คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ช า น มึ น : ต อ น ที่ สี่
ต อ น ที่ สี่
“นี่มัน.....”
“........?”
“ของกินนี่” ปาร์คชานยอลทำตาวาวเมื่อเก็นอาหารแห้งมากมายหลายอย่างในถุงเหมือนเด็กได้ของเล่น แบคฮยอนที่กำลังหาผ้าเช็ดศีรษะมาให้ถึงกับกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย บางทีถ้าหากอีกคนทำตัวให้ปัญญาอ่อนน้อยกว่านี้ละก็น่าจะหาแฟนได้ไม่ยากเลยซักนิด
แล้ว....เขาจะมาคิดเรื่องแฟนของคนข้างบ้านทำไมวะเนี่ย
เพี้ยนหรอ....
“เย็นนี้มีอะไรกิน?”
ไม่ว่าเปล่ายังส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหว้งมายังพ่อครัวตัวเล็กที่ผงะไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ถ้าว่ากันตามตรงก็คือแบคฮยอนยังไม่ได้คิดอะไรที่เกี่ยวกับมื้อเย็นวันนี้เลยซักนิด เพราะเหมือนยังอิ่มๆจากที่ไปหาอะไรกินกับพวกทงเฮและเซฮุนมาด้วย
“พี่อยากกินไรอะ”
“สเต๊ก!”
“งั้นกินรามมยอนนั่นแหละ”
ดับความฝันคนอยากกินสเต๊กด้วยของที่มีอยู่ในถุง แบคฮยอนจัดการหยิบถุงที่วางอยู่บนโต๊ะเดินเข้าครัวไป อยากกินอะไรไม่ดูของในถุงเลยว่ามันมีอยู่แค่นั้น จะไปหาเนื้อสเต๊กได้ที่ไหนในตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้ล่ะถามหน่อย
“งั้นขอสามห่อได้มั้ย.....”
สะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆอีกคนก็มายืนซ้อนหลัง ดีว่ายั้งมือไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นคงเอาห่อรามมยอนนั่นแหละฟาดหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว ลมหายใจร้อนๆที่รดอยู่บนศีรษะทำเอาแบคฮยอนเม้มปากตัวเองน้อยๆเพื่อกลั้นอาการหน้าร้อนเห่อ
เหมือนจะช่วยได้นะแหม่
“กินหมดหรอ?”
“อืม...ข้าวกลางวันไม่ได้กิน”
“ทำไรอยู่วะ”
“ก็ดูแลน้องอยู่นั่นแหละ แล้วพอจะกินข้าวก็ถูกอาจารย์เรียกไปช่วย กลับมาอีกทีข้าวก็หมดแล้ว”
“เอ๊า แล้วทำไมไม่ให้พี่จงอินเก็บข้าวไว้ให้?”
“.....มันเป็นคนกินข้าวของฉันเอง”
มีเพื่อนแบบนี้นี่ดีจริงๆ
ได้ยินเหตุผลนั้นแล้วแบคฮยอนเลยพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะขยับหนีออกห่างมาเปิดตู้เย็นหยิบเนื้อและผักเพื่อไม่ให้อาหารมื้อนี้มันขาดสารอาหารเกินไปนัก “ที่จริงพี่ไปนั่งรอก็ได้นะ”
“อยากช่วย.....”
“คราวที่แล้วมีดบาดไม่พอ?”
“ก็ไม่ต้องให้หั่นสิ”
เอ๊อ เอ้า เอาเลย มึงอยากทำอะไรทำเล้ย
เถียงหน้าตายแล้วก็เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นเมื่อร่างเล็กไม่ยอมออกคำสั่ง จนในที่สุดแบคฮยอนเองก็ทนความรำคาญไม่ไหวเลยหันไปสั่งให้อีกคนเอาน้ำใส่หม้อแล้วตั้งบนเตาแก๊สให้น้ำเดือด
“เตาแก๊สเปิดไงอะ”
กูว่ากูทำเองดีที่สุดแล้ว.....
อยู่กับปาร์คชานยอลเวลาทำกับข้าวนี่เหนื่อยยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กสามขวบวัยกำลังซนอีกนะจะบอกให้ แบคฮยอนเลยจัดการเปิดแก๊สแล้วบอกให้อีกคนเฝ้าว่าน้ำจะเดือดเมื่อไหร่ คนตัวสูงยืนจ้องเขม็งราวกับว่ามันจะคลาดสายตา
“ถ้าน้ำเดือดแล้วพี่ก็เอาเส้นใส่หม้อเลยนะ”
คิดว่านี่คงจะไม่เป็นปัญหามากเท่าไหร่แบคฮยอนเลยสั่งอีกคนเอาไว้ก่อนจะหันไปมองคนข้างบ้านที่ทำเพียงพยักหน้ารับน้อยๆแล้วจ้องน้ำในหม้อต่อไป เห็นแบบนั้นเขาก็เลิกสนใจก่อนจะกลับมาจัดการในส่วนของตัวเองต่อ
เมื่อน้ำเดือดคนที่รับหน้าที่สำคัญในการใส่เส้นก็จัดการหย่อนเส้นบะหมี่สีเหลืองลงในหม้อ แบคฮยอนที่หั่นผักเสร็จก็เอาทั้งหมดนั่นใส่ไว้ในจานแล้วยกมาวางไว้ข้างหม้อรอให้น้ำเดือดอีกครั้งแล้วจึงจะใส่เนื้อสัตว์และผักลงไป
“ทำไมถึงทำกับข้าวเป็น”
ร่างสูงที่เดินมาซ้อนด้านหลังทำจมูกฟุดฟิดอยู่ข้างๆหู คนที่กำลังทำกับข้าวจำค้องจับทัพพีในมือเอาไว้ให้มั่นไม่ให้มันลั่นไปฟาดศีรษะของอีกคนเข้า ให้ตายเถอะว่ากันตรงๆเลยนะ เขาไม่ชินเลยกับการที่ปาร์คชานยอลโผล่มาแบบนี้ปกติก็เป็นคนตกใจง่ายอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาเจอแบบนี้อีก
ถ้าถือมีดอยู่ปาร์คชานยอลคงกลายเป็นศพไปแล้วแน่ๆ
“ก็ช่วยแม่ทำตั้งแต่เด็ก”
“เก่งเนอะ”
“ใครๆก็ทำได้ป่าววะ”
“ฉันทำไม่เป็น”
“กากจุง” เผลอตอบอีกคนด้วยความเคยชิน เขาไม่เห็นหรอกว่าปาร์คชานยอลทำหน้าตาแบบไหนแต่รู้อีกทีมือใหญ่ก็ตบลงบนหน้าผากของเขาเบาๆ “ย่าห์!”
“ที่จริงแล้ว ฉันไม่มีแม่”
“.......”
“.......”
“.......”
“อะ....สุกแล้วใช่มั้ย?”
“อ้อ ใช่ๆ”
หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมมาครู่หนึ่ง ปาร์คชานยอลก็ชี้ไปที่หม้อที่เริ่มเดือด ร่างน้อยรีบพยักหน้ารับเพราะเมื่อครู่แอบมองใบหน้าของอีกฝ่าย สีหน้าของชานยอลตอนพูดเรื่องนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับเขาแล้วคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว
ที่ไม่มีแม่นี่คือแม่เสียไปแล้วหรือว่าพ่อกับแม่แยกทางกันเหมือนเขา?
แบคฮยอนหยิบตะเกียบส่งให้คนตัวโตที่อาสาจะยกหม้อไปให้แอบมองใบหน้าหล่อนั่นอีกครั้งแต่ปาร์คชานยอลก็ยังไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากตื่นเต้นกับรามมยอนหม้อโตเท่านั้น เขานั่งลงข้างๆก่อนจะถือตะเกียบเอาไว้แบบนั้นปล่อยให้อีกคนทานไป
ที่จริงแล้ว...บยอนแบคฮยอนก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหาเสียหน่อย
ก่อนหน้านั้นเขาเคยสงสัย ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่รักกันเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ
ได้แต่เปรียบเทียบและคิดไปต่างๆนานา เขารู้ดีว่าด้วยอายุที่เกือบจะยี่สิบแล้วควรจะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นต้องยอมรับ ไม่ว่าคนเราจะโตเท่าไหร่มันจะต้องมีความคิดส่วนหนึ่งในหัวที่จะแย้งเราขึ้นมาแบบเด็กๆ
ทำไมเราต้องเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า เช่นนั้นแล้วเมื่อไหร่ถึงจะพอ?
“อร่อย”
“หื้อ?”
