ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Mpreg] อย่ามาเกี้ยวสามีข้า [Yaoi + เมะสวย]

    ลำดับตอนที่ #49 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๔๗

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 67


    บทที่ ๔๗

     

     

    เหลียนตาเฟิงอี๋มองท้องฟ้าที่ตอนนี้ได้มืดจนเห็นแสงดาวระยิบระยับเพราะไม่มีแสงพระจันทร์มารบกวน มันก็ชวนให้นั่งมองเชยชมอยู่หรอก หากแต่สถานการณ์ ณ ตอนนี้บรรยากาศไม่ชวนให้มามองดาวมองฟ้าเลยสักนิด ด้านหน้าคือสถานที่ที่เขาเคยมาไม่รู้กี่ครา บางคราก็มาเพื่อเกี้ยวใครบางคน บางคราก็แวะมาเล่นกับใครบางคน

    ใช้คำว่าคนเป็นคำที่เหมาะสมหรือไม่

    ช่างเถอะเพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่ได้เคารพอะไรแบบนั้นเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้ว แถมตอนนี้ก็มาในฐานะศัตรูอีกต่างหาก ด้านหน้าคือสำนักเพ่ยที่เป็นทางเข้า ทางนั้นยังอยู่ในความสงบท่ามกลางคนของพวกเขาที่รายล้อมสำนักเอาไว้หมดแล้ว รอเพียงสัญญาณบุกโจมตีก็เท่านั้น โดยข้าง ๆ เขามีเหลียนเฟิงเหอน้องรองที่ติดตามมาด้วยที่อีกสักพักก็คงกลับไปทำหน้าที่ของตนที่รับมอบหมายจากชายชุดม่วงนั้น ส่วนน้องเล็กของเขานั้นไม่ชอบเหตุการณ์แบบนี้เท่าไรนักแถมยังเกิดในวันเกิดของเขาวันที่เป็นจุดแตกหักระหว่างสำนักต่าง ๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะยินยอมอยู่แล้วก็ตาม เพียงแค่ไม่คิดเลยว่ามันจะบานปลายถึงขนาดนี้ มันจะกลายเป็นวันที่ถูกจารึกลงไปในพงศาวดารของแคว้นเค่อเลยทีเดียว เหลียนเฟิงอี๋สงสารน้องเล็กจับใจ เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะมาขนาดนี้เช่นกัน นี่มันคือสงครามเลย มันไม่ใช่แค่การทะเลาะระหว่างสำนักเลยสักนิด

    แล้วอีกอย่างเขาเองก็หันหลังกลับไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสำนักซุยคงมีจุดจบไม่ต่างจากสำนักตง

    ขนาดสำนักที่ยุทธภพให้ความเคารพละเว้นการทะเลาะเบาะแว้งด้วย ยิ่งรู้ว่าเป็นคนสำนักตงยิ่งปลอดภัยไม่มีใครกล้าชี้อาวุธใส่หน้าเพราะอาวุธในมือล้วนเกิดจากสำนักนี้ทั้งนั้น มันแทบไม่ต่างจากเนรคุณผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดเลย ยังล่มสลายขนาดนั้น ยิ่งเขาได้ไปเห็นกองกำลังของพระสนมเอกหรือน้องชายฝาแฝดของจวินหงแล้วนั้น มันยากเกินไปที่จะรับมือได้จริง ๆ จวินหงจะรับมืออย่างไรไหว เหลียนเฟิงอี๋สูดลมหายใจเข้าปอด เขาไม่รู้ว่าจะรู้สึกเช่นไร ควรรู้สึกว่าละทิ้งทุกอย่างไปซะแล้วจดจ่อกับการกระทำที่ก่อขึ้นไปแล้ว แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาแย้งว่าตนนั้นมีความเป็นห่วงจวินหง แม้ว่าตนนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอยู่จุดนั้นได้แล้วก็ตาม และเขาไม่สามารถปฏิเสธอีกหนึ่งความรู้สึกได้เลยว่า

    เขาเป็นห่วงต้าต่าน

    ต่อให้เกลียดกันเพียงใด อยากเอาชนะอีกฝ่ายเพียงใด ก็ไม่คิดจะเอาให้ตายกันไปข้างจริง ๆ หรอก หากนึกย้อนกลับไปช่วงเวลาเหล่านั้น มันก็หงุดหงิดนะ โมโหด้วย แต่มันก็สนุกดีไม่ใช่รึ.... ระหว่างที่เหลียนเฟิงอี๋กำลังหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เหลียนเฟิงเหอน้องรองที่ติดตามพี่ชายของตนมาเพื่อช่วยเหลือก่อนไปทำหน้าที่ของตน เพรราะพี่ชายของเขานั้นได้รับมอบหมายจับตัวต้าต่านไป อย่างไรซะ มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับพละกำลังเทพเซียนได้ อีกอย่างเทพเซียนจะไม่ทำร้ายร่างกายมนุษย์จนถึงแก่ความตายก็สามารถทำให้เจ็บหรือทำให้สลบไปเลยเพื่อลดความเสียหาย ได้มองใบหน้าหล่อของพี่ใหญ่ที่ส่อแววความเศร้าออกมา โดยที่ดวงตายังจ้องมองไปยังสำนักเพ่ยที่อยู่ไม่ไกลมากนักเพียงกระโดดสามครั้งด้วยวิชาตัวเบาก็ถึงแล้ว คงรู้สึกผิดอะไรบางอย่างอยู่ เลยเอ่ยพูดกับพี่ใหญ่ของตนเพื่อให้มีสติมากกว่านี้ เพราะเช่นไรซะ นั้นคือต้าต่านหรือจวินหง น่าจะมีการรับรู้ถึงการบุกรุกแล้ว แม้ในหมายเหตุบอกจะให้บุกช่วงยามห้าย (21.00-22.59น.) ก็เถอะ นี่พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้าไม่นานก็เตรียมบุกแล้ว

