ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 58


    บทที่  4

     

    ทั้งสามยังคงใช้ฐานะพี่น้องในการอ้างและใช้เงินในถุงนั่นเข้าพักที่โรงแรมถูกๆแห่งหนึ่ง  อาศัยส่วนที่เป็นร้านอาหารในชั้นหนึ่งของโรงแรมสั่งอาหารมาทานพลางเริ่มเปิดประเด็น

    “พวกเรายังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูน่าอยู่ไหน” เดลกล่าวขึ้นเมื่อพนักงานที่มารับรายการอาหารเดินกลับไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ  เพราะพวกเขามากันถึงสามคนแต่กลับสั่งอาหารไปเพียงจานเดียว  แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้  อะไรที่ไม่จำเป็นเขาจะไม่ใช้เงินเด็ดขาด

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง  ข้าจำกลิ่นของนางได้” เป็นคาร์ลที่กล่าว  แต่มันกลับทำให้เดลมองคนพูดด้วยสีหน้าแปลกๆ  สายตาของเดลบอกชัดว่าเขาได้จัดอันดับให้คาร์ลเข้าไปอยู่ในรายชื่อคนโรคจิตแล้วเรียบร้อย

    คนถูกมองเข้าใจความหมายของสายตาที่มองมา  เขารีบโบกมือแก้ตัว “เฮ้ๆ  อย่ามองข้าแบบนั้นสิ  ข้าไม่ใช่พวกโรคจิตนะ”

    “เหรอ” เดลยังคงมีท่าทีไม่เชื่อในคำพูดของคาลร์  “ดูยังไงเจ้าก็เป็นพวกโรคจิตชอบดมไม่ใช่รึไง ??”

    “นี่มันความสามารถเฉพาะตัวต่างหากล่ะ ! อินคิวบัสน่ะ  พอก้าวเข้าสู่ช่วงหนุ่มสาวก็จะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมา  เจ้าอย่ามองข้าในแง่ร้ายแบบนั้นสิ” ถึงจะได้ยินคำอธิบาย  เดลก็ยังคงไม่เชื่อ  เขาหันไปมองทางอาร์โรห์ที่นั่งเงียบๆมาโดยตลอด

    อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่คาร์ลพูดนั้นเป็นเรื่องจริง  เดลที่ได้รับการยืนยันจึงมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย  เขาหันกลับมามองทางคาร์ลแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “ได้  ข้าเข้าใจแล้ว  งั้นเรื่องหาตัวลูน่าก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว  แต่ว่าถ้าเจอตัวแล้วจะพาออกมายังไง ?”

    “อ่า...เรื่องนี้ล่ะปัญหา  ปีกของอินคิวบัสไม่แข็งแรงพอจะรับน้ำหนักของมนุษย์คนหนึ่งได้  นอกจากว่า...” คาร์ลเว้นระยะไปครู่หนึ่ง  ดวงตาสีเงินเหลือบมองมาทางอาร์โรห์ที่ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเงียบๆ  เป็นเหตุให้เดลต้องมองตาม

    อาร์โรห์ชะงักมือที่ยังถือแก้วน้ำค้างไว้  ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะดื่มหรือไม่ดื่มดี  สุดท้ายก็จำใจต้องวางแก้วน้ำลงโดยที่ยังไม่ได้แตะน้ำในแก้วเลยสักหยด  ดวงตาสีนิลกวาดมองทั้งสองคนรอบหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจพรืดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “เรื่องพาลูน่าออกมา  ข้าจัดการเอง”

    “อ้าวๆ  เจ้าก็บรรยายสรรพคุณของเจ้าซักหน่อยจะเป็นไร”  คาร์ลกล่าวกระเซ้าเรียกให้ดวงตาสีดำค้อนควบอย่างไม่พอใจ  แต่เมื่อมองไปทางเดลที่มองมาด้วยสายตามึนงงและอยากรู้อยากเห็น  เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจหนักๆออกมา...ไม่พอใจ...ไม่พอใจสุดๆ !

    “ปีกของข้ามีกำลังมากกว่าปีกของอินคิวบัสทั่วไป  รับน้ำหนักของมนุษย์ได้สูงสุดสองคน” กล่าวจบเขาก็สะบัดหน้าหนี  ไม่อยากจะมองหน้าทั้งสองคนที่คนหนึ่งยิ้มแป้น  ส่วนอีกคนทำหน้าประมาณ ทำไมเจ้าไมใช่มันตั้งแต่ต้น ?

    เขาผิดเหรอที่เพิ่งจะรู้ความสามารถของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองน่ะ !?

    ต้องย้อนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนระหว่างที่ให้เดลเข้าไปถามตามโรงแรมว่ามีห้องว่างไหมคนเดียว  สาเหตุง่ายๆที่ให้เดลเข้าไปคนเดียวก็เพราะว่าในช่วงแรก ๆ ที่คาร์ลและอาร์โรห์เข้าไปด้วยนั้น...

    อ้ายยยย  น้องชายหล่อจังเลย  มาอยู่กับพี่มั้ย?

    เฮ้ๆ น้องสาว  คืนละเท่าไหร่ดี ??

    ...ก็...ประมาณนั้นล่ะนะ...