“ทำกับข้าวเป็นแล้วยังทำอร่อยอีก”
อาจจะเพราะบรรยากาศบนโต๊ะมันเงียบเกินไปปาร์คชานยอลเลยพูดขึ้นมาหลังจากที่กินไปได้หลายคำ แบคฮยอนทำหน้าเหวอนิดหน่อย ก่อนจะยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองน้อยๆด้วยความเขิน อีกคนเงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะเอาตะเกียบชี้
“ต้องเป็นเพราะแม่นายเก่งมากแน่ๆเลย”
“เฮ้ย เกี่ยวไรกับแม่ผมล่ะ แม่แค่สอนทำกับข้าว แต่เรื่องอร่อยไม่อร่อยมันอยู่ที่ฝีมือนะ”
“ไม่ ไม่ เพราะแม่นายเก่งต่างหาก”
ยังคงเถียงหน้ามึน คนที่มีแม่เก่งเลยทำปากคว่ำก่อนจะขบับหม้อเข้ามาใกล้ตัวเองแย่งอีกคนมาหน้าตาเฉย ชานยอลที่กำลังจะลงตะเกียบในหม้อเลยเหวอไปนิด พอจะแย่งหม้อกลับมาแบคฮยอนก็เอาตะเกียบตีมือเขาเสียก่อน
“เฮ้.....”
“แม่ผมทำอาหารอร่อยก็ไปกินฝีมือแม่ดิวะ”
“นายก็ทำอร่อยไง”
“แต่แม่ทำอร่อยกว่า”
“อร่อยเหมือนกัน”
แบคฮยอนทำหน้าเบ้และยังคงแง่งอนไม่ยอมคืนหม้อรามมยอนให้ เห็นแบบนั้นร่างสูงเลยย้ายตัวเองมานั่งอยู่ข้างๆ ปลดมือเล็กออกจากหม้อให้ก่อนจะลงมือทานรามมยอนต่อ
“ไม่กินหรอ?” ร่างเล็กไม่ตอบก่อนจะย่นจมูกน้อยๆ
“เอ้า อ้ำ” เพราะไม่ยอมลงมือทานซักทีปาร์คชานยอลเลยเอื้อเฟื้อด้วยการคีบเส้นจากในหม้อมาจ่อปากให้แถมยังทำปากหุบๆอ้าๆเหมือนกับว่าตัวเองกำลังป้อนข้าวเด็กอนุบาลไม่มีผิด
“อ้ำ อ้ามมมม”
“ตลกปะเนี่ย ผมกินเองได้น่า”
หลุดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะโบกมือปัดอากาศเป็นเชิงให้อีกคนเอาตะเกียบกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวโตก็ยังคงดื้อดึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง ชานยอลส่งเสียงอีกครั้ง
“อ้ำ....”
“ฮึ.....” ศีรษะเล็กสั่นไปมา
“ทำไมดื้อจัง บอกให้อ้ำก็อ้ำสิ”
แบคฮยอนหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าชานยอลยังคงทำหน้าจริงจังเหมือนเคย สุดท้ายคนเด็กกว่าเลยขยับหน้าเข้าไปแล้วงับเส้นรามมยอนเข้าปากแล้วจัดการดูดมันขึ้นมาให้หมด ยกหลังมือเช็ดริมฝีปากตัวเองพลางหันมองหน้าอีกคน
“อร่อยเนอะ”
“หยุดพูดคำว่าอร่อยเถอะน่า คนทำมันเขินนะเว้ย”
คนเขินพูดออกไปห้วนๆพลางเอามือถูจมูกตัวเองไปมา อดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้เมื่อคนข้างบ้านเอาแต่พูดคำว่าอร่อยไม่รู้จักหยุด จริงๆเขาก็รู้ตัวแหละว่าเป็นคนทำอาหารอร่อยแต่ได้ยินเยอะๆเข้าก็รู้สึกเขินไม่เบา
นั่น...นั่น ยังมีการยิ้มใส่กันอีก ให้แบคฮยอนระเบิดตัวตายไปเลยไหมล่ะแหม!
------ GIDDY CHANYEOL ------
ฝนตกหนักมาก
ตอนแรกที่กำลังกินข้าวกันอยู่มันก็ซาลงไปแล้ว แต่พอแบคฮยอนขึ้นไปอาบน้ำบนบ้านเพื่อเปลี่ยนชุดนอนเท่านั้นแหละมันก็เทลงมาอีกครั้ง และปาร์คชานยอลก็ยังไม่ยอมกลับบ้านตัวเองอ้างว่ากลัวเขาจะไม่ยอมไปนอนด้วยกันเจ้าตัวเลยนั่งเฝ้าอยู่นี่ และกลายเป็นว่าอีกคนยังไม่ได้อาบน้ำ
เอาจริงๆนี่ก็รู้สึกซาบซึ้งมากมายจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ที่อีกคนยอมรับปากแม่ของเขาว่าจะช่วยดูแลกันถึงขั้นนี้ แบคฮยอนเดินลงมาชั้นล่าง เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดคอกลมสีเทากับกางเกงบอลขาสั้นที่มันสามารถใส่นอนได้แค่ในฤดูร้อนเท่านั้น เห็นอีกคนกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ในชุดนักศึกษาที่ยังคงชื้นเพราะตากฝนก็เม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า ปาร์คชานยอลควรจะไปอาบน้ำ
“พี่ อาบน้ำก่อนป้าว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“หื้อ? ไม่เป็นไร”
“อาบเหอะ ใส่ชุดผมก่อนก็ได้”
พอเสนอไปแบบนั้น ดวงตาคู่โตนั่นก็ละจากหน้าจอมือถือมามอง 'ชุด' ของเขาที่ใส่อยู่อย่างพิจารณา เจ้าจัวส่งเสียงครุ่นคิดในลำคอ “ใส่แล้วไม่เป็นเกลื่อนแน่นอน ผมรับประกันได้”
“มีเสื้อตัวใหญ่ๆหรือเปล่า?”
“มีๆ พี่จะเอาใช่ปะ เดี๋ยวผมหยิบให้”
“อื้อ รบกวนด้วยนะ” สุดท้ายแล้วร่างสูงก็หยัดกายลุกขึ้นก่อนจะวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโซฟา แบคฮยอนเลยวิ่งกลับขึ้นไปบนบ้านอีกครั้งแล้วค้นเสื้อตัวใหญ่ในตู้ที่มักจะใส่ประจำเวลานอนพร้อมกับกางเกงบอลแบบที่ตัวเองใส่อยู่
“เดี๋ยวผมหยิบผ้าเช็ดตัวให้ พี่รอแป๊บนึง”
พอวิ่งลงมาจากชั้นบนก็ยัดเสื้อผ้าสองชิ้นเข้าที่มือของพี่ชายข้างบ้าน ชานยอลมองตามร่างเล็กๆที่กำลังวิ่งดุ๊กดิ๊กหายไปอีกครั้งเขาขยับหยิบเสื้อมาจับมองดีๆแล้วลองทาบกับตัวเองก่อนจะพยักหน้านิดหน่อยเมื่อเห็นว่าสามารถใส่ได้
“อ้ะ สบู่ยาสระผมใช้ได้หมดนะพี่ เดี๋ยวพอฝนหยุดตกแล้วก็ค่อยกลับบ้าน”
“นายเองก็ต้องไปด้วย”
“หื้อ?”
“ไปนอนที่บ้านด้วยกัน เข้าใจมั้ย” นิ้วเรียวยาวจิ้มลงบนหน้าผากมน ผลักเบาๆหนึ่งทีแล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้คนตัวเล็กยืนลูบคลำหน้าผากตัวเองแบบนั้นก่อนจะเดินบ่นพึมพำกลับไปนั่งบนโซฟา จัดการหยิบโทรศัพท์ของอีกคนให้ไปวางบนโต๊ะดีๆก่อนที่เขาจะทำมันแตกไปเสียก่อน
ครืดดดดด ครืดดดดด ครืดดดดดด
ระหว่างที่กำลังนั่งดูพยากรณ์อากาศที่บอกว่าคืนนี้มีพายุเข้า โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดจนสะดุ้งตกใจ แอบชะโงกมองก่อนจะพบว่าเป็นชื่อเขียนว่า 'คิมซอนมี' รูปหน้าจอที่โทรเข้าก็เป็นรูปคู่ของเจ้าของโทรศัพท์กับสาวน่ารักคนนึง
ไม่ธรรมดาเลยนะครับแหม่
สงสัยคงต้องมองปาร์คชานยอลใหม่ซะแล้วมั้ง
หลังจากการเผือกเสร็จสิ้นลงก็ขยับตัวมานั่งบนโซฟาตามเดิม ปล่อยให้โทรศัพท์เครื่องนั้นสั่นเป็นเจ้าเข้าต่อไป เพราะอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่โทรศัพท์ของเขา และไม่ใช่ธุระอะไรของเขาอีกเช่นกัน
'ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่านโปรดระมัดระวังในการขับรถ และขอให้ช่วงนี้พกร่มและเสื้อกันฝนด้วยนะคะ'
ถ้าตกหนักแบบเมื่อเย็น ร่มก็เอาไม่อยู่นะบอกเลย
ครืดดดดด ครืดดดดดดด
เป็นอีกครั้งที่โทรศัพท์สั่น แต่คราวนี้เป็นของบยอนแบคฮยอนที่กำลังนั่งอืดอยู่บนโซฟา จัดการหยิบมันขึ้นมาก่อนจะพบว่าเป็นแม่ที่โทรเข้า เขารีบมองไปยังประตูห้องน้ำ แต่มันก็ยังคงปิดสนิท
“ฮัลโหล”
[ตอนนี้อยู่ไหนหื้อ?]