    พี่ใหญ่มีสมาธิหน่อยเถอะ ดูนั้น พระสนมเอกเดินไปยังทางเข้าสำนักเพ่ยแล้ว”

    เหลียนเฟิงอี๋ได้ยินเสียงน้องรองเอ่ยเรียกทักตนก็รีบกะพริบตาไล่ภาพในอดีตเพื่อกลับมามองภาพในปัจจุบัน ที่ตอนนี้ร่างของพระสนมเอกหรือจวินหรงกำลังเดินเข้าไปในสำนักเพ่ยเพื่อไปเผชิญหน้ากับคนที่มีใบหน้าเหมือนกัน แต่งกายด้วยสีแดงเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางสถานที่เป็นสีขาวและเขียว ราวกับดอกไม้ที่อยู่ทุ่งหญ้าท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส หากแต่ว่าดอกไม้สีแดงดอกนี้เป็นพิษหากใครได้เด็ดมาดมดอมคงได้สิ้นใจตายไร้ซึ่งยาถอนพิษ ขายาวก้าวมาหยุดด้านหน้าของสำนักเพ่ยที่มีคนของสำนักออกมาต้อนรับอย่างดีแม้ในมือจะถืออาวุธพร้อมเพรียงก็ตาม โดยด้านหน้ามีร่างของผู้ที่เคยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่มาหลายสนามรบ หลายศึกสวรรค์ วันนี้กลับต้องมายืนตรงข้ามกัน มันก็รู้สึกแปลก ๆ ดี

    ฮุ่ยเหมยชายที่คอยช่วยเหลือและชวนดื่มสุรายามได้รับชัยชนะ

    และอีกคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอด จวินหง ยังคงงดงามเหมือนเดิม ยิ่งชุดสีขาวนั้นยิ่งทำให้รู้สึกน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ทั้งสามยืนจ้องมองกันแม้ในแววตาจะไม่เหมือนกันก็ตาม จวินหรงมองดวงตาคู่งามของจวินหงที่มองมายังตนแล้วนั้นมันช่างรู้สึกเจ็บปวดในอกเพราะแววตาคู่นั้นพร้อมที่จะสู้รบกับเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยนที่เคยมอบให้กับเขาเมื่อครั้งกาลก่อน ก็นั้นสินะ ก่อเรื่องไว้ขนาดนั้นหากยังมีแววตาเช่นนั้นอยู่ก็คงไม่ใช่แม่ทัพผู้เด็ดขาดผู้นั้นแล้ว พอเลื่อนสายตาลงไปก็พบว่าในมือถืออาวุธที่เป็นเพียงหอกธรรมดาเท่านั้น ปากสวยที่แต่งเติมเครื่องสำอางจนออกแดงชัดเจนคลี่ยิ้มก่อนที่เอ่ยพูดกับชายที่หน้าตาเหมือนกัน ไม่สิ หน้าตาที่เขาลอกเลียนแบบมาต่างหาก

    พี่ชาย ถือหอกในมือเสียแน่นแบบนั้นคงจะไม่ได้จะมาเพียงตีข้าหรอก ใช่หรือไม่”

    จวินหงมองอีกฝ่ายที่เอ่ยพูดทักทายที่ด้านหลังไม่มีใครนอกจากเจ้าตัว แต่ไม่ใช่ไม่รู้ด้านนอกรอบสำนักในตอนนี้ได้ถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว ยอมรับเลยว่าเป็นห่วงต้าต่านสุดใจ อยากไปอยู่ปกป้องแต่หากไม่อยู่รับมือจวินหรงตรงนี้ละก็จะยิ่งแย่กกว่าเดิมเพราะฮุ่ยเหมยไม่สามารถรับมือคนเดียวได้ไหว อยู่ ๆ ก็มีสารของหลิวหยางส่งมาว่าจะโดนบุกโจมตี หมายจะออกเดินทางไปยังหมู่บ้านลิงแดง หากแต่จดหมายมาช้าเกินไป พออ่านจบก็สัมผัสได้ถึงคนของจวินหรงที่มาถึงแล้ว หากก้าวเท้าออกไปก็ยิ่งอันตราย และอาจจะถูกโจมตีระหว่างทาง จนต้องให้จางจิ้งพาคนที่อ่อนแอกว่าอย่างพวกเฉินหรือสองพี่น้องลี่ไปหลบซ่อนและคอยดูแลความปลอดภัย