    ทั้งคาร์ลและอาร์โรห์จึงจำต้องซื้อผ้าคลุมแบบมีฮู้ดมาสองผืนเพื่อใช้สวมปิดบังใบหน้า  และยืนรออยู่ด้านนอก  ในระหว่างนั้นพวกเขาก็คุยกันในเรื่องของพลังพิเศษที่จะได้รับหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย

    และก็เป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลได้รู้ว่าอาร์โรห์ไม่รู้เรื่องพวกนั้นเลย

    แน่นอนว่าในโรงเรียนเองก็มีพูดถึงเรื่องพวกนี้  ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม  ส่วนที่เหลือนั้นจะให้ซัคคิวบัสผู้ให้กำเนิดเป็นผู้อธิบายอีกที  แต่ไม่ว่าจะเป็นอาร์โรห์หรือคาร์ลต่างก็มารู้หลังจากที่เข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยแล้ว

    “เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกไปรึเปล่าล่ะ ?” คาร์ลเอ่ยถามเรียกให้ร่างที่เล็กกว่าต้องมานั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว

    “...นอกจากเวทที่ใช้ได้หลากหลายและแข็งแกร่งขึ้น  ก็มี...การบิน”

    “การบิน ??”

    “ใช่...ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าข้าบินได้เร็วขึ้น  แล้วปีกของข้าก็มีแรงมากขึ้นด้วย”

    “ไม่น่าเชื่อ...กำลังปีกของเจ้าเพิ่มขึ้น  เป็นวิวัฒนาการที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ...เจ้าชอบทำให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อยเลยจริงๆ  อาร์โรห์”

    อาร์โรห์มีสีหน้าไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก  คาร์ลจึงหันไปมองรอบๆ  เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินมาทางพวกเขาพอดี  บางทีอาจเป็นเพราะในตอนนี้พระอาทิตย์ได้ตกดินไปนานแล้วจึงไม่ค่อยจะมีคนออกมาเดินขวักไขว่นัก

    คาร์ลยื่นมือออกไปทางชายหญิงคู่นั้น  พลังวูบหนึ่งพัดผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็วแล้วชายหญิงคู่นั้นก็ทรุดลงกับพื้น

    ...คาร์ลใช้เวทนิทรานั่นเอง...

    “เอาล่ะ  คราวนี้เจ้าก็ลองแบกสองคนนั้นแล้วบินขึ้นไปดู”

    อาร์โรห์มองคาร์ลด้วยใบหน้านิ่งเรียบ  ก่อนจะเดินไปแบกมนุษย์สองคนนั้นขึ้น  เป็นดังคาด  มนุษย์ตัวหนักกว่าปีศาจอย่างเขาเป็นเท่าตัว  อาร์โรห์ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะยึดร่างของมนุษย์ถึงสองคนไว้กับตัว  ก่อนที่เขาจะสยายปีกและบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

    อาร์โรห์บินวนรอบๆ รอบหนึ่งแล้วจึงกลับลงมาบนพื้น  เขาวางร่างของชายหญิงคู่นั้นลงให้ร่างของพวกเขาพิงอยู่กับกำแพงตึก  แล้วจึงหันกลับมาหาคาร์ลที่มองเขามายิ้มๆ

    “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ?”

    “หนัก  ข้าคงรับน้ำหนักได้สูงสุดแค่สองคนเท่านั้น  มากกว่านี้คงไม่ไหว”

    “นั่นถือว่าสุดยอดแล้ว  อินคิวบัสทั่วไปรับน้ำหนักได้ไม่ถึงครึ่งคนด้วยซ้ำ และถึงจะรับน้ำหนักได้ถึงหนึ่งคน  ก็ใช่ว่าจะสามารถบินได้แบบเจ้าหรอกนะ”

    อาร์โรห์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับคำพูดนั้น  เขายังคงนิ่งเงียบ  จนกระทั่งเขาเหลือบไปเห็นร่างของเดลที่ออกมากวักมือเรียกนั่นแหละ  ทั้งคาร์ลและอาร์โรห์จึงได้เดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มชาวมนุษย์

    กลับมาสู่ปัจจุบัน  หลังจากที่เดลกินอาหารเสร็จพวกเขาก็เตรียมตัวที่จะกลับไปที่ห้องพัก

    โครม !

    เสียงนั้นทำให้ทั้งสามชะงักกึก  ดวงตาต่างสีทั้งสามคู่หันไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ

    ที่หน้าประตูปรากฏร่างมนุษย์หลายคนที่ถือดาบและแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรใส่ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้  พวกเขาแผ่ไอสังหารออกมาจนคนทั้งร้านไม่กล้าที่จะส่งเสียงเอะอะโวยวาย

    “พวกเจ้าทุกคน  อยู่เงียบๆนิ่งๆ  ไม่อย่างงั้น...ตาย !!!

