คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4
บทที่ 4
ทั้งสามยังคงใช้ฐานะพี่น้องในการอ้างและใช้เงินในถุงนั่นเข้าพักที่โรงแรมถูกๆแห่งหนึ่ง อาศัยส่วนที่เป็นร้านอาหารในชั้นหนึ่งของโรงแรมสั่งอาหารมาทานพลางเริ่มเปิดประเด็น
“พวกเรายังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูน่าอยู่ไหน” เดลกล่าวขึ้นเมื่อพนักงานที่มารับรายการอาหารเดินกลับไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ เพราะพวกเขามากันถึงสามคนแต่กลับสั่งอาหารไปเพียงจานเดียว แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้ อะไรที่ไม่จำเป็นเขาจะไม่ใช้เงินเด็ดขาด
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าจำกลิ่นของนางได้” เป็นคาร์ลที่กล่าว แต่มันกลับทำให้เดลมองคนพูดด้วยสีหน้าแปลกๆ สายตาของเดลบอกชัดว่าเขาได้จัดอันดับให้คาร์ลเข้าไปอยู่ในรายชื่อคนโรคจิตแล้วเรียบร้อย
คนถูกมองเข้าใจความหมายของสายตาที่มองมา เขารีบโบกมือแก้ตัว “เฮ้ๆ อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าไม่ใช่พวกโรคจิตนะ”
“เหรอ” เดลยังคงมีท่าทีไม่เชื่อในคำพูดของคาลร์ “ดูยังไงเจ้าก็เป็นพวกโรคจิตชอบดมไม่ใช่รึไง ??”
“นี่มันความสามารถเฉพาะตัวต่างหากล่ะ ! อินคิวบัสน่ะ พอก้าวเข้าสู่ช่วงหนุ่มสาวก็จะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมา เจ้าอย่ามองข้าในแง่ร้ายแบบนั้นสิ” ถึงจะได้ยินคำอธิบาย เดลก็ยังคงไม่เชื่อ เขาหันไปมองทางอาร์โรห์ที่นั่งเงียบๆมาโดยตลอด
อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่คาร์ลพูดนั้นเป็นเรื่องจริง เดลที่ได้รับการยืนยันจึงมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย เขาหันกลับมามองทางคาร์ลแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว งั้นเรื่องหาตัวลูน่าก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว แต่ว่าถ้าเจอตัวแล้วจะพาออกมายังไง ?”
“อ่า...เรื่องนี้ล่ะปัญหา ปีกของอินคิวบัสไม่แข็งแรงพอจะรับน้ำหนักของมนุษย์คนหนึ่งได้ นอกจากว่า...” คาร์ลเว้นระยะไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีเงินเหลือบมองมาทางอาร์โรห์ที่ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเงียบๆ เป็นเหตุให้เดลต้องมองตาม
อาร์โรห์ชะงักมือที่ยังถือแก้วน้ำค้างไว้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะดื่มหรือไม่ดื่มดี สุดท้ายก็จำใจต้องวางแก้วน้ำลงโดยที่ยังไม่ได้แตะน้ำในแก้วเลยสักหยด ดวงตาสีนิลกวาดมองทั้งสองคนรอบหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจพรืดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “เรื่องพาลูน่าออกมา ข้าจัดการเอง”
“อ้าวๆ เจ้าก็บรรยายสรรพคุณของเจ้าซักหน่อยจะเป็นไร” คาร์ลกล่าวกระเซ้าเรียกให้ดวงตาสีดำค้อนควบอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปทางเดลที่มองมาด้วยสายตามึนงงและอยากรู้อยากเห็น เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจหนักๆออกมา...ไม่พอใจ...ไม่พอใจสุดๆ !
“ปีกของข้ามีกำลังมากกว่าปีกของอินคิวบัสทั่วไป รับน้ำหนักของมนุษย์ได้สูงสุดสองคน” กล่าวจบเขาก็สะบัดหน้าหนี ไม่อยากจะมองหน้าทั้งสองคนที่คนหนึ่งยิ้มแป้น ส่วนอีกคนทำหน้าประมาณ ‘ทำไมเจ้าไมใช่มันตั้งแต่ต้น ?’
เขาผิดเหรอที่เพิ่งจะรู้ความสามารถของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองน่ะ !?
ต้องย้อนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนระหว่างที่ให้เดลเข้าไปถามตามโรงแรมว่ามีห้องว่างไหมคนเดียว สาเหตุง่ายๆที่ให้เดลเข้าไปคนเดียวก็เพราะว่าในช่วงแรก ๆ ที่คาร์ลและอาร์โรห์เข้าไปด้วยนั้น...
‘อ้ายยยย น้องชายหล่อจังเลย มาอยู่กับพี่มั้ย?’
‘เฮ้ๆ น้องสาว คืนละเท่าไหร่ดี ??’
...ก็...ประมาณนั้นล่ะนะ...