    จวินหรงหากเจ้ายังคิดจะกลับตัวในตอนนี้ กลับขึ้นไปรับโทษทัณฑ์โดยตนเองจะโดนขังสองหมื่นปีเท่านั้น”

    สิ้นเสียงของจวินหง จวินหรงที่ไม่รู้ไปเอาหอกเงินออกมาตอนไหนได้จับหอกในมือแน่นแล้วกระแทกพื้นไปหนึ่งครั้งที่ไม่ได้แรงมากแต่ก็สะเทือนจนเกิดลมซัดใส่ฝั่งจวินหงจนเสื้อผ้าที่สวมใส่และผมโบกสะบัดไปด้านหลังเลยทีเดียว หากเป็นมนุษย์ธรรมดาอาจจะหงายหลังไปแล้วก็เป็นได้

    ฮึฮึฮึ ให้ข้าไปรับโทษอย่างงั้นรึ” ปากสวยสีแดงหวานคลี่ยิ้มที่เดาไม่ออกเลยว่าอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ ยินดีหรือไม่ แต่อย่างไรซะการที่โดนพูดใส่เช่นนั้นก็คงไม่ยินดีอยู่แล้ว ยิ่งดวงตาจากสีดำเหมือนดั่งดวงตามนุษย์นั้นเปล่งประกายสีแดงขึ้นมาวาบหนึ่งหากไม่ใช่กองทหารสวรรค์ก็คงมีขนลุกไม่น้อย แต่นั่นทำให้จวินหงรับรู้แล้วว่าน้องชายของเขาได้ก้าวข้ามไปยังดินแดนของอสุระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะเพราะได้รับอำนาจจากมังกรทมิฬด้วย ปากสวยที่แต่งแต้มจนแดงชาดเหมือนสีของเสื้อผ้าก็ขยับเอ่ยพูดต่อ “ก็จับข้าให้ได้สิพี่ชาย”

    สิ้นเสียงจวินหรงก็กระแทกปลายหอกอีกครั้ง และนั้นก็เป็นสัญญาณให้คนของตนเอามาบุกใส่สำนักเพ่ยนั้นเอง ร่างของมนุษย์ที่ถูกหลอกที่ไม่มีทางเลือกพุ่งเข้าใส่ จวินหงเห็นเช่นนั้นก็อดสงสารไม่ได้ และโกรธกับสิ่งที่น้องชายได้กระทำเช่นกัน การใช้มนุษย์เช่นนี้ก็คือเอามาใช้ไม่ต่างจากโล่เลย และคงรู้นั่นแหละว่าทหารสวรรค์จะไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่คราวนี้คงต้องลงไม้ลงมือโดยการทำให้สลบเพื่อไม่ให้ต่อกรกับพวกเขา และในเหล่ามนุษย์นั้นก็มีเหล่าอมนุษย์อีกด้วยเช่นนั้นหรือเรียกง่าย ๆ ว่าพวกที่เหมือนกับปีศาจ อสูรอะไรทำนองนั้นเพียงแค่อยู่ในร่างของมนุษย์ที่แขนขามั่นคงกว่านั้นเอง ชายใบหน้างามเหมือนกันราวกับเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ จ้องมองท่ามกลางชุลมุนของการปะทะ หากให้กล่าวความจริงแล้วละก็ จวินหงในตอนนี้ไม่อาจสู้จวินหรงได้อย่างแน่นอน

    และใช่จวินหรงไม่ได้หมายจะเอาถึงแก่ชีวิตอยู่แล้ว

    ร่างในชุดสีแดงกำด้ามหอกเงินในมือของตนแน่นแล้วพุ่งใส่ชายงามที่สวมชุดสีขาวสะอาดตา เมื่อใกล้ถึงก็ง้างหอกเหนือหัวของตนแล้วฟาดลงใส่ทันที จนจวินหรงเผลอหลงลืมไปเลยว่าต้องออมแรง แม้ว่าหอกอีกฝ่ายที่ถืออยู่จะสร้างบนโลกมนุษย์แต่ก็สามารถรับแรงปะทะได้ก็ย่อมไม่ธรรมดา แต่ก็นั่นแหละก็เหมือนมดที่รับแรงเท้าช้าง แต่เพียงแค่มดตัวนี้ไม่ยอมล้มง่าย ๆ ก็แค่นั้นแม้เท้าที่ดันตัวเองจะโดนดันไปด้านหลังจนแผ่นหินที่ปูอย่างสวยงามจะแตกและลากยาวก็เถอะ แม้ดวงตาจะสวยเหมือนกัน กระนั้นแววตากับแตกต่างกันอย่างชัดเจน คนผู้เป็นน้องมองอย่างคนสนุกสนานและเย่อหยิ่งทะนงตนไม่น้อย ในขณะคนผู้เป็นพี่นั้นกลับมีแววตาที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แม้จะมีความโกรธแต่ในนั้นมีบางสิ่งที่จวินหรงไม่ชอบมันนัก นั้นก็คือ

    ความห่วงใยกลับมาอีกครั้ง ที่รู้เลยว่ามอบให้ในฐานะอะไร....

