คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : ก่อนเปิดม่านแห่งการสูญเสีย
Trigger warning: มีการพูดถึงการฆ่าตัวตาย
วันต่อมา ณ ห้องอากาเนะ
“…ฉันควรแบนอาจารย์ไม่ให้มาซักสองสามวันดีมั้ย”
“สองสามวันไม่พอหรอกอากาเนะ แบนตลอดชีวิตไปเลยดีกว่า”
“เดี๋ยวๆๆๆ ผมยังไม่ได้บอกเธอเลยนะว่าผมมาทำอะไร” ช่วงสายของวันต่อมา โกะโจเสนอหน้ามาที่ห้องของอากาเนะ โดยเจ้าของห้องพอเห็นหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็รู้จุดประสงค์ที่มาทันที ทำให้เธอกับเรียวตะคุยกันว่าควรจะติดป้ายไม่ให้คนผมขาวมาที่ห้องดีรึเปล่า
“ไม่ต้องบอกก็รู้ จุดประสงค์เจ้ามันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก” ยมทูตหนุ่มแซะ ที่อีกฝ่ายมาที่นี่ก็เพราะจะมาหายูกิฮิเมะนี่แหละ “แต่ถ้าแบน เดี๋ยวแม่ก็มาด่าพวกข้าอีกเพราะงั้นวันนี้จะยอมให้เจอก็ได้”
“หือ? แปลกจัง ทำไมวันนี้นายถึงยอมล่ะ” อากาเนะถามด้วยความแปลกใจที่วันนี้ยมทูตหนุ่มไม่ได้มีท่าทีต่อต้านมากเท่าที่ควร
“เจ้าลืมไปแล้วเหรอ” เรียวตะว่าก่อนจะก้มตัวอยู่ในระดับเดียวกับเด็กสาวแล้วยกมือป้องปากกระซิบข้างหู อากาเนะได้ยินแล้วถึงกับตาโตทันที
“จ้อจี้?”
“เรื่องจริง”
“...เวลาผ่านไปเร็วจังแฮะ”
“เดี๋ยวนี้ติดนิสัยรู้แล้วไม่บอกกันแล้วเหรอครับอากาเนะ” คนผมขาวถาม
“แต่เรื่องบางเรื่องมันก็บอกกันไม่ได้ในทันทีนี่คะ มาหายูกิฮิเมะใช่มั้ยคะเดี๋ยวพาไปหาให้ค่ะ”
.
.
.
อาณาเขตป่าหิมะ
“มันจะมีซักวันมั้ยที่เข้ามาแล้วเจอยูกิฮิเมะเลยเนี่ย” พอโกะโจมายังอาณาเขตตามกำเนิดของยูกิฮิเมะด้วยความช่วยเหลือของอากาเนะแล้ว เขาก็ยังไม่เจอเจ้าของอาณาเขตนี้เหมือนอย่างทุกทีเลยรู้สึกน้อยใจ
“แต่รอบที่แล้วไม่ทันได้แกล้งให้ตกใจด้วยสิ เดี๋ยววันนี้ลองดูอีกรอบ-”
“ว่าไงจ๊ะพ่อคนหล่อ มาทำอะไรเหรอ~”
“!!?” แต่ทันใดนั้นเอง ทัตสึยะก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงจากด้านหลังทำเอาโกะโจต้องหันไปหาและถอยออกมาเพื่อความปลอดภัย
‘ไม่ใช่ยูกิฮิเมะ!? วิญญาณคำสาป? แต่ทำไมริคุกันถึงจับไม่ได้กันล่ะ-’
“เห~ ตาสวยดีนะ”
“!!?” แต่ระหว่างที่อาจารย์หนุ่มคิดในใจ อีกฝ่ายก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเขาในระยะประชิดเสียแล้ว แถมยังเอ่ยชมถึงดวงตาของเขาทั้งๆที่ยังปกปิดอยู่
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” โกะโจถามเสียงแข็ง
“อืมมมม…นั่นสินะ~” แต่ทัตสึยะก็หาได้กลัวไม่ “ข้าเป็นวิญญาณธรรมดาๆที่ใฝ่หาในความบันเทิงน่ะ”
