ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ถ้าแน่จริง...ก็จับผมสิ" (CHANBAEK ft.KaiHun LuMin)

    ลำดับตอนที่ #5 : Kapitel 04 : เปิดคดีของขวัญสองสี

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 58


    Oxygen Blue Curve - Crosshair

          

       Kapitel 04 : เปิดคดีของขวัญสองสี



    (คนเรา70%บนโลกมักบอกว่าตัวเองรู้ใจของตัวเอง..แต่จริงๆแล้วไม่มันคือการหลอกตัวเอง หนึ่งในนั้นคือเราทั้งคู่)



               ฟึ่บ!



              “นี่ ข้อมูลที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานหามาได้” แฟ้มสีน้ำตาลเข้มโดนปามาวางแหมะต่อหน้าร่างสูงบนโต๊ะกระจกสีใสของผู้กำกับคิม คิมฮีชอล  หรือ  เจ้คิมสายโหดของคนในสถานีตำรวจ



              “ผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนถูกนำมากักไว้ในห้องสอบปากคำตั้งแต่เมื่อตอนหัวรุ่ง ผมส่งหมวดทึกเข้าไปแล้วตั้งแต่เช้า แฟ้มหน้าที่สามมีรายละเอียดของผู้ต้องสงสัยอยู่ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรที่ข้องใจอยากจะค้นคำตอบเพิ่มอีกก็ไปถามพวกเขาได้ที่ห้องสอบปากคำ ผมยังไม่ได้สั่งปล่อยตัวพวกเขาทั้งคู่...รอบนี้เหมือนเดิมอีกแล้ว” ผู้กองปาร์คพยักหน้าเข้าใจทั้งที่ตาคมยังให้ความสนใจอยู่กับแผ่นกระดาษในแฟ้มหนา



              “ครับ...ผมยังมีเรื่องให้ต้องคิดอีกเยอะ” ชานยอลปิดหน้าแฟ้มลงหลังจากที่อ่านข้อมูลของคดีจนหมดบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะหยัดตัวขึ้นด้วยความสุขุม แม้นในใจจะคิดอะไรอยู่มากมายเต็มหัวไปหมดจนรู้สึกอารมณ์เสียก็ตาม



              “ก็ดี..งานนี้ไม่ใช่เล่น แต่คุณรู้ใช่ไหม? ว่าผมไม่ชอบให้งานยืดเยื้อ” ผู้กำกับร่างเล็กเอ่ยบอกแล้วหยิบแฟ้มเอกสารที่ตั้งอยู่ข้างตัวมาเขียนอะไรยุกยิกลงไป



              “ครับ..ผมทราบ หน้าที่ของผมคือการรับใช้ประชาชน มันคงไม่ดีถ้าประชาชนจะต้องเดือดร้อนนานๆ”



              “นายยังคิดดีเหมือนเดิมนี่...ไปได้แล้วผู้กอง หวังว่าคุณจะให้ความยุติธรรมกับทุกทุกงานไปตลอด อ้อ... ผู้กองโอเพิ่งลงพื้นที่ไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” พอได้ยินชื่อของโอเซฮุน ชานยอลก็เกิดอาการคิ้วกระตุกขึ้นมาในทันทีทันใด แล้วจะให้ตอบผู้กำกับคิมไปยังไง? ยังไงเขาก็ขัดใจหัวหน้าไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ผู้กำกับให้ทีมคู่อริมาก้าวก่ายงานของเขาก็ตาม



              “ครับ”



              อ้อ คงลืมบอกไปสิน่ะ ว่า โอ เซฮุนน่ะ คือ ผู้กองทีมโอ ของสน.โซลเหมือนกัน ทีนี้ก็น่าจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้วหรือเปล่า?



              “โอเค ไปได้แล้ว” ฮีชอลเอ่ยบอกเสียงเรียบ เขาแอบเหลือบมองผู้กองมือดีที่เป็นลูกน้องของเขาเงียบๆ พิจารณาอะไรบางอย่างในตัวชายหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ



              “อ้อ ท่านผู้บังคับบัญชาการฝากมาบอกคุณว่า ถ้าดูแลลูกชายของท่านดีดีท่านจะมีรางวัลตอบแทนให้อย่างงาม แต่ถ้าวันไหนลูกชายของท่านเกิดบอกว่าอยู่กับคุณแล้วไม่สบายใจ คุณคงรู้น่ะ ว่าจะได้อะไรกลับมา”



             “ครับ”



             “ไปเถอะ ผมมีงานต่อ”



              “ครับ” ชานยอลตอบกลับด้วยประโยคเดิมเสียงเรียบ ก้มศรีษะให้ผู้เป็นหัวหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมา






              บยอนแบคฮยอนน่ะ ไม่สบายใจตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกแล้ว เขาคงทำให้ผู้บังคับบัญชาพึงพอใจไม่ได้หรอก

     





              Park Part


              “ผู้ตายชื่อ คิม เหมยลี่ อายุ 45 ปี เธอเป็นแม่ม้าย หลังจากที่สามีของเธอ เสี่ยวลู่หมิงได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจเมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีลูกชายอยู่สองคน คนนึงเป็นลูกแท้ๆ ชื่อ คิม จุนมยอน ส่วนอีกคนเป็นลูกติดของ เสี่ยวลู่หมิง ชื่อ เสี่ยว ลู่หาน เมื่อประมาณ 2 ปี ที่แล้วเธอป่วยเป็นโรคอัมพฤษ์ครึ่งตัว เนื่องจากในวันที่ 7 พฤษภาคม เธอได้ประสบอุบัติเหตุทางรถเพราะอาการเมาจนขาดสติ จนเมื่อวานเวลาราวๆ 6 โมงเช้า ลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ก็ได้มาพบเธอในสภาพที่ไร้ลมหายใจบนเตียงประจำที่เธอนอนมาตลอด 2 ปี โดยข้างตัวของเธอมีหมอนสีขาวไพ่แหม่มและเข็มกลัดรูปร่างแปลกๆวางอยู่...อุบ้ะ! นึกว่าอยู่ในโคนันอ่ะ มีทิ้งไพ่ไว้ด้วย คดีนี้ไม่ธรรมดา” คิมจงแด หรือ หมวดจงแดพูดขึ้นทั้งที่ปากของมันเต็มไปด้วยขนมขยะหลากสี ผมละอยากจะไล่มันออกจากทีมซะตอนนี้เลยจริงๆโทษฐานทำให้สถานที่ทำงานเป็นร้านขายขนมเด็ก3ขวบได้ภายในพริบตา เพียงแค่เวลาไม่กี่นาทีที่ผมเข้าไปรับงานกับผู้กำกับโด ไอจงแดมันก็เหมาขนมเป็นสิบมานั่งฟาดคนเดียวจนรกโต๊ะทำงานไปหมด แต่จะว่ามันคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะข้างตัวมันยังมี ตำรวจสาวสองคนกับจ่าหนุ่มอีกคนนั่งล้อมวงเฮฮาปาจิงโกะกัน