“อยู่บ้าน”
[นี่ตกลงแกจะไม่เชื่อแม่ใช่มั้ย?]
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน เชื่อครับเชื่อ คนข้างบ้านอาบน้ำอยู่แน่ะ”
[อาบน้ำ?]
“อื้อ ฝนมันตกหนักกลับบ้านเขาไม่ได้ผมเลยให้พี่เขาอาบน้ำก่อนเพราะว่าตากฝนอะ ตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวซักหน่อย”
[แน่ใจนะ?]
“อื้อๆ ผมเคยขัดคำสั่งป้าหรอ ไม่เค๊ยยย”
ส่งเสียงทะเล้นไปตามสาย แน่นอนว่าได้ยินเสียงขู่กลับมา แบคฮยอนเลยหัวเราะกลับไป ซักพักคนที่เป็นประเด็นอยู่ในสายก็เดินออกมา และก่อนที่ปาร์คชานยอลจะหายไปเขาก็รีบส่งเสียงเรียกท้วงเอาไว้
“.....แม่ผมไม่เชื่อว่าตอนนี้พี่อยู่ด้วยอะ คุยกับแม่หน่อย”
ไม่มีอิดออด มือใหญ่เอื้อมมือรับโทรศัพท์ไปแนบหู เอ่ยทักทายกันด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนที่ร่างสูงจะระบายยิ้มออกมาบางๆ หากเป็นเมื่อก่อนแบคฮยอนคงเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ไปแล้ว แต่หลังจากที่เจ้าตัวบอกว่าไม่มีแม่เขาเลยยอมเลิกทำปากเบ้ก็ได้
“ครับ ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง......”
ปาร์คชานยอลคนข้างบ้านหรือพ่อครับแหม่
ซ่าาาาาาาาาาา
เทกระจาย.......
ฝนที่ตอนแรกทำท่าจะเบาลงกลับเทลงมาอีกครั้งเหมือนคนเอาน้ำมาสาดเข้าที่หลังคาบ้านอย่างนั้นแหละ คนที่ถือรีโมตเลยเร่งเสียงทีวีขึ้นให้ดังแข่งกับเสียงฝนก่อนจะเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์เมื่อใครอีกคนคืนมา
“เอ้อพี่ เมื่อกี้มีคนโทรมา”
“หือ?”
“โทรศัพท์ดังตอนกำลังอาบน้ำอะ แต่ผมไม่ได้รับนะ”
รีบออกตัวก่อนที่จะเห็นอีกคนพยักหน้าน้อยๆ มือหนาหยิบโทรศัพท์ตัวเองไปแล้วก็หายไป ในคราวแรกก็ว่าจะไม่เผือกหรอก แต่พอเห็นหายไปนานแบคฮยอนเองก็อดสงสัยไม่ได้ ร่างเล็กรีบรุดไปยังห้องครัว ร่างสูงๆนั่นกำลังหันหน้าออกไปทางประตูหลัง ดังนั้นเลยแอบอยู่ใต้โต๊ะที่วางติดกับผนังเคาเตอร์แล้วค่อยๆขยับเข้าไปใกล้โดยไม่ให้อีกคนเห็น
“.....อาทิตย์หน้าไม่ว่าง...ต้องดูแลน้อง....อืม น้องข้างบ้าน นี่เป็นผู้หญิงขี้เมาไม่ดีนะ”
แล้วหลังจากนั้นชานยอลก็หัวเราะ
เพราะแอบชะโงกหน้าออกไปมองเลยทำให้ได้เห็นเสี้ยวหน้าอีกคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนที่กำลังคลานเข่าเลยถอยกลับมาใต้โต๊ะแล้วเบะปากก่อนจะตัดสินใจขยับตัวเดินกลับไปที่หน้าทีวีตามเดิม
ปั่ก!
“โอ๊ย......” เผลอร้องออกมาเสียงหลงเมื่อจู่ๆตอนที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก็กระแทกเข้ากับขอบโต๊ะเข้าเต็มๆ กัดลิ้นตัวเองแทบจะไม่ทันเพราะส่งเสียงร้องออกไปแล้ว รีบขยับตัวเข้ามาใต้โต๊ะตามเดิมแล้วเอามือตบปากตัวเองเบาๆ
พลาดอีกแล้ว พลาดอีกแล้ววว
“แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกัน”
ขายาวๆเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าก่อนที่ร่างสูงจะก้มตัวลงมา แบคฮยอนฉีกยิ้มแหยไปให้ “หวัดดี”
“หวัดดีไร”
“เจอหน้ากันก็ต้องหวัดดี ฮายยยย”
“แล้วเข้าไปทำไรในนั้น”
“.....หาของพี่หาของ เหมือนจะลืมของไว้แถวนี้”
ถึงจะรู้ว่าเป็นเหตุผลที่แถจนสีข้างถลอกเลือดไหลซิบๆออกมาจนเป็นหลักฐานที่ดูก็รู้ว่ายังไงก็โกหก แต่ครั้นจะให้ยอมรับตรงๆคนข้างบ้านได้ตราหน้าเขาว่าเป็นคนไร้มารยาทแหงๆ
“หาเจอยัง?”
“อะ...อ้อ เจอแล้วๆ”
“เจอแล้วก็ออกมาสิ”
เพราะอีกคนว่าแบบนั้นร่างน้อยที่หลบซ่อนอยู่ด้านในก็ขยับออกมา ลุกจากใต้โต๊ะออกมายืนด้านนอกก่อนจะเอื้อมมือไปลูบบริเวณหลังที่กระแทกกับโต๊ะเมื่อซักครู่
โคตรเจ็บเลย สาบานได้ว่าพรุ่งนี้มันจะต้องช้ำแหงๆ
“ไม่กลับบ้านแล้ว”
“หือ?”
“นอนที่นี่แหละ”
“ห๊ะ?”
“ง่วงแล้ว ไปนอนกัน” ว่าจบก็ทำหน้าง่วงแล้วจัดการลากแขนคนที่ทำหน้างง แบคฮยอนรีบรั้งแขนอีกคนไว้
บางทีก็ต้องพูดให้รู้เรื่องก่อนมั้ย
“เดี๋ยวพี่เดี๋ยว ไม่ไปนอนบ้านพี่แล้วอ่อ?”
“ฝนมันตกหนัก ขี้เกียจกลับแล้ว”
“เอางี้เลย?”
“อื้อ เอางี้แหละ ไปยัง?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่แบคฮยอนจะพยักหน้า เจ้าคนตัวเล็กวิ่งไปปิดโทรทัศน์พร้อมกับล็อคประตูบ้าน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินนำคนที่กำลังจะงอแงเพราะง่วงนอนให้ขึ้นไปบนห้อง
“พี่นอนบนพื้นที่ห้องผมได้ปะ”
“ไม่ได้”
“.....งั้นเดี๋ยวผมนอนบนพื้นเองก็ได้”
“ล้อเล่น”
หน้าตามึงจริงจังเกินกว่าที่จะพูดคำนั้นออกมาอีกนะบอกเลย!
แบคฮยอนเหลือบมองคนพูดจาล้อเล่นอีกครั้งก่อนจะเดินไปหยิบที่นอนปิคนิกที่ห้องของแม่พร้อมกับหยิบหมอนและผ้าห่มที่มีเผื่อไว้หนึ่งชุดสำหรับคนที่มานอนที่บ้าน ปาร์คชานยอลพอเห็นน้องหิ้วของมาพะรุงพะรังก็เข้าไปช่วย จัดการปูที่นอนลงบนพื้นให้เรียบร้อย
“จะนอนเลยอ้อ?”