    คำขู่นั้นได้ผล  ทุกคนในร้านไม่มีใครกล้าที่จะขยับเลยแม้แต่คนเดียว

    หนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาพร้อมกับอาวุธก้าวเข้ามาในร้านตรงดิ่งมาทางพวกอาร์โรห์ที่แทบจะกลั้นหายใจ  อาร์โรห์เผลอรวบรวมพลลังไว้บนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว  ถ้าไม่มีมือของคาร์ลที่คอยแตะมือเขาไว้เบาๆเป็นการปรามล่ะก็  บางทีเขาอาจจะซัดพลังนั้นออกไปแล้ว

    แต่อาร์โรห์ก็ต้องสลายพลังในทันทีเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านโต๊ะเขาไปเสียเฉยๆ  และตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ถัดไปอีกสองโต๊ะ  ที่ตรงนั้นมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่  ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดำปิดทั้งตัวทั้งยังสวมฮู้ดปิดบังใบหน้าอย่างน่าสงสัย

    “เอาล่ะเจ้าหนุ่ม  มากับข้าหน่อยซิ”

    “ข้าขอปฏิเสธ”

    แทบจะไม่มีการหยุดคิดอะไร  เสียงที่ฟังดูเหมือนถูกดัดให้ห้าวก็ดังออกมาจากใต้ผ้าคลุม  ส่งผลให้คาร์ลที่นั่งอยู่ข้างๆอาร์โรห์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ

    “เจ้านั่นโง่รึเปล่า  เห็นชัดๆว่านางเป็นผู้หญิงก็ยังจะเรียกว่าเจ้าหนุ่มอีก”

    ถูกอย่างที่คาร์ลพูด  ร่างภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นผู้หญิงแน่นอน  สำหรับอินคิวบัสที่มีประสาทสัมผัสไวในเรื่องของการแยกเพศนั้น  เรียกได้ว่าไม่ว่าจะปลอมตัวมาได้แนบเนียนขนาดไหนพวกเขาก็ยังสามารถแยกออกได้อยู่ดี

    “เฮ้  ข้าว่าเจ้าคงยังไม่อยากเจอดีหรอกนะ” ไม่ว่าเปล่า  ฝ่ามือใหญ่ถูกเงื้อขึ้น  เตรียมจะพุ่งตรงไปยังใบหน้าใต้ผ้าคลุมของร่างที่ยังคงนั่งนิ่ง

    แต่ขณะที่หมัดใหญ่ๆนั่นกำลังจะเข้าไปถึงตัวของหญิงสาวนั่นเอง  มันก็กลับหยุดนิ่งด้วยฝีมือของมือที่เล็กกว่าหมัดข้างนั้นแต่กลับมาแรงที่มากกว่า

    “เจ้าคิดจะใช้กำลังกับผู้หญิงงั้นเหรอ ?” เสียงนั้นคลุมเครือว่าจะเป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย  แต่กลับเย็นเยียบจนคนถูกพูดด้วยเสียวสันหลังวาบ  แต่เมื่อหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้น  เขากลับพบว่าอีกฝ่ายมีลักษณะเป็นเพียงเด็กสาวร่างกายบอบบางคนหนึ่งเท่านั้นเอง

    “หึ  สาวน้อย  เจ้าช่างไม่ดูตัวเองเลยนะ...!” ด้วยคำพูดที่ไม่เข้าหู  อาร์โรห์จึงออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายจนเสียงกระดูกลั่นออกมา

    “อ้ากกกกก  ข...ข้อมือข้า !  ข้อมือข้า !!  ข้อมือข้า !!!” ร่างใหญ่ๆของอีกฝ่ายทรุดลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นด้วยสภาพข้อมือผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด

    “หักแล้ว” อาร์โรห์ต่อให้ขณะที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพชและเหยียดหยามในเวลาเดียวกัน

    ชายหนุ่มคนนั้นมองมาทางอาร์โรห์อย่างโกรธแค้น  อยากจะใช้มือข้างที่ยังปกติดีชี้หน้าอีกฝ่าย  แต่เพียงแค่ยื่นมือออกมา  แขนข้างนั้นก็ถูกเหยียบซ้ำจนเจ้าของแขนต้องร้องเสียงหลง

    ชายหนุ่มมองไล่ตามขาของอีกฝ่ายขึ้นไปจนถึงใบหน้า  แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีเงินเย็นเยียบ  ส่งผลให้ร่างของเขาสั่นอย่างไม่อาจห้ามอยู่  ทั้งๆที่ใบหน้านั้นหล่อเหลาคมคาย  แต่กลับน่าขนลุกเสียจนเขาต้องรีบเบือนหน้าหนี

    “เจ้าคิดจะทำอะไร  หือ ?” คาร์ลกล่าวถามเสียงเย็น  ไม่ว่าเปล่า  เขายังลงน้ำหนักที่ขามากขึ้นจนแขนข้างนั้นส่งเสียงน่าหวาดเสียวว่าจะหักไม่หักแหล่ออกมา

    “คาร์ล  พอได้แล้ว” เป็นอาร์โรห์ที่กล่าวปราม  เท้าของคาร์ลจึงได้ละออกมาจากแขนของร่างที่กองอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพชนั้น

    ชายหนุ่มรีบคลานหนีอย่างทุลักทุเลกลับไปหาพรรคพวก  เมื่อพวกลูกน้องช่วยกันพาหนีออกไป  ในร้านอาหารจึงมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นทันตา

    เดลเดินมาสมทบกับทั้งสองคนด้วยสีหน้าแปลกๆ  เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะคนในร้านต่างมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียวราวกับเห็นตัวประหลาด

    “อ่า...ข้าว่าพวกเรากลับห้องพักกันดีกว่า...”

