คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ร้ายลึก ‡ EPISODE 04 :: ตัดสินใจไม่ได้สักที
“ฮึก...เพื่อนมึงโดนปล้ำนะเว้ย แม่งสนใจกันบ้างดิวะ”
‡ หงส์ ‡
ตอนที่ 04
ตัดสินใจไม่ได้สักที
@บ้าน PARADISE
แต่แล้วพอเอาเข้าจริง ผมกลับขี้ขลาดตาขาว ซึ่งตอนนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปกว่าสามสัปดาห์เสียแล้วล่ะ โดยที่ผมยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ทำห่าอะไรเลยสักอย่างหรอก เนื่องจากว่าตนเองไม่รู้จะเริ่มแผนการอย่างไรดีน่ะสิ
จะดักเจอแล้วฉุดปล้ำก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่เพราะหากผมทำอย่างนั้นขึ้นมา ผมคงไม่ต่างจากโจรกระจอกโรคจิตคนหนึ่งเท่านั้นน่ะนะ และที่สำคัญที่ทำให้ผมไม่ดำเนินการตามคำสั่งเสียที นั่นก็เป็นเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำเลยไงว่าใบหน้าคาตาของเมษาในตอนนี้นั้นเป็นอย่างไรแล้ว
เราสองคนไม่ได้เจอกันเกือบจะสิบปีได้แล้วมั้ง ไม่รู้ป่านนี้เธอโตมาหน้าตาเป็นแบบไหน
จะสวยหรือขี้เหร่กันแน่
นี่จะเปิดซิงทั้งที ผมก็คิดหนักนะ
“ฮือ...” มัวแต่คิดอะไรเครียด ๆ อยู่คนเดียว จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังก้องมาจากห้องรับแขก ทำให้ผมซึ่งกำลังลงมือทำอาหารเช้าอยู่ในครัวมีอันต้องหยุดชะงักมือไปโดยปริยาย ตนเองถอนหายใจยาว ๆ พลางปิดเตาแก๊ส และพอถอดเสื้อกันเปื้อนแขวนไว้บนลูกบิดประตูครัวแล้ว ผมก็เดินตรงไปตามทิศทางต้นเสียงทันที
บ้านที่ผมพักอาศัยอยู่เป็นของเพื่อนซี้และญาติคนสนิทน่ะ เธออนุญาตให้ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นทั้งพี่รหัสและน้องรหัสมาพักอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยขนาดของตัวบ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนัก หากแต่ออกแบบให้ดูหรูหราและทันสมัย ซึ่งเอาจริง ๆ บ้าน PARADISE เป็นบ้านรวมเครือญาติน่ะ โดยพวกเรามารวมตัวพักอาศัยอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งนี้แหละ
นี่ไม่รู้ว่าวางแผนกันมาตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า เพราะไม่มีคนนอกเลยสักคนไง
พี่รหัสของเธอก็พี่ชายผม ส่วนน้องรหัสของเธอก็ลูกพี่ลูกน้องของผม
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้นะ มันแปลก ๆ ว่าไหมล่ะ
“เป็นอะไร...เฮ้ย!” ผมโพล่งถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่แล้วก็เผลอหลุดร้องอุทานออกมาเสียงลั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของคนที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนโซฟาชุดใหญ่เต็มตา
สภาพของคนตรงหน้าตอนนี้ดูไม่จืดเลยไง หงส์ หรือ หงสา เป็นเพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมคบตั้งแต่จำความได้ คือปู่ของพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยที่พวกท่านยังเด็ก ๆ ครอบครัวเราทั้งสองเลยมาหาสู่กันตลอด เอ่อ...แต่ตอนนี้ช่างเรื่องเครือญาติคนสนิทไปก่อนเนอะ มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ หากผมเล่าไปก็คงจะยาวเลยแหละ เพราะฉะนั้นมาต่อเรื่องที่ต้องมาใส่ใจในขณะนี้ดีกว่า นั่นก็คืออาการของยัยหงส์ บนตัวเธอมีแต่รอยจ้ำแดง ๆ เต็มลำคอ มันเยอะมาก ๆ จนเลยหายเข้าไปใต้เสื้อเดรสสั้นสีน้ำเงินที่เธอสวมใส่
ถ้าเดาไม่ผิด ตรงหัวไหล่และข้อมือเป็นรอยช้ำดำเขียวเกิดจากแรงบีบแน่นแน่นอนเลยชัวร์ ริมฝีปากเธอบวมเจ่อ ดวงตาบวมคล้ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักไม่มีผิด
เห็นสภาพเธอในตอนนี้แล้ว ทำเอาผมได้แต่ยืนอึ้ง พร้อม ๆ กับทำหน้าเหวอด้วยความตกอกตกใจสุดขีด
‘ใครทำเธอวะเนี่ย!’