เมื่อจัดการกับที่นอนเสร็จแบคฮยอนก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วเหลือบมองคนตัวสูงที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนพื้นซึ่งชานยอลก็หันมามองหน้าเขานิดนึงแล้วจึงพยักหน้า “อือ”
“งั้นผมปิดไฟเลยนะ”
พออีกคนพยักหน้าอีกหนร่างเล็กก็ขยับตัวไปปิดไฟก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านอาศัยความเคยชินว่าของอะไรอยู่ตรงไหนเลยไม่ได้เดินชนอะไร ฝนข้างนอกยังคงตกอย่างต่อเนื่องทำเอาน่ากลัวว่าพรุ่งนี้น้ำจะท่วมเสียก่อน
สายฟ้าฟาดลงมาก่อนที่เสียงะดังขึ้นทีหลัง เจ้าของห้องสะดุ้งตกใจนิดหน่อยแล้วจึงมุดตัวลงใต้ผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ตั้งใจว่าจะหลับแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นจะรู้สึกไม่สบายตัวรึเปล่า
แต่ถึงจะนอนไม่สบาย จะให้มานอนบนเตียงด้วยกันก็ไม่ใช่ป่าวว้า
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าดังขึ้นอีกหนร่างน้อยก็สะดุ้งอีกคราพลางกระชับผ้าห่มให้แน่น ท้องฟ้าคืนนี้น่ากลัวกว่าที่เคยเป็นมา ถ้าหากว่าเป็นปกติแบคฮยอนคงจะต้องเดินไปขอนอนกับแม่แล้วแหง
“....ยอน”
“..........”
“แบคฮยอน”
เวลาผ่านไปซักพักตอนที่เจ้าของบ้านกำลังจะเคลิ้มหลับ ใครอีกคนที่เป็นแขกในคืนนี้ก็สะกิดเข้าที่ไหล่เขาเบาๆ ร่างน้อยงัวเงียจัดการเปิดไฟหัวเตียงก่อนจะพบว่าชานยอลกำลังนั่งกอดหมอนอยู่บนเตียงของเขา
“มีไรพี่?”
“......ฟ้าร้อง”
“อ้อ ใช่ เมื่อกี้ฟ้าร้อง” คนที่เพิ่งหลุดจากอาการเคลิ้มหลับพยักหน้าทันทีที่นึกได้ว่าก่อนหน้านั้นมีเสียงฟ้าร้อง ริมฝีปากของคนตัวสูงเม้มเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะขยับเป็นคำพูดออกมา
“นอนด้วย”
“ห๊ะ....?”
แปลบ....
เปรี้ยง!
ยังไม่ทันจะได้คำตอบอะไรที่เคลียร์กว่านี้พอมีแสงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติคนตัวสูงก็ดึงร่างน้อยมากอดเสียแน่นก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องดังลั่น ปล่อยให้คนถูกกอดทำหน้าเอ๋ออยู่นั่น
เดี๋ยวๆๆๆ! เดี๋ยว! เดี๋ยว!!!
“พะ...พี่เว้ย”
“ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องเลย แย่ แย่”
จากตอนแรกที่ว่าจะโวยวายเพราะถูกกอดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แต่พอได้ยืนอีกคนพูดอู้อี้เหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตแบคฮยอนก็ชะงัก มือใหญ่วางลงบนศีรษะของเขาและกดมันให้จมเข้าไปในอกจนเขาอยากจะถามว่าแท้จริงแล้วคนที่กลัวมันใครกันแน่ และเมื่อมีเสียงฟ้าร้องอีกครั้งอ้อมแขนนั่นก็รัดร่างน้อยให้แน่นขึ้น
เห็นท่าทางว่าจะกลัวจริง มือเล็กก็ขยับลูบหลังอีกคนน้อยๆพลางเอ่ยปลอบราวกับว่าคนที่กำลังกอดเขาอยู่เป็นเด็กประถม “โอเค โอเค ใจเย็นนะ”
“นอนด้วย”
“พี่นอนบนเตียงมั้ยล่ะ เดี๋ยวผมนอนบนพื้นเอง”
“ไม่ จะนอนกับนาย”
เดี๋ยวๆ....ประโยคนี้ทะแม่งๆว่ะ
เจ้าของเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆดันอีกคนออก ตอนแรกไอ้คนตัวโตก็ขัดขืนแต่พอเห็นว่าเสียงฟ้าร้องไม่ดังขึ้นแล้วก็ยอมปล่อยแต่ถึงกระนั้นก็ยังจับแขนเขาเอาไว้
“จะนอนยังไง เตียงก็เล็ก”
“ก็แค่นอน นอนเลย”
ถึงเตียงของบยอนแบคฮยอนจะไม่ใช่เตียงเล็กขนาดสามจุดห้าฟุตแต่มันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขั้นที่จะนอนสองคนได้สบายๆ เขาขอให้แม่ซื้อเตียงที่ใหญ่กว่าปกตินิดหน่อยเพราะเด็กผู้ชายมันนอนกินที่ เพราะงั้นมันเลยเหมาะที่จะนอนคนเดียวมากกว่า
“นอน” ไอ้คนเอาแต่ใจล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขาไปแล้วยังมีหน้ามากระตุกแขกเขานิดหน่อยเพื่อให้ล้มตัวลงไปนอนข้างกันอีกต่างหาก แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อต้นคอของตัวเองสัมผัสเข้ากับแขนของใครอีกคนแถมชานยอลยังมีหน้ารั้งเขาไปกอดหน้าตาเฉยอีกต่างหาก จนเขาต้องดีดตัวขึ้นมาโวยวาย
“เฮ้ย! ทำไมต้องนอนกอดด้วยวะ”
“....ไม่ชอบ”
“อะไร?”
“ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องเลยแบคฮยอน....มันแย่มาก แย่มากจริงๆ”
5 0 %
เพราะว่ายังเปิดไฟอยู่เลยทำให้แบคฮยอนเห็นได้ว่าสีหน้าอีกคนมันแย่ขนาดไหน ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ซักพักสุดท้ายเลยตัดสินใจปิดไฟแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงนอนลงข้างๆแต่พออีกคนทำท่าจะกอดมือเล็กก็รีบยกขึ้นห้าม
“มะ...ไม่กอดได้ป่าววะ”
“........”
“.....แต่จับมือก็พอได้นะ”
ถึงแม้ว่าจะพูดเสียงแผ่วจนแม้แต่ตัวเองยังแทบจะไม่ได้ยิน แต่ทันทีที่พูดจบปาร์คชานยอลก็คว้ามือเขาไปกุมทันที แถมยังขยับตัวเข้ามาใกล้เมื่อมีแสงแลบมา ดวงตาคู่โตนั่นปิดสนิทราวกับว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น นิ้วเรียวของคนตัวเล็กกว่าเลยไล้ที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยน คิ้วเข้มที่กำลังขมวดเข้าหากันเมื่อครู่ก็ค่อยๆผ่อนคลาย
ความมืดและความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง และในตอนนี้คงเหลือเพียงแค่แบคฮยอนที่ยังนอนไม่หลับ เสียงลมหายใจของคนขี้กลัวตอนนี้สม่ำเสมอไปเสียแล้ว ดวงตาคู่เล็กที่ชินกับสภาพในความมืดก็พบว่าอีกคนหลับสนิทโดยที่จับมือเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
แบบนี้แม่งขี้โกง นอนหลับคนเดียวหน้าตาเฉย
ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ว่าหงุดหงิดที่อีกคนนอนหลับไปก่อนหรือเพราะตัวเองเอาแต่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับกันแน่ มือเล็กค่อยๆขยับไปปลดมืออีกฝ่ายทว่ากลับไม่ง่ายอย่างที่คิด นิ้วเรียวยาวนั่นจับมือเขาแน่นขึ้นก่อนจะสอดประสานเข้าหากัน แบคฮยอนสะดุ้งโหยงเหลือบมองหน้าของคนที่คิดว่าหลับ
แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงหลับอยู่อย่างนั้น
และคงมีเพียงแบคฮยอนคนเดียวที่ยังนอนฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวแบบนี้
หลับ....หลับซักทีได้มั้ยเล่าแบคฮยอนคนโง่
------ GIDDY CHANYEOL ------
ผลสรุปคือเมื่อคืนเขานอนไม่พอ
กว่าจะหลับได้แบคฮยอนเองก็มั่นใจว่ามันปาเข้าไปค่อนคืน เพราะพอเคลิ้มๆจะหลับแต่ละทีคนตัวโตที่ถือวิสาสะมานอนบนเตียงของเขาก็ทำท่าจะเข้ามากอดจนต้องสะดุ้งต่นขึ้นมาแล้วคอยยันเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้กันมากกว่านี้ นี่ถือเป็นเรื่องจั๊กจี้หัวใจมากเลยนะที่นอกจากจะต้องมานอนบนเตียงเดียวกับคนที่ไม่คุ้นเคยแล้ว แถมยังเข้าใกล้กันปานขั้นแม่เหล็กดูดกันขนาดนี้