    อย่ามาใช้สายตาแบบนั้นกับข้า!”

     


    ด้านหลังจากสำนักเพ่ยก็ไม่ได้หละหลวมเพราะคนของสำนักถูกแบ่งมาคอยคุ้มกันบริเวณนี้เช่นกัน หากแต่นี่คือเหลียงเฟิงอี๋ที่เข้าออกสำนักนี้มาพอสมควรก็ย่อมรู้ดีว่าจะไปหาอีกคนได้เช่นไร เพียงแค่เดินตามหาไม่เท่าไรก็พบเจออย่างง่ายดาย ร่างสูงสมส่วน แผ่นหลังที่แม้จะอยู่ในฐานะอะไรก็ยังดูองอาจ ผมสีดำขลับที่รวบเป็นม้วนผมสวมกวานพร้อมกับปักปิ่นนั้น ก็ไม่สามารถลดทอนความเป็นจอมยุทธ์ที่ถูกผู้คนพูดถึงความเก่งในใต้หล้าได้เลย ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเรียวคมที่ตอนนี้กำลังหันมาทางเขา ท่ามกลางการต่อสู้กันให้ตายไปข้าง คงรับรู้สินะว่าเขามาแล้ว ยังไม่ทันจะได้เอ่ยทักอะไร รอยยิ้มยียวนกวนประสาทก็ถูกส่งมาให้

    ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันอีกนะเนี่ย”

    ไม่รู้อีกฝ่ายทำไมยังอยู่ในอารมณ์ที่ดูไม่ตึงเครียดอะไรเลย ลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ผ่านการต่อสู้มาไม่รู้เท่าไรแล้ว การมาเจออะไรแบบนี้คงรับมือได้ระดับหนึ่งนั่นแหละ และอีกอย่าง ในมือก็ถือกระบี่หมอกฟ้าที่ตั้งแต่อีกฝ่ายแต่งงานเข้าสำนักเพ่ยก็ไม่เห็นใช้กระบี่เล่มนั้นเลย และสิ่งนี้ก็บ่งบอกแล้วว่าอีกฝ่ายเอาจริงแค่ไหน

    ต้าต่าน วางกระบี่ในมือเจ้าลงเถอะ แล้วไปกับพวกข้าซะ ไม่เช่นนั้นสำนักเพ่ยอาจจะไม่แย่ไปกว่านี้”

    ต้าต่านมองเขาก่อนที่ทำเป็นมองสำนักเพ่ยที่เป็นส่วนของด้านหลังเหมือนมองมันเพื่อจดจำเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไรอย่างนั้น

    ก็อยากจะไปด้วยดี ๆ อยู่หรอกเพียงแต่มันต้องทำซะอย่างก่อนล่ะน่ะ”

    ทำอะไร? ในเมื่อเจ้า” เหลียงเฟิงอี๋ยังเอ่ยพูดไม่จบ ต้าต่านก็พุ่งตรงใส่เข้ามาพร้อมกับกระบี่หมอกฟ้าในมือ แน่นอนว่าเขานั้นปะทะฝีมือต่อสู้กับอีกฝ่ายมาไม่รู้เท่าไร เขาถึงได้ถูกเลือกให้มารับมือกับต้าต่านยังไงล่ะ เพียงแค่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันแตกต่างออกไปเพราะมันทั้งหนักหน่วง กดดันให้ไร้ซึ่งหาทางคิดทวนกระบวนท่าและหมายเอาให้ตาย ทุกครั้งที่กระบี่ฟาดฟันใส่เขานั้นก็เหมือนถูกดึงลมหายใจออกไปด้วย จนบางครั้งต้องเผลอกลั้นลมหายใจเอาไว้ในปอดกลัวจะไม่ได้หายใจอย่างไรอย่างนั้น นี่เท่ากับที่ผ่านมาต้าต่านไม่เคยเอาจริงกับเขาเลยสินะ แล้วไม่ต้องพูดถึงความเร็ว เพียงแค่อาศัยเข้ามาในจังหวะที่เขาเพิ่งจะตั้งหลักได้นั้น

    ต้าต่านตวัดดาบเก็บไปด้านหลังของตนเองก่อนที่จะยกขาขึ้นมาเพื่อเตะสีข้างของเขานั้น

    มันแทบจะมองไม่ทันเลย หากเขาไม่ใช่จอมยุทธ์เหมือนกันก็คงถีบตัวเองหลบไม่ทันเป็นแน่

    แม้จะสู้เพียงไม่กี่อึดใจเหลียงเฟิงอี๋ก็รับรู้ได้ความเหนื่อยที่เข้ามาเพราะไม่คิดเลยว่าต้าต่านจะเอาจริงถึงขนาดนี้ เพราะในเมื่ออีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่ ....

    ในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาชนะต้าต่านอย่างไรดี เพราะถ้าสู้ตรง ๆ คงกินเวลาเป็นแน่

    เสียงเหมือนระเบิดก็ดังขึ้นมาจากด้านหน้าของสำนักเพ่ย บ่งบอกว่าการปะทะเมื่อครู่น่าจะรุนแรงมาก ไหนจะแสงวาบหนึ่งนั้นอีก ทำให้ทั้งสองหันไปมองกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหลียงเฟิงอี๋เป็นห่วงอย่างห้ามสีหน้าไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าทางนั้นจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อนึกได้ว่าเขาควรมาตั้งสติกับบุคคลตรงหน้ามากกว่า ก็รีบหันกลับไปมองต้าต่านที่ยืนไม่ห่างจากเขาทันทีพร้อมกับตั้งท่าป้องกันเพื่อตั้งรับ กระนั้นก็ต้องหยุดเมื่อได้เห็นบางสิ่ง นั้นก็คือสีหน้า.... สีหน้านั้นคืออะไร จะร้องไห้อย่างงั้นหรือ?

    เหลียงเฟิงอี๋”

    อยู่ ๆ ปากได้รูปของต้าต่านก็เอ่ยเรียกชื่อเขาซะอย่างนั้น

    มีอะไร”

    เจ้าจำประโยคที่เคยเอ่ยพูดกับข้าได้หรือไม่ ว่าหากข้าทำอะไรจวินหงขึ้นมา เจ้าจะฆ่าข้าน่ะ”

    จำได้ แต่ตอนนั้นข้า” เป็นอีกครั้งที่เขาพูดไม่ทันจะจบว่าตอนนั้นเขาไม่รู้ภูมิหลังของจวินหงดีและไม่รู้ว่าต้าต่านนั้นมีความสัมพันธ์เป็นมายังไง ถ้าเขารู้จะไม่เอ่ยประโยคออกไปเป็นแน่ ก็ได้ถูกแทรกอีกครั้งโดยบุคคลเดิม เพียงแต่คราวนี้เป็นคำพูด “ขอบคุณนะ เพราะข้ารู้แล้วว่าเจ้าน่ะเป็นคนที่ข้าพอจะไว้ใจได้”

    เหลียงเฟิงอี๋ไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้าต่านพูดเลยว่าหมายถึงอะไร ขอบคุณเขาเรื่องอะไร ซึ่งเขาไม่มีทางได้คำตอบในตอนนี้เป็นแน่ เพราะร่างของต้าต่านได้ถีบตนเองกระโดดขึ้นไปเหนือหลังคาที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังไปด้านหน้าของสำนักเพ่ยนั้นเอง เหลียงเฟิงอี๋ไม่รอช้ารีบกระโดดตามไปทันที

     

    ฮุ่ยเหมยต้องละทิ้งจากตรงที่ตนต่อสู้เพื่อมายืนด้านหน้าให้กับชายที่เขาเคารพสุดหัวใจที่ตอนนี้ได้นั่งคุกเข่าลงไปกองกับพื้นโดยอาศัยหอกธรรมดาที่หักครึ่งไปแล้วพยุงเอาไว้ หากบอกว่าเหล่าเทพเซียนไม่มีเลือดในกายแล้วละก็คิดผิดถนัดเพราะเทพเซียนนั้นล้วนมีเลือดไหลเวียนไม่ต่างจากมนุษย์หากเพียงแต่ร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นฟื้นฟูได้ก็เท่านั้นเอง ปากสวยของจวินหงอาบไปด้วยสีแดงของเลือดโดยมีแววตาที่หยิ่งทะนงตนจ้องมองอยู่โดยไม่สนใจฮุ่ยเหมยที่ยืนปกป้องอยู่เลย

    ปากของท่านเป็นสีแดงเหมือนกับของข้าแล้วพี่ชายคนงามของข้า”

    ฮุ่ยเหมยวิเคราะห์การต่อสู้รอบข้างที่ไม่ว่าจะสู้อย่างไรทางเขาไม่มีทางชนะได้ง่าย ๆ แน่ ไม่รู้เลยว่าไปเกณฑ์มนุษย์มาจากไหนถึงได้เยอะขนาดนี้ เพียงแค่ต้องแยกแยะจากอมนุษย์ที่จำแลงก็ยากพอแล้ว ยังต้องมารับมือกับอมนุษย์ที่กำลังมากพอที่จะทำให้ทหารสวรรค์ต่อกรได้ยาก แล้วหากพลั้งมือฆ่ามนุษย์ไปละก็ยิ่งสะสมบาปกัดกินเข้าไปอีก ไม่เหนื่อยก็ให้รู้ไป ฮุ่ยเหม่ยมองจวินหรงที่เขาเคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับอีกฝ่ายมาหลายสนามรบ ทุกศึกที่เป็นภัยต่อสวรรค์หรือสามดินแดนมาไม่รู้เท่าไร เขาประเมินกำลังตนเองดีว่าเขานั้นไม่อาจจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้

    จวินหรงเจ้ายอมจำนนเถอะ เจ้าหนีการลงโทษของสวรรค์ไม่พ้นหรอก”

    ข้ารู้ว่าข้าหนีไม่พ้น แต่ก็ไม่เห็นสวรรค์ทำอะไรเสียที ปล่อยให้พวกเจ้ามาตามจับข้าเสียเองจนต้องมีสภาพเช่นนี้”