ทั้งคาร์ลและอาร์โรห์จึงจำต้องซื้อผ้าคลุมแบบมีฮู้ดมาสองผืนเพื่อใช้สวมปิดบังใบหน้า และยืนรออยู่ด้านนอก ในระหว่างนั้นพวกเขาก็คุยกันในเรื่องของพลังพิเศษที่จะได้รับหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย
และก็เป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลได้รู้ว่าอาร์โรห์ไม่รู้เรื่องพวกนั้นเลย
แน่นอนว่าในโรงเรียนเองก็มีพูดถึงเรื่องพวกนี้ ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม ส่วนที่เหลือนั้นจะให้ซัคคิวบัสผู้ให้กำเนิดเป็นผู้อธิบายอีกที แต่ไม่ว่าจะเป็นอาร์โรห์หรือคาร์ลต่างก็มารู้หลังจากที่เข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยแล้ว
“เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกไปรึเปล่าล่ะ ?” คาร์ลเอ่ยถามเรียกให้ร่างที่เล็กกว่าต้องมานั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
“...นอกจากเวทที่ใช้ได้หลากหลายและแข็งแกร่งขึ้น ก็มี...การบิน”
“การบิน ??”
“ใช่...ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าข้าบินได้เร็วขึ้น แล้วปีกของข้าก็มีแรงมากขึ้นด้วย”
“ไม่น่าเชื่อ...กำลังปีกของเจ้าเพิ่มขึ้น เป็นวิวัฒนาการที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ...เจ้าชอบทำให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อยเลยจริงๆ อาร์โรห์”
อาร์โรห์มีสีหน้าไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก คาร์ลจึงหันไปมองรอบๆ เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินมาทางพวกเขาพอดี บางทีอาจเป็นเพราะในตอนนี้พระอาทิตย์ได้ตกดินไปนานแล้วจึงไม่ค่อยจะมีคนออกมาเดินขวักไขว่นัก
คาร์ลยื่นมือออกไปทางชายหญิงคู่นั้น พลังวูบหนึ่งพัดผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็วแล้วชายหญิงคู่นั้นก็ทรุดลงกับพื้น
...คาร์ลใช้เวทนิทรานั่นเอง...
“เอาล่ะ คราวนี้เจ้าก็ลองแบกสองคนนั้นแล้วบินขึ้นไปดู”
อาร์โรห์มองคาร์ลด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะเดินไปแบกมนุษย์สองคนนั้นขึ้น เป็นดังคาด มนุษย์ตัวหนักกว่าปีศาจอย่างเขาเป็นเท่าตัว อาร์โรห์ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะยึดร่างของมนุษย์ถึงสองคนไว้กับตัว ก่อนที่เขาจะสยายปีกและบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
อาร์โรห์บินวนรอบๆ รอบหนึ่งแล้วจึงกลับลงมาบนพื้น เขาวางร่างของชายหญิงคู่นั้นลงให้ร่างของพวกเขาพิงอยู่กับกำแพงตึก แล้วจึงหันกลับมาหาคาร์ลที่มองเขามายิ้มๆ
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ?”
“หนัก ข้าคงรับน้ำหนักได้สูงสุดแค่สองคนเท่านั้น มากกว่านี้คงไม่ไหว”
“นั่นถือว่าสุดยอดแล้ว อินคิวบัสทั่วไปรับน้ำหนักได้ไม่ถึงครึ่งคนด้วยซ้ำ และถึงจะรับน้ำหนักได้ถึงหนึ่งคน ก็ใช่ว่าจะสามารถบินได้แบบเจ้าหรอกนะ”
อาร์โรห์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับคำพูดนั้น เขายังคงนิ่งเงียบ จนกระทั่งเขาเหลือบไปเห็นร่างของเดลที่ออกมากวักมือเรียกนั่นแหละ ทั้งคาร์ลและอาร์โรห์จึงได้เดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มชาวมนุษย์
กลับมาสู่ปัจจุบัน หลังจากที่เดลกินอาหารเสร็จพวกเขาก็เตรียมตัวที่จะกลับไปที่ห้องพัก
โครม !
เสียงนั้นทำให้ทั้งสามชะงักกึก ดวงตาต่างสีทั้งสามคู่หันไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ
ที่หน้าประตูปรากฏร่างมนุษย์หลายคนที่ถือดาบและแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรใส่ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้ พวกเขาแผ่ไอสังหารออกมาจนคนทั้งร้านไม่กล้าที่จะส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“พวกเจ้าทุกคน อยู่เงียบๆนิ่งๆ ไม่อย่างงั้น...ตาย !!!”