นี่ไม่รวมทั้งเสื้อผ้าถูกฉีกขาดไปบางส่วน ผมสีสองโทนที่ไปย้อมให้ดูแปลกตาก็ฟูไม่เป็นทรง
“ฮือ ๆ ไอ้โย...” ร่างบางแหกปากเรียกผมเสียงแหบแห้ง ก่อนจะค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนโผล่เข้ามากอดคอผมแน่นจนทำเอาผมแทบหายใจไม่ออก แล้วจากนั้นเธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจเหลือล้น ราวกับว่าไม่อาจกลั้นอารมณ์ตอนนี้เอาไว้ได้อยู่เสียแล้วจริง ๆ
“ไม่เป็นไร ๆ” ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเหมือนกัน เห็นเพื่อนมีสภาพแบบนี้กลับมาบ้านก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเลยล่ะ ดังนั้นตนเองเลยทำได้แค่เพียงยกมือลูบแผ่นหลังเธอเบา ๆ อย่างปลอบขวัญเท่านั้น
‘ใครแม่งทำเลวกับเธอแบบนี้วะ ผมจะฟ้องเฮียมังกรให้ไปจัดการเก็บมันซะ!’
“กูรู้สึกขยะแขยงที่สุด ฮึก...รังเกียจร่างกายตัวเองจนอยากจะอ้วกออกมาแล้วว่ะ”
“เฮ้ ๆ ถ้ามึงจะอ้วกก็ปล่อยกูเลย!” ผมสะดุ้งเฮือกอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเธอ ความจริงคือผมแค่ขี้เกียจเปลี่ยนชุดนักศึกษาใหม่เท่านั้นแหละ อีกอย่างตัวอื่นผมยังไม่ได้รีดเลยไง ผมกลัวว่าจะไปเรียนสายและไม่ทันทานอาหารเช้าพร้อมมีนาเหมือนอย่างเช่นทุก ๆ วันน่ะ ซึ่งปกติพวกเราจะนัดกันทุกวันอยู่แล้ว แต่วันนี้มีนามีธุระสำคัญ เธออาจจะมีเวลาอยู่กับผมได้ไม่นานนัก นี่ถ้าผมไปช้า ผมอดเจอเธอแน่ ๆ เลยล่ะ “มึงห้ามอ้วกใส่กูนะเว้ย ไม่งั้นเช้านี้กูอดแดกข้าวกับมีนาอะ”
“มึงนี่เป็นเพื่อนที่เหี้ยสัส ๆ เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน!” ยัยหงส์พ่นคำหยาบใส่ทันทีเมื่อผมว่าอย่างนั้น ปกติการพูดการจาของเธอเป็นรูปแบบนี้อยู่แล้วน่ะ ดังนั้นเมื่อมาอารมณ์นี้คือเธอด่าเพราะเจ็บใจจริง ๆ นั่นแหละ แต่ทว่าทำไงได้ล่ะ ผมรักแฟน แฟนต้องมาก่อนเพื่อนเสมอดิ ถูกแล้ว “ฮึก...เพื่อนมึงโดนปล้ำนะเว้ย แม่งสนใจกันบ้างดิวะ”
“จริงเหรอ มึงไม่ได้ล้อเล่นนะ?” ผมดันหัวไหล่ของเธอออกห่างเล็กน้อยเพื่อที่จะจ้องมองตาดูให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ปั่นเรื่องโกหกเหมือนอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากว่าเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีก่อนน่ะ ทว่าสุดท้ายเธอก็เฉลยว่าเธอแค่แกล้งผมเล่นเท่านั้นแหละ
ร่องรอยบนตัวเธอเหล่านั้นเนี่ย ก็เกิดจากความยินยอมของเธอเอง
“สภาพยับขนาดนี้ มึงคิดว่าไงล่ะ ให้ตาย กูไม่อยากด่ามึงให้เสียเวลา มึงไปซื้อยาคุมให้กูเดี๋ยวนี้เลยไอ้โย ไม่งั้นมึงมีหลานอีกคนแน่!” ยัยหงส์ขยับตัวออกจากการเกาะกุมของผม แล้วเธอก็ยกหลังมือปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลพรากออกมาไม่ขาดสายออกไปพอลวก ๆ จากนั้นเธอก็ไม่วายทุบตีแขนผมแรง ๆ หนึ่งทีเพราะยังเคืองใจไม่หาย