    ก็เพราะท่านแม่ทัพขอร้องต่างหากล่ะ!” ฮุ่ยเหม่ยเหลืออด จนต้องตะโกนบอกออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงเจตนาของจวินหงว่าทำไมถึงได้มีสภาพเช่นนี้ “ท่านแม่ทัพต้องสละบารมีของตนเพื่อต่อรองว่าจะจับเจ้าด้วยตนเอง เพื่อช่วยลดโทษของเจ้าให้เหลือการจองจำสองพันปีของสวรรค์และสลายพลังแทนการประหารชีวิตโดยการส่งเจ้าไปยังปรโลกไร้สาร”

    จวินหรงได้ยินเช่นนี้รอยยิ้มก็หุบลงทันที โดยดวงตาสวยที่เหมือนกับแม่ทัพแต่ฉายแววต่างกันนั้นมองผ่านเขาไปยังจวินหงที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นแค่ประคองไม่ให้ร่างสลายก็ยากพอแล้ว หากใช้พละกำลังไม่มากกว่าคงไม่ดีแน่ ฮุ่ยเหมยมองจวินหรงที่หุบยิ้มลงคงจะคิดได้หรือยอมอ่อนลงบ้าง ทว่าเมื่อปากขยับก็ทำให้รู้ว่า

    ข้าไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย”

    จวินหรงไม่ได้สนใจในสิ่งที่พี่ชายยอมเสียสละเลยนั้นเอง รองแม่ทัพนาคแม้ฝีมือจะไม่ทัดเทียมรองแม่ทัพเงินผู้ปราบอสูรมากกว่าเขา แต่ครั้งนี้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องแม่ทัพสวรรค์เอาไว้ร่างสวมชุดสีแดงนั้นกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อทำการโจมตีเขาที่มองดูก็รู้แล้วว่าหมายจะไม่ให้มีชีวิตรอดอย่างแน่นอน ฮุ่ยเหมยตั้งท่ารอรับการโจมตีเพราะด้านหลังของเขาเป็นแม่ทัพนั้นเองแม้จะรู้ว่าจวินหรงไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายก็เถอะ จังหวะนั้น แสงวูบหนึ่งเหมือนแสงของพระอาทิตย์สะท้อนกับผิวน้ำส่องเข้าไปที่ตาของรองแม่ทัพเงิน มันไม่ได้รบกวนการมองเห็นแต่อย่างใด หากสิ่งที่มากับแสงนั้นอาจจะทำให้ให้ตาบอดได้ถ้าหลบไม่ทัน

    กระบี่เฉียดไปเพียงความบางของใบไม้ของปลายจมูกเท่านั้นเอง

    จึงทำให้ต้องดึงหอกเงินของตนเพื่อถอยหลัง จวินหรงสัมผัสได้ถึงความเย็นของกระบี่ตอนผ่านใบหน้าของตนพร้อมเจ้าของกระบี่เล่มนั้นที่ใช้มันชี้มายังตน ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพสร้าง ดวงตาเรียวตาที่จ้องลึกไปยังรากจิตใจได้ ต้าต่านนั้นเอง แผ่นหลังของฮูหยินที่เหยียดตรงจนรู้สึกได้ถึงความองอาจปรากฏแก่สายตาของฮุ่ยเหม่ยจนเกิดภาพซ้อนทับในอดีตที่ออกรบทำศึกตอนอยู่บนสวรรค์ หากแต่คู่ต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่ผู้ที่ฮูหยินจะรับมือได้

    ฮูหยินขอรับถอยห่างออกมาเถอะ ชายผู้นั้นฮูหยินรับมือไม่ไหว”

    ต้าต่านที่ยืนประชันหน้ากับคนงามที่หน้าตาเหมือนกับจวินหง ได้ยินเช่นนั้นจากผู้ที่อยู่ด้านหลังก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้หันหลังไปมองแต่อย่างใด

    นี่มันคืออะไรกันแน่ฮุ่ยเหมย”

    ที่ถามนั้นไม่น่าจะถามถึงการบุกโจมตีเป็นแน่ อย่างไรซะเรื่องพวกนี้จะเกิดไม่ช้าก็เร็ว อีกอย่างฮูหยินต้าต่านเองก็ท่องยุทธภพมาไม่รู้เท่าไรแล้ว น่าจะถามถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นอะไร ไหนจะผู้บุกรุกที่แปลก ๆ อะไรนั้นอีก ฮูหยินยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ อยากจะอธิบายอยู่หรอกหากแต่ยามนี้มันไม่เหมาะเท่าไรน่ะสิ

    ฮูหยินเอาไว้ค่อยอธิบายขอรับ ช่วยมาประคองท่านประมุขแล้วพาหนีไปจากที่นี่ไปยังหมู่บ้านลิงแดงที”