‘ไม่บอกด้วยว่าเป็นคำสาปจริงๆรึเปล่า แต่แปลกมากที่ริคุกันมันบอกไม่ได้ว่าเจ้านี่เป็นตัวอะไร…’ โกะโจคิดแล้วคิดอีกก่อนจะถกผ้าปิดตาออกเพื่อเช็คดูอีกที ‘บอกแค่ว่ามีพลัง…แปลกชะมัด’
“นี่ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ สนใจมาเต้นรำด้วยกันซักหน่อยมั้ยจะได้หายเครียด”
“ห๊ะ?” แต่ประโยคของทัตสึยะทำเอาคนผมขาวที่กำลังคิดจนหน้าเครียดถึงกับร้องห๊ะ “เดี๋ยวๆ ผมคงฟังผิด-”
“ฟังไม่ผิดหรอกจ้า แต่ขอเลือกเพลงแปบนะ อืม…เอาเพลงไหนดี” ด้านทัตสึยะที่แอบไปสร้างเครื่องเล่นเพลงพร้อมแผ่นเสียงก็กำลังเลือกหาเพลงโดยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยซักนิด
“แต่ทั้งผมทั้งเธอเป็นผู้ชายทั้งคู่นะ”
“ข้าต้องสนด้วยเหรอ กิจกรรมเต้นรำมันไม่ได้จำกัดคู่เต้นไว้แค่ชายหญิงซักหน่อย-โอ๊ะ? เอาอันนี้ก็แล้วกัน” พอคนผมหน้าม้าปิดตาหาเพลงที่อยากได้เจอแล้วก็เอาแผ่นเสียงไปใส่ในเครื่องเล่นเพลงพร้อมเปิดเพลงไปด้วย
“น่าๆ~ แค่เต้นรำกระชับมิตรกันเท่านั้นเอง ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรมากกว่านั้น” ทัตสึยะพูดพร้อมยื่นมือออกมารอคำตอบจากอีกฝ่าย
“…มันไม่มีอะไรนอกจากแค่เต้นด้วยกันใช่มั้ย” โกะโจถามด้วยความระแวง
“ใช่ นอกจากเต้นรำด้วยกันแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มผมหน้าม้าปิดตาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ด้านคนฟังก็เงียบไปพักนึงก่อนจะยื่นมือมาจับมือของทัตสึยะ
“จะยอมทำตามที่ขอก็ได้ แต่เธอต้องบอกด้วยว่าตัวเองเป็นใครแบบลงรายละเอียดด้วย”
“จ้าๆ อยากรู้ขนาดนั้นเดี๋ยวบอกให้ก็ได้” แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเต้นรำท่ามกลางหิมะขาวโพลน โดยมีเพลงวอลซ์จากเครื่องเล่นเพลงมาเป็นเพลงประกอบการเต้นรำสุดแสนจะประหลาดในครั้งนี้ โดยทั้งคู่ต่างปล่อยตัวเต้นรำตามจังหวะเพลงและความรู้สึกของตัวเอง
‘ไม่มีท่าทีปฏิเสธ แปลกเกินไปแล้ว…’
“สงสัยอะไรก็ถามมาสิ” ทัตสึยะทัก
“เธอเป็นใครกันแน่ เป็นคำสาปหรือว่าไม่ใช่?”
“ก็บอกแล้วไงว่าข้าเป็นผู้ใฝ่หาความบันเทิง ไม่ใช่ว่าตาของเจ้ามันบอกให้อยู่แล้วเหรอว่าข้าเป็นใคร”
‘ถ้าตามปกติแล้วมันใช่ แต่ประเด็นคือครั้งนี้มันบอกไม่ได้ไง!’ โกะโจคิดด้วยความหัวเสียอยู่หน่อยๆ
“แล้วแกรู้จักวิญญาณคำสาปที่ชื่อยูกิฮิเมะรึเปล่า”
“หืม~” คนผมเงินร้องในลำคอ “อยากได้คำตอบแบบไหนเหรอ”
“เลิกลีลาแล้วตอบซักที”
“รู้จักสิ ก็ข้าคือต้นเหตุที่ทำให้ยูกิฮิเมะกลายเป็นวิญญาณคำสาปยังไงล่ะ”
“…ว่าไงนะ?” โกะโจที่อยู่ในจังหวะหมุนตัวได้ยินเข้าก็ตกใจ “แปลว่าแกเป็นวิญญาณคำสาป?”
“เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นวิญญาณคำสาปบ้างเหรอ” ทัตสึยะตอบให้อีกฝ่ายเกิดความไขว้เขว “เจ้าอย่าลืมสิ ในประวัติศาสตร์ของผู้ใช้คุณไสยมันมีบันทึกถึงหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ลูกของวิญญาณคำสาปจนนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าแผนภาพมรณะด้วยนี่?”
“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้นี่ว่าแกเป็นมนุษย์ซักหน่อย”
“เฮ้อ~ เจ้าจะคิดยังไงก็แล้วแต่เลยละกัน” คนผมเงินถอนหายใจระอา
“แล้วแกตายได้ยังไง”
“ก็โดนยูกิฮิเมะฆ่านี่แหละ”
“ห๊ะ?” โกะโจร้องตกใจ “ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย”
“เรื่องจริง แต่ข้าไม่ได้รู้สึกแค้นอะไรนางหรอกนะ” ชายผมเงินเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะอย่างน้อยหมอนั่นก็มาตามจับข้าไปทำอะไรแปลกๆไม่ได้แล้ว”
“หมอนั่น? มีคนหมายหัวแกด้วยเหรอ”
“ก็แค่เจ้าบ้าสติเฟื่องที่คิดสรรหาทำอะไรแปลกๆ ข้ารู้สึกไม่ไว้ใจก็เลยหาทางให้ตัวเองหายไปแต่จะให้ฆ่าตัวตายมันก็ขัดกับความบันเทิงของข้า สุดท้ายก็มาจบที่โดนยูกิฮิเมะเชือดทิ้งซะเลย”
“…พิลึกคน”
“ขอบคุณที่ชม~”
“มันมีตรงไหนที่เป็นคำชมกัน?” โกะโจแซะไปหนึ่งดอก แต่ทัตสึยะกลับยิ้มรับด้วยความยินดีจนเขาได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก
“แล้วยูกิฮิเมะรู้มั้ยว่าแกอยู่ในอาณาเขตของเธอ? แล้วแกไปทำยังไงให้อากาเนะพาแกมาอยู่ด้วยได้ก่อน”
“ยูกิฮิเมะรู้มั้ยอันนี้ข้าขอไม่ตอบ แต่เรื่องคุณหนูน้อยคนนั้นนางแค่พาข้ามาโดยไม่รู้ตัวเฉยๆ”
“แล้วทำไมถึงไม่ตอบเรื่องยูกิฮิเมะกันล่ะ” คนผมขาวถามเสียงแข็ง
“ถ้าคิดว่าข้าเป็นชู้นางนี่คิดผิดแล้ว นางเกลียดขี้หน้าข้าจะตายชัก แล้วก็ยังรักเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแถมไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย เจ้ามีดีอะไรถึงทำให้นางรักได้ล่ะเนี่ย” ทัตสึยะทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่โกะโจฟังแล้วกลับยกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ
“ดูก็รู้นี่ แค่เป็นผมเขาก็ยอมหมดแล้ว”
“โอ้โห~ มั่นหน้ามากพ่อคุณเอ๊ยยยยยย” ทัตสึยะได้ยินรู้สึกขนลุกขนพอง “มั่นหน้าพอๆกับไอ้อึ่งไข่ เผลอๆมากกว่าด้วยซ้ำ”
“ไอ้อึ่งไข่?”
“อ้อ หมายถึงเรียวเมน สุคุนะน่ะ”
“อุ๊บ!?” โกะโจได้ยินถึงกับหลุดขำแต่ก็กลั้นไว้ได้ทัน ปกติคำสาปส่วนใหญ่จะเกรงอกเกรงใจสุคุนะเพราะเป็นถึงราชาคำสาป แต่คู่เต้นรำของเขากลับกล้าเรียกราชาคำสาปตนนั้นว่าอึ่งไข่เนี่ยนะจนทำให้เขาเริ่มกลั้นขำไม่อยู่
“คึ!…อึ่ง…ข-ไข่…คึๆๆๆ!”