ถ้าพูดกันตรงๆก็รับไม่ได้เท่าไหร่
เพราะอย่างนั้นเขาเลยแอบหาวอีกครั้งระหว่างการเข้าห้องเชียร์ที่แสนจะอึมครึม มือเล็กยกขึ้นปิดปากระหว่างการฝึกร้องเพลงประจำสถาบันโดยมีคนที่เรียกตัวเองว่าเฮดเพลงเป็นผู้ฝึกสอน และมีสต๊าฟเพลงคอยร้องให้ฟังเพียงแค่สามรอบ หลังจากนั้นเขาและเพื่อนๆจะต้องเป็นคนที่ร้องเอง
“พี่จะให้สต๊าฟเพลงร้องให้ฟังอีกครั้ง ในรอบนี้หากน้องๆคนไหนร้องตามได้ก็ร้องออกมาได้เลยค่ะ มีใครสงสัยอะไรอีกมั้ยคะ”
รุ่นพี่เฮดเพลงคนที่หนึ่งถามขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อพบว่าไม่มีน้องๆคนไหนยกมือก็เริ่มเคาะจังหวะก่อนที่พี่สต๊าฟเพลงยี่สิบกว่าชีวิตจะเริ่มเปล่งเสียงออกมา เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนหาวเพราะหลายอย่างในที่นี้เอื้ออำนวยแก่การนอนเสียเหลือเกิน แอร์ก็เย็น แถมยังมีคนมาร้องเพลงชวนง่วงนี่ให้ฟังอีก
ชีวิต.....ดี๊ดี
หลอกเล่นได้ปะละ
แบคฮยอนไม่รู้ว่าเพลงร้องจบไปตอนไหนและเมื่อต้องร้องกันเองเขาก็ทำได้เพียงดำน้ำดำถูกดำผิดไปเรื่อย รู้สึกได้ถึงรังสีอาฆาตที่มาจากด้านข้างทั้งซ้ายและขวา เพราะพี่วินัยที่เคยยืนอยู่ด้านหลังเมื่อวาน วันนี้กลับมายืนกระจายตัวอยู่ด้านข้าง คอยสอดส่องพฤติกรรมอยู่ไม่ห่าง ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันครู่หนึ่งก่อนจะยอมปิดปากสนิทเพราะรู้ตัวแล้วว่าถึงจะดำน้ำมั่วไปเขาก็ร้องมันออกมาได้ไม่เต็มเสียง
“พอค่ะ พอก่อนค่ะ”
จู่ๆพี่วินัยคนที่ยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลเท่าไรนักก็เอ่ยปากขึ้นมา เสียงร้องเพลงของเฟรชชี่ปีหนึ่งค่อยๆเงียบลงก่อนที่แบคฮยอนจะเหลือบไปมองคนที่สั่งขึ้นมา พอสบกับดวงตาคู่คมนั่นเขาก็สะดุ้งโหยงแล้วจึงหันกลับไปมองตรงตามเดิม
“มองหน้าวินัยทำไม มันมีอะไรให้น่ามองหรอ”
“กฎของห้องเชียร์ว่ายังไงครับ ตามองตรงฝ่ามือแนบข้างลำตัว แล้วนี่อะไร ทำไมยังมีบางคนมองหน้าวินัยอยู่เลย”
“แล้วเมื่อกี้ร้องเพลง ร้องก็ไม่ถูก เสียงก็ไม่ดัง เมื่อวานพี่สต๊าฟเพลงก็สั่งให้ไปท่องเนื้อเพลงมาไม่ใช่หรอครับ ทำไมยังมีคนจำเนื้อร้องไม่ได้อีก”
“มิหนำซ้ำยังมีคนหาว หาวอะไรนักหนาคะน้อง ถ้านอนดึกแล้วจำเนื้อเพลงได้พี่จะไม่ว่าเลย แต่นี่หาวแล้วยังจะมั่วเนื้ออีก”
เอ้านี่มันกูนี่หว่า.......
คนที่ถูกกล่าวว่าออกมาลอยๆถึงกับสะดุ้งลืมง่วงกันไปเลย พลันเหลือบไปมองหน้าพี่วินัยตัวสูงที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจจากเด็กปีหนึ่งได้มากเพราะรูปร่างสูงสมส่วนนั่นแถมยังมีใบหน้าที่หล่อกว่าคนปกติเลยทำให้ป๊อบปูล่าร์ได้ไม่ยาก และเป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนต้องรีบเบนสายตากลับไปมองตรงเมื่อพบว่าพี่เขามองมาทางนี้พอดี
โอ้ยเช้ด โดนด่าอีกสิ
“หน้าวินัยน่ะมองเข้าไป มองตรงสิครับน้อง”
เสียงทุ้มต่ำนั่นพูดออกมาเสียงดังแต่ไม่ถึงขั้นตวาด แบคฮยอนเลยเผลอหลับตาลงนิดหน่อยเมื่อพบว่าตัวเองอาจจะเป็นต้นเหตุให้เพื่อนทั้งหมดต้องโดนว่า แต่ถึงกระนั้นนี่อาจจะไม่ใช่ความผิดของเขาเพียงคนเดียวเพราะพี่วินัยคนนั้นเองก็ฮอตจนรุ่นน้องหลายคนก็ใช้โอกาสนี้แหละแอบมอง
ชื่ออะไรน้า......คริสหรอ อืม....น่าจะใช่นะ
สุดท้ายการเข้าหองเชียร์วันนี้ก็จบลงที่แบคฮยอนเดินหาวออกมา
“มึงนี่เองตัวการที่ทำให้โดนด่า กูก็ว่าด่าใครวะด่าบ่อยจัง”
โอเซฮุนที่เดินออกมาก่อนขมวดคิ้วก่อนจะตบศีรษะเพื่อนตัวเล็กที่กำลังปิดปากตอนกำลังหาว คนที่กำลังง่วงได้ที่โบกมือปัดป่ายไปมาหมดแรงจะสู้ ถ้าหากเป็นไปได้เขาก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนมันเสียตอนนี้แต่ทว่าก็ต้องเดินไปเอาขนมที่พี่ๆเตรียมไว้และต้องล่าลายเซ็นพี่ปีสองอีก
“คำใบ้พี่รหัสมึงว่าไง?” ทั้งสองคนพบอีทงเฮยืนประจำอยู่ที่ตระกร้าขนมของตัวเอง ในปากก็มีอมยิ้มคาบเอาไว้ดูแล้วเหมือนจะเท่เสียไม่มี แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้ยินเกี่ยวกับคำใบ้ของพี่รกัสซึ่งเขายังไม่เห็นได้อะไรแบบนั้นเลย
“มึงได้แล้วหรอ? ตอนไหนวะ”
“อยู่ในสมุดการบ้านครับเตี้ย เขาสอดไว้ด้านหลัง” แบคฮยอนหยิบสมุดการบ้านเล่มเล็กของตัวเองขึ้นมาก่อนจะพลิกไปด้านหลังตามที่เซฮุนบอก ในนั้นมีกระดาษหนึ่งแผ่นที่สอดเอาไว้ มือเล็กรีบหยิบมันออกมาดูก่อนจะทำหน้าช็อคเมื่อเห็นข้อความบนนั้น
“.....พี่หล่อ”
ไอ้เพื่อนสองคนหัวเราะพรวดทันที
เดี๋ยวๆ นี่คำใบ้พี่รหัสหรือใบโปรโมทตัวเอง
ถึงตอนนั้นแบคฮยอนก็หลับตาลงก่อนจะทำท่าคิดว่าในปีสองมีใครที่หล่ออย่างที่ว่าบ้าง แต่พอลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นหน้าพี่โจควอนเท่านั้นแหละเขาก็ผงะทันที
ผะ...ผู้ชายเภสัชปีสองไม่ได้มีแต่แบบนี้หรอ
“เอ้าไหนเอาสมุดมาซิ พี่จะเซ็นให้พวกเธอเป็นกลุ่มแรกเพราะน้องเซฮุนเลยนะ”
เพราะแบคฮยอนมีสมุดการบ้านอยู่ในมือ รุ่นพี่ปีสองคนประหลาดก็คว้าไป เปิดหน้าที่เป็นการบ้านแล้วเซ็นยิกๆให้โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ส่งคืนเขาพลางยิ้มหวาน และหลังจากนั้นจึงหันไปแบบมือขอสมุดจากโอเซฮุน
“เอ่อ...พี่ครับ ผมอยากถาม”
“ถามไรจ๊ะน้องแบคฮยอน”
“พี่ไอดี 49 นี่ใครหรอครับ”
“คิดว่าเป็นเพื่อนน้องเซฮุนแล้วพี่จะตอบหรอ ฝันไปเถอะ”
และเมื่อเซ็นให้อีทงเฮเสร็จเป็นคนสุดท้าย เจ้าตัวก็หันมาสะบัดบ๊อบใส่แล้วเดินจากไปปล่อยให้คนถูกปฏิเสธยืนงงไปนิดก่อนจะทำท่าเสียดายเมื่อพบว่าอีกคนไม่หลงกล
“เดี๋ยวกูไปเก็บขนมก่อนนะ”
ขนมถุงทุกซองที่ถูกวางไว้ในตะกร้ามีโพสต์อิสแปะไว้ทุกอัน แต่ละอันเขียนข้อความให้กำลังใจกับห้องเชียร์สุดโหด แบคฮยอนอ่านข้อความเหล่านั้นก่อนจะเก็บลงถุงทีละชิ้น ก่อนจะตัดสินใจกวาดมันลงถุงทั้งหมดเมื่อพบว่ามันเยอะเสียเหลือเกิน หันมองของคนข้างๆก็ไม่พูนจนล้นตะกร้าแบบเขา
เมื่อเก็บขนมถุงอันเล็กเสร็จแล้วก็หันไปเห็นกล่องเค้กขนาดย่อมวางอยู่ด้านข้าง มีโพสต์อิสสีชมพูหวานแหววแปะอยู่บนนั้น มือเล็กแหวกถุงออกแล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
'ถึงน้องสายรหัส 49
ยินดีต้อนรับสู่สายรหัสอันอบอุ่นมากๆๆๆๆๆของเรานะ ขนมเค้กอันนี้พี่ซื้อมาให้หวังว่าน้องจะชอบ ถ้าอยากกินอะไรฝากบอกลู่หานมาก็ได้นะคะ น้องจะรู้จักลู่หานมั้ยนะ? คนที่หน้าเหมือนกวาง ถ้านึกไม่ออกลองถามโจควอนดูนะ ส่วนเรื่องห้องเชียร์ก็สู้ๆ พี่มองน้องอยู่เสมอ จะเป็นกำลังใจให้
#2 49
ตกลงพี่รหัสกูผู้หญิงหรือผู้ชาย.....
ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะคำใบ้กับลายมือและคำพูดคำจาบนโพสต์อิสนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แบคฮยอนเงยหน้าจากกองขนมกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาคนที่ชื่อว่าลู่หาน แต่ก็นั่นแหละ...เขาไม่รู้จักใครเลย
“ขนมของนายเยอะจัง”
จองอึนจีไอดีห้าสิบที่อยู่ถัดไปจากเขาเดินเข้ามาก่อนจะทำตาโตมองถุงขนมสองถุงใหญ่กับกล่องขนมเค้ก แบคฮยอนทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆก่อนจะบุ้ยปากไปที่ตะกร้าของอีกคน
“ของเธอก็เยอะ เป็นผู้หญิงกินเยอะไม่ดีนะรู้รึเปล่า”
“นั่นเป็นข้อยกเว้นของฉันแหละ กินเยอะก็เยอะ คนเราต้องมีความสุขกับการกินสิ”
เออเอ้า มีความสุขก็เอาเลย
พอเห็นเซฮุนกับทงเฮสองซี้เตี้ยสูงยืนส่งสายตาล้อเลียนมาทางเขาที่กำลังคุยกับอึนจี แบคฮยอนเลยขอตัวออกมาพร้อมกับทิ้งของเอาไว้ตรงนั้น หยิบออกมาเพียงสมุดการบ้านที่ต้องล่าลายเซ็นต์ของพี่ปีสอง
“ไม่เบานี่หว่า มีหัวเราะกันด้วย”
“ก็เพื่อนมั้ยไอ้ควาย”
“เอ้า กูพูดว่าเป็นแฟนกันหรอ อย่าร้อนตัวดิมึง ไม่เอาอย่าร้อนตัว”
เตะหน้าแข้งโอเซฮุนคนกวนตีนไปเสียหนึ่งทีแล้วจึงล็อคคอไอ้ทงเฮให้เดินไปหาพี่ปีสองด้วยกัน
“มึงรู้จักพี่ลู่หานปะวะ” ระหว่างรอต่อแถวรับลายเซ็นก็กระซิบถามเพื่อนเตี้ยล่ำที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพราะเห็นว่ามันจะรู้จักคนเยอะเสียเหลือเกิน
“อืม เดี๋ยวนะ น่าจะคนนั้น” ว่าจบก็ชี้ไปที่คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเซ็นพลางส่งยิ้มให้กับรุ่นน้องที่มาต่อ ร่างน้อยพยักหน้ารับก่อนจะถามต่อ
“พี่เขามีแฟนยังอะ”
“อ้าวไอ้ห่า เผลอแป๊บเดียวก็จะนอกใจไอ้เซฮุนแล้ว แฟนมึงเลยเซฮุนแม่งถามว่าพี่ลู่หานมีแฟนยัง”
“แม่งนอกใจกูตั้งแต่อยู่กับพี่ชานยอลอะไรนั่นแล้ว”
“ไอ้สัด”
นี่มึงก็รับมุขมันมากไปมั้ยยังไง แล้วคนข้างบ้านเขามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
สุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็ไม่ได้รับคำตอบที่ว่าพี่ลู่หานที่ถูกอ้างถึงในจดหมายมีแฟนหรือยัง เพราะไม่แน่ว่าแฟนของพี่เขานั่นแหละอาจจะเป็นพี่รหัสเขาก็เป็นได้
แต่พี่รหัสหล่อ? เป็นทอมหรอ?
โอ๊ส ช่างแม่งแล้วกัน
------ GIDDY CHANYEOL ------
ในที่สุดก็หาลายเซ็นได้ครบยี่สิบคนตามที่กำหนด แบคฮยอนยังไม่ได้เดินเข้าไปหาคนที่ชื่อว่าลู่หานแต่ก็แอบสังเกตคนที่เดินเข้ามาหาพี่เขา มีเพื่อนผู้ชายสองสามคนกับผู้หญิงอีกเป็นสิบ ทีนี้เขาเลยไม่รู้เลยว่าเป็นคนไหน
อีทงเฮกลับรถเมล์ในขณะที่เขากลับรถไฟฟ้ากับโอเซฮุน เดินหิ้วของพะรุงพะรังเดินตากโรงอาหารมาที่ใต้ตึกกันสองคนเพราะดันกลายเป็นคู่จิ้นในคณะเลยทำให้ขนมมากกว่าปกติ แน่นอนว่าเกือบครึ่งเป็นข้อความจากแม่ยกฮุนแบค ส่วนนอกนั้นก็เป็นการให้กำลังใจเกี่ยวกับห้องเชียร์
“นั่นชานยอลปะแก เขามาทำอะไรที่เภสัชอะ”
“เห้ยยยย มารอแฟนหรอ”
“ได้เห็นใกล้ๆแบบนี้หล่อจังเลยน้า”
“กรี๊ดดด แกรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเร็ว”
ระหว่างที่กำลังเดินมาก็มีกลุ่มรุ่นพี่ผู้หญิงยืนอยู่กันเป็นกระจุกหลบอยู่หลังเสา แบคฮยอนทำคิ้วขมวดนิดหน่อยเมื่อได้ยินอะไรยอลๆคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นชื่อของคนข้างบ้าน คิดเอาว่าคงจะเป็นคนชื่อซ้ำแต่พอเดินเลยออกมาเท่านั้นแหละเขาแทบจะทิ้งของในมือทันที
ปาร์คชานยอล!
มาทำอะไรวะ!
คนตัวเล็กรีบถอยออกมาก่อนที่คนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์จะเงยหน้าขึ้นมาเห็น ถอยจนโอเซฮุนที่เดินตามมาชะงักจนต้องเอ่ยปากถาม “ลืมอะไร?”
“ไม่ได้ลืม...แต่กูว่าเราออกประตูสามเหอะ”
“เอ้า เดินมาจะถึงอยู่แล้วเกิดอยากจะย้อนกลับไปประตูสามทำไมวะ”
แบคฮยอนคิดว่ามันคงจะวุ่นวายแน่ๆถ้าหากว่าพวกรุ่นพี่รู้ว่าปาร์คชานยอลมารอรับเขา
หรือเอ๊ะ ไม่ได้มารอวะ ข้อความไรไม่เห็นจะส่งมา
ครืดดดดดด
รีบวางของไว้บนเก้าอี้แถวนั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งสั่นขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากคนข้างบ้าน มือเล็กตบหน้าผากตัวเองเบาๆก่อนจะเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้
'From : คนข้างบ้าน
รออยู่ใต้ตึกที่คณะของนาย เสร็จแล้วก็เดินมานะ'
แล้วจะมารอกูทำม๊ายยย กลับไปเลยไม่เป็นหรอ
“ตกลงเอาไง กูขี้เกียจอ้อม ออกประตูนี้แหละ แล้วนี่ดูไรกันวะ”
ชะเง้อชะแง้ด้วยความสงสัย เห็นยืนมุงแล้วส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันราวกับว่ามีไอดอลมาเยือนที่คณะ พอเห็นต้นเหตุเท่านั้นแหละโอเซฮุนก็ร้องเรียกเสียงดัง “เอ้าพี่ชานยอล!”