     

    สุดท้ายแล้วพวกเขาก็กลับมาที่ห้องพักพร้อมกับสายตาที่จ้องมองมาของคนรอบข้าง  พวกเขาไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้กระจ่างด้วยเห็นว่าไม่จำเป็น

    อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง  ดวงตากวาดมองรอบห้องอย่างสำรวจ  แน่นอนว่าเขาเข้ามาที่ห้องนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันกับคาร์ลที่กำลังเดินจับนู่นจับนี่ขึ้นมาดู  มีเพียงเดลที่เป็นคนจัดการจองห้องและคาดว่าคงได้ขึ้นมาสำรวจห้องนี้แล้วอย่างน้อยหนึ่งรอบเท่านั้นที่นอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน

    “เดล” อาร์โรห์กล่าวเรียกเบาๆ  อาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์บางอย่างแผ่ออกมาจากอีกฝ่ายจนเขารู้สึกกังวลกระมัง

    คนถูกเรียกหันมามองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงด้านข้าง  นัยน์ตาสีโลหิตนั้นมีแววสงสัยเจือปนไปด้วยความไม่เข้าใจ  และ...ความเป็นห่วง...

    ...แน่นอนว่าต้องเป็นความห่วงที่มีต่อลูน่า...น้องสาวของเขา...

    ...การที่มีคนคอยเป็นห่วงนี่...ความรู้สึกจะเป็นแบบไหนนะ...

    อาร์โรห์อดคิดไม่ได้  เขาที่ไม่เคยได้รับความห่วงใยจากผู้อื่นไม่อาจที่จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผู้ที่ได้รับความรักและความห่วงใยจากผู้อื่นได้เลย

    ในบางครั้งเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ผู้อื่นได้รับอยู่เป็นนิจ  สิ่งเดียวที่เขารับรู้และชินชาก็คงจะเป็นความรู้สึกแปลกแยก และการถูกเกลียดชังกระมัง...

    อาร์โรห์หัวเราะเยาะเย้ยกับความน่าสมเพชของตนเอง  ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเรียกเดลเพื่อเปิดบทสนทนาแท้ๆ  แต่ตอนนี้เขากลับส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยตนเองเสียแทน

    ...น่าสมเพช...น่าสมเพช...ข้ามันน่าสมเพช...ยิ่งได้เห็นความเป็นห่วงที่ผู้อื่นได้รับ  เขาก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแปลกแยกของตนเอง...เจ็บปวดแล้วยังไง  ร้องไห้แล้วยังไง...ไม่มีใครมาสนใจใยดี  ไม่มีคนคอยปลอบใจ  ไม่มีใครมาอยู่ข้างๆเวลาท้อแท้  คนที่ยืนหยัดด้วยตนเองตลอดมาเช่นเขา  ไม่มีทางเข้าใจได้เลย...ไม่มีทาง...

    เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย  แต่ที่รับรู้ได้ชัดเจนคือความรู้สึกประชดประชันตนเอง

    เดลลุกขึ้นนั่งมองอาร์โรห์ที่เอาแต่ก้มหน้าแล้วหัวเราะ  ในความรู้สึกของเขา  เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยาย  เขาไม่รู้ว่าอาร์โรห์เคยประสบพบเจออะไรมา  แต่มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร  แต่ที่เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือเหตุใดอยู่ๆอีกฝ่ายจึงได้ส่งเสียงหัวเราะเจ็บปวดแบบนั้น

    คาร์ลเองก็วางสิ่งที่เขาเพิ่งจะหยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเมื่อครู่ลง  นัยน์ตาสีเงินมองตรงมายังร่างของอาร์โรห์ที่สั่นไปทั้งตัวเพราะการหัวเราะ  บางทีในตอนนี้อาจมีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของอาร์โรห์ก็เป็นได้  อาจเพราะเขาเองก็ยืนอยู่ในจุดๆเดียวกันกับอาร์โรห์  แต่ในเวลาเดียวกัน  เขาก็ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลกับอีกฝ่ายเหลือเกิน...

    ...เขาไม่ได้เกลียดการฆ่าฟัน  แต่เขาเกลียดเผ่าพันธุ์ของตนเองที่ฆ่าพ่อของเขา  เขาไม่ได้ไม่มีเพื่อนเช่นอาร์โรห์  และไม่เคยถูกเกลียดหรือถูกกีดกัน  แต่เขากำพร้าตั้งแต่ยังเล็กเช่นอาร์โรห์  ตอนเด็กๆเองก็เคยรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก  อาจเป็นจุดๆนี้กระมังที่ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวของอีกฝ่าย...

    เสียงหัวเราะของอาร์โรห์ค่อยๆเบาลงและเงียบไปในที่สุด  ร่างเล็กนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ

    คาร์ลที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดเป็นคนที่เดินไปเปิดประตูออก  ด้านนอกนั้นปรากฏร่างในชุดคลุมยาวสีดำและสวมฮู้ดไว้  ส่วนสูงของร่างนั้นดูจะมากกว่าอาร์โรห์เล็กน้อย

    กลิ่นของอีกฝ่ายทำให้คาร์ลรู้ในทันทีว่าร่างตรงหน้าเขานี้คือหญิงสาวที่ร้านอาหารเมื่อครู่นี้  เขาอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้จึงได้เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “เจ้ามีอะไรกับพวกข้ารึเปล่า ?”