“ก็ร่างจริงของหมอนั่นมันเหมือนอึ่งไข่จริงๆนี่ แต่ดูท่าว่ามันโดนเส้นเจ้ามากเลยนะ”
“ก็แหม รายนั้นเป็นถึงราชาคำสาปที่ใครๆก็กลัวกันทั้งนั้น แต่แกกลับกล้าเรียกหมอนั่นว่าอึ่งไข่จะไม่ให้ขำได้ยังไง-แต่เดี๋ยวนะ แกรู้จักสุคุนะ?”
“แล้วมีใครที่ไม่รู้จักสุคุนะด้วยเหรอ?”
“มันก็มีนะ แล้วแกคิดว่าระหว่างแกกับสุคุนะถ้าสู้กันแล้วใครจะชนะ?”
“…ถ้าเรื่องกายภาพ ข้าสู้หมอนั่นไม่ได้” ทัตสึยะคิดไปพักนึงแล้วตอบกลับมา “แต่ข้าคิดว่าข้าน่าจะพองัดกับหมอนั่นได้อยู่…มั้ง?”
“ไม่มีความมั่นใจเลยนะ จริงๆไม่ต้องถึงมือสุคุนะก็ได้ แค่จัดการผมแกคงทำไม่ได้หรอก” คนผมขาวพูดเยาะเย้ยเพื่อให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจมากกว่าเดิม
“โฮ่ๆ~ :)” แต่ทว่าทัตสึยะกลับฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นมาพนันกับข้ามั้ยล่ะ ว่าเจ้าจะเอาสิ่งที่ข้าพูดต่อจากนี้ไปเล่าให้พวกเบื้องบนฟังได้รึเปล่า”
“อยากจะพูดอะไรกันแน่” คนผมขาวถามเสียงเครียด
“ข้าเป็นวิญญาณคำสาปอย่างที่เจ้าสงสัยมาตลอดนั่นแหละ ส่วนระดับถ้าสามารถพูดคุยเหมือนมนุษย์ได้แบบนี้ก็ไม่ต้องเดาแล้วนะว่าอยู่ระดับไหน เอาจริงๆมันก็บอกตั้งแต่เนตรริคุกันของเจ้าจับตัวตนของข้าไม่ได้แล้ว” พอคนเป็นอาจารย์ได้ยินก็เงียบไปทันทีเพราะคำตอบมีอยู่เพียงข้อเดียว
วิญญาณคำสาประดับพิเศษที่ไม่ได้ลงทะเบียนที่น่าจะมีชีวิตอยู่มายาวนานแล้วด้วย
แถมมีความสามารถที่ทำให้เนตรริคุกันของเขาไม่สามารถบอกได้ในทันทีว่าเป็นตัวอะไรและมีพลังแบบไหนอีก
“…ผมเอาไปบอกเจ้าพวกนั้นได้”
“แต่ข้าลงว่าเจ้าทำไม่ได้นะ เพราะยังไงเดี๋ยวเจ้าก็ลืมหมดแล้ว”
“แปลว่าจะสู้กันสินะ? ไหนบอกมันไม่มีอะไรนอกจากเต้นรำไง” ชายเจ้าของนัยน์ตาสีท้องฟ้ามองด้วยความสงสัย
“ข้าพูดตอนไหนว่าข้าจะสู้? คิดไปเองทั้งนั้น”
“แล้วเธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมจะลืมล่ะ เห็นแบบนี้ผมเองก็ความจำดีไม่แพ้ใครนะ”
“คำตอบมันก็ง่ายมาก” ทัตสึยะฉีกยิ้มออกมาด้วยความชั่วร้าย โดยโกะโจไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินและได้เห็นดวงตาที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้าของอีกฝ่าย
ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบไปในที่สุด
“—ุ ซาโตรุ”
“…”
“ตื่นซักทีนะ ไหงถึงได้มานอนสลบอยู่ตรงนี้กันล่ะ” ในตอนนั้นเอง ยูกิฮิเมะเห็นว่าโกะโจนอนสลบอยู่ก็เข้ามาเขย่าตัวเรียกแถมยังใช้กิ่งไม้เล็กๆที่ถืออยู่ในมือมาจิ้มให้ตื่นจนกระทั่งเขาก็ตื่นขึ้นมา
“…ยูกิฮิเมะ?”