              โอ๊ะ! ผมคงลืมแนะนำพวกเขาไปสิน่ะ



              โอเค งั้นพวกคุณมองไปตามสายตาของผมเลยน่ะ เห็นผู้หญิงอวบๆคนนั้นไหม? คนนั้นน่ะที่ผิวตัวสีเดียวกับคิมจงอินเพื่อนรักปากผีของผม นั่นแหละครับ เธอชื่อ ควอน ยูริ หรือ หมวดควอน ปากคอเราะร้ายและสำหรับผม ผมคิดว่าเธอแมนยิ่งกว่าหญิงใดที่ผมเคยพบเจอ เผลอเผลออาจแมนกว่าคิมจงแดเสียด้วยซ้ำ หมวดควอนน่ะไม่ถนัดการใช้สติในการคุยกับผู้ต้องหาสักเท่าไรนัก หร่อนจะสติแตกทุกครั้งที่โดนกวนบาทา พลังมากล้น มีสปิริตแรงกล้า นั่นจึงเป็นเหตุที่ผมบอกว่าเธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ชาย  ส่วนคนที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่สวมโบว์สีแดงใหญ่ๆที่มุมขวาของศรีษะตรงนั้นน่ะ เธอชื่อ อัน ฮานยอน หรือ ฮานิ วันวันเธอไม่ทำอะไรนอกจากนั่งถักนีตติ้ง ต่อจิกซอว์ เติมลิปสติกบ้างแหละแป้งบ้างแหละตามประสาผู้หญิงเขาทำกัน แต่จะว่าเธอไม่ทำอะไรคงไม่ได้ เพราะเป็นผมเองต่างหากที่ไม่ได้สั่ง แต่ก็นั่นแหละนะ ผมว่าเธอน่าจะคิดได้บ้างว่าชีวิตเธอควรทำอะไรนอกจากการจัดโบว์ยักษ์บนหัวนั่นทั้งวัน แต่ถึงอย่างงั้นศักยภาพด้านสติปัญญาของเธอก็หลักแหลมอยู่พอสมควร มีครั้งนึงที่ผมใช้เธอให้ไปเป็นเด็กสาวหลงทางเพื่อหลอกล่อรถของพวกค้ามนุษย์ ผมจำได้ว่านั่นเป็นคดีแรกที่ทีมของเราได้รับ แล้วเพราะเป็นครั้งแรก มันเลยพลาด...ฮานิโดนจับตัวไปทั้งที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นพวกเรากระวนกระวายกันพอสมควร แต่คุณคงไม่เชื่อแน่ว่าอยู่ดีดีฮานิก็ใช้เบอร์โทรศัพท์ของพวกนั้นโทรมาบอกให้พวกเราไปรับที่สะพานแขวนกลางเมือง ซึ่งสภาพของเธอยังคงอยู่ดี เว้นเสียแต่รถตู้ที่ตกลงไปในแม่น้ำ และชายชุดดำสี่ห้าคนที่โดนมัดอยู่ตรงราวสะพานน่ะนะ โอเคผมจะเผาเธอแค่นี้ ผู้ชายที่นั่งถัดไปจากฮานิก็คือ จ่าลีทึก ที่โดนพูดถึงไปเมื่อสักครู่ ลีทึกเป็นคนจำพวกไม่สุงสิงกับใครสักเท่าไรนัก ในสมองของเขามีเรื่องให้คิดยิ่งกว่าผมที่เป็นหัวหน้าของเขาเสียอีก ลีทึกเป็นคนใจเย็นมากมากจนดูเย็นชา แต่เขาก็เลือกปฎิบัติน่ะ เขามักจะแสดงด้านที่อบอุ่นแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามให้คนอื่นเห็น แต่สำหรับพวกเรา ผมคิดว่าเขาดูผ่อนคลายจนดูเป็นเด็กไปเลย



              คนสุดท้ายนี่ผมไม่อยากพูดถึงสักเท่าไรนัก หมวดจงแด เป็นบุคคลต้องห้ามที่ทุกคนควรระวังคำพูด...ทำไมน่ะหรอ? ก็เวลาพูดกับหมอนี่ถ้าคุณพูดถูกใจขึ้นมา มันจะพูดเรื่องเดิมๆกับคุณไปตลอดทั้งวันเลยแหละ จงแดเป็นไอคอนของความบ้าบอคอแตก ไอคอแตกนี่คงจะแตกเพราะพูดมากนั่นแหละ แต่หมอนี่ก็จริงใจจนดูซื่อบื้อและโลกสวยไปเลย ข้อดีของจงแดน่ะหรอ? ใจแข็งมั้ง ถึงมันจะจริงใจ แต่ถ้าใครทำผิดนี่มันคงจะเกลียดเข้าไส้ไปเลย ปราณีกับนักโทษอะ ไม่เคยหรอก



              “-*-“



              “กราบครับหัวหน้า”



              “เลิกกวนผมแล้วไปที่เกิดเหตุกับคุณลีทึกสักทีได้หรือยังครับคุณจงแด?”



              “ผู้กองปรากก็”



              “อยากไปอยู่ทีมผู้กองโอไหมครับ”



              “อุ้ย! จงขอโต๊ดดดด ไปพี่ทึกไป!” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับทำหน้าเอือมระอาอย่างหาที่สุดไม่ได้ จงแดมันกวนตีน นี่คืออีกข้อที่คุณควรรู้ หมวดลีทึกทำเพียงแค่ยิ้มบางๆส่งมาให้ผมเป็นการให้กำลังใจและเหมือนจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจอะไรจงแดมันทางอ้อม ลีทึกก็เป็นคนแบบนี้แหละ เพราะความที่ผมและเขาไม่ชอบพูดและอายุมากที่สุดในทีม มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแยะมากมายทั้งคู่ เราเลยมักคุยกันผ่านสายตาเสียมากกว่า



              “หมวดแด! เลิกกระแนะกระแหนแล้วทำตามท่านหัวหน้าสั่งซะ ขนมตรงนี้เดี๋ยวฉันจะรับฝากเอง”



              “เพราะคุณกินมากแบบนี้ไง เลยวิ่งตามหมาหายไม่เคยทันสักที”



              “ว่าไงน่ะ! ฉันวิ่งทันน่ะเฟ้ย! ก็คดีที่หมาพุดเดิ้ลหายหมามันวิ่งเร็วเองนี่หว่า"



              “อ๋อหรอออออ”



              “พวกคุณ...จะไปกันดีดีหรือให้ผมถีบส่ง?” น่าปวดหัวว่าไหมครับ? ผมว่าผมควรอบรมพวกเขาสักหน่อย ถ้าทีมอื่นมาเห็นทีมของเราทำตัวเด็กแบบนี้ มันคงจะมีแต่เสียกับเสีย



              “อุ้ย! โหดดดด ชรงขอโทษคร้าบหัวหน้า ไปกันเถอะพี่ทึก เดี๋ยวสีจะลอกใส่” จงแดจีบปากจีบคอพูดแล้วกอดแขนของหมวดทึกที่ยืนอมยิ้มให้กับความปัญญาอ่อนของเพื่อนร่วมทีมเงียบๆลากออกไป จงแดนี่ก็จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าควอนยูริคลั่งขึ้นมาตัวเองอาจตายได้ แต่ก็ยังกวนคนอื่นเขาต่อไป เห้ออออ นี่หรอ ทีมตำรวจที่เป็นที่เลื่องลือของสน.โซล



              “อีหมวดแด!



              “คุณยูริครับ ห้ามพูดคำหยาบในสถานที่ราชการ หวังว่าคุณคงจำกฎข้อนี้ได้”



              “ท่านหัวหน้าอ้ะ!



             “เลิกบ่นแล้วมาเอาเอกสารจากผมไปพิจารณาคดีสักทีเถอะครับ อยากจบคดีเร็วๆก็รีบๆสิครับ” ยื่นเอกสารให้ลูกน้องคนแกร่งก่อนที่ควอนยูริจะรับไปด้วยสีหน้ายุ่งเหยิงที่กำลังฝืนให้มันดีขึ้นเพราะอยู่ต่อหน้าหัวหน้าอย่างผม



              “คร้าคร้า”



              “อ้อ ฮานิ” ผมทักฮานิที่เดินผ่านประตูห้องของทีม เธอถือเอกสารพะรุงพะรังเต็มมือไปหมด ซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นเอกสารปิดคดีที่แล้วแน่ๆ  


             

              “What บอส?”