    อีกฝ่ายไม่ตอบ  เธอใช้ดวงตาที่ถูกเงาของฮู้ดบดบังกวาดมองไปรอบๆห้องพักของทั้งสาม  ก่อนจะมาหยุดลงที่อาร์โรห์ซึ่งกำลังแสดงสีหน้างงงวยออกมา  และแน่นอนว่าเขาต้องจำเธอได้  เพียงแค่เห็นชายผ้าคลุมนั่นก็พอจะเดาได้แล้ว  ยิ่งรวมเข้ากับกลิ่นอายที่ดูจะแตกต่างจากหญิงสาวชาวมนุษย์ทั่วไปนั่นมันก็ยิ่งชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องใช้ตามองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

    หญิงสาวเดินตรงดิ่งเข้ามาหาอาร์โรห์  เธอจับมือที่ดูจะบางกว่าของเธอขึ้นมาพลิกไปพลิกมาอย่างสำรวจ

    อาร์โรห์มองการกระทำนั้นด้วยความงงงวยที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม “นั่นเจ้ากำลังทำอะไรหรือ ??”

    “ไม่น่าเชื่อ  ทั้งที่มือของเจ้าทั้งเล็กและบอบบางขนาดนี้  แต่ทำไมถึงได้มีกำลังถึงขนาดหักกระดูกของคนอื่นได้นะ ?” หญิงสาวพึมพำราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการที่เธอรุกรานเข้ามาในห้องที่มีผู้ชายอยู่ถึงสามคนนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีก

    ครานี้ทั้งห้องเงียบกริบ  ไม่มีใครคิดจะต่อบทสนทนากับหญิงสาวอีก

    หลังจากสำรวจมือของอาร์โรห์อยู่ครู่หนึ่งและไม่พบความผิดปกติใดๆ  เธอก็หมดความสนใจกับมือบางๆนั่น  หลังจากวางมือของอาร์โรห์ลงบนตักอีกฝ่าย  เธอก็ลุกขึ้นยืนและถอดฮู้ดออก

    ใบหน้าที่คมคายเกินผู้หญิงปรากฏเข้าสู่สายตาของทั้งสามคน

    อาร์โรห์จ้องมองใบหน้านั้นตาไม่กระพริบ  ในใจแอบรู้สึกอยากจะขอเปลี่ยนหนังหน้ากับหญิงสาวตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด  แต่เมื่อพบว่ามันเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันแบบเด็กๆเขาก็เลิกที่จะคิดถึงมัน

    “ข้ามีนามว่า  ลีล  โรวาลาร์  ต้องขอบใจพวกเจ้ามากที่มาช่วยข้าไว้เมื่อครู่นี้” กล่าวจบหญิงสาวก็ค้อมหัวเบาๆเป็นการขอบคุณ  เส้นผมสีเปลือกไม้แซมทองที่ยาวสยายลงมาถึงเอวหลุดออกมานอกผ้าคลุม  ก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเหลือบมองมาทางอาร์โรห์พร้อมรอยยิ้ม “ขอบใจเจ้าด้วยนะ  น้องสาว”

    ฉึก!

    “เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงดัง ฉึกด้วยล่ะ” เดลหันไปกระซิบกับคาร์ล

    “ดัง ฉึกเลยล่ะ” คาร์ลกล่าวพลางพยักหน้า

    อาร์โรห์ที่ถูกคำพูดนั้นแทงฉึกลงกลางใจดำตัวสั่นกึกๆ  ยิ่งเมื่อได้ยินสองคนนั้นคุยกันเขาก็ยิ่งตัวสั่นมากขึ้น

    ...ก็รู้อยู่แล้วน่ะนะว่าเขาน่ะหน้าเหมือนผู้หญิง  ยิ่งมาเจอลีลเขาก็ยิ่งรู้สึก  และยิ่งโดนพูดใส่ว่าเป็น น้องสาว แถมถูกย้ำโดยคนใกล้ตัวแบบนี้...

    อาร์โรห์หน้าแดงก่ำ  ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรือความอายก็ตาม  เขาก้มหน้าลงจนเงาของเส้นผมปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง  และปฏิกิริยานั้นก็ทำให้คาร์ลและเดลส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ  โดยมีลีลที่ทำสีหน้าไม่เข้าใจมองทั้งสามคนด้วยสีหน้างงงวย  แต่เมื่อเธอสังเกตดีๆและพบว่าใบหูของอาร์โรห์แดงก่ำ  เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

    ลีลยังคงเข้าใจว่าอาร์โรห์เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง  และไม่มีใครคิดที่จะอธิบายเปลี่ยนความเข้าใจของเธอ

     

    “ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกัน  มีคนของพวกเจ้าถูกจับอยู่ที่ไหนซักแห่งในเมืองนี้สินะ ??” ลีลเอ่ยถามพลางนั่งลงบนผืนเตียงที่อาร์โรห์นั่งอยู่  ส่วนเดลและคาร์ลนั่นอยู่ทางฝั่งตรงข้าม