คำขู่นั้นได้ผล ทุกคนในร้านไม่มีใครกล้าที่จะขยับเลยแม้แต่คนเดียว
หนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาพร้อมกับอาวุธก้าวเข้ามาในร้านตรงดิ่งมาทางพวกอาร์โรห์ที่แทบจะกลั้นหายใจ อาร์โรห์เผลอรวบรวมพลลังไว้บนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่มีมือของคาร์ลที่คอยแตะมือเขาไว้เบาๆเป็นการปรามล่ะก็ บางทีเขาอาจจะซัดพลังนั้นออกไปแล้ว
แต่อาร์โรห์ก็ต้องสลายพลังในทันทีเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านโต๊ะเขาไปเสียเฉยๆ และตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ถัดไปอีกสองโต๊ะ ที่ตรงนั้นมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดำปิดทั้งตัวทั้งยังสวมฮู้ดปิดบังใบหน้าอย่างน่าสงสัย
“เอาล่ะเจ้าหนุ่ม มากับข้าหน่อยซิ”
“ข้าขอปฏิเสธ”
แทบจะไม่มีการหยุดคิดอะไร เสียงที่ฟังดูเหมือนถูกดัดให้ห้าวก็ดังออกมาจากใต้ผ้าคลุม ส่งผลให้คาร์ลที่นั่งอยู่ข้างๆอาร์โรห์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
“เจ้านั่นโง่รึเปล่า เห็นชัดๆว่านางเป็นผู้หญิงก็ยังจะเรียกว่าเจ้าหนุ่มอีก”
ถูกอย่างที่คาร์ลพูด ร่างภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นผู้หญิงแน่นอน สำหรับอินคิวบัสที่มีประสาทสัมผัสไวในเรื่องของการแยกเพศนั้น เรียกได้ว่าไม่ว่าจะปลอมตัวมาได้แนบเนียนขนาดไหนพวกเขาก็ยังสามารถแยกออกได้อยู่ดี
“เฮ้ ข้าว่าเจ้าคงยังไม่อยากเจอดีหรอกนะ” ไม่ว่าเปล่า ฝ่ามือใหญ่ถูกเงื้อขึ้น เตรียมจะพุ่งตรงไปยังใบหน้าใต้ผ้าคลุมของร่างที่ยังคงนั่งนิ่ง
แต่ขณะที่หมัดใหญ่ๆนั่นกำลังจะเข้าไปถึงตัวของหญิงสาวนั่นเอง มันก็กลับหยุดนิ่งด้วยฝีมือของมือที่เล็กกว่าหมัดข้างนั้นแต่กลับมาแรงที่มากกว่า
“เจ้าคิดจะใช้กำลังกับผู้หญิงงั้นเหรอ ?” เสียงนั้นคลุมเครือว่าจะเป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่กลับเย็นเยียบจนคนถูกพูดด้วยเสียวสันหลังวาบ แต่เมื่อหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้น เขากลับพบว่าอีกฝ่ายมีลักษณะเป็นเพียงเด็กสาวร่างกายบอบบางคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“หึ สาวน้อย เจ้าช่างไม่ดูตัวเองเลยนะ...!” ด้วยคำพูดที่ไม่เข้าหู อาร์โรห์จึงออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายจนเสียงกระดูกลั่นออกมา
“อ้ากกกกก ข...ข้อมือข้า ! ข้อมือข้า !! ข้อมือข้า !!!” ร่างใหญ่ๆของอีกฝ่ายทรุดลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นด้วยสภาพข้อมือผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด
“หักแล้ว” อาร์โรห์ต่อให้ขณะที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพชและเหยียดหยามในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มคนนั้นมองมาทางอาร์โรห์อย่างโกรธแค้น อยากจะใช้มือข้างที่ยังปกติดีชี้หน้าอีกฝ่าย แต่เพียงแค่ยื่นมือออกมา แขนข้างนั้นก็ถูกเหยียบซ้ำจนเจ้าของแขนต้องร้องเสียงหลง
ชายหนุ่มมองไล่ตามขาของอีกฝ่ายขึ้นไปจนถึงใบหน้า แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีเงินเย็นเยียบ ส่งผลให้ร่างของเขาสั่นอย่างไม่อาจห้ามอยู่ ทั้งๆที่ใบหน้านั้นหล่อเหลาคมคาย แต่กลับน่าขนลุกเสียจนเขาต้องรีบเบือนหน้าหนี
“เจ้าคิดจะทำอะไร หือ ?” คาร์ลกล่าวถามเสียงเย็น ไม่ว่าเปล่า เขายังลงน้ำหนักที่ขามากขึ้นจนแขนข้างนั้นส่งเสียงน่าหวาดเสียวว่าจะหักไม่หักแหล่ออกมา
“คาร์ล พอได้แล้ว” เป็นอาร์โรห์ที่กล่าวปราม เท้าของคาร์ลจึงได้ละออกมาจากแขนของร่างที่กองอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพชนั้น
ชายหนุ่มรีบคลานหนีอย่างทุลักทุเลกลับไปหาพรรคพวก เมื่อพวกลูกน้องช่วยกันพาหนีออกไป ในร้านอาหารจึงมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นทันตา
เดลเดินมาสมทบกับทั้งสองคนด้วยสีหน้าแปลกๆ เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะคนในร้านต่างมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียวราวกับเห็นตัวประหลาด
“อ่า...ข้าว่าพวกเรากลับห้องพักกันดีกว่า...”