“ยังจำข้าได้อยู่เหรอ” เธอถามด้วยความสงสัย แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มกริ่ม
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ เคยเจอกันตั้งหลายครั้งไม่พอแถมล่าสุดเพิ่งได้จูบกันนี่เอง”
“!? ซาโตรุ!!” คำสาปสาวได้ยินก็หน้าแดงแล้วร้องแหวใส่ “เอาความห่วงใยของข้าคืนมาเลยนะ!”
“ตายแล้ว~ เป็นห่วงกันด้วย ดีใจจังเลย~” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน “แต่เสียดายอยู่อย่างเดียว เธอน่าจะจูบปลุกผมเหมือนในนิทานเจ้าหญิงนิทรานะ”
“ข้าไม่หน้าด้านพอที่จะกล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก” ยูกิฮิเมะทำหน้ามุ่ย “แล้วทำไมถึงได้มานอนสลบอยู่ตรงนี้ ตอบมาดีๆด้วย”
“…” คนผมขาวกลับชะงักขึ้นมาดื้อๆ เขาเอามือวางบนหัวตัวเองราวกับพยายามนึกบางอย่าง “แปลกจัง ปกติผมก็มาที่นี่แล้วไม่มีปัญหาอะไรแต่ทำไมรอบนี้ถึงได้สลบอยู่ล่ะ”
“…หัวไม่ได้โดนอะไรฟาดมาใช่มั้ย” คำสาปสาวชะงักไปก่อนจะเค้นถามอีกที
“ไม่นะ ไม่ได้รู้สึกเจ็บหัวเลย”
“…” ยูกิฮิเมะกอดอกทำหน้าเครียด แต่อีกฝ่ายกลับไม่อยากให้เธอเครียดเลยหอมแก้มเธอซะเลย
“!? นี่!-”
“แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“…แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร?” หญิงสาวเอ่ยด้วยความกังวลแต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
“อือฮึ”
“แล้วมีเรื่องอะไรถึงมาที่นี่?”
“ก็แค่อยากมา หรือเธอหวังให้ผมตอบว่าคิดถึงเลยมาหา?”
“?! ข้าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซักหน่อย!!” ยูกิฮิเมะรอบสองแต่ใบหน้ากลับแดงเถือก
“เหรอออออ ไม่ได้คิดจริงๆเหรออออ~” คนผมขาวพูดหยอกพลางยื่นหน้าไปใกล้ๆ
“ซาโตรุ!!”
“ฮะๆๆๆ! ไม่แกล้งแล้วๆ” ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความชอบใจก่อนจะกอดคอหญิงสาวเป็นการง้อ “โอ๋ๆๆ ไม่งอนนะครับ”
“เฮ้อ…ข้าล่ะเหนื่อยกับเจ้าจริงๆ”
.
.
.
“...”
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุยกันเสร็จแล้วก็กรุณากลับด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ ผมเพิ่งกลับมาก็ไล่กันงี้เลยเหรอ” ตอนนี้โกะโจก็ได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว อากาเนะก็พูดต้อนรับกลับพร้อมทั้งไล่ให้ออกจากห้องทันทีโดยคนที่เพิ่งกลับมาก็ช็อกกันถ้วนหน้า
“พวกข้ายอมให้เจ้ามาเจอแม่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ขอบคุณซะสิ” เรียวตะเท้าสะเอวเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว
“เรื่องอะไรต้องขอบคุณเหรอ~”
“ไอ้เวรนี่?! ขอตบซักทีเถอะ” ยมทูตหนุ่มง้างมือเตรียมตบหน้าคนผมขาวแต่ก็โดนอากาเนะห้ามไว้ก่อน
“หยุดๆๆๆ จะไปตีกันที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ห้องฉันโว้ยยย!”