เอ้า...โบกมือด้วยเลย ตะโกนบอกด้วยสิว่ากูนั่งอยู่นี่
“มารับไอ้แบคฮยอนหรอ มันอยู่นี่”
ว่าจบก็ฉุดคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นยืน แถมพวกรุ่นพี่ที่ยืนออกันอยู่เมื่อซักครู่ก็พร้อมใจกันแหวกทางออกก่อนจะพากันหันไปกระซิบกระซาบ แน่นอนว่าที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็เพราะเหตุผลนี้เนี่ยแหละ และยิ่งพอรู้ว่าชื่อเสียงของปาร์คชานยอลยังโด่งดังมาถึงที่คณะของเขาด้วยแล้วยิ่งทำให้ไม่อยากบอกเข้าไปใหญ่
“เห็นข้อความมั้ย?”
“อะ.....อ้อ เพิ่งเห็น”
คนตัวสูงในชุดนักศึกษาที่ไม่ได้ถูกระเบียบมากมายเท่าไรนักเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พวกรุ่นพี่ผู้หญิงเริ่มถอยออกห่างไปจับกลุ่มยืนคุยกันตามมุมโน้นมุมนี้แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องมาทางคนต่างคณะ ส่วนไอ้โอเซฮุนเพื่อนตัวดีก็โบกมือบ๊ายบายเขาแล้วเดินออกไปเรียบร้อยแล้ว
“ปะ กลับบ้านกัน”
“ชี่....เบาๆ พูดเบาๆ”
“ทำไมต้องพูดเบาๆ” ขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะจัดการปลดกระดุมที่แขนเสื้อแล้วพับขึ้นมาสองทบเมื่อเห็นถุงขนมที่วางอยู่ข้างๆแบคฮยอน ร่างน้อยทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วถอนหายใจออกมาพลางหอบหิ้วของมาไว้ในมืออีกครั้ง “ไม่มีอะไร...”
“ขนมนั่นของนายหมดเลยหรอ?”
“อาหะ”
“ดีจังJ” เสียงกรี๊ดกร๊าดพร้อมเสียงหัวเราะดังขึ้นประปรายเมื่อเห็นรอยยิ้มของปาร์คชานยอล คนที่ยืนใกล้ที่สุดก็ยังอดไม่ได้ที่จะหน้าร้อนวาบๆ รีบจ้ำอ้าวออกจากตึกก่อนที่จะตกเป็นประเด็นร้อนในหมู่รุ่นพี่ไปมากกว่านี้ คนขายาวรีบเดินตามมาใกล้แล้วฉวยเอาถุงขนมไปถือไว้เสียเอง
“ขอทั้งถุงเลยนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิวะ เดี๋ยว!”
เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังเบาๆมาจากคนที่เดินนำหน้าไปแล้ว จากตอนแรกที่ว่าจะวิ่งตามคนตัวเล็กก็ชะงักก่อนจะเปลี่ยนเป็นเดินตามไปเงียบๆจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ห่างจากเขาประมาณห้าก้าว เพราะไอ้ความรู้สึกประหลาดในช่วงอกที่เหมือนจะดีใจก็ไม่เชิงทำเอาแบคฮยอนต้องเว้นระยะห่าง
ถ้าหากคิดแบบไม่ต้องคิดมากก็เป็นเพราะว่าไม่เคยมีพี่ชาย ไม่เคยถูกดูแลแบบนี้ คิดแบบนั้นก็ได้แต่นึกย้อนไปว่าน้องชายของเขาจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่าเวลาที่เขาคอยดูแลแบบนี้
มันก็คงจะคล้ายๆกันแหละมั้ง
“คราวหลังไม่ต้องมารับก็ได้นะ”
ระหว่างที่คนขับรถกำลังขับไปเรื่อยๆ คนที่นั่งมองออกไปยังนอกหน้าต่างก็พูดขึ้นมา ปาร์คชานยอลหันมองคนที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างนิดหน่อยแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องเชื่อตามที่อีกคนบอกด้วย
“ทำไมพี่ถึงดังในมหาลัยจังวะ”
“อืม.....หล่อล่ะมั้ง”
“โอ้โหคนเรา ไม่อายอะไรก็อายตัวเองบ้างเหอะ ไม่ลังเลเลย”
“เอ้า ก็จริงไหมล่ะ? ถ้าไม่หล่อจะมีคนชอบหรอ” เมื่อรถติดอีกคนก็เหยียบเบรคพลางเปลี่ยนเกียร์ก่อนจะหันมามองหน้าของเด็กข้างบ้านที่กำลังมองมาด้วยสายตาหยามเหยียดกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูเหมือนจะฉายแววตระหนกตกใจนิดหน่อยเมื่อจ้องตากัน
ไม่รู้ทำไมแต่เขาชอบทุกทีเวลาเห็นแบคฮยอนตกใจ
มันเป็นปฏิกิริยาที่ดูแล้วเหมือนลูกหมาเวลาถูกแกล้ง....ก็เลยดูน่ารักดี.....มั้ง
“กลางวันนี้จะกินอะไร?”
“ผมมีเค้กของพี่รหัสแล้วอะ”
“ไม่....หมายถึงของคาวสิ”
“พี่อยากกินไร?”
“พาสต้า โบโลน่า”
“ห๊ะ?”
“.....ไอ้ซอสขาวๆอะ”
“คาโบนาร่ามั้ยล่ะ” คนพูดผิดเลยเงียบไปซักพักก่อนจะพึมพำออกมาจนแบคฮยอนต้องหัวเราะเบาๆ “ให้หาร้านอาหารอิตาเลี่ยนใช่ปะ เดี๋ยวๆหาแปบ”
“หาร้านอาหารทำไม?”
“เอ้า ก็พี่จะ.......”
“จะกินที่นายทำ ไม่เอาร้านอาหาร”
โอ๊ยให้ตายห่า โดนพูดแบบนี้ใส่แล้วรู้สึกหน้าร้อนพิกล
ตอนแรกก็ทำท่าอ้าปากจะแย้งแต่พอเห็นว่าอีกคนเลี้ยวรถเข้าที่ซุปเปอร์มาเก็ตหน้าปากซอยใหญ่แบคฮยอนจำต้องหุบปากพร้อมกับเดินจากรถก่อนจะตามร่างสูงที่เดินนำลิ่วเข้าไปแล้ว พอมือใหญ่จับรถเข็นออกมาตั้งใจเดินหน้าอย่างเดียวคนเดินตามก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากถาม “พี่รู้หรอว่ามันต้องใช้อะไรบ้าง”
“....ไม่อะ”
“.......งั้นหยุดแป๊บ ผมเปิดเนตก่อน” ทำหน้าหน่ายพลางสั่งอีกคนเสียงเรียบแล้วจัดการหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาค้นหาข้อมูลอย่างไว พอคนไฮเปอร์ทำท่าจะเข็นรถเข็นหนีก็ขยับเท้าขัดล้อเอาไว้ ขมวดคิ้วแน่นเป็นการเตือนว่าอย่าเพิ่งไป รบรากับความเร็วอินเตอร์เน็ตและคนที่เกิดอยากจะแปลงร่างเป็นเด็กได้ซักพักก็ได้รายการของที่จะต้องใช้สำหรับมือกลางวันนี้แล้ว
“ของไม่เยอะมาก เริ่มต้นที่.....เฮ้ย รอด้วย!”
ไปแล้ว.....ไอคนมึนไถรถไปโน่นแล้ว มุมของฟรี
เพราะเป็นวันเสาร์ทำให้มีคนค่อนข้างเยอะแต่ดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลจะไม่แคร์ซักเท่าไหร่ เจ้าตัวไถรถเข็นมีตะแกรงไปหยุดอยู่ที่โซนขายเนื้อจิ้มกินไปหนึ่งคำแล้วพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะจิ้มอีกชิ้นให้ส่งมาทางแบคฮยอนที่เพิ่งจะเดินตามมาถึง ด้วยความเคยชินเลยขยับหน้าเข้าไปงับทันที
“อร่อยปะ?”