              “ทำตรงนั้นเสร็จแล้วมาช่วยคุณควอนตรงนี้หน่อยได้ไหมครับ?” ว่าพลางผมก็เหลือบมองหมวดควอนพลาง พอเห็นสีหน้ายุ่งๆของหมวดควอนแล้วก็อดจะขำไม่ได้ จะจริงจังไปไหนน่ะ แต่ผมก็พอจะรู้เหตุผลอยู่หรอก



              จำหญิงสาวที่ผมให้พูดไกล่เกลี่ยบยอนแบคฮยอนในห้องสอบสวนได้ไหม? ที่พูดอะไรไม่ออกตอนเจอคู่ต่อสู้ที่เลเวลปากยิ่งกว่าลีหน่าจางอย่างบยอนแบคฮยอนน่ะ นั่นแหละ คนนั้นคือเธอ หลังจากที่สอบปากคำนักแสดงคนนั้นเสร็จยูริก็ถึงกับเครียดเลย เธอบอกว่าปกติเธอเป็นคนมั่นใจเรื่องฝีปากของตัวเองมาก แต่เพราะแบคฮยอนเป็นคนดังแถมยังเป็นลูกของท่านผู้บังคับบัญชาการเธอถึงไม่กล้าสู้สักเท่าไรนัก เธอเลยพยายามตั้งใจทำงานและกล้ามากขึ้น คงไม่อยากทำงานพลาดอีกละมั้งครับ



              “OK! ค่ะบอส”



              “หวังว่าพวกคุณจะทำได้ดีน่ะครับ” ผมเอ่ยทิ้งท้ายให้หมวดสาวทั้งคู่แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องสอบสวน...มันก็จริงอย่างที่จงแดว่า มีไพ่ทิ้งไว้ด้วยมันไม่ธรรมดาหรอกน่ะ การที่คนร้ายทิ้งหลักฐานเอาไว้แบบนี้มันก็ยังไงยังไงอยู่ ลองคิดดูถ้าเป็นคุณคุณจะทิ้งสิ่งที่จะทำให้คนอื่นจับคุณได้ไว้ที่เกิดเหตุหรือ? ถึงแม้นบนไพ่นั่นจะไม่มีลอยนิ้วมือเลยก็ตาม




              แล้วการที่ไพ่เป็นแหม่มมันคืออะไร? ต้องการจะสื่ออะไร? หรือเป็นเพียงของของผู้ตายเท่านั้น? แล้วทำไมลูกชายทั้งสองคนถึงกลับมารุ่งสางขนาดนั้น ทั้งที่อายุคงยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งคู่ แถมคนร้ายรู้ได้ยังไงว่าวันนั้นลูกชายของผู้ตายไม่อยู่? มันก็จริงที่ผู้กำกับว่า ยากกว่าที่คิด


    END Park Part



           

     


              ผู้ต้องสงสัย ลู่หานและจุนมยอนแยกห้องสอบปากคำกัน ร่างสูงของผู้กองปาร์คเดินมายังห้องสอบปากคำถัดไปหลังจากที่ซักถามอะไรบางอย่างกับคิมจุนมยอนเสร็จ จุนมยอนเอาแต่ร้องไห้และตอบเขาไม่รู้เรื่องเลย เขายังเด็กมากและคงจะช๊อคจริงๆที่เจอแม่ของตนในสภาพแบบนี้และรับรู้ว่าต่อจากนี้จะไม่มีแม่อีกต่อไปบนโลก แต่เขาเองก็พอจะได้ข้อมูลคร่าวๆที่เป็นข้อมูลสำคัญมาบ้างแล้วแหละถึงได้ยอมมาที่ห้องของลู่หานผู้ตองสงสัยคนต่อไป คิมจุนมยอนไม่ชอบพี่ชายของตัวเองจนเข้าขั้นรังเกียจ นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลได้รู้เพราะคิมจุนมยอนเอาแต่พูดคำว่า เป็นความผิดของลู่หานแท้ๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของมัน แล้วเสี่ยวลู่หานละ? เกลียดน้องของตัวเองไหม นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้เช่นกัน




              ก๊อกๆ พลั่ก!            



              “...”



              “สวัสดีครับคุณลู่หาน” ผู้กองหนุ่มลากเก้าอี้ไม้มาวางตรงหน้าโต๊ะของผู้ต้องสงสัยนามว่า ลู่หาน เด็กหนุ่มเหลือบมองเขาเพียงเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงไปตามเคย เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องไห้ ชานยอลว่าเขาไม่เห็นแม้แต่น้ำตาสักหยดจากเด็กคนนี้เลย หรือเป็นเพราะลู่หานร้องไปแล้ว? แต่เขาว่ามันคงไม่ใช่ เพราะถ้าคนที่ร้องไห้มันก็ต้องดูออกสิว่าผ่านการร้องไห้มา



              “...”



              “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?” ชานยอลว่า พลางเท้าศอกลงกับหน้าตักแล้ววางคางลงบนฝ่ามืออย่างที่ชอบทำ



              “...”



              “ทำไมคุณถึงกลับมาในตอนรุ่งสางขนาดนั้นล่ะครับ? ทั้งที่คุณควรจะเป็นนักเรียนไฮสคูลปีสามเอง ไม่ใช่โฮตส์ที่ทำงานตอนกลางคืนเสียหน่อย”



              “...” ลู่หานทำเพียงช้อนตามองร่างสูงของผู้กองหนุ่มแล้วขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปม การที่เขากลับบ้านช้ามันจำเป็นหรือที่เขาจะต้องทำงานเป็นโฮสต์อย่างที่ผู้ใหญ่คนนี้ว่า อีกอย่างเขาก็บอกไปแล้วว่าอยู่ทำงานชมรมที่โรงเรียน ทำไมต้องถามแต่คำถามแบบนี้ซ้ำๆกัน?



              “ตอบผมหน่อยได้ไหมครับ?”



              “...” เด็กหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาสีเฮเซลนัทของผู้ชายหน้าตากวนประสาทตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เช่นกันที่ชานยอลก็มองเข้าไปในดวงตาของลู่หาน บอกตรงๆว่าเด็กคนนี้มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเขา มันเรียบเฉยเสียจนมองไม่ออก



              “งั้นผมขอไม่ถามอ้อมๆแล้วล่ะกันน่ะครับ ในเมื่อคุณไม่ให้ความร่วมมือแบบนี้ผมก็ขอถามตรงๆเลยแล้วกัน”



              “...”



              “คุณน่ะ...เกลียดน้องชายใช่ไหมครับ”



              “เอาอะไรมาพูด!!” ลู่หานพูดโพร่งขึ้นขัดจังหวะผู้กองหนุ่ม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่นกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า มือสองข้างที่โดนล๊อคไว้ก็กำแน่นเสียจนเส้นเลือดปูดขึ้น



              “น้องชายคุณบอกว่าเขาเกลียดคุณ” ผู้กองหนุ่มตอบเสียงเรียบ



              “...”



              “คุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนฆ่าแม่ของคุณ”



               “...”



              “ผมเจอไพ่แหม่มตกอยู่ข้างตัวของแม่คุณ พอจะบอกได้ไหมว่ามันมีความหมายอะไรลึกซึ้งไหม? แม่คุณมีของแบบนี้ไว้ติดตัวด้วยงั้นหรือ?”



              “...”