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็กลับมาที่ห้องพักพร้อมกับสายตาที่จ้องมองมาของคนรอบข้าง พวกเขาไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้กระจ่างด้วยเห็นว่าไม่จำเป็น
อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง ดวงตากวาดมองรอบห้องอย่างสำรวจ แน่นอนว่าเขาเข้ามาที่ห้องนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันกับคาร์ลที่กำลังเดินจับนู่นจับนี่ขึ้นมาดู มีเพียงเดลที่เป็นคนจัดการจองห้องและคาดว่าคงได้ขึ้นมาสำรวจห้องนี้แล้วอย่างน้อยหนึ่งรอบเท่านั้นที่นอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน
“เดล” อาร์โรห์กล่าวเรียกเบาๆ อาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์บางอย่างแผ่ออกมาจากอีกฝ่ายจนเขารู้สึกกังวลกระมัง
คนถูกเรียกหันมามองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงด้านข้าง นัยน์ตาสีโลหิตนั้นมีแววสงสัยเจือปนไปด้วยความไม่เข้าใจ และ...ความเป็นห่วง...
...แน่นอนว่าต้องเป็นความห่วงที่มีต่อลูน่า...น้องสาวของเขา...
...การที่มีคนคอยเป็นห่วงนี่...ความรู้สึกจะเป็นแบบไหนนะ...
อาร์โรห์อดคิดไม่ได้ เขาที่ไม่เคยได้รับความห่วงใยจากผู้อื่นไม่อาจที่จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผู้ที่ได้รับความรักและความห่วงใยจากผู้อื่นได้เลย
ในบางครั้งเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ผู้อื่นได้รับอยู่เป็นนิจ สิ่งเดียวที่เขารับรู้และชินชาก็คงจะเป็นความรู้สึกแปลกแยก และการถูกเกลียดชังกระมัง...
อาร์โรห์หัวเราะเยาะเย้ยกับความน่าสมเพชของตนเอง ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเรียกเดลเพื่อเปิดบทสนทนาแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยตนเองเสียแทน
...น่าสมเพช...น่าสมเพช...ข้ามันน่าสมเพช...ยิ่งได้เห็นความเป็นห่วงที่ผู้อื่นได้รับ เขาก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแปลกแยกของตนเอง...เจ็บปวดแล้วยังไง ร้องไห้แล้วยังไง...ไม่มีใครมาสนใจใยดี ไม่มีคนคอยปลอบใจ ไม่มีใครมาอยู่ข้างๆเวลาท้อแท้ คนที่ยืนหยัดด้วยตนเองตลอดมาเช่นเขา ไม่มีทางเข้าใจได้เลย...ไม่มีทาง...
เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ที่รับรู้ได้ชัดเจนคือความรู้สึกประชดประชันตนเอง
เดลลุกขึ้นนั่งมองอาร์โรห์ที่เอาแต่ก้มหน้าแล้วหัวเราะ ในความรู้สึกของเขา เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยาย เขาไม่รู้ว่าอาร์โรห์เคยประสบพบเจออะไรมา แต่มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่ที่เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือเหตุใดอยู่ๆอีกฝ่ายจึงได้ส่งเสียงหัวเราะเจ็บปวดแบบนั้น
คาร์ลเองก็วางสิ่งที่เขาเพิ่งจะหยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเมื่อครู่ลง นัยน์ตาสีเงินมองตรงมายังร่างของอาร์โรห์ที่สั่นไปทั้งตัวเพราะการหัวเราะ บางทีในตอนนี้อาจมีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของอาร์โรห์ก็เป็นได้ อาจเพราะเขาเองก็ยืนอยู่ในจุดๆเดียวกันกับอาร์โรห์ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลกับอีกฝ่ายเหลือเกิน...
...เขาไม่ได้เกลียดการฆ่าฟัน แต่เขาเกลียดเผ่าพันธุ์ของตนเองที่ฆ่าพ่อของเขา เขาไม่ได้ไม่มีเพื่อนเช่นอาร์โรห์ และไม่เคยถูกเกลียดหรือถูกกีดกัน แต่เขากำพร้าตั้งแต่ยังเล็กเช่นอาร์โรห์ ตอนเด็กๆเองก็เคยรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก อาจเป็นจุดๆนี้กระมังที่ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวของอีกฝ่าย...