นี่ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อเธอง่าย ๆ นั่นเป็นเพราะเธอกับพี่ชายนั่นแหละที่คอยแกล้งผมออกจะบ่อยน่ะ เห็นผมเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงหน่อย ๆ สองพี่น้องเลยมักจะแต่งเรื่องสารพัดมาหลอกผมอยู่บ่อย ๆ ผมยิ่งเป็นคนขี้ตกใจอยู่ด้วย ทำให้ทั้งสองยิ่งได้ใจไป
“มึงกินประจำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไอ้ยาคุมเนี่ย ไว้อัปนมอะ นี่มึงบอกมาว่ามึงวางไว้ไหน เดี๋ยวกูจะไปหยิบมาให้ก็ได้” เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของยัยหงส์แล้ว ผมจึงขยับตัวเข้าไปโอบรอบไหล่เธอแทนคำขอโทษที่ไม่เชื่อตั้งแต่แรก แถมยังออกตัวแรงว่าไม่แคร์เพื่อนอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเธอแอบน้อยใจผมเรื่องมีนาไม่น้อย ทว่าช่างเรื่องนี้ก่อนเถอะ ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอพูดความจริงชัวร์ ซึ่งว่าด้วยเรื่องโดนปล้ำน่ะนะ “จริง ๆ ถ้ายาอยู่ในห้อง มึงก็เดินไปหยิบเองก็ได้นะ ในห้องก็มีตู้เย็นนี่หว่า ไม่เห็นต้องสั่งกูเลยนิ”
เรื่องยาคุม ผมงงกับเธอจริง ๆ นะ ผมไม่เข้าใจว่าเธอจะทานเข้าไปทำไมนักหนา นี่ผมลองกะจากระยะสายตาดูแล้ว ขนาดหน้าอกของเธอน่าจะคัพซีเชียวนะ ไม่รู้สิ หรือบางทีก่อนหน้านี้ หน้าอกของเธออาจจะเล็กกว่านี้ก็ได้มั้ง
ช่วงแรก ๆ ผมเคยห้ามปรามไม่ให้เธอทานยาพวกนั้นเข้าไปแล้วล่ะ เพราะกลัวว่าจะมีผลข้างเคียงในอนาคต แต่ห้ามก็ห้ามเถอะ เธอไม่ฟังหรอก เธอก็ยังแอบกินทุกวันอยู่นั่นแหละ ซึ่งมีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ดี
“ไอ้ที่กินประจำเนี่ย มันเป็นแบบรายเดือนเว้ย กูอยากให้มึงไปซื้อแบบฉุกเฉินต่างหากล่ะ” เธอบอกเสียงอู้อี้ พร้อมซุกใบหน้าลงแนบแผงอกกว้างของผมไปด้วย ราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังหนีความผิดไม่มีผิด
“มันก็เหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอ?”
“กูขี้เกียจอธิบายว่ะ มึงไปซื้อมาให้กูเหอะ กูขอร้องล่ะ” ยัยหงส์ผลักอกผมให้ผละออกห่างเล็กน้อยแล้วกลอกตามองบน เธอทำหน้าเหมือนเอือมระอาผมสุด ๆ แถมยังเบ้ปากใส่อีกด้วยต่างหากเมื่อผมยังคงทำหน้างุนงงอยู่อย่างนั้น “โอเค ยาคุมที่กูกินประจำมันหมดแล้ว มึงเก็ทยัง?”
“อ้าว ก็ไม่บอกแบบนี้แต่แรก” ผมบ่นทันทีพลางยกมือเกาหัวอย่างงง ๆ ที่เธอยังคงแสดงสีหน้าอย่างเดิมอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยน
ยัยหงส์ทำหน้าเหมือนกับว่าผมไม่รู้อะไรเอาเสียเลยน่ะ
นี่ผมไม่ได้โง่เหมือนสีหน้าตอนนี้สักหน่อยนะเว้ย!
“กูไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน มึงซื้อเสร็จก็เอาไปวางบนห้องกูเลยนะ”
“โอเค ๆ” ผมพยักหน้าตอบรับแต่โดยดีทันที
“อ้อ แล้วถ้าพวกเฮีย ๆ ถามว่าทำไมเมื่อคืนกูไม่กลับพร้อมกัน มึงก็แต่งเรื่องโกหกไปเลยนะ และมึงก็ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาดเชียวล่ะ กูไว้ใจมึงนะเว้ย” สิ้นสุดคำพูดนั้น ยัยหงส์ก็ปาดน้ำตาทิ้งอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินอย่างช้า ๆ เพื่อจะขึ้นขั้นบันไดไป และระหว่างนั้นเธอก็ยกมือกดหน้าท้องตัวเองไปด้วย
แต่แล้วจู่ ๆ จังหวะที่เธอจะก้าวเดินเพื่อขึ้นขั้นบันได เธอก็ชะงักฝีเท้าสักครู่หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกเจ็บจุกไปชั่วขณะน่ะนะ สุดท้ายเธอเลยเปลี่ยนใจหมุนตัวเดินไปขึ้นลิฟต์แก้วแทน
เฮ้อ...สงสัยเธอคงจะเจ็บน่าดูเลยล่ะ
อ้อ ขอนอกเรื่องเธอสักแปบหนึ่ง คืออย่างที่เคยบอกไปน่ะ บ้านหลังนี้ตกแต่งออกมาซะเว่อร์วัง มีลิฟต์แก้วเอ่ย มีทั้งสระว่ายน้ำล้อมรอบตัวอาคารบ้านเลยด้วย อีกทั้งยังมีสะพานเล็ก ๆ ไว้ข้ามสระว่ายน้ำอีกที ทุกอย่างจึงเหมือนหลุดออกมาจากหนังดิสนีย์ไม่มีผิด นี่ถ้าใครได้มีโอกาสมาที่นี่เป็นครั้งแรกนะ ผมรับรองเลยว่าทุกคนจะต้องร้องว้าวออกมาทันทีเลยล่ะ ผมมั่นใจ
ติ๊ด...
เสียงข้อความดังขึ้นหนึ่งครั้งจากกระเป๋ากางเกงในขณะที่ผมกำลังยืนมองตามหลังยัยหงส์อย่างเป็นห่วงจนไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้ ทว่าพอผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเปิดดูข้อความ คิ้วตนเองก็กระตุกอัตโนมัติเลยล่ะ นั่นก็เป็นเพราะว่าเรื่องที่ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจจนมันเกือบจะหายออกไปจากความคิดของผมได้ไม่นานนัก ตอนนี้มันวนกลับมาอีกครั้งเสียแล้ว
ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะวาโย นายมัวทำอะไรอยู่เหรอ?
09-65973XXX
“จะอะไรกันนักหนาวะ!” ไม่ต้องคิดนานนักหรอก ผมก็ต่อสายไปยังเบอร์ผู้ที่ส่งข้อความมาหาทันที
ให้ตายสิ เธอคนนี้อยากทำลายเมษาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ นี่ถ้ามันง่ายดายนัก ทำไมผู้หญิงปริศนาคนนี้ถึงได้ไม่ไปวานจ้างให้โจรไปลากข่มขืนเมษาซะเลยนะ ทำไมต้องเจาะจงผมคนนี้ด้วย
เสี่ยงคุกไม่ว่า แต่กลัวมีนาจะบอกเลิกนี่สิ ที่ผมกลัวที่สุด
[ว่าไงวาโย ทำไมยังนิ่งเฉยอยู่อีกล่ะ หรือว่านายลืมไปแล้ว?] แค่ได้ยินเสียงนี้ตามสายก็ทำเอาผมหัวเสียจนอยากจะเหวี่ยงโทรศัพท์ลงพื้นให้รู้แล้วรู้รอด เพราะเมื่อผมฟังจากน้ำเสียงที่สดใส ตนเองก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งมันต่างจากผมโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ผมแม่งประสาทกินจนอยากจะบ้าตายอยู่แล้ว
เธอคงจะจับตาดูการเคลื่อนไหวของผมอยู่ห่าง ๆ แน่ ๆ เลยล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าผมยังไม่เริ่มลงมือเสียที
ผมว่าต้องใช่แบบนี้แน่ ๆ
จะว่าไปแล้ว อย่างน้อย ๆ ผมน่าจะแอบจีบเมษาเล่น ๆ ดูนะ แบบว่าคบเพื่อหลอกฟันแล้วทิ้งน่ะ เพราะไหน ๆ ก็ไม่อยากให้มีนารู้เรื่องด้วยแล้วไง
ทุกอย่างต้องทำแบบลับ ๆ โดยที่ไม่ให้โดนจับได้ ซึ่งมันก็เหมาะเจาะนะ เพราะมีนาไม่ได้แนะนำผมให้ครอบครัวเธอรู้จักสักหน่อย
เฮ้ย...นี่ผมเผลอคิดแผนการเป็นตุเป็นตะแล้วเหรอเนี่ย!