              “อย่าเงียบสิครับ ถ้าคุณเงียบมันจะส่งผลเสียต่อตัวคุณน่ะครับ”



              “...”



              “...บนไพ่นั่นมีรอยนิ้วมือของน้องชายคุณ รู้ใช่ไหมว่าถ้าคุณไม่ปริปากพูดเลยผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งจะเป็นใคร” เปล่าหรอก...ชานยอลโกหก บนไพ่ใบนั้นไม่มีรอยนิ้วมือของคิมจุนมยอน



              “คุณ...ต้องการอะไรกันแน่!!



              “...”ชานยอลไม่พูดอะไรต่อ เขาปล่อยให้เด็กคนนี้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด เดาว่าคงจะทนเล่นสงครามประสาทกับเขาไม่ไหวถึงได้ระเบิดออกมา



              “เรื่องที่ผมรู้ผมก็บอกไปหมดแล้ว ยังต้องการอะไรอีก? ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณสงสัยในไพ่ใบนั้นและมาถามผมแบบนี้ แต่คำตอบของผมคือ ผมไม่รู้ และได้โปรดปล่อยน้องผมไปเถอะ คุณจะกักเขาไว้แบบนี้ไม่ได้”



              “ขอเหตุผลดีดีหน่อยครับ ว่าทำไมผมถึงกักตัวเขาไว้ไม่ได้?” ผู้กองหนุ่มยกแขนทั้งสองขึ้นมากอดอกแล้วไขว้ห้าง กระตุกยิ้มนิดๆ เด็ก...นี่มันเด็กจริงๆ ปิดบังอะไรไม่เก่งเลยสิน่ะ



              “เพราะ...เพราะเขาต้องเรียน” เด็กหนุ่มยอมผ่อนปรนอารมณ์ที่พุ่งปะทุเมื่อสักครู่ลงทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปนั่นคือการระเบิดอารมณ์ใส่ตำรวจเจ้าเล่ห์ตรงหน้า



              “แล้วคุณไม่ต้องเรียนหรอครับ”



              “คุณจับผมไปสิ ผมเป็นคนทำ ได้โปรดปล่อยจุนมยอนไป”



              “ให้ความเท็จมันผิดกฎหมายน่ะครับ”



              “พอบอกความจริงคุณก็บอกว่ามันคือความเท็จ สรุปคุณต้องการอะไรกันแน่?”



              “แค่บอกเหตุผลดีดีที่ผมสมควรปล่อยน้องคุณไป แค่นั้นแหละครับ” 



              “คือ...เขาเป็นน้องผมคุณรู้ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองปลายเท้า เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาไว้ตรงไหนดีกันแน่



             “ครับ”



              “เขาเป็นน้องของผม...ใช่ เขาเป็นน้องของผม เขาเป็นน้องของผม” ประโยคแรกเหมือนว่าเด็กคนนี้จะพูดอยู่กับเขาอยู่หรอกน่ะ แต่ประโยคสองประโยคหลังนี่คือการพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า แล้วลู่หานก็เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆอยู่กับตัวเอง เขาเป็นน้องของผม นั่นคือสิ่งที่เด็กคนนี้พูดซ้ำๆ



              ปาร์คชานยอลว่าลู่หานน่ะ..ถ้าไม่เป็นโรคป่วยทางจิตอ่อนๆก็คงจะเป็นโลกซึมเศร้ามานานแล้วหรือเปล่า? แต่อย่างน้อยการสอบสวนครั้งนี้เขาก็พอจะรู้ข้อมูลสำคัญมาอีกหลายข้อ




              ลู่หานรักน้องชายมาก




              ไพ่นั่นมีความหมายกับเด็กหนุ่มและน้องชายของเขา




              ที่ลู่หานกลับบ้านดึกไม่ใช่เพราะทำงานที่ชมรมหรือทำงานเป็นโฮสต์ แต่เด็กคนนี้ซ้อมกีฬาทั้งคืน...สังเกตุจากชุดกีฬาที่ใส่ถุงทึบและเก็บไว้อย่างมิดชิดในกระเป๋าเป้ของเด็กหนุ่ม แถมพอหลังจากสอบปากคำลู่หานเสร็จ ยูริและฮานิก็แจ้งข้อมูลอีกข้อนึงที่พวกเธอเพิ่งค้นเจอ...เข็มกลัดที่เจอบนหัวเตียงของคุณเหมยลี่ คือเข็มกลัดแสดงตัวนักกีฬาโรงเรียน แต่เข็มกลัดบนอกข้างขวาของลู่หานคือเข็มกลัดแสดงตัวของเด็กสายวิทย์-คณิต ซึ่งเป็นเข็มกลัดเฉพาะที่มีเฉพาะโรงเรียนแห่งนี้



               เด็กคนนี้ปิดบังสายการเรียนของตัวเองทำไม?



              ติ๊ง!



              ในขณะที่ร่างสูงกำลังคิดอะไรมากมายอยู่เต็มหัว โปรแกรมแชทชื่อดังก็เด้งขึ้นมา



              [ชานยอลคะ...ฉันไปหาคุณที่คอนโดได้ไหม?]




               สงสัยละสิว่าเธอคือใคร....



             เธอคือ โซจิน หญิงสาวที่ปาร์คชานยอลเคยคิดว่า จะแต่งงานด้วย แต่สุดท้าย...เขาเองที่คิดผิด ปาร์คชานยอลเป็นคนเจ้าชู้ มีอยู่ช่วงนึงที่เขาไม่พาใครมามั่วเลย  เพราะต้องการที่จะดัดนิสัยตัวเอง เพื่อใครน่ะหรือ? ก็คงตอบได้อย่างไม่อายปากว่า เพื่อผู้หญิงคนนี้



              เขาไม่ได้สนใจว่าเธอจะผ่านมือใครมากี่ครั้ง เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกันจากเธอ แต่ในเมื่อปัจจุบัน เรามีกันและกันและเป็นของกันและกันอย่างเปิดเผย สิ่งที่เราควรทำคือการทำให้คนของเราเชื่อใจไม่ใช่หรือ?




              แล้วทำไมละ?



              ทำไมโซจินถึงทำลายความตั้งใจของเขาด้วยการเอาผู้ชายคนอื่นมาเหยียบที่ห้องของเรา ห้องที่เคยมีเราอยู่ตรงนั้น และวันนั้น มันก็ทำให้ปาร์คชานยอลเห็นว่า ความรักมันก็แค่ความใคร่จริงๆ สุดท้ายคนเราก็คบกันเพราะความอยากไม่ใช่หรือ? ทั้งครอบครัว คนรอบข้างเขาก็เป็นแบบนี้  มันไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะคิดแบบนี้




              บทเรียนที่แพงที่สุด คือบทเรียนที่ได้รู้ด้วยตัวเอง




              แต่..ชานยอลเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าในใจมันวูบโหวงแปลกๆตอนที่โปรแกรมแชทของผู้หญิงคนนี้เด้งมา ทั้งที่มันไม่เคยเคลื่อนไหวเลยมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว...เขาก็อยากถามตัวเอง ว่าทำไมไม่ลบมันทิ้งซะ?



              บ้าจริงปาร์คชานยอล นายแข็งแกร่งกับทุกอย่างยกเว้นเรื่องความรักนี่น่ะ?



              “คุณ..ยังกล้ามาอีกหรือครับ?”



              [ไม่เอาคุณ แต่..เป็นที่รัก น่ะชานยอล]



              “คุณอยู่ในฐานะอะไร? ที่ผมต้องเรียกคุณแบบนั้นหรือครับ?”



