนเยอะนิดหนึ่งอาจจะเป็นเพราะติดช่วงเที่ยวพอดีเลยทำให้ต้องยืนรอสักพัก
“ทำไมไม่กินที่นี่เลย?” ลุงกองทัพหันหน้ามาเลิกคิ้วใส่เมื่อฉันสั่งกลับบ้าน
“ไม่อยากให้ลุงเสียเวลาไปมากกว่านี้อะ” แค่ขอให้เขาช่วยจอดรถเพื่อแวะซื้อสุกี้ฉันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว
ร่างสูงข้างๆยกมุมปากขึ้นก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ถ้าเป็นอีหนูเสียเวลาทั้งวันก็ยอมว่ะ”
“ทะ ทำเป็นพูดไป” ฉันรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มเห่อร้อนจึงแสร้งเบนหน้าไปทางอื่นแล้วใช้มือโบกพัดอาการวูบวาบนี่ออกไป
ผิดกับอีกคนที่ยิ้มกรุ่มกริ่มพลางเดินฮัมเพลงไปยังโต๊ะว่าง
“เปลี่ยนเป็นกินนี่นะคะป้า” ฉันเลยต้องทำตามเขาอย่างว่าง่าย
“จ้องอะไรอยู่ได้ลุง?” ฉันพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อตาลุงนั่นมองฉันไม่คลาดสายตา
“หน้าตัวเองยังหวง?”
กวน... “ถ้าเป็นลุงขี้เล็บหนูยังหวงอะบอกเลย”
“ไม่เป็นไรเพราะฉันไม่ได้ต้องการขี้เล็บ”
“แล้วลุงต้องการอะไร?”
“ตัวอีหนูไง”
ว้อท เดอะ ฟัค... ตรงไปมั้ยลุง แบบนี้ใครมันจะอยากไปเข้าใกล้วะ!
เหมือนเจ้าของร้านจะรู้ว่าฉันไม่มีอะไรจะพูด สุกี้แสนยั่วน้ำลายก็ถูกนำมาวางตรงหน้าอย่างทันท่วงทีฉันเลยจัดการกินโดยไม่สนใจเขาอีก
“ลุงไม่กินเหรอ?” แต่ก็ไม่วายสนใจจนได้ เขามัวแต่นั่งจ้องฉันกินอยู่นั่นแหละจะไม่ให้ฉันถามได้ยังไง
มันแปลกๆปะวะตัวเองนั่งกินส่วนอีกคนนั่งมองอะ
“กินมาแล้ว”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้าแล้วจัดการอาหารต่อจนกระทั่งสุกี้ตรงหน้าหมดในที่สุดเพราะฉะนั้นเราทั้งสองจึงลุกขึ้นออกไปจากร้านเพื่อจะกลับอพาร์ทเม้นต่อ
“ลุงๆๆ”
“อะไร?” คนที่ถูกเรียกหันมาขมวดคิ้วใส่ฉันจึงชี้ไปยังอีกฝากของถนนที่มีเด็กวัยรุ่นประมาณสามสี่คนยืนอยู่
“ตรงนั้นเขาให้เพ้นท์กำแพงได้ด้วยอะ” ฉันบอกพร้อมทำตาเป็นประกาย
“อยากเพ้นท์”
“จะกลับห้อง” หากแต่อีกฝ่ายไม่สนใจแถมทำท่าจะเดินขึ้นไปคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตัวเองด้วยฉันเลยรีบวิ่งไปดักหน้าเขาไว้พร้อมกับยื่นปากแล้วส่งสายตาอ้อนวอนให้คนตรงหน้า
มันเป็นลูกอ้อนของฉันฉันทำกับแม่บอกซึ่งได้ผลซะด้วย!
“นะคะลุง ปลาทูอยากเพ้นท์กำแพง”
“เชี่ย” จู่ๆตาลุงก็ทำหน้าอึ้งก่อนจะส่ายหน้าไปทางอื่น
“จะไปก็รีบไป...”
“หือ?” หมายถึงให้ฉันไปเพ้นท์กำแพงได้ใช่มั้ย?
ตาลุงกองทัพกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันกลับมาสบตาดังเดิม
“ไม่งั้นมีหวังถูกฉันจับกดตรงนี้แน่”
จ...จะบ้าเหรอ!
ฉันรีบหมุนตัวกลับแล้วมองซ้ายมองขวาข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว
จะมาจับกดบ้าบออะไรเล่าโรคจิตชัดๆ!
ส่ายหัวเอาคำพูดเมื่อกี้ออกไปก่อนจะหยิบกระป๋องสเปรย์ขึ้นมาฉีดไปยังที่ว่างตรงหน้า
ฉันเห็นตามเฟสบุ๊คมาเยอะแล้วเกิดอยากลองเพ้นท์ดูบ้างคือฉันวาดรูปไม่ค่อยสวยหรอกแต่อยากทำอะเข้าใจปะ
ดูแล้วตรงนี้น่าจะเป็นร้านอะไรสักอย่างเปิดใหม่แล้วให้คนอื่นๆสามารถมาเพ้นท์ได้
“สาบานว่านั่นคือการวาดภาพ?” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยดังมาจากทางด้านขวา
พอหันไปก็เห็นตาลุงกองทัพที่กำลังเขย่าขวดสเปรย์อยู่
“มันคือศิลปะลุงไม่เข้าใจรึไง?” พูดเสร็จก็เบ้ปากใส่อีกฝ่าย
ฉันกำลังวาดแมวแต่ติดตรงที่ยังไม่ได้เติมหนวดเขาเลยดูไม่ออกก็เท่านั้นเอง! “ทำอย่างกับลุงวาดเก่งนักแหละ”
“ดีกว่าคนอวดเก่งแถวนี้แล้วกัน”
“ว่าใครอวดเก่งหะลุง?” ฉันหันกลับไปจ้องเขาตาขวางแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจพร้อมกับลงมือฉีดสเปรย์อย่างตั้งอกตั้งใจทำเอาฉันต้องกลับมาทำของตัวเองต่อ
จนเวลาล่วงเลยไปเป็นชั่วโมงผลงานเราทั้งคู่จึงเสร็จ ใช้เวลาไปตั้งนานฉันก็ได้แค่แมวตัวที่เริ่มนั่นแหละผิดกับอีกคนที่วาดภาพอะไรไม่รู้แต่สวยจนละสายตาไม่ได้
“ไม่ยักรู้ว่าลุงมีฝีมือด้านนี้กับเขาด้วย” ฉันพยักหน้าเป็นเชิงชื่นชมกับสิ่งที่เขาทำ
ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยสีที่ถูกฉันแกล้งระหว่างวาด ตอนนั้นเขากะจะเอาคืนนั่นแหละแต่ด้วยความที่ฉันใส่ชุดนักศึกษาอีกฝ่ายเลยไม่ทำ
“มีอีกเยอะที่อิหนูยังไม่รู้”
“เช่นอะไรบ้างอะ?” ฉันถามต่ออย่างสนใจสนใจในระหว่างที่เราเดินตรงไปยังรถเพื่อกลับอพาร์ทเม้น
“อยากรู้เหรอ?” พอฉันพยักหน้าเขาก็กระตุกยิ้มออกมา “มาเป็นเมียก่อนดิแล้วจะบอกให้”
ฝันไปเหอะลุง!
0% : มาๆ เจิมกันนนน
ความคิดเห็น