ให้ตาย เรื่องราวมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว!
เอ่อ...ผมหมายถึงคำสั่งบ้าบอที่ทำให้ผมเผลอคิดแผนชั่ว ๆ ขึ้นมาน่ะ
“เพื่อนฉันโดนข่มขืน ใช่ฝีมือเธอรึเปล่า!” ตอนนี้ผมร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก จู่ ๆ มือไม้ก็เริ่มสั่น ๆ ขึ้นมาฉับพลัน ตนเองเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อกี้นี้เองว่าการที่ยัยหงส์กลับมาสภาพนั้น เธออาจจะเจอเรื่องร้าย ๆ มาอย่างหนักแน่ ๆ และมันต้องเกิดจากฝีมือของใครสักคน ซึ่งคนคนนั้นก็คงจะเป็นเธอคนนี้นี่เองแหละ
เพื่อนผมไม่เคยมีแฟน เธอไม่ใช่คนใจง่ายนอนกับใครง่าย ๆ หรอก อย่างมากก็แค่เกือบ ๆ ซึ่งมันก็แหงล่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะร้องไห้เสียใจทำไมกัน
[หึ นายนี่โง่เนอะ]
“เธอว่าไงนะ!”
[งั้นถ้าไม่อยากให้แฟนนายเป็นรายต่อไปก็รีบจัดการเมษาสักทีสิ]
ผมไม่อยากจะเชื่อหูตนเองเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ นี่มันโหดเหี้ยมเกินไปแล้วนะ!
“ฉันขอถามเธอจริง ๆ เถอะ การที่เธอต้องการให้ฉันทำลายชีวิตเมษาเนี่ย มันเป็นเพราะเธออิจฉาเมษาใช่รึเปล่า?” ผมไม่ลังเลที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม
ผมคิดว่านะ การที่เธอคนนี้ต้องการให้ผมทำอย่างนั้น ไม่แค้นกันก็ขี้อิจฉากันเท่านั้นแหละ สำหรับพวกผู้หญิงแล้ว แนวโน้มมันไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรมากมายกว่านี้นักหรอก หรือไม่ก็คงไม่พ้นเรื่องผู้ชายก็ได้มั้ง ใครจะไปรู้
[...]
“ว่ายังไงล่ะ เธอพอจะบอกเหตุผลก่อนได้มั้ย?”
[นายไม่มีสิทธิ์มาถามนะ!]
“แล้วเธอล่ะ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนั้นลงไป นี่ถ้าหากว่าฉันโง่ยอมทำตามคำสั่งบ้า ๆ ของเธอจริง ๆ เด็กที่เกิดมาจากสายเลือดของฉัน เธอคิดว่าฉันจะทิ้งได้ลงคองั้นเหรอ!” พอเธอขึ้นเสียงใส่ ผมก็สวนกลับทันควันทันทีเพราะตนเองรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกเท่าตัว “ถ้าเธอไม่สงสารเมษาก็น่าจะสงสารเด็กที่จะเกิดมาบ้างก็ได้ แต่คนอย่างเธอ คงไม่มีจิตสำนึกหรอกใช่มั้ย?” ได้ที ผมด่าเป็นชุด
ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก แต่ว่าผมไม่เคยมีความคิดบ้าบิ่นที่จะยอมทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนั้นลงไปได้ลงคอจริง ๆ เลยสักครั้ง
คำสั่งนั้นมันเลวร้ายเกินไป ผมทำไม่ได้
[...] เงียบแบบนี้ แสดงว่าเธอคงสะอึกไปเลยสินะ หึ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอรู้จักฉันดีแค่ไหน แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่ได้เป็นคนเลวขนาดนั้นหรอก”
[อ๋อเหรอ ก็ฟังดูดีนี่ แต่ฉันก็เชื่อนะว่านายเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะงั้นการที่ฉันเลือกนายก็ถูกคนแล้วนิ] เธอประชดด้วยประโยคยาว ๆ หากแต่ว่าประโยคหลัง ๆ ฟังดูแปลก ๆ ยังไงชอบกล มันเป็นคำชมแหละ แต่ทว่ายังไงซะน้ำเสียงของเธอก็ฟังดูไม่แยแสอยู่ดี [อ้อ ส่วนเรื่องที่ฉันรู้จักนายดีมากแค่ไหนน่ะเหรอ เดี๋ยวจะร่ายให้ฟังนะ]
“...” ผมเงียบพลางสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ ผมรอฟังดูว่าเธอจะพูดอะไรออกมาบ้าง
[โยธิน วชิระ เป็นหลานคนที่สองของตระกูลวชิระผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเขาเป็นบุตรแท้ ๆ แต่กลับถูกแม่แท้ ๆ ไม่เหลียวแลเลยสักนิด แถมยังปล่อยให้ผู้เป็นยายเลี้ยงดูแทนอีกด้วย]