เสียงหัวเราะของอาร์โรห์ค่อยๆเบาลงและเงียบไปในที่สุด ร่างเล็กนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ
คาร์ลที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดเป็นคนที่เดินไปเปิดประตูออก ด้านนอกนั้นปรากฏร่างในชุดคลุมยาวสีดำและสวมฮู้ดไว้ ส่วนสูงของร่างนั้นดูจะมากกว่าอาร์โรห์เล็กน้อย
กลิ่นของอีกฝ่ายทำให้คาร์ลรู้ในทันทีว่าร่างตรงหน้าเขานี้คือหญิงสาวที่ร้านอาหารเมื่อครู่นี้ เขาอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้จึงได้เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “เจ้ามีอะไรกับพวกข้ารึเปล่า ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เธอใช้ดวงตาที่ถูกเงาของฮู้ดบดบังกวาดมองไปรอบๆห้องพักของทั้งสาม ก่อนจะมาหยุดลงที่อาร์โรห์ซึ่งกำลังแสดงสีหน้างงงวยออกมา และแน่นอนว่าเขาต้องจำเธอได้ เพียงแค่เห็นชายผ้าคลุมนั่นก็พอจะเดาได้แล้ว ยิ่งรวมเข้ากับกลิ่นอายที่ดูจะแตกต่างจากหญิงสาวชาวมนุษย์ทั่วไปนั่นมันก็ยิ่งชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องใช้ตามองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หญิงสาวเดินตรงดิ่งเข้ามาหาอาร์โรห์ เธอจับมือที่ดูจะบางกว่าของเธอขึ้นมาพลิกไปพลิกมาอย่างสำรวจ
อาร์โรห์มองการกระทำนั้นด้วยความงงงวยที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม “นั่นเจ้ากำลังทำอะไรหรือ ??”
“ไม่น่าเชื่อ ทั้งที่มือของเจ้าทั้งเล็กและบอบบางขนาดนี้ แต่ทำไมถึงได้มีกำลังถึงขนาดหักกระดูกของคนอื่นได้นะ ?” หญิงสาวพึมพำราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการที่เธอรุกรานเข้ามาในห้องที่มีผู้ชายอยู่ถึงสามคนนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีก
ครานี้ทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีใครคิดจะต่อบทสนทนากับหญิงสาวอีก
หลังจากสำรวจมือของอาร์โรห์อยู่ครู่หนึ่งและไม่พบความผิดปกติใดๆ เธอก็หมดความสนใจกับมือบางๆนั่น หลังจากวางมือของอาร์โรห์ลงบนตักอีกฝ่าย เธอก็ลุกขึ้นยืนและถอดฮู้ดออก
ใบหน้าที่คมคายเกินผู้หญิงปรากฏเข้าสู่สายตาของทั้งสามคน
อาร์โรห์จ้องมองใบหน้านั้นตาไม่กระพริบ ในใจแอบรู้สึกอยากจะขอเปลี่ยนหนังหน้ากับหญิงสาวตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อพบว่ามันเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันแบบเด็กๆเขาก็เลิกที่จะคิดถึงมัน
“ข้ามีนามว่า ลีล โรวาลาร์ ต้องขอบใจพวกเจ้ามากที่มาช่วยข้าไว้เมื่อครู่นี้” กล่าวจบหญิงสาวก็ค้อมหัวเบาๆเป็นการขอบคุณ เส้นผมสีเปลือกไม้แซมทองที่ยาวสยายลงมาถึงเอวหลุดออกมานอกผ้าคลุม ก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเหลือบมองมาทางอาร์โรห์พร้อมรอยยิ้ม “ขอบใจเจ้าด้วยนะ น้องสาว”
ฉึก!
“เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงดัง ‘ฉึก’ ด้วยล่ะ” เดลหันไปกระซิบกับคาร์ล
“ดัง ‘ฉึก’ เลยล่ะ” คาร์ลกล่าวพลางพยักหน้า
อาร์โรห์ที่ถูกคำพูดนั้นแทงฉึกลงกลางใจดำตัวสั่นกึกๆ ยิ่งเมื่อได้ยินสองคนนั้นคุยกันเขาก็ยิ่งตัวสั่นมากขึ้น
...ก็รู้อยู่แล้วน่ะนะว่าเขาน่ะหน้าเหมือนผู้หญิง ยิ่งมาเจอลีลเขาก็ยิ่งรู้สึก และยิ่งโดนพูดใส่ว่าเป็น ‘น้องสาว’ แถมถูกย้ำโดยคนใกล้ตัวแบบนี้...
