ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #49 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 5

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 59


     

     

    ผ่านพ้นคืนที่สองไป หน้าตาของตะวันนั้นโทรมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอเรียกได้เลยว่า อดนอนอย่างเต็มรูปแบบ เพราะตั้งแต่ตื่นมาเมื่อวาน เธอก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากลองปิ้งหน่อไม้ รวมถึงลองหาอะไรแหลมๆพอที่จะเป็นเข็มได้เพื่อที่จะได้ลองเย็บแผล ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มี แน่นอนว่าปลาก็จับไม่ได้

    ใช่ เธอหิว!

    หน่อไม้ที่เธอปิ้งนั้นมีแต่ไหม้กับไม่สุก! และเธออยากกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน่อไม้!

    “เมื่อคืนไอ้เหวินเจี้ยนก็ดันไข้ขึ้นสูงกว่าวันก่อน วันนั้นยังพอได้งีบแต่เมื่อคืนไม่ได้งีบ เช็ดตัวให้แม่งจนนิ้วจะเปื่อยลอกอยู่รอมร่อกว่าไข้จะลด เดี๋ยวแม่ก็จับเอาน้ำแม่น้ำที่มีปลาเล็กปลาน้อยกรอกเข้าปากแบบที่เธอโดนตอนครั้งแรกที่มาให้รู้แล้วรู้รอด! บ้าชิบ!

    ริมฝีปากเล็กๆยังคงบ่นไม่ขาดสายขณะที่มือหนึ่งถือกริชไว้กรีดต้นไม้ตามทาง ดวงตาหรี่ลงพยายามสอดส่องหาต้นไม้หรือผลไม้อะไรก็ได้ที่พอจะดูว่ากินได้ และวันนี้เธอออกมาจากทางเดิมที่ไปเพียงหนองน้ำและป่าไผ่

    “ผลไม้ก็ยังอร่อยกว่าหน่อไม้ล่ะวะ.....” เธอก้มลงมองมือตัวเองที่เมื่อวานนั่งปอกหน่อไม้ มันมีอาการระคายและเป็นแผลถลอกเต็มมือเต็มแขน แต่เมื่อเช้าก็ล้างน้ำไปอาการระคายก็ดีขึ้นบ้าง ตะวันมองซ้ายมองขวาและเดินอย่างเชื่องช้าเพราะต้องการหาอะไรก็ตามที่มันกินได้จริงๆ

    “จริงๆเรายังเดินรอบแม่น้ำไม่ทั่วเลย... แม่น้ำมันน่าจะมีทางเชื่อม และของกินน่าจะเยอะเพราะอุดมสมบูรณ์นะ แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยลอง”

    เธอเจอเห็ด ที่ไม่รู้ว่าเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษแต่เธอเก็บมาเท่าที่เห็น เธอถือชายเสื้อให้ออกมาคล้ายถุงก่อนจะเดินกลับเมื่อได้เห็ดเต็ม และเมื่อเดินกลับมาก็พบว่าเหวินเจี้ยนนั้นยังหลับอยู่ เธอตรงไปวัดไข้ เช็ดแผล ก่อนจะเปลี่ยนผ้าบนหน้าผาก และเธอเดินกลับมาสำรวจรอบๆหนองน้ำอีกครั้งโดยที่ก่อนมาไม่ลืมจะเติมไม้ให้กองไฟ และดูเหมือนสุดท้ายโชคก็เข้าข้างเธอ