“...” แค่ริเริ่มประโยคก็ทำเอาผมชะงักกึกแข็งทื่อขึ้นมาทันทีเลยทีเดียวแหละ ผมเผลอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกใส่อุ้งมือตนเองไม่รู้ตัว
นี่ผมไม่ได้ไว้เล็บยาวหรอกนะ แต่ในเมื่อเล็บมันตัดทรงเท่าขอบนิ้วพอดี พอผมโมโห ผมก็เลยกดแน่นเพื่อระบายความเจ็บช้ำในใจ
ผมเจ็บเพราะม๊าไม่ต้องการผม
ม๊าทิ้งผมให้ไปอยู่กับอาม่าตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถม นี่เป็นปมในใจของผมมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
[ที่ผ่านมานายคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาตลอดสินะว่าตัวเองอาจจะเป็นลูกนอกไส้ก็ได้ เพราะดูจากการใช้ชีวิตปัจจุบันแล้ว ตัวเองคงไม่ต่างอะไรจากเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจากถังขยะ]
“พะ พอ...!” ผมนึกอึ้งที่เธอใช้วาจาร้ายกาจพ่นใส่ แต่บอกเลย ภายในใจผมรู้สึกเจ็บหน่วง ๆ อย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ปากอยากจะเอ่ยห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าเสียงของตนเองจะขาดหายไปไปชั่วขณะ ราวกับว่ามันมีอะไรสักอย่างจุกที่ลำคอจนพูดต่อไปไม่ออก
คำพูดจี้ใจดำเรื่องนี้น่ะ ทำเอาผมชะงักงัน รู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
[ที่จริงฉันไม่อยากบรรยายถึงชีวิตอันน่าเวทนาของนายมากนักหรอกนะวาโย แต่เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วกันว่าจริง ๆ แล้วนายน่ะมันจอมตอแหล ชอบสร้างภาพจนติดสันดาน และที่นายยอมประพฤติตัวดีก็เพื่อลบล้างเรื่องแหวนประจำตระกูลที่ตัวเองทำหายไปเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้นแหละ]
“...”
ไม่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย
ผมสาบานได้เลยว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นเลยจริง ๆ
ที่ผมทำตัวดี ๆ กับคนอื่นมาตลอด ผมไม่เคยมีเจตนาทำเพื่อให้ใครมาเห็นความดีความชอบของตนเองเพราะอยากถูกยอมรับ
ทุกการกระทำของผมมันไม่ใช่การฝืนทำเลยสักนิด เพราะมันเป็นนิสัยปกติของผมอยู่แล้ว
[หึ เป็นไง สรุปสั้น ๆ แต่ได้ใจความดีมั้ยล่ะ]
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอเป็นใคร ฉันจะฆ่าเธอแน่!” แม้จะรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนอย่างไร แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอดพูดด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นภายในใจเป็นอย่างมาก นี่ถ้าผมได้มีโอกาสเจอผู้หญิงคนนี้เมื่อไร เธอจะต้องไม่เจอดีแน่ ๆ ผมสาบานเลย
[ชีวิตนี้นายคงเก็บกดน่าดูเลยสินะวาโย แล้วนี่ที่ผ่านมานายเคยคิดจะฆ่าคนไปแล้วกี่หนแล้วล่ะ?] เธอแกล้งทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดที่ผมเอ่ยขู่ แถมยังพูดจายียวนกวนประสาทต่อไม่เลิกละ
เธอคนนี้เก่งจริง ๆ
เก่ง...ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะลงมือฆ่าคนจริง ๆ
“ตอนเด็ก ๆ ฉันกับเมษาเคยสนิทกันมาก ถ้าจะให้ฉันทำแบบนั้นกับเธอ ฉันทำไม่ได้หรอก อีกอย่างเธอก็น่าจะรู้ว่าเมษาเป็นน้องสาวของมีนา แฟนของฉัน จะให้ฉันคบพี่เอาน้องรึไง!” แม้จะรู้สึกโกรธแค้นกับคำพูดของคนปลายสายมากแค่ไหน แต่อย่างไรเสียผมก็ไม่ยอมหน้ามืดตามัวเต้นเป็นเจ้าเข้าตามเกมของเธอคนนี้หรอกนะ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเรื่องคุยให้เข้าประเด็นแทน “ฉันทำไม่ลงหรอกนะ ขอร้องล่ะ เธอไปหาคนอื่นทำแทนดีกว่า”
[ที่ทำไม่ลงเพราะเกลียดใช่มั้ยล่ะ]
“...”