“อ่ะๆๆๆ งั้นผมกลับก็ได้เผื่อคนแถวนี้จะได้หัวเย็นลง” โกะโจลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมออกจากห้อง
“อาจารย์โกะโจ” แต่ทว่าอากาเนะก็เรียกทักขึ้นมาก่อน
“ครับ?”
“...พรุ่งนี้ที่ชิบุย่า อาจารย์ต้องตั้งสติดีๆนะคะ”
“หือ? ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ” โกะโจถาม
“ลืมแล้วเหรอว่าพวกข้าเห็นอนาคตได้” เรียวตะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้คนผมขาวเข้าใจได้ทันที
“อย่างนี้นี่เอง…ดูเหมือนพวกเธอพยายามจะช่วยผมแต่ก็บอกอะไรเยอะไม่ได้สินะ?”
“แล้วแต่จะคิดเลยค่ะ”
“คร้าบๆ ถ้าได้ไปแล้วจะพยายามตั้งสติตามที่เธอว่านะ แล้วเจอกันนะครับ” แล้วโกะโจก็ออกจากห้องไป ด้านคู่ทวดเหลนตระกูลฟุบูกิเห็นว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ดีนะที่หมอนั่นมันฉลาดพอจะจับจุดที่พวกเราพยายามจะสื่อออกมา”
“แต่ถามว่ามันช่วยเปลี่ยนอนาคตให้อาจารย์มั้ย ก็ไม่อยู่ดี”
“ทำใจเถอะ เราช่วยใบ้หมอนั่นได้มากสุดเท่านี้แล้ว”
“เฮ้อ…” อากาเนะถอนหายใจอีกรอบก่อนจะหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วเข้าพิมพ์บางอย่างลงไป
“บอกเจ้าพวกนั้นเรื่องงานวันพรุ่งนี้เหรอ” เรียวตะถาม
“อืม จบงานนี้เมื่อไหร่พวกเราได้กลายเป็นตัวร้ายในสายตาพวกเบื้องบนแน่นอน”
“และโดนหมายหัวตึงๆกันยกตระกูล ข้าเตรียมปวดหัวรอเลย”
.
.
.
“เอาความห่วงใยของข้าคืนมาเลยนะ หัวไม่ได้โดนอะไรฟาดมาใช่มั้ย~” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่อาณาเขตป่าหิมะของยูกิฮิเมะ ทัตสึยะก็มาหาเจ้าของอาณาเขตพร้อมทำเสียงล้อเลียนบทสนทนาของเธอกับโกะโจจนคนฟังทำหน้าเบื่อหน่าย
“แหมๆๆๆ ตอแหลนะเรา” แถมชายหนุ่มยังเน้นย้ำตรงคำว่าตอแหลใส่จนเธอต้องหันมามองแรงใส่
“ถ้าบอกว่าข้าตอแหล เจ้าก็เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของความตอแหลแล้วเถอะ”
“แค่ทำหมอนั่นปากโป้งเรื่องข้าไม่ได้ก็เท่านั้นเอง แต่ข้าก็ต้องกลบกลิ่นอายตัวเองไม่ให้เนตรริคุกันรับรู้ตัวตนนี่แอบเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันนะ” ทัตสึยะบ่น “ทีเจ้าเถอะ รู้นะว่าแอบดูที่พวกข้าเต้นกันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็ที่นี่มันเป็นที่ของข้า ข้าจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของข้า” ยูกิฮิเมะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “อีกอย่าง ซาโตรุจะไปปากโป้งได้ยังไงในเมื่อเจ้าทำให้เขาลืมเรื่องของเจ้าเองเนี่ย”
“แต่นี่ถือว่าข้าใจดีกับหมอนั่นแบบมากถึงมากที่สุดแล้วนะ เพราะหมอนั่นยังทำให้ข้ารู้สึกสนุกได้อยู่”
“เจ้าเคยเจออะไรแล้วรู้สึกเบื่อด้วยรึไง” ยูกิฮิเมะแซะ เพราะเท่าที่เธอรู้จักกับเขาเธอไม่เคยเห็นทัตสึยะเจออะไรแล้วบอกว่าเบื่อเลย