    เป็นเดลที่พยักหน้ารับ “เพียงแต่พวกข้ายังไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน” เขากล่าวก่อนจะหันไปมองทางคาร์ลที่นั่งอยู่ข้างๆ  เป็นเชิงว่าให้อธิบายต่อเอาเองก็แล้วกัน

    คาร์ลที่เข้าใจความนัยของสายตาคู่นั้นจึงหันมาอธิบายให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องฟัง “พอดีข้ามีพวกพ้องอยู่ที่เมืองนี้อยู่ไม่น้อย  ตอนนี้พวกพ้องของข้ากำลังออกตามสืบอยู่  อีกไม่นานก็คงจะรู้แน่ชัดว่าอยู่ที่ไหน”

    สีข้างถลอกหรือยังนั่น...

    ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของเดลและอาร์โรห์กลับเป็นความคิดที่เหมือนกันเปี๊ยบราวกับคัดลอกกันมา

    ลีลส่งเสียง อืมออกมาเบาๆราวกับครุ่นคิด  ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงได้เงยหน้าขึ้นมาและเผยยิ้มที่ทุกคนขอลงความเห็นว่า  หล่อสุดๆออกมา

    ไม่นึกว่าเพียงแค่มีหน้าตาหล่อเข้าหน่อยเวลายิ้มนี่ก็แทบไม่ต้องทำอะไรก็หล่อได้...

    “ถ้าอย่างนั้น  ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าด้วย” ลีลกล่าวเสียงร่าราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ  แต่มันกลับทำให้คาร์ลที่จงใจโกหกให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งเรื่องนี้ทำหน้าเหวอแน่นอนว่าเขาดูออกว่าอีกฝ่ายคงจะพยายามเข้ามายุ่งเรื่องนี้แน่ๆ  ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม  แต่ก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  และคิดที่จะยื่นมือเข้ามาให้ได้

    มนุษย์นี่ยุ่งยากเสียจริง...

    “แต่ข้าว่า...” ขณะที่คาร์ลกำลังจะกล่าวแย้ง  ลีลก็กลับยื่นมือเข้าไปกุมมือของอาร์โรห์และยกมันขึ้นมามองอย่างสนใจอีกครั้ง  ทั้งๆที่เมื่อก่อนหน้านี้เธอทำราวกับหมดความสนใจไปแล้วแท้ๆ

    “ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่ามือบางๆนี่หักกระดูกข้อมือของผู้ชายตัวใหญ่ๆได้ยังไง  ถ้าข้าช่วยพวกเจ้าด้วย  ข้าก็อาจไขปริศนาในใจของข้าได้ก็ได้”

    คาร์ลมองไปทางอาร์โรห์ที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ด้วยรู้ตัวว่าตอนนี้ตนเองเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ความจริงแล้ว  การช่วยลูน่าออกมานั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แค่อาร์โรห์และคาร์ลสองคนก็มากเกินพอในปฏิบัติการครั้งนี้  แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าพี่น้องสองคนนี้มีกันเพียงสองคน  อาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่หลงเหลือก็ได้  เพราะงั้นสองพี่น้องจึงรักกันมาก  และเดลที่เป็นพี่ชายก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องสาวได้รับอันตรายโดยที่ตนเองไม่อาจทำอะไรได้

    หลังจากที่อาร์โรห์  คาร์ล และเดลปรึกษากันผ่านทางสายตาครู่หนึ่ง  ก็เป็นอันตกลงว่าคงไม่อาจเลี่ยงไม่ให้หญิงสาวเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้...

     

    ในกลางดึกของคืนต่อมา  ขณะที่ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ  เกิดความเคลื่อนไหวเบาๆจากร่างสีดำร่างหนึ่ง  เคลื่อนที่จากหน้าต่างของโรงแรมไปตามกำแพงของอาคารข้างๆ  เคลื่อนไปตามหลังคาของอาคารแต่ละหลัง  มุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใดกันแน่  เขาทำเพียงเคลื่อนที่ไปตามที่สมองและร่างกายสั่งการ  ตามกลิ่นที่เขายังคงจดจำได้

    ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังอาคารหลังหนึ่งที่มีความสูงเพียงสองชั้นเช่นเดียวกับอาคารที่อยู่โดยรอบ  และหยุดลงบนหลังคาที่มีปล่องควันโผล่พ้นขึ้นมา

    เงาร่างนั้นคือคาร์ล  ดวงตาสีเงินของเขาราวกับสามารถเรืองแสงในความมืด  เขาขยับเข้าไปหาปล่องควันที่ไม่มีควันลอยออกมาเพราะอยู่ในช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อน  ก่อนจะดึงเอาเชือกฟางเส้นหนาที่เขาพันทับเสื้อรอบๆเอวออกมาและผูกมันเข้ากับปล่องควัน  หลังจากที่หย่อนเชือกลงไปให้อยู่ในจุดที่ต้องการเขาก็ไต่ลงไปตามเส้นเชือก

    อันที่จริงเขาเพียงแค่สยายปีกบินมาเองก็ได้  แต่เพื่อไม่ให้มันดูเอิกเกริกและทำให้ชาวเมืองแตกตื่นหรือทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว

    คาร์ลยื่นมือออกไปผลักหน้าต่างห้องๆหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงมา  เท้าของเขาเหยียบถึงพื้นห้องโดยไร้ซุ่มเสียง  สายตากวาดมองรอบห้องรอบหนึ่ง  พบร่างของเด็กสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงแทบจะในทันที

    เขาก้าวขาเข้าไปหาร่างนั้นโดยไร้ซุ่มเสียง...