[เกลียดที่ยัยนั่นโยนแหวนประจำตระกูลทิ้งหายไปต่อหน้าต่อตานาย]
ทำไมเธอคนนี้ถึงได้รู้เรื่องของผมเยอะนักนะ ขนาดยัยหงส์ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เธอไม่ได้ล้วงรู้เรื่องของผมถึงขั้นนี้เลย
เรื่องที่ม๊าเกลียดผมจนถึงทุกวันนี้มันเป็นเพราะเรื่องแหวนประจำตระกูลอย่างที่เธอว่าจริง ๆ นั่นแหละ ซึ่งเมษาก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้มันหายไปไง
เรื่องนี้ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ มันเป็นความลับสุดยอดที่ลึกมาก ๆ ซึ่งต่อให้ผมจะถูกทำโทษ ผมก็ไม่ยอมปริปากบอกความจริงออกไปหรอก
แหวนที่หายไปนั้นน่ะ ผมโกหกทุกคนไปว่าตนเองแอบหยิบไปเล่นแล้วเผลอทำหล่นที่ไหนสักแห่ง
ผมไม่รู้ ผมแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ ตอนนั้นผมโคตรเป็นคนดีเลยล่ะ ผมปกป้องยัยเด็กร้ายกาจคนนั้นก็เพราะเพื่อไม่ต้องการให้เธอโดนดุ
เหตุผลมันแค่นั้นจริง ๆ นะ โคตรปัญญาอ่อนสิ้นดีเลยใช่ไหมล่ะ
“เออ! ในเมื่อเธอรู้อย่างงี้แล้ว เธอจะยังสั่งให้ฉันเป็นคนลงมือทำอีกทำไมวะ แค่จินตนาการว่าตัวเองกำลังมีอะไรกับยัยนั่น ฉันก็สะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกออกมาแล้วล่ะ” ผมยอมรับออกไปตรง ๆ และเปลี่ยนท่าทีการพูดการจาเสียใหม่
ก็ในเมื่อเธอเล่าเหมือนรู้เรื่องของผมดีนัก ดังนั้นตนเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างภาพเป็นคนดีอีกต่อไปแล้วล่ะ
ผมควรต้องเปิดเผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกไปเพราะคนอย่างเธอน่ะ ผมไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วยหรอก
[แล้วทำไมนายไม่คิดกลับกันล่ะ]
“ยังไง?”