“มีสิ ก็ไอ้อึ่งไข่สุคุนะไง นอกจากความเก่งในทุกๆด้านของมันแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่ข้าเห็นแล้วรู้สึกสนใจเลยซักนิด ถ้าให้เทียบกับโกะโจ ซาโตรุแล้ว ข้าชอบโกะโจมากกว่า”
‘…ถ้าให้เทียบระดับพละกำลัง สุคุนะคือเหนือกว่าเจ้าหมอนี่แบบเห็นได้ชัด’ ยูกิฮิเมะคิดในใจ ‘แต่จะตามเหลี่ยมทัตสึยะทันมั้ยก็อีกเรื่อง เพราะขนาดซาโตรุยังไม่รอดเลย’
“…คิดอะไรอยู่เหรอ ท่านหญิงที่รัก”
“เสือก”
“โอ้โหเจ็บจี๊ด~!” ชายผมเงินเอามือทาบอกทำท่าเหมือนปวดใจที่โดนด่าทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้สึกเจ็บซักนิด
“แต่วันนี้แค่ได้คุยกับหมอนั่นข้าก็พอใจละ ไปล่ะนะบ๊ายบาย~” แล้วทัตสึยะก็หายตัวปล่อยให้ยูกิฮิเมะอยู่คนเดียว
“เฮ้อ~ รู้สึกผิดกับซาโตรุเลย…” หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด เพราะนอกจากจะคอยดูการเต้นรำสองหนุ่มอยู่ห่างๆแล้ว เธอเองก็รู้สาเหตุที่ทำไมโกะโจถึงได้สลบไปอีก
แถมภาพของสองคนนั้นที่เต้นรำอยู่ด้วยกันนั้น
มันทำให้เธอรู้สึกมีความสุขแปลกๆขึ้นมาด้วย
“…แต่ดูเหมือนอนาคตที่สองคนนั้นเห็นมันจะเกิดในวันพรุ่งนี้แล้วสินะ” คำสาปสาวเอ่ยพึมพำ เพราะไม่ใช่แค่อากาเนะกับเรียวตะที่รู้ชะตากรรมของโกะโจกันอยู่สองคน เธอเองก็รับรู้ด้วยเหมือนกันนั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เธอได้พูดบางอย่างทิ้งท้ายให้กับเขาก่อนที่จะกลับไป
‘…นี่ซาโตรุ’
‘หือ? มีอะไรเหรอ’
‘บางทีสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไปก็ได้นะ’
“…” เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะภาวนาถึงคนผมขาวว่าขอให้วันนั้นอย่าให้เกิดเรื่องอะไรมากมายกับเขาเลย
“อย่าตายนะ ซาโตรุ”
และเหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มันก็ได้กลายเป็นวันแห่งสูญเสียครั้งใหญ่ที่ใครๆต่างไม่มีวันลืม
31 ตุลาคม ปี 2018
อุบัติการณ์ชิบุย่า เปิดฉากแล้ว
.
.
.
Talkๆ desu: ตอนนี้คือไม่มีอะไรมากนอกจากเห็นผู้ชายสองคนเต้นกันและมีสาววายท่านนึงที่เห็นแล้วฟิน55555555 เรฟท่าเต้นกับเพลงเราอิมเมจมาจากคลิปนี้ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=-5NK0ki86Zw
เป็นตอนชิลล์ๆ(?) ก่อนไปหนักหลังจากนี้เพราะตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไป
จะเข้าอาร์คแห่งความชิ*หายอย่าง shibuya incident หรืออุบัติการณ์ชิบุย่า แล้วค่ะ
ถึงจะบอกว่าตอนนี้เป็นตอนที่ไม่มีอะไรแต่ก็แอบบอกอะไรเราอยู่นะ อย่างอากาเนะมีแผนแต่ไม่บอกใคร รู้กันแค่2-3คน(?) แล้วก็ทัตสึยะบอกว่าตัวเองธรรมดาแต่ทำโกะโจลืมเรื่องตัวเองได้นี่ก็เอาเรื่องอยู่นะ แถมปากแซ่บกล้าเรียกสุคุนะว่าอึ่งไข่อีก
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ
เจอกันตอนหน้า “U R MY SPECIAL” ค่าาาาา
ความคิดเห็น