    ต้าต่านไม่ได้เกรงกลัวชายงามชุดสีแดงชาดอย่างกับชุดแต่งงานเหมือนกับของเขาเคยสวมใส่ตอนแต่งกับจวินหง ก็ต้องลดกระบี่หมอกฟ้าของตนเองลงเพื่อที่จะถอยหลังให้ฮุ่ยเหมยมายืนข้างหน้าเพื่อป้องกันให้เขาเข้าไปประคองชายงามอีกคนที่สภาพนั้นบ่งบอกเลยว่าน่าจะบาดเจ็บภายใน ร่างสูงย่อตัวลงมองใบหน้าที่แม้จะเจ็บแต่ก็สวยอยู่ ขี้โกงชะมัด แต่นั่นไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาอิจฉาใบหน้าสามีของตน มือขาวยื่นไปเช็ดเลือดออกจากปากที่ไม่รู้ว่าซีดแค่ไหนเพราะเลือดมันอาบจนแดงเลยนั้นเอง จวินหงมองดวงตาคมนั้นที่มองเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลที่เห็นเขาได้รับบาดเจ็บ

    ข้าไม่เป็นไรฮูหยิน”

    เฮอะ ดูสารรูปตนเองก่อนพูดไม่ดีกว่ารึ เหมือนหมาขนสีขาวที่ลงไปเล่นโคลนในบึงบัว”

    ปากสวยยกยิ้มที่โดนฮูหยินของตนดุ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องยินดีอะไรเลยอยากจะเอ่ยต่อล้อต่อเถียงอยู่หรอก แค่จะเปล่งเสียงเขาแทบจะใช้แรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดด้วยซ้ำ จากนั้นแขนยาวที่แข็งแกร่งของต้าต่านที่ยื่นมาเพื่อประคองเขาให้ลุกขึ้น หากใช้วรยุทธ์กับวิชาตัวเบาของอีกฝ่ายก็จะเร็วพอพาหนีไปได้โดยให้ฮุ่ยเหมยสกัดเอาไว้ พอยืนเต็มความสูงได้ไม่ทันไร

    ความเจ็บที่ยากจะอธิบายบริเวณกลางอก มันเจ็บจากความเย็นเฉียบจากเหล็กของกระบี่

    ที่ตอนนี้ได้เสียบแทงทะลุไปยังด้านหลัง

    โลหิตสีแดงได้ค่อย ๆ ย้อมอาบอาภรณ์สีขาว พร้อมกับใบหน้าที่สับสนและไม่เข้าใจของประมุขสำนักเพ่ย และยิ่งได้สบตาเจ้าของกระบี่แสนเย็นชานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่ให้เขาตกหลุมรักครั้งแรก ดวงตาที่ได้สบตาหากให้กระโดดลงตกลงไปในเหวลึกก็ยินยอม ปากได้รูปที่ยกยิ้มเมื่อไรจะสดใสและสว่างยิ่งกว่าแสงทินกร ตอนนี้กลับสะท้อนความเย็นชาเหมือนกับเหล็กของกระบี่ที่ยังคาอยู่กลางอก ร่างกายที่แทบจะล้มทั้งยืนกลับต้องเทแรงทั้งหมดไปยังขาทั้งสองขาให้ยืนให้ไหว มือสวยยื่นไปด้านหน้าหมายจะไปสัมผัสแก้มขาวว่านี่เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า หวังว่ามือที่ยื่นออกมานั้นจะคว้าอากาศแทน

    หายใจไม่ออก

    ทั้ง ๆ ที่เทพเซียน ดวงตาเริ่มพร่ามัว ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หยาดน้ำตาอย่างงั้นรึ พอมือที่เรี่ยวแรงใกล้สิ้นยื่นไปจะถึงแก้มขาวที่เขาแอบขโมยหอมไม่รู้กี่ครั้ง กลับถูกมือของเจ้าของแก้มที่ยกขึ้นแล้วดันออกไปห่าง จนแรงที่มีหมดลงจนตกลงขนาบข้าง

    ฮะ ฮูหยิน”

    การหลั่งน้ำตาของแม่ทัพสวรรค์นั้นยากมากที่จะได้เห็น แต่มันจะหลั่งออกมาได้ง่ายดายหากเกิดกับเพียงแค่คนคนนี้เท่านั้น คนที่เป็นทั้งหัวใจของแม่ทัพ แม้อยากได้คำตอบว่าทำไม ก็ดันหวาดกลัวกับคำตอบ บอกมาสิว่านี่แค่ล้อเล่น แต่ก็ล้อเล่นกันรุนแรงเกินไปหรือเปล่า ทำไมแววตาถึงได้เย็นชาเช่นนั้นเล่า จวินหงพยายามจะยกมือขึ้นมาอีกครั้ง

    มันก็ทำได้แค่ในใจเมื่อกระบี่หมอกฟ้าได้ถูกดึงออก

    หากไม่มีฮุ่ยเหมยที่วิ่งมารับคงร่วงลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้างามเงยหน้ามองขึ้นไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและน้ำตา เปล่งเสียงไม่ออก อยากยกมือมาปาดน้ำตาออกไปเพื่อที่ได้เห็นใบหน้าของต้าต่านฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของเขาให้ชัดเจน และก่อนที่หูจะดับไปพร้อมกับดวงตา เสียงทุ้มต่ำของต้าต่านก็ได้เอ่ยพูดขึ้น ที่มันแทบจะช่วงชิงลมหายใจให้ตายได้ทันที

    มันไม่เจ็บเท่ากับวันที่เจ้า เอาหอกทองคำ’ แทงข้าให้ตายหรอกจวินหง”