[นายก็ทำเพื่อแก้แค้นไง]
“...” แต่แล้วพอผมได้ยินประโยคนี้เข้าไป มันกลับทำให้ผมชะงักกึกอีกครั้งและเผลอคิดตามอย่างที่เธอพูดไปในทันที
นั่นสินะ ผมแค้นเมษามากี่ปี ชีวิตตกต่ำถึงขั้นขีดสุดจนขนาดว่าต้องไปอยู่บ้านไร่ไกลเมือง ทั้ง ๆ ที่ผมเคยใช้ชีวิตสุขสบายในบ้านหลังใหญ่โต
ผมเป็นถึงหลานชายเจ้าสัวผู้ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ ตระกูลเรามีกิจการธุรกิจนับไม่ถ้วน แต่แล้วผมกลับต้องมาใช้ชีวิตกลบเกลี่ยกับไอ้พวกเด็กบ้านนอกจน ๆ
เมื่อคิดถึงชีวิตเมื่อก่อนก็ทำเอาผมเดือดขึ้นมาโดยทันที
ที่ผ่านมาตนเองต้องปั้นหน้ายิ้มให้กับทุกคน และดิ้นรนขยันเรียนหนังสือให้เก่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ชนิดที่ว่าสอบแต่ละครั้ง ผมต้องได้คะแนนเต็มหรือไม่ก็ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาก็เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่โดนถูกตราหน้าว่าเป็นคุณชายตกอับที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
ผมมันก็แค่ไอ้ตัวซวยของตระกูลเท่านั้นแหละ
ซึ่งต่อให้ผมมีดีแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้รับการให้อภัยจากม๊าอยู่ดี
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ต่อให้อยากทำจริง ๆ แต่ยังไงซะผมก็ไม่กล้ายอมเสี่ยงอยู่ดีแหละ เพราะหากเมษาฟ้องมีนาขึ้นมา ความรักที่ผมพยายามทุ่มเทมาทั้งหมดตั้งหลายปี มันก็สูญเปล่าน่ะสิ
ต่อให้โดนขู่ว่าตนเองจะถูกฆ่าตาย ผมก็ไม่กลัวหรอก บอกเลย
[เอาล่ะ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะติดต่อหานาย เพราะฉะนั้นแล้วแต่นายเลยแล้วกันวาโย ไม่ต้องถึงขั้นท้องก็ได้ แค่ทำให้ยัยนั่นย่อยยับจนไม่มีหน้าไปแต่งงานกับใครได้อีกก็พอ]
แต่งงานงั้นเหรอ?!
“เธออิจฉาเมษาใช่มั้ย...” ทั้งที่เดาว่าคนปลายทางไม่ตอบกลับมาหรอกมั้ง แต่ผมก็ยังคงถามคำถามนี้ขึ้นมาอีกครั้งเพราะยังอยากรู้เหตุผลไม่หาย
[ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง] เธอพูดแค่นั้นก็วางสายไป
จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ลดมือลงข้างตัว โดยสายตาก้มมองดูสิ่งที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด
ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะไม่ยอมเอ่ยสารภาพออกมาแล้วเสียอีกน่ะ นี่ผมไม่ได้คาดหวังเลยนะ มันจึงทำให้ผมรู้สึกเหลือเชื่อไปสักหน่อย
“นึกเหรอว่าฉันจะทำ ไม่เห็นมีความจำเป็นเลยสักนิด หึ” ผมพึมพำ ก่อนจะแค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอพลางยกมุมปากแสยะยิ้มด้วยสีหน้าชั่ว ๆ ไปด้วย
ซึ่งทั้งชีวิตนี้ ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนหรอก
บอกแล้วไงว่าผมรักมีนามาก เพราะฉะนั้นผมไม่ยอมเสี่ยงโดยเด็ดขาดเลย
อย่างไรเสียมันก็ไม่คุ้มเลยสักนิด
นี่ขนาดผมใช้เวลาตื๊อมีนามาหลายปี มีนายังไม่รักผมเลย และถ้าหากว่าผมกล้าที่จะทำลายชีวิตเมษา แล้วโดนจับได้ขึ้นมา แน่นอนว่าพี่สาวจอมหวงน้องสาวยิ่งกว่างูหวงไข่คงเกลียดขี้หน้าผมเข้าไส้จนอยากจะฆ่าทิ้งให้ตายไปเลยล่ะ
แค่อารมณ์ชั่ววูบ อาจจะทำให้ผมสูญเสียคนรักไปตลอดกาลก็ได้ อีกอย่างหนึ่งนะ นั่นมันก็แค่เรื่องของพวกผู้หญิงเท่านั้นแหละ ผมจะไม่ยอมพาตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องอะไรด้วยหรอก
บ้าจริง บางทีผมก็เห็นแก่ตัวเกินไปจนไม่ห่วงความปลอดภัยของคนรอบข้างบ้างเลยแม้แต่น้อย
ผมนิสัยไม่ดีเลยนะ ว่าไหมล่ะ
แต่ก็อย่างที่บอกไป มีนาเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพียงแค่เธอเท่านั้น ผมจึงไม่อยากตาย...
บอกจะปรับเปลี่ยน มีวินัยในการอัปนิยาย
แต่อกหักจ้า ด้าไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรอยู่หลายวัน
แต่เพราะอกหักจากคนเดิมค่ะ เลยเศร้าไม่นาน
มาอ่านต่อเนอะ
ความคิดเห็น