อาร์โรห์หน้าแดงก่ำ ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรือความอายก็ตาม เขาก้มหน้าลงจนเงาของเส้นผมปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง และปฏิกิริยานั้นก็ทำให้คาร์ลและเดลส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ โดยมีลีลที่ทำสีหน้าไม่เข้าใจมองทั้งสามคนด้วยสีหน้างงงวย แต่เมื่อเธอสังเกตดีๆและพบว่าใบหูของอาร์โรห์แดงก่ำ เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ลีลยังคงเข้าใจว่าอาร์โรห์เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง และไม่มีใครคิดที่จะอธิบายเปลี่ยนความเข้าใจของเธอ
“ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกัน มีคนของพวกเจ้าถูกจับอยู่ที่ไหนซักแห่งในเมืองนี้สินะ ??” ลีลเอ่ยถามพลางนั่งลงบนผืนเตียงที่อาร์โรห์นั่งอยู่ ส่วนเดลและคาร์ลนั่นอยู่ทางฝั่งตรงข้าม
เป็นเดลที่พยักหน้ารับ “เพียงแต่พวกข้ายังไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน” เขากล่าวก่อนจะหันไปมองทางคาร์ลที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นเชิงว่าให้อธิบายต่อเอาเองก็แล้วกัน
คาร์ลที่เข้าใจความนัยของสายตาคู่นั้นจึงหันมาอธิบายให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องฟัง “พอดีข้ามีพวกพ้องอยู่ที่เมืองนี้อยู่ไม่น้อย ตอนนี้พวกพ้องของข้ากำลังออกตามสืบอยู่ อีกไม่นานก็คงจะรู้แน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน”
สีข้างถลอกหรือยังนั่น...
ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของเดลและอาร์โรห์กลับเป็นความคิดที่เหมือนกันเปี๊ยบราวกับคัดลอกกันมา
ลีลส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาเบาๆราวกับครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงได้เงยหน้าขึ้นมาและเผยยิ้มที่ทุกคนขอลงความเห็นว่า ‘หล่อสุดๆ’ ออกมา
ไม่นึกว่าเพียงแค่มีหน้าตาหล่อเข้าหน่อยเวลายิ้มนี่ก็แทบไม่ต้องทำอะไรก็หล่อได้...
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าด้วย” ลีลกล่าวเสียงร่าราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ แต่มันกลับทำให้คาร์ลที่จงใจโกหกให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งเรื่องนี้ทำหน้า ‘เหวอ’ แน่นอนว่าเขาดูออกว่าอีกฝ่ายคงจะพยายามเข้ามายุ่งเรื่องนี้แน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม แต่ก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และคิดที่จะยื่นมือเข้ามาให้ได้
มนุษย์นี่ยุ่งยากเสียจริง...
“แต่ข้าว่า...” ขณะที่คาร์ลกำลังจะกล่าวแย้ง ลีลก็กลับยื่นมือเข้าไปกุมมือของอาร์โรห์และยกมันขึ้นมามองอย่างสนใจอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อก่อนหน้านี้เธอทำราวกับหมดความสนใจไปแล้วแท้ๆ
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่ามือบางๆนี่หักกระดูกข้อมือของผู้ชายตัวใหญ่ๆได้ยังไง ถ้าข้าช่วยพวกเจ้าด้วย ข้าก็อาจไขปริศนาในใจของข้าได้ก็ได้”
คาร์ลมองไปทางอาร์โรห์ที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยรู้ตัวว่าตอนนี้ตนเองเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ความจริงแล้ว การช่วยลูน่าออกมานั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่อาร์โรห์และคาร์ลสองคนก็มากเกินพอในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าพี่น้องสองคนนี้มีกันเพียงสองคน อาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่หลงเหลือก็ได้ เพราะงั้นสองพี่น้องจึงรักกันมาก และเดลที่เป็นพี่ชายก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องสาวได้รับอันตรายโดยที่ตนเองไม่อาจทำอะไรได้
หลังจากที่อาร์โรห์ คาร์ล และเดลปรึกษากันผ่านทางสายตาครู่หนึ่ง ก็เป็นอันตกลงว่าคงไม่อาจเลี่ยงไม่ให้หญิงสาวเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้...
ในกลางดึกของคืนต่อมา ขณะที่ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ เกิดความเคลื่อนไหวเบาๆจากร่างสีดำร่างหนึ่ง เคลื่อนที่จากหน้าต่างของโรงแรมไปตามกำแพงของอาคารข้างๆ เคลื่อนไปตามหลังคาของอาคารแต่ละหลัง มุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใดกันแน่ เขาทำเพียงเคลื่อนที่ไปตามที่สมองและร่างกายสั่งการ ตามกลิ่นที่เขายังคงจดจำได้
ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังอาคารหลังหนึ่งที่มีความสูงเพียงสองชั้นเช่นเดียวกับอาคารที่อยู่โดยรอบ และหยุดลงบนหลังคาที่มีปล่องควันโผล่พ้นขึ้นมา
เงาร่างนั้นคือคาร์ล ดวงตาสีเงินของเขาราวกับสามารถเรืองแสงในความมืด เขาขยับเข้าไปหาปล่องควันที่ไม่มีควันลอยออกมาเพราะอยู่ในช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อน ก่อนจะดึงเอาเชือกฟางเส้นหนาที่เขาพันทับเสื้อรอบๆเอวออกมาและผูกมันเข้ากับปล่องควัน หลังจากที่หย่อนเชือกลงไปให้อยู่ในจุดที่ต้องการเขาก็ไต่ลงไปตามเส้นเชือก
อันที่จริงเขาเพียงแค่สยายปีกบินมาเองก็ได้ แต่เพื่อไม่ให้มันดูเอิกเกริกและทำให้ชาวเมืองแตกตื่นหรือทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
คาร์ลยื่นมือออกไปผลักหน้าต่างห้องๆหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงมา เท้าของเขาเหยียบถึงพื้นห้องโดยไร้ซุ่มเสียง สายตากวาดมองรอบห้องรอบหนึ่ง พบร่างของเด็กสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงแทบจะในทันที
เขาก้าวขาเข้าไปหาร่างนั้นโดยไร้ซุ่มเสียง...