              [ไม่เอาแบบนี้...ฉันเลิกกับผู้ชายคนนั้นไปแล้ว ฉันลืมพี่ไม่ได้ พี่ชานยอล...]



              ผู้กองหนุ่มไม่ตอบอะไรไป เขาเพียงแค่อ่านข้อความล่าสุดที่หญิงสาวส่งมาด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วเดินไปขึ้นรถเบนซ์คันงามของตนด้วยความเงียบ แม้นในใจของเขาจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายและอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย



              เธอต้องการอะไรกันแน่โซจิน



              ฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็นแล้วยังไม่พอใจงั้นเหรอ



              ติ๊ง! เสียงโปรแกรมแชทดังขึ้น และดังอีกถี่รัวเป็นระลอกจนผู้กองหนุ่มต้องเปิดมันออกมาดู



              ภาพของบยอนแบคฮยอนที่อยู่หน้าคอนโดเขาเต็มไปหมดเลย...และภาพในรถเมื่อวานนี้ด้วย




              Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr


             ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก จู่ๆเบอร์แปลกหน้าก็โทรเข้ามา เขาไม่รู้ว่าควรจะรับมันดีหรือไม่ แต่แน่นอนว่าเดาไม่อยากหรอกว่าปลายสายคือใคร แน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เบอร์นี้โทรเข้ามา เขาจำได้ลางๆว่าครั้งแรกที่เบอร์แปลกๆคล้ายๆกับเบอร์นี้โทรมาคือเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว จากนั้นมันก็ไม่มีอีกจนมาวันนี้  



              ติ๊ด!



             “คุณ..ต้องการอะไรกันแน่”



              (...ฮึก) เสียงหายใจเบาๆและเสียงร้องไห้จากปลายสาย ทำให้หัวใจของร่างสูงรู้สึกบีบรัดแปลกๆ โซจินไม่ใช่คนร้องไห้ง่าย .. แต่ทำไมครั้งนี้เธอถึงยอมร้อง?



              “คุณต้องการอะไรโซจิน”



              (ดาราคนนี้ ฮึก เป็นอะไรกับคุณหรือค่ะ?)



              “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ..”



              (พี่ชานยอล...ฮึก ฉะ..ฉันขอโทษ ฉันแค่..แค่ต้องการคุณกลับมา ได้ไหมค่ะ? ได้โปรดให้โอกาสฉัน)



              “...มันไม่สายไปหรือโซจิน..”



              (ฮึก..เพราะ..เพราะไอเด็กในภาพนี่ใช่ไหม!!)



              “คุณทำอะไรกับชีวิตคุณ..คุณรู้ตัวคุณเอง” ชานยอลไม่ใช่คนใจร้ายหรือใจแข็งอะไร ไม่ใช่ว่าการพูดจาใจร้ายกับเธอแบบนี้เขาจะทำมันได้อย่างสบายใจ...แต่เขาจะไม่กลับไปจมปลักแบบนั้นอีก การที่โซจินทำแบบนี้ ถ้าไม่ใช่การต้องการกลับมา อาจจะเป็นการแก้แค้นหรือมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่ชานยอลคิด





              เขาจะไม่วางใจเด็ดขาด.. โซจินเคยเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุด และเขาก็รักเธอมาโดยตลอด ข้อนี้เขารู้ดี




              แต่ชีวิต..ของเขา คือชีวิตของเขา อย่างที่บอก บทเรียนน่ะ...ถ้าได้รับแล้วไม่จำ มันจะไปมีประโยชน์อะไรงั้นหรือ? สุดท้ายก็สอบตกอยุ่ดี



              (ได้โปรด.. ให้ฉันได้เห็นหน้าคุณสักครั้งได้ไหม?)



              ร่างสูงวางโทรศัพท์ลงบนหน้าตัก แล้วเอื้อมมือไปดึงคันโยก



              “แล้วเจอกันครับ..โซจิน” เขาจำเป็นต้องรู้..ว่าครั้งนี้ เบื้องหลังมันคือคนคนนั้นหรือเปล่า...อ้อ คนคนนั้นนั้นที่เขาว่าน่ะ เป็นพี่ชายของโซจิน...และอีกอย่าง โซจินมีชื่อจริงว่า โอ โซจิน น่ะ



     


     

              ติ๊ง!


              ลุงผู้กองหูกาง

              [วันนี้ผมไปรับที่หน้าคอนโดไม่ได้ ช่วยกลับเองไปก่อนน่ะครับ นอนเลยไม่ต้องรอผม วันนี้ผมคงไม่กลับ]



              อะไรของผู้กองเขาว่ะครับ...ทีเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านยังบังคับให้เราบอกพี่มินซอกว่าต้องลงที่ป้ายรถหน้าคอนโดแล้วเจ้าตัวจะมารับเองอยู่เลย อ้างเฟตุผลนู้นนี่นั่นสารพัด สุดท้ายก็เลยบอกว่าถ้าเข้าไปเองมันอันตราย แล้วอีตอนนี้คือบอกให้กลับเอง วอท?



              อะไรน่ะ? ให้พี่มินซอกไปส่ง? ไม่ได้หรอกๆ รถของพี่มินซอกเป็นรถผู้จัดการบยอนแบคฮยอน ข้อนี้ทุกคนต่างรู้ดี ถ้าขับเข้าไปในตึกมีหวังปาปารัสซี่กับซาแซงแฟนตามข่าวกันไม่หวาดไม่ไหว ถึงจะมีตำรวจอยู่ด้วยก็ใช่ว่ากูจะปลอดภัยจากกล้องดิจิตอลเลนส์ซูมระดับHDไหม?



              เออดี ตะกี้โอฮุนมันก็โทรมาบอกว่าให้รีบไปรับอิยู มันเลี้ยงไม่ไหว ก็ดี ผู้กองที่ไม่รู้ว่าเกลียดขี้หน้าเพื่อนเขามาแต่ปางไหนจะได้ไม่บ่น แถมเขาไม่จำเป็นต้องขออนุญาตพ่อคนใหม่อีกด้วย  เพื่อนเขาก็เนอะ อิยูมันรักตัวเองจนแทบจะเอามาเป็นพ่ออยู่แล้วยังจะมาบอกว่าเลี้ยงไม่ไหว ขี้เกียจเลี้ยงอะดิ ไรว่ะ! นี่ลูกชายเขาเลยน่ะเว้ย!



              ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ใช่อะไร..รู้สึกน้อยใจอะได้ยินปะ? น้อยใจเพราะผิดคำพูด(ที่ถึงแม้กูจะไม่เต็มใจตอนมันพูด) น่ะเว้ย ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่น... ก็ลุงแม่งบอกเองว่ามันอันตราย เสือกปล่อยให้กูกลับเองแบบกระชั้นชิดซะงั้น คือกูก็ไม่รู้ว่าแก้ไขยังไงไหม? แล้วระยะทางจากป้ายรอรถและคอนโดคือแม่งก็ไม่ได้ใกล้กันเลย...เชอะ จะฟ้องพ่อ



              จริงๆน่ะ เชื่อหน่อย อย่าเชื่อเคน (ถุยยยย)



               “...พี่มินซอก” นักแสดงร่างเล็กทักเมเนเจอร์ของตนจากเบาะหลัง ทั้งที่สายตายังให้ความสนใจกับตึกรอบข้าง..เหนื่อย..นั่นคือสิ่งที่เขากำลังคิด วันนี้แบคฮยอนต้องแถลงข่าวเรื่องที่ตัวเองหายตัวไป2วันจนทุกคนสงสัย รวมถึงภาพของชายหนุ่มปริศนาที่เดินเข้าตึก KJ group ไปพร้อมกับเขา ที่โดนปาปารัสซี่ถ่ายได้อีกด้วย ผู้คนก็ดันตีความต่างๆนาๆ ว่าคนที่เดินคู่กับเขาน่ะคือประธานบริษัทอย่างพี่ดำ ทีนี้ละแก้ข่าวกันระนาว นี่ยังดีที่ไอผู้กำกับบ้ากามนั่นไม่ออกมาพูดอะไร สงสัยคงเป็นหมันแล้วมั้งหรืออะไร ไม่งั้นคงได้ปวดหัวไปอีกยกใหญ่



               “ว่าไง?”         