     

    ลูน่าพลิกตัวไปมาอย่างอึดอัด  รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับอยู่บนตัว  นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาที่ข้างหมอน  เธออดไม่ได้ที่ลืมตาขึ้นมอง  ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็สามารถปรับสายตาให้ชินกับสภาพที่มีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์ได้

    เด็กสาวชะงักร่าง  ดวงตาเบิกกว้างอย่างตระหนก  เมื่อพบว่ามีร่างปริศนาคร่อมอยู่บนร่างของเธอ  แต่เพียงไม่นานเธอก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้  ริมฝีปากของเธอเผยอออกเตรียมจะส่งเสียง  แต่ก็ต้องหยุดริมฝีปากเมื่ออีกฝ่ายใช้ฝ่ามือปิดริมฝีปากของเธอจนทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอประท้วง

    “อื้อๆๆ” ลูน่าเริ่มดิ้น  อยากจะออกไปจาสภาพเช่นนี้  แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สะทกสะท้านอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

    มือของลูน่าถูกยกขึ้นเตรียมจะจิ้มจึ้กลงไปที่อะไรบางอย่างสีเงินๆตรงหน้า  ตอนนี้เธอไม่มีสติแม้แต่จะดูให้ดีๆว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่  แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไวกว่า  ฝ่ามือใหญ่จัดการรวบแขนของเธอทั้งสองข้างโดยที่มืออีกข้างยังคงปิดปากของเธอเอาไว้แน่น

    “ใจเย็นๆสิ” อีกฝ่ายกล่าวเบาๆ “ข้าชื่อคาร์ล  เป็นเพื่อนกับอาร์โรห์และพี่ชายของเจ้า”

    ได้ผล  คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ลูน่านิ่งลงได้  คาร์ลถอนหายใจเบาๆพลางเลื่อนมือออกจากลูน่า  และโดยไม่ทันรู้ตัว  ลูน่าก็ขยับขาขึ้นถีบร่างของอีกคนจนล้มกลิ้งลงไปบนพื้น

    คาร์ลส่งเสียงร้องครวญ  ทั้งจุกทั้งเจ็บจนน้ำตาแทบจะเล็ด

    ลูน่าปรายตามองคาร์ลที่ลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสภาพดูไม่ได้

    เธอเผยยิ้มขันปนสมเพช “เป็นปีศาจที่ข้าอ่านไม่ออกแท้ๆ  แต่ทำไมเจ้าถึงได้อ่อนปวกเปียกอย่างนี้นะ??”

    คำพูดที่เรียกได้ว่าสบประมาทเรียกได้เพียงรอยยิ้มเรียบๆจากคาร์ล  ใบหน้าคมคายถูกเงาของเมฆตกทอดจนดวงตาสีเงินดูราวกับเรืองแสงอีกครั้ง  แต่ครานี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป  มันทำให้อีกฝ่ายดูน่ากลัวขึ้น  แต่ลูน่าก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรนัก

    “แล้วเจ้ามีอะไรล่ะ?” ลูน่าเอ่ยปากถาม “หรือจะมีข้อความจากเดล?”

    “ก็ไม่เชิง” คาร์ลกล่าวก่อนจะยักไหล่  บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว “ข้าจะมาบอกว่าคืนวันพรุ่งนี้ให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม  พวกข้าจะมาพาเจ้าออกไปจากที่นี่”

    “แล้วทำไมเจ้าไม่พาข้าไปตั้งแต่คืนนี้เลยล่ะ??”

    “ข้ามีแรงไม่มากพอ  ต้องรออาร์โรห์”

    คำกล่าวนั้นทำเอาลูน่าขมวดคิ้ว  ดวงตาสีทรายกวาดมองร่างของคาร์ลตั้งแต่หัวจรดเท้า  ก่อนจะนำไปเทียบกับภาพของอาร์โรห์ในความทรงจำ

    ...จะเทียบยังไง  ปีศาจตรงหน้าเธอนี่ก็ดูจะมีแรงมากกว่าอาร์โรห์ชัดๆ !!!

    ลูน่าตัดสินใจกะจะหันมาแย้ง  แต่เมื่อหันกลับมา  พื้นที่ตรงหน้าก็กลับมาว่างเปล่าเสียแล้ว

    ...เร็วจริงนะ...

    อ้อ  ใช่ๆ  ข้าลืมบอกไปอย่าง  พรุ่งนี้อย่าเผลอไปอ่อยคนอื่นจนเป็นที่หมายปองล่ะ  ถึงหน้าเจ้าจะขี้เหร่ก็เถอะ

    ความรู้สึกอยากซัดคนของลูน่าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ใบหน้าแดงฉ่าจากความโกรธ  หรืออาจมีอารมณ์อื่นๆผสมปนเปออกมาด้วยเล็กๆน้อยๆ...แต่ก็แค่เพียงเสี้ยวเดียวน่ะนะ...