ลูน่าพลิกตัวไปมาอย่างอึดอัด รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับอยู่บนตัว นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาที่ข้างหมอน เธออดไม่ได้ที่ลืมตาขึ้นมอง ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็สามารถปรับสายตาให้ชินกับสภาพที่มีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์ได้
เด็กสาวชะงักร่าง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตระหนก เมื่อพบว่ามีร่างปริศนาคร่อมอยู่บนร่างของเธอ แต่เพียงไม่นานเธอก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ ริมฝีปากของเธอเผยอออกเตรียมจะส่งเสียง แต่ก็ต้องหยุดริมฝีปากเมื่ออีกฝ่ายใช้ฝ่ามือปิดริมฝีปากของเธอจนทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอประท้วง
“อื้อๆๆ” ลูน่าเริ่มดิ้น อยากจะออกไปจาสภาพเช่นนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สะทกสะท้านอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
มือของลูน่าถูกยกขึ้นเตรียมจะจิ้มจึ้กลงไปที่อะไรบางอย่างสีเงินๆตรงหน้า ตอนนี้เธอไม่มีสติแม้แต่จะดูให้ดีๆว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไวกว่า ฝ่ามือใหญ่จัดการรวบแขนของเธอทั้งสองข้างโดยที่มืออีกข้างยังคงปิดปากของเธอเอาไว้แน่น
“ใจเย็นๆสิ” อีกฝ่ายกล่าวเบาๆ “ข้าชื่อคาร์ล เป็นเพื่อนกับอาร์โรห์และพี่ชายของเจ้า”
ได้ผล คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ลูน่านิ่งลงได้ คาร์ลถอนหายใจเบาๆพลางเลื่อนมือออกจากลูน่า และโดยไม่ทันรู้ตัว ลูน่าก็ขยับขาขึ้นถีบร่างของอีกคนจนล้มกลิ้งลงไปบนพื้น
คาร์ลส่งเสียงร้องครวญ ทั้งจุกทั้งเจ็บจนน้ำตาแทบจะเล็ด
ลูน่าปรายตามองคาร์ลที่ลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสภาพดูไม่ได้
เธอเผยยิ้มขันปนสมเพช “เป็นปีศาจที่ข้าอ่านไม่ออกแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงได้อ่อนปวกเปียกอย่างนี้นะ??”
คำพูดที่เรียกได้ว่าสบประมาทเรียกได้เพียงรอยยิ้มเรียบๆจากคาร์ล ใบหน้าคมคายถูกเงาของเมฆตกทอดจนดวงตาสีเงินดูราวกับเรืองแสงอีกครั้ง แต่ครานี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป มันทำให้อีกฝ่ายดูน่ากลัวขึ้น แต่ลูน่าก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรนัก
“แล้วเจ้ามีอะไรล่ะ?” ลูน่าเอ่ยปากถาม “หรือจะมีข้อความจากเดล?”
“ก็ไม่เชิง” คาร์ลกล่าวก่อนจะยักไหล่ บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว “ข้าจะมาบอกว่าคืนวันพรุ่งนี้ให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พวกข้าจะมาพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
“แล้วทำไมเจ้าไม่พาข้าไปตั้งแต่คืนนี้เลยล่ะ??”
“ข้ามีแรงไม่มากพอ ต้องรออาร์โรห์”
คำกล่าวนั้นทำเอาลูน่าขมวดคิ้ว ดวงตาสีทรายกวาดมองร่างของคาร์ลตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะนำไปเทียบกับภาพของอาร์โรห์ในความทรงจำ
...จะเทียบยังไง ปีศาจตรงหน้าเธอนี่ก็ดูจะมีแรงมากกว่าอาร์โรห์ชัดๆ !!!
ลูน่าตัดสินใจกะจะหันมาแย้ง แต่เมื่อหันกลับมา พื้นที่ตรงหน้าก็กลับมาว่างเปล่าเสียแล้ว
...เร็วจริงนะ...
‘อ้อ ใช่ๆ ข้าลืมบอกไปอย่าง พรุ่งนี้อย่าเผลอไปอ่อยคนอื่นจนเป็นที่หมายปองล่ะ ถึงหน้าเจ้าจะขี้เหร่ก็เถอะ’
ความรู้สึกอยากซัดคนของลูน่าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงฉ่าจากความโกรธ หรืออาจมีอารมณ์อื่นๆผสมปนเปออกมาด้วยเล็กๆน้อยๆ...แต่ก็แค่เพียงเสี้ยวเดียวน่ะนะ...