“อร่อย”
“งั้นซื้อนะ”
“แล้วจะกินตอนไหน”
“ตอนเย็น”
“ใครทำ?”
“นายไง”
เออขอบคุณ
เคี้ยวหยับๆอีกสองทีก่อนจะอ้าปากงับอีกครั้งเมื่อชานยอลยื่นอีกชิ้นนึงเข้าปากให้ แบคฮยอนหันไปหาคุณน้าพนักงานที่กำลังส่งยิ้มเอ็นดูมาให้ เลือกดูเนื้อที่แพคไว้แล้วสองสามอันก่อนจะหยิบมาหนึ่งแพค พอทำท่าจะเดินออกไปคนคุมรถเข็นก็คว้าอีกสองแพคลงรถ
“เฮ้ย ซื้อไรเยอะแยะ”
“ก็มันอร่อย”
“กินหมดหรอ”
“เดี๋ยวก็หมด”
กวนตีนไหมล่ะ......
สุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็ไม่พูดอะไรมากก่อนจะเดินนำต่อไปหยิบเพียงของที่ต้องใช้ทำพาสต้าที่อีกฝ่ายอยากกินเท่านั้น แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่มือใหญ่ก็รั้งตัวเขาไว้ด้วยการกระตุกมือเบาๆก่อนจะหยิบเนื้ออีกอย่างที่บูทต่อมายื่นเข้าปากให้
“อร่อยปะ”
“อือ”
เพิ่งรู้ว่าตัวเองหลอกได้ด้วยของกินก็วันนี้แหละ
ร่างเล็กเลยตัดสินใจหยุดยืนเคี้ยวหยับๆแล้วเอื้อมมือทำท่าจะไปจิ้มเนื้อไก่ทานเองแต่ทว่ามีอีกชิ้นมารอจ่ออยู่ที่ปากอีกแล้ว พอรู้ตัวก็รีบขยับหน้าออกห่างเล็กน้อยพลางขมวดคิ้ว
แล้วก็เพิ่งจะมารู้ตัวตอนชิ้นที่สี่นี่แหละว่าปาร์คชานยอลกำลังจิ้มให้กิน
“เอ้า กินสิ”
“แล้วทำไมพี่ต้องป้อนวะ”
“อ้ำ”
“....ทำไม....”
“อ้ามมมมมมมม”
ยอม...ยอมเขาเลย ณ จุดนี้
แบคฮยอนไม่เคยเอาชนะความมึนของคนตรงหน้านี่ได้เลยซักครั้ง ไม่รู้จะเรียกว่ามึนหรือดื้อดีเพราะมันคล้ายกันจนแยกไม่ออก สุดท้ายเลยได้เนื้อไก่หมักมาอีกสองแพค คนที่แปลงร่างเป็นพ่อบ้านจำเป็นบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทางเพราะตอนนี้เนื้อที่ซื้อไปเยอะเกินกว่าที่จะกินกันสองคนเสียอีก แล้วยิ่งทำหน้าหงิกเข้าไปอีกเมื่อได้ยินอีกคนเอาแต่พูดว่าเดี๋ยวก็หมด
สุดท้ายเลยตัดสินใจได้ว่ามื้อเย็นจะทำเนื้อย่างโดยมีคิมจงอินเพื่อนของปาร์คชานยอลจะมากินด้วย ของกินวันนี้ทั้งหมดเจ้าของบ้านเป็นคนเลี้ยง แบคฮยอนเลยเอ่ยกล่าวขอบคุณแบบเป็นทางการไปเสียหนึ่งทีด้วยความตื้นตันใจ
กว่าจะได้ทานข้าวกลางวันก็เกือบๆจะบ่ายสอง ชานยอลบอกให้เขาไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วอาสาจะล้างจานให้ ตอนแรกก็ว่าจะนอนอู้อยู่ที่บ้านซักหน่อยแต่พออีกคนบอกให้กลับมาเตรียมของที่จะกินมื้อเย็นแบคฮยอนเลยจำต้องหยิบของใช้ที่จำเป็นลงกระเป๋าเป้ใบเล็กก่อนจะเอามันไปที่ข้างบ้าน
“ของแค่เนี้ย?”
“เอ้า จะเอาอะไรมาเยอะแยะวะ พรุ่งนี้ผมไม่ต้องไปมหาลัยอะ”
“......ชุดวันอื่นล่ะ”
“เดี๋ยวก็กลับไปเอาที่บ้านก็ได้ เอาจริงๆนะผมไม่ต้องมานอนบ้านพี่ด้วยซ้ำ”
“แม่นายสั่งไว้ให้นอนด้วยกัน”
“ผมไม่บอกพี่ไม่บอก แม่ก็ไม่รู้หรอกน่า”
“เด็กขี้โกหกนิสัยไม่ดี”
ละมือจากหน้าจอโทรศัพท์มาตบลงบนหน้าผากของเด็กขี้โกหกเบาๆทำเอาแบคฮยอนหน้ามุ่ย ถึงจะไม่แรงแต่จะให้ยิ้มหรอว่าเวลามีคนมาตบหน้าผากน่ะ
บ้าไปแล้ว
“เอ้อ เสื้อชอปพี่ผมยังไม่ได้คืนเลย นี่ลืมไปแล้วนะเนี่ย”
ร่างเล็กร้องขึ้นมาหลังจากที่นึกได้ว่าเสื้อชอปสีกรมท่ายังคงพับไว้เรียบร้อยอยู่ในตู้เสื้อผ้า ว่าจะหยิบมาแต่ก็ลืมทุกที มือใหญ่ละจากหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งโบกไปมาเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปใส่ใจให้มากนัก
“ไม่รีบ ช่างมัน”
“ชีวิตพี่เคยรีบไรมั่งมั้ยวะ”
ว่าจบก็ทิ้งตัวลงข้างๆเจ้าของบ้านก่อนจะถือวิสาสะกดรีโมทเพื่อเปิดโทรทัศน์ดูปล่อยให้ไอ้คนมึนนั่งเล่นโทรศัพท์ต่อไป เสียงเอฟเฟคของเกมที่ดังโช้งเช้งจนน่ารำคาญทำเอาให้แบคฮยอนต้องหันไปมอง เพียงครู่เดียวก็หันกลับมาสนใจทีวีเหมือนเดิม
เกมบ้าไรวะ มีแต่เสียงผู้หญิง เอฟเฟคก็วิ้งไปวิ้งมา
ฟุ่บ
ไม่นานนักปาร์คชานยอลก็เริ่มเลื้อย
เห็นตั้งแต่แรกแล้วแหละว่าหมอนั่นเปลี่ยนท่านั่งไปมาสุดท้ายจบลงด้วยท่านั่งปกติแต่ก็ค่อยๆไหลลงเรื่อยๆจนในที่สุดคงทนรำคาญไม่ไหวคว้าหมอนอิงที่นั่งพิงอยู่มาวางบนตักเขาแล้วถือวิสาสะนอนลงบนนั้นแบบไม่ถามความเห็นเจ้าของตักซักคำ
“....เฮ้ย”
“ชี่ กำลังมีสมาธิ อย่าพูดเยอะ”
เล่นเกมแต่งตัวตุ๊กตาเนี่ยนะกำลังมีสมาธิ!?
โอ๊ยให้ตายห่าจะมีใครแปลกมากกว่านี้อีกมั้ย !
ดวงตาคู่โตของผู้ชายร่างสูงที่ดูแล้วยังไงก็โคตรแมนกำลังเล่นเกมแต่งตัวตุ๊กตาของสาวน้อยที่ชื่อว่านิกกี้ด้วยความจริงจัง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อพบว่าไอ้แมวน้อยในเกมที่เป็นคนติดตามของสาวน้อยที่ชื่อว่านิกกี้ประเมินรสนิยมของเขาให้ติดเอฟ ริมฝีปากที่ค่อนข้างหนาขยับบ่นพึมพำอะไรซักอย่างแล้วจึงเล่นใหม่
แล้วมันเรื่องอะไรที่เขามานั่งมองปาร์คชานยอลเล่นเกมกันล่ะ!
------ GIDDY CHANYEOL ------
ที่ไม่ได้ลงเพราะไม่มีเม้าส์._____.
เม้าพัง รอแม่เอาเม้าส์มาให้
ข้อแกตัวฟังขึ้นเนาะ 555555
บอกแล้วว่าฟิคมันเรื่อยๆไม่มีอะไรเลย
อย่าอ่านไปหาวไปนะแกร หลับเลยนะ555555
เกรดออกแล้ว แมววิ่งเต็มคอก บายยย
ชีวิตมันต้องสู้กันไป สู้ขรั่บบบ
ความคิดเห็น