    “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน  ฮะ!!!!!!?” ลูน่าแผดเสียงสิบแปดหลอดออกมาจนคนที่เดินตรวจอยู่หน้าประตูห้องสะดุ้งโหยง  นกที่กลับเข้ารังและกำลังหลับสะดุ้งตื่นและบินหนี  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่พักห้องข้างเคียงที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงมาจนขี้หูลุกขึ้นมาเต้นกันเป็นแถบๆ  บางคนที่อารมณ์ร้อนหน่อยก็จะออกมาโวยวายใส่พวกที่เป็นคนดูหน้าประตูห้อง

    ต้นเหตุของเรื่องไม่ได้สนใจความวุ่นวายภายนอก  เด็กสาวกระแทกตัวลงนั่งบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์  ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่และล้มตัวลงนอนในที่สุด

     

    คาร์ลกลับเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง  แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าอาร์โรห์ที่ควรจะหลับไปแล้วกลับลุกขึ้นมานั่งบนขอบเตียงของตนเอง

    “ทำไมเจ้ายังไม่นอนอีกล่ะ  อาร์โรห์?”

    “...”

    ไร้เสียงตอบกลับจากเจ้าของชื่ออย่างผิดวิสัย  เพราะปกติถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบก็จะปรายตามามองนิดหน่อย  แต่นี่ไม่มีแม้กระทั่งการขยับหัวเลยสักนิดเดียว  จนคาร์ลอดสงสัยไม่ได้ว่าอินคิวบัสที่มีอายุน้อยกว่าตนเป็นอะไรหรือเปล่า

    ไวเท่าความคิด  คาร์ลขยับเข้าไปใกล้อาร์โรห์มากขึ้น  คราวนี้เขาได้ยินเสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นและได้เห็นร่างของอิคิวบัสหนุ่มน้อยสั่นสะท้าน

    สัญชาตญาณของคาร์ลร้องเตือนว่าอาการที่เขาเห็นนั้นอันตราย  หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้อาจเกิดเรื่องที่เขาไม่คาดฝันขึ้นได้

    อินคิวบัสหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนเข้าไป  ฝ่ามือสัมผัสเบาๆลงบนไหล่เล็ก  แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว  เผลอปัดมือเขาออกด้วยแรงที่ทำเอามือเขาชาไปครู่หนึ่ง

    อาร์โรห์ผงะถอยก่อนจะหันมามองคาลร์ด้วยสีหน้าซีดเซียว

    “เจ้าเป็นอะไรน่ะ  อาร์โรห์?” คาร์ลกล่าวพลางขมวดคิ้วพร้อมสะบัดมือเบาๆ  เหมือนต้องการให้มันหายชา  และแน่นอน  มันไม่ได้ผลเพราะเมื่อกี้นี้อาร์โรห์แทบจะทุ่มพลังทั้งหมดในการปัดมือของเขาออกไปเลยทีเดียว  แต่ไม่ว่าจะด้วยตกใจหรือจงใจ  ไม่คิดว่ามันจะแรงไปหรือนั่น??

    “ขอโทษที  ไม่มีอะไรหรอก...อย่าใส่ใจเลย...” อาร์โรห์กล่าวพลางหลบสายตาสีเงินที่มองมาด้วยการซุกร่างเข้าไปใต้ผ้าห่ม  ทำทีเหมือนต้องการจะนอนพักผ่อนเพื่อรอให้วันต่อไปมาเยือน

    คาร์ลขมวดคิ้วกับท่าทางนั้น...อาร์โรห์ดูแปลกไปจริงๆ  ปล่อยไว้แบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้  แต่จะให้นั่งเค้นคอถามเจ้าตัวที่หัวแข็งและปากหนักก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดเหมือนกัน

    สุดท้ายแล้วคาร์ลก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจและเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง  โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าร่างใต้ผ้าห่มของเตียงข้างๆกลับผุดลุกขึ้นมาใหม่ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ  ตวงตาสีดำสูญเสียประกายแสดงถึงความผิดปกติ  ใบหน้าของเขามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหายออกไปจากห้อง  ไม่ใช่ด้วยพลังเวท  แต่เป็นความเร็วที่มากกว่าปกติเท่าตัว

     

    ___________________________________________________________________

    จบไปอีกตอนค่ะ
    กว่าไรท์จะว่างมาอัพต้องขอโทษด้วยจริงๆ
    ไม่รู้ว่ารีดทุกท่านอ่านแล้วคิดเหมือนไรท์มั้ย  แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าจิ้นเดลกับอาร์โรห์ (หรือคาร์ลกับอาร์โรห์(?)) ตงิดๆ
    (สายเลือดสาววายมันกำลังมา)
    แต่สัญญาว่ามันไม่วาย มันแค่ชวนจิ้นเอ๊งงงงงงง!!!

    ปล. สำหรับสาววาย  เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นพระเอกของอาร์โรห์ตัวจริง(??) ฟฟฟฟฟ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×