    สิ้นเสียง มือขาวที่กำด้ามจับกระบี่แน่นแล้วสะบัดเลือดแม่ทัพสวรรค์ไปให้พ้นจากกระบี่ของตนก่อนที่จะเก็บเข้าฝักของมันพร้อมกับหันหลังให้ โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองชายผู้เป็นสามีของตนที่ตอนนี้พยายามจะเปล่งเสียงเพื่อบอกว่าไม่ใช่ มันไม่ใช่แบบนั้นและยังพยายามเค้นเรี่ยวแรงเพื่อยกมือยื่นเอาไปเพื่อที่จะดึงรั้งเอาไว้ขอแค่ปลายนิ้วก็ยังดี เสียงที่ดังในใจได้แต่ร้องขอว่าอย่าไป

    ได้โปรดเถอะฮูหยิน ได้โปรดเถอะ หันกลับมาหาข้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจ...... ข้าไม่ได้.....

    ท่านแม่ทัพ!”

    ฮุ่ยเหมยร้องเรียกเสียงหลงเมื่อแม่ทัพที่หมดสติในอ้อมแขนของตนพร้อมกับเลือดที่ยังไหลไม่หยุด พร้อมจ้องมองไปยังร่างของฮูหยินที่หยุดเคียงข้างชายที่กำลังยกยิ้มอย่างได้รับชัยชนะอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างเองก็ได้เห็นผ่านดวงตาของเหลียงเฟิงอี๋ที่ตามมา ตอนที่เห็นจวินหงโดนแทงก็ตกใจจนเกือบเอาตัวเองเข้าไปช่วย เพราะหากเขาทำเช่นนั้นครอบครัวของเขาก็อาจจะไม่ปลอดภัย และมีช่วงระยะหนึ่งที่ต้าต่านหันมามองเขา แม้ที่ผ่านมาจะตีกัน ทะเลาะกัน เหม็นหน้ากันเพียงใด ต้าต่านไม่ใช่ชายที่ทำเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ แล้วนี่มัน...

    ....อะไรกัน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นส่งจดหมายให้กับพระสนมเอกเพื่อทำการเข้ามาโจมตีสำนักเพ่ยก็เถอะ

    ต้าต่านที่หันหลังให้กับจวินหงมาหยุดยืนข้าง ๆ จวินหรงก่อนที่จะเอ่ยพูด โดยตอนนี้รอบข้างค่อย ๆ สงบลงเพราะเมื่อประมุขสำนักพ่ายแพ้ ก็รู้ผลแพ้ชนะไม่จำเป็นต้องสู้ต่อ จนเสียงปะทะของอาวุธหายไปทั้งหมด

    ไปกันได้หรือยัง ท่านพี่”

    จวินหรงได้ยินแบบนั้นก็หันมาหาชายใบหน้าหล่อที่ยืนข้างตนพร้อมกับรอยยิ้มที่ยิ้มมาให้กับเขา

    ได้สิ กลับกันเถอะฮูหยิน”

    สิ้นประโยคพูดคุย จวินหรงก็เก็บหอกเงินของตนเอง เพื่อที่ใช้แขนโอบเอวของต้าต่านให้เดินไปกับตนโดยมีเหลียงเฟิงอี๋เดินตามกลับไปด้วย ซึ่งน้องชายของเขานั้นถูกส่งไปดูสถานการ์ณที่อื่นเลยไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขนาดเขายังอึดอัดทั้ง ๆ ที่เขาช่วยให้สองสามีภรรยาที่แท้จริงกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ทำไมมันถึงได้ และยิ่งมองไปยังฮุ่ยเหมยที่ประคองร่างของจวินหงเอาไว้ก็รู้สึกแย่และเป็นห่วงจับใจ หากไม่มีเสียงของพระสนมเอกที่ดังขึ้นว่า

    ถอยทัพ ข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว”

     

    ................................................

    โห.....

    #อย่ามาเกี้ยวสามีข้า

    เจอกันได้ที่ทวิต @Miya0942 ผีเสื้อฟ้า @miyaji0942.bsky.social

     

    ไรท์ได้อ่านคอมเม้มนักอ่านที่บอกเล่าเรื่องราวของตนเองให้อ่าน

    บอกตามตรงเลยว่าไรท์ชอบอ่านนะคะ บางคอมเม้นที่บอกนิยายของไรท์คือความสุข ไรท์ดีใจมากเลยนะ ไม่คิดว่านิยายของไรท์จะเป็นความสุขให้กับใครบางคนได้แม้ตอนล่าสุดมันจะ................

    อยากตอบคอมเม้นมาก แต่ด้วยที่ไรท์ไม่เคยมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองอยากจะสื่อสารออกไปเลย กลัวตอบไปแล้วอาจจะดูไม่น่ารักไรงี้

    ไม่ว่าจะยังไง ไรท์เองก็ขอให้นักอ่านทุกท่านพบเจอกับสิ่งดี ๆ เจอกับความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน

    วันนี้เหนื่อยมั้ย กินอะไรหรือยัง ไรท์ขอเป็นกำลังใจให้แม้เราจะไม่เคยเห็นหน้ากันนะ

    รักนะคะ

     


      
    FAN
    TAS
    TIC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×