               “เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเลยน่ะ ส่งแบคที่คอนโดตำรวจไปเลย” งงอะไรกัน? คอนโดตำรวจก็คอนโดตำรวจไง อ้อ คงไม่ได้บอกสิน่ะว่าผู้กองปาร์คมีที่อยู่อาศัยอีกที่นั่นก็คือคอนโดตำรวจที่อยู่แถบๆสน.โซล ก็คือที่พักสำหรับตำรวจนั่นแหละ แค่มันหรูกว่าหอพักปกติเท่านั้น แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่การมาหาผู้กองปาร์คหรอก ถึงรายนั้นจะส่งข้อความมาบอกเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วว่าวันนี้จะไม่กลับคอนโดตึกของพี่ดำ โดยไม่บอกว่าไปไหนก็เถอะน่ะ แบคฮยอนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหรอก มันก็เรื่องของผู้กองแก ดีซะอีกได้ชีวิตอิสระมาหนึ่งวัน อีกอย่างเซฮุนก็พักอยู่ที่นี่ วันนั้นที่เห็นไปคอนโดเขาน่ะเพราะรายนั้นได้ข่าวว่าแบคฮยอนประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยจากพี่มินซอก เลยจะมาหาก็เท่านั้น และที่แบคฮยอนมาที่นี่เพราะจะมารับอิยูกิกับคีย์การ์ด ไอเราก็บอกเซฮุนแล้วน่ะว่าให้เลี้ยงมันที่คอนโดของตัวเองเลย แต่เซฮุนก็บอกว่าเลี้ยงที่คอนโดของเขามันลำบาก เลยเอาอิยูไปเลี้ยงที่คอนโดตำรวจทั้งที่เขามีกฎห้ามนั่นแหละ เห้อมมม เพื่อนเอ๋ย



              “อ่า...ไปรับยูกิหรอ”



              “อื้อ”



              “เซฮุนน่ะ”



              “ครับ?”



              “กับเซฮุนน่ะ...ระวังหน่อยก็ดีน่ะ” แบคฮยอนชะงักกึก เขารู้ว่าพี่มินซอกจะสื่ออะไร...แต่เซฮุนไม่ใช่คนแบบนั้น แบคฮยอนมั่นใจ...



              “...ผมรู้น่าพี่ ผมโตแล้วน่ะ ทำไมชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก?”



              ปึก



              “โอ๊ะ!” พี่ชายตัวเล็กดึงเบรคมือขึ้นทันทีที่รถถึงที่หมายแล้วหันมาเคาะหัวแบคฮยอนแรงๆหนึ่งทีจนคนตัวเล็กทำหน้าเหยเกใส่



               “รู้ตัวเองบ้างไอดื้อ!



               “- ^ -



               “ให้พี่รอไหม?”



               “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมค่อยให้เซฮุนไปส่ง...พี่จะไปคุยกับประธานเรื่องการแถลงข่าวเรื่องคยองซูไม่ใช่หรอ?”



              “อะ..อื้ม มันก็ใช่ แต่พี่เป็นห่วงนาย”



              “ไม่ต้องเป็นห่วงแบคหรอกน่าพี่มินซอก...เอาเป็นว่าแบคจะพยายามไม่ทำให้พี่ปวดหัวละกัน” แบคฮยอนพูดพลางเตรียมใส่หมวกและเครื่องอำพรางตัวบลาๆ แวบแรกมินซอกเห็นในแววตาของแบคฮยอนแอบเศร้านิดนิด แบคฮยอนพูดเสียงอ่อยเหมือนสำนึกผิด และเรื่องนี้ มินซอกว่าแบคฮยอนคงคิดโทษตัวเองไปอีกนานเลย



              “ระวังตัวดีดีน่ะ” เมนเนเจอร์หนุ่มเอ่ยเสียงอ่อยแล้วยกฝ่ามือไปขยี้กับกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาลเบาๆก่อนที่เด็กดื้อจะใส่หมวก



              “งื้อ พี่พูดอย่างกับว่าผมจะไปสู้รบน่ะ ฮ่ะ ฮ่า”



              “ไม่ไปก็เหมือนไปน่ะ หึหึ กลับถึงคอนโดแล้วโทรบอกพี่น่ะ เดี๋ยวพี่ดูตารางงานนายให้อีกที ถ้าเป็นไปได้พี่อยากจะให้วันหยุดนายอย่างที่สัญญาเอาไว้”



              “...มันไม่สำคัญแล้วแหละพี่ ...ตราบใดที่คยองซูยังไม่ฟื้น ต่อให้ผมพักอีกสัก 10 วันผมก็คงรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี”



              “...”





              “เหนื่อย..ที่ต้องคิดถึงภาพนั่น..เหนื่อย..ที่ต้องลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า บางทีบยอนแบคฮยอนอาจเป็นคนทำร้ายโดคยองซูจริงๆก็ได้”






              “..แบค”



              “ไม่เป็นไรหรอกพี่” นักแสดงหนุ่มหันมายิ้มบางๆให้พี่ชายตัวเล็กก่อนที่ขาเล็กจะก้าวออกจากรถ



              “...ผมโอเค ไปนะ รักพี่ที่สุด”




             Rrrrrrrrrrr


              “ฮัลโหลโอฮุน”


              (ถึงไหนแล้ว?)



              “อยู่หน้าคอนโดแล้ว”



              (เอ้อ มาถึงก็ดีแล้ว ซื้อน้ำยาถูพื้นที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างให้หน่อย ยูกิของแกมันฉี่ไว้เรี่ยราดจริงๆ)



              “แล้วทำไมไม่ให้แม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาด?”



              (อย่าลืมว่าหมาตัวเองกลัวคนสิครับ)



              “เออจริง ก็ถึงบอกไงว่าให้แกเลี้ยงที่ห้องฉัน ยูกิมันไม่คุ้นชินกับที่อยู่ก็เป็นงี้แหละ ขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อมันอย่างแกมันยังทรยศเลย ฮ่าฮ่า”



              (หึหึ ฉันน่าจะเชื่อแกอะเนอะ บ๊อกๆ! น่าน พอรู้ว่าฉันคุยกับแก บ๊อก ละเห่าใหญ่เลย)



              “ฮ่าๆ ไม่ได้ยินเสียงมันตั้ง 2 วันแหนะ คิดถึงจัง”



              (แล้วพ่อมันละ?)



              “ห้ะ?”



              (แล้วคิดถึงพ่อมันบ้างไหม?)



              “...เดี๋ยวซื้อของขึ้นไปให้น่ะไอโอฮุนคนกาก บรัยส์”



              (หึหึ...)



              ติ๊ด!