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน ฮะ!!!!!!?” ลูน่าแผดเสียงสิบแปดหลอดออกมาจนคนที่เดินตรวจอยู่หน้าประตูห้องสะดุ้งโหยง นกที่กลับเข้ารังและกำลังหลับสะดุ้งตื่นและบินหนี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่พักห้องข้างเคียงที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงมาจนขี้หูลุกขึ้นมาเต้นกันเป็นแถบๆ บางคนที่อารมณ์ร้อนหน่อยก็จะออกมาโวยวายใส่พวกที่เป็นคนดูหน้าประตูห้อง
ต้นเหตุของเรื่องไม่ได้สนใจความวุ่นวายภายนอก เด็กสาวกระแทกตัวลงนั่งบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่และล้มตัวลงนอนในที่สุด
คาร์ลกลับเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าอาร์โรห์ที่ควรจะหลับไปแล้วกลับลุกขึ้นมานั่งบนขอบเตียงของตนเอง
“ทำไมเจ้ายังไม่นอนอีกล่ะ อาร์โรห์?”
“...”
ไร้เสียงตอบกลับจากเจ้าของชื่ออย่างผิดวิสัย เพราะปกติถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบก็จะปรายตามามองนิดหน่อย แต่นี่ไม่มีแม้กระทั่งการขยับหัวเลยสักนิดเดียว จนคาร์ลอดสงสัยไม่ได้ว่าอินคิวบัสที่มีอายุน้อยกว่าตนเป็นอะไรหรือเปล่า
ไวเท่าความคิด คาร์ลขยับเข้าไปใกล้อาร์โรห์มากขึ้น คราวนี้เขาได้ยินเสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นและได้เห็นร่างของอิคิวบัสหนุ่มน้อยสั่นสะท้าน
สัญชาตญาณของคาร์ลร้องเตือนว่าอาการที่เขาเห็นนั้นอันตราย หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้อาจเกิดเรื่องที่เขาไม่คาดฝันขึ้นได้
อินคิวบัสหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนเข้าไป ฝ่ามือสัมผัสเบาๆลงบนไหล่เล็ก แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว เผลอปัดมือเขาออกด้วยแรงที่ทำเอามือเขาชาไปครู่หนึ่ง
อาร์โรห์ผงะถอยก่อนจะหันมามองคาลร์ด้วยสีหน้าซีดเซียว
“เจ้าเป็นอะไรน่ะ อาร์โรห์?” คาร์ลกล่าวพลางขมวดคิ้วพร้อมสะบัดมือเบาๆ เหมือนต้องการให้มันหายชา และแน่นอน มันไม่ได้ผลเพราะเมื่อกี้นี้อาร์โรห์แทบจะทุ่มพลังทั้งหมดในการปัดมือของเขาออกไปเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะด้วยตกใจหรือจงใจ ไม่คิดว่ามันจะแรงไปหรือนั่น??
“ขอโทษที ไม่มีอะไรหรอก...อย่าใส่ใจเลย...” อาร์โรห์กล่าวพลางหลบสายตาสีเงินที่มองมาด้วยการซุกร่างเข้าไปใต้ผ้าห่ม ทำทีเหมือนต้องการจะนอนพักผ่อนเพื่อรอให้วันต่อไปมาเยือน
คาร์ลขมวดคิ้วกับท่าทางนั้น...อาร์โรห์ดูแปลกไปจริงๆ ปล่อยไว้แบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ แต่จะให้นั่งเค้นคอถามเจ้าตัวที่หัวแข็งและปากหนักก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดเหมือนกัน
สุดท้ายแล้วคาร์ลก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจและเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าร่างใต้ผ้าห่มของเตียงข้างๆกลับผุดลุกขึ้นมาใหม่ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ตวงตาสีดำสูญเสียประกายแสดงถึงความผิดปกติ ใบหน้าของเขามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหายออกไปจากห้อง ไม่ใช่ด้วยพลังเวท แต่เป็นความเร็วที่มากกว่าปกติเท่าตัว
___________________________________________________________________
จบไปอีกตอนค่ะ
กว่าไรท์จะว่างมาอัพต้องขอโทษด้วยจริงๆ
ไม่รู้ว่ารีดทุกท่านอ่านแล้วคิดเหมือนไรท์มั้ย แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าจิ้นเดลกับอาร์โรห์ (หรือคาร์ลกับอาร์โรห์(?)) ตงิดๆ
(สายเลือดสาววายมันกำลังมา)
แต่สัญญาว่ามันไม่วาย มันแค่ชวนจิ้นเอ๊งงงงงงง!!!
ปล. สำหรับสาววาย เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นพระเอกของอาร์โรห์ตัวจริง(??) ฟฟฟฟฟ
ความคิดเห็น