             บ้าจริงๆ...นี่ทำแบบนี้ทำให้คิดเรื่องที่พี่มินซอกว่าเลยน่ะ

             


     



             Byun Part


             แล้วผมก็ซื้อของให้โอฮุนได้สำเร็จ คุณไม่รู้หรอกว่ามันต้องผ่านฝูงซอมบี้มากมายขนาดไหน หึหึ นี่ขนาดพลางตัวแล้วพวกเขายังจำผมได้นี่คือเก่งอะ แต่ยังไงผมก็รักพวกเขาน่ะ (เผื่อมีเอลี่อ่านอยู่ ไม่ได้ๆ) แต่ก่อนที่ผมจะได้ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่โอฮุนอยู่ ก็เจอเข้ากับป้าแม่บ้านคนนึงที่ทำท่ากระวนกระวายใจอะไรสักอย่างอยู่ อย่างที่บอก ไม่ใช่คนขี้เสือกแต่ก็ทนเห็นคนที่กำลังเดือดร้อนเฉยๆไม่ได้หรอกน่ะ คนดีและพ่อพระ พระเอกตั้งแต่ในจอยันนอกจอ ไม่ต้องสรรเสริญหรอกทุกคนนนนนน นี่อยากโบกมือแล้วยิ้มอ่อนๆหมือนได้มงกุฎไปให้อยู่หรอกน่ะ



              “ป้าครับ มีอะไรให้ช่วยไหม?”



             “...คือ... ป้าทำกระเป๋าสตางค์ตกเอาไว้ที่ห้องของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงท่านนึงน่ะจ้ะ...แต่ คุณผู้หญิงสั่งไว้ว่าห้ามเข้าไปในนั้นอีก ถ้าขืนป้าเข้าไป เธอจะสั่งให้ผู้จัดการคอนโดไล่ออก..ป้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” คุณป้าเอ่ยบอกผมพร้อมสีหน้าที่พร้อมจะร้องได้ทุกเมื่อ เธอน่าสงสารน่ะครับ ตัวซูบผอมมาก ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันน่ะ ทำไมถึงได้ใจร้ายแบบนี้ เห้อมมมม



              “ป้ามีตังค์กลับบ้านไหมครับ? เอาเป็นว่าค่อยไปเอาคืนพรุ่งนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมให้เงินไปก่อนเนอะ”ผมยิ้มบางๆส่งไปให้หญิงสาว แต่คุณป้ากลับส่ายศรีษะรัวรัวแล้วกลับไปทำหน้าตาแบบเดิม



              “ไม่ได้หรอกค่ะ...หนูเก็บไว้เถอะ ป้าไม่ได้เป็นห่วงเรื่องสตางค์...แต่ในกระเป๋านั่นมันมีของสำคัญของป้าอยู่..คือป้าไม่รู้จะทำยังไงน่ะคะ”



              “ยะ อย่าร้องสิครับ...”



              “ฮึก ฮืออออ” เอาไงดีว่ะกู พ่อพระจนเป็นเรื่องไหมละ...เห้อออ มีอยู่ทางเดียวแล้วแหละ



              “เดี๋ยว...เดี๋ยวผมไปเอาให้ก็ได้ครับ ป้ารออยู่ตรงนี้น่ะ”



              “ฮึก..แล้ว นะ หนุจะไม่โดนว่าหรือค่ะ?”



              “ผมเป็นดาราน่ะ”ผมดึงหมวกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นในหน้าที่ใครๆต่างก็บอกว่าหล่อเหลายิ่งกว่าแบคฮยอนวงEXOก็ไม่ปาน



              “นะ..หนูเป็นผู้หญิงหรอลูก” กุไม่ช่วยป้าแล้วดีไหม? อะไรว๊า เว๊ เว๋? บนโลกที่ชื่อว่าเกาหลีใต้ยังมีคนไม่รู้จักบยอนแบคฮยอนอีกหรือ? โอ้ยยย จิครายยย



              “ไม่ใช่ครับป้า เอาเป็นว่าป้ารอตรงนี้น่ะ ผมจะไปเอาคืนมาให้ได้”



              “ขอบใจมากน่ะจ้ะพ่อหนุ่ม ขอบใจจริงๆ”




              ติ๊ง!


              แล้วลิฟต์ก็มาถึงพอดีเป๊ะๆเยี่ยงจับวาง...จับวางห่าไรตะกี้มันอยู่ชั้นสอง



              “แล้วมันอยู่ห้องไหนครับป้า?”



              “326 จ้ะ” สาดดดดดดดดด อยุ่ชั้นเดียวกันกับโอฮุนเลยนี่!



              “โอเคครับ รอแปปนึงน่ะ เชื่อใจผมได้เลย!!



              ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปยังชั้นสามด้วยเวลาไม่กี่วินาที ผมเดินย่ำไปตามทางเดินที่แสนคุ้นเคย แต่ห้องที่ผมจะไปนี่ไม่คุ้นเคยแน่ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่มีหมายเลข 326 แปะอยู่กลางประตู




              ที่สำคัญคือ...ห้องแม่งแง้มอยู่เว้ยมึง!




              เราไม่ใช่คนไร้มารยาทนะแก แต่เจ้าของห้องนี่ไม่กลัวจงกลัวโจรเลยไง๊? บู๊ววว พอเหลือบมองที่ช่องว่างก็พอจะดูอะไรได้อยู่ ห้องไม่ได้มืดนัก ไฟเปิดสลัวอีกด้วย สงสัยว่าน่าจะมีคนอยู่นั่นแหละน่ะ..เห้ย นั่นกระเป๋าตังค์ป้าปะ? ที่ตกอยู่ข้างๆชั้นวางรองเท้าอะ



             ผมไม่รู้ว่าควรจะเคาะประตูบอกเจ้าของห้องหรือว่าแค่เอื้อมแขนเข้าไปหยิบดี เพราะมันอยู่ไกล้แค่เอื้อมเท่านั้นเอง ไกล้มากจริงๆ...เอื้อมไปก็ได้ว่ะ สุดท้าย..ผมก็ตัดสินใจเอื้อมฝ่ามือเข้าไป พยายามไม่ให้ประตูเปิดกว้างเพราะกลัวเจ้าของห้องจะรู้






              “ทำสิค่ะ...ได้โปรด” เสียงอะไรบางอย่างดังออกมาจากในห้อง เดาว่าเป็นเสียงผู้หญิงแน่ๆไม่ต้องอะไรมาก




             แต่เสียงเจ้แกจะฟินไปไหนว่ะครับ? ผมก็พยายามเอื้อมมือไปแล้วน่ะ อีกแค่ประมาณสองคืบก็ถึง นี่ไม่น่าเลือกแผนที่สองเล้ย ไม่ได้รุ้เลยว่าแขนตัวเองสั้นชิบหาย แล้วพอจะกลับไปแผนหนึ่งแล้วเป็นไง? ขัดจังหวะคนจะได้กันคือหน้าด้านไปไหม? เออแบค มึงเอื้อมไปอีกนิดหน่อยดิว่ะ แค่นิดนึงก็จะถึงแล้วเนี่ย ผมพยายามเกาะขอบประตูเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองที่กำลังใช้แขนสั้นๆคว้ากระเป๋าอยู่ต้องตกลงไป



              “คุณไม่อยากทำอย่างงี้หรอก” ผมชะงักกึกกลางอากาศ





              แม่...เสียงแม่งคุ้นว่ะ




              “อยากสิค่ะ ฉันอยาก..อยากมากจริงๆน่ะ” เสียงกระเส่าที่ผมได้ยินเริ่มทำให้อารมณ์บางอย่าง(ที่ไม่ใช่อารมณ์18+อย่างที่ทุกคนคิดในตอนนี้) เกิดขึ้น หือมึง..กูอายว่ะ..อารมณ์อะไรอีกไม่รู้เนี่ยเต็มหัวใจทั้งสี่ห้องไปหมดแล้ว



              “คุณโซจินครับ” เสียงทุ้มนั่นกดลงต่ำและมันเรียบเฉยมากจนดูน่ากลัว..โหยแม่ มันคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นอะ







              “พะ..พี่ชานยอล ได้โปรด”






              What da fakkkkkkkkkkk!!!!!พี่ ชาน ยอล ไอเห้!!




              เคร้ง!!




              บอกได้สามคำครับว่า ชิบ หาย แล่ว




              มือที่เกาะกุมบานประตูของผมจู่ๆมันก็อ่อนแรงจนผมล้มดังปึกไปเลย ล้มไม่เท่าไรมึง กูกวาดของบนชั้นวางข้างหน้าห้องเขาซะเรียบเลย บาปแท้แบค มึงบาปปปปปปปป



              “เสียงอะไรน่ะ!!” ลุกขึ้นมึงลุก!! ทำไมว่ะครับ ขาผมถึงรู้สึกไม่มีแรงเลยสักนิด? ไอความรู้สึกจุกอกนี่คือ? วาย? มันเกิดอะไรขึ้น



              ปึก ปึก ปึก!



              เสียงฝีเท้าของคนสองคนย่ำกลายเข้ามาใกล้จนผมต้องรีบยันตัวลุกขึ้นโดยไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าตังค์ของป้ามาด้วย




              วิ่งแบคฮยอนวิ่ง...สาดแล้วมึงจะร้องไห้ทำไมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม



              “นั่นใครน่ะ..เห้ยคุณ!! อย่าวิ่งหนีน่ะ”



              “ชายอลคะ! ใครคะ” เดาว่าตอนนี้ทั้งสองคนคงถึงหน้าประตูห้องแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากหันกลับไปหรอกน่ะ..ผมทำได้แค่วิ่ง และวิ่งไปที่ลิฟต์เท่านั้น ภารกิจของผมจบแล้ว



              ติ้ง!


              ครั้งนี้มันคือความบังเอิญ..บังเอิญจริงๆเพราะลิฟต์มาเปิดต่อหน้าผมทันทีที่วิ่งถึง ผมพุ่งเข้าไปในลิฟต์แล้วรีบกดชั้นหนึ่งรัวๆเหมือนคนสติแตก โชคดีที่ตอนนี้ในลิฟต์ไม่มีใคร...แล้วลิฟต์ก็ปิดลง ผมไม่ได้ยินเสียงชายหญิงสองคนนั้นวิ่งตามมาอีก ผมลงไปนั่งกองกับพื้น เอามือกอดกระเป๋าตังค์ของคุณป้าเอาไว้ พลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น





              แบคฮยอน...ร้องไห้ทำไม?





              เพราะผมเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า? มันเลยทำให้ผมตื่นกลัวแบบทำอะไรไม่ถูก





              แต่พอคิดดูอีกทีแล้ว...มันไม่ใช่ มันร้ายแรงน้อยกว่าตอนที่ผมโดนผู้กำกับซีวอนปลุกปล้ำเสียอีก...แล้วอีอารมณ์น้อยใจ เสียใจระคนที่พลุ้งพล่านอยู่ในอกนี่คือ?





              ครืดดดดด 


              เสียงโทรศัพท์ที่ผมตั้งเป็นระบบสั่นเมื่อไม่นานมานี้ดังขึ้น พร้อมกับโชว์ชื่อผู้โทรเข้า โอฮุน



              “ฮัล..ฮัลโหล”



              (แกอยู่ไหนแบคฮยอน!! นี่เป็นห่วงแทบแย่เลย โทรหาไปตั้งสิบสิบสายทำไมไม่รับ?)



              “ขอโทษ” ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเลื่อนลอย รู้สึกเหมือนมีคลื่นๆซ่าๆอยู่เต็มหัวไปหมด



              (เออ ไม่ได้โกรธ แล้วนี่อยู่ไหนของแก?)



              “...เซฮุน?”



              (เป็นอะไรแบคฮยอน รู้ไหมว่าเป็นห่วงแค่ไหน?)



              “อืม...อยากเมาอะ ซื้อเหล้าขึ้นไปได้ไหม?”



              (...ตามใจ)



              ติ้ง! แล้วผม..ก็มาถึงชั้นล่าง...มาแค่ตัวน่ะ ผมไม่รู้แล้วว่าจิตใจหายไปไหน



              End Byun Part







              “นั่นมัน...แบคฮยอน”

             


    Talk

    บอกว่าจะไม่หายไปถึง 10 วัน นี่คือ? หวีดดดดด

    เอาละเข้าเรื่อง ฮันน่ออออออ โซจินคือไผ? เเล้วชานยอลกับโซจิ๋นทำอะไร๋ 

    ลู่หานกับจุนมยอนทำไมต้องเกลียดกันน่ะ? ใครฆ่าแม่ของทั้งคู่ เเล้วไอสิ่งของที่ทิ้งไว้ข้างตัวคืออะไร? 

    จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหมน่ะ? เห้อม ไรท์แต่งเองยังเหนื่อยใจ 555 

    รู้สึกว่าช่วงนี้สำนวนการเขียนแปลกๆ ก็ต้องขออภัยรีดทุกคนด้วยน่ะคร่ะ ง่วงหนักมาก555 อีกอย่างคือจะสอบก็อ่านหนังสือกันดึกดึกอะนะ รีดเดอร์ที่จะสอบอยู่เเล้วก็ขอให้สู้ๆน้าาาา 

    ปล.เห็นมีคนรอคู่ลู่หมินกันเยอะ แต่คือเราอยากบอกว่าอย่าหวังอะไรเยอะน่ะ พอจบคดีนี้แล้วคู่ลู่หมินอาจออกน้อยหน่อยเพราะเราตั้งใจจะแต่งชานแบคเป็นคู่หลักและมีลู่หมินกับไคฮุนมาเสริมเท่านั้น เรากลัวคนที่รอจะผิดหวัง ไม่ถูกใจใครเราต้องขอโทษด้วยสำหรับสองคู่รองที่อาจออกน้อยบ้างออกเยอะบ้างไม่ว่ากันเนอะ แต่ถ้าแต่งจบแล้วทั้งสามคู่มีสเปแน่ๆ แค่ให้มันจบก่อนเถอะ555

    ปล.2 ใครหวีดแรงกับโมเมนท์นี่บ้าง!!

     

    ไปแล้วจ้าาาาสตงสติ 

    โอเค ไรท์เวิ่นมามากเเล้ว ไม่ขอสัญญาว่าจะมาต่อตอนต่อไปอีกเมื่อไร แต่จะพยายามให้มันเร็วกว่านี้น่ะคะรู้สึกว่าอัพช้าจ๊น โมเมนท์คู่ชิปนี่เป็นพลังหนึ่งเลยที่ทำให้อยากแต่งฟิคต่อ ส่วนคอมเมนท์ก็เป็นอีกกำลังใจสำคัญอะเนอะ จบละ อิอิ.

     สกรีมแท๊ก #ฟิคนักโทษของคุณปาร์ค กันได้น้าาา เราไม่ได้บังคับเเค่ร้องขอ

    ไม่ใช่ฟิคดราม่า มีแววว่าจะเป็นฟิคตลก

    เรารักพวกนายน่ะ♥

    ปอลิง.กลับมาแก้ชื่อตัวละครน่ะคะ เราพิมพ์ผิดไป TOT ภาพในสมองตอนเเต่งมีเเต่คยองซูเพราะโดนฮาร์ดแอทแทคก่อนที่จะเเต่งน่ะคะ เลยลืมไปว่าผู้กำกับคือฮีชอลมิใช่น้องตะยอง



              

     

                

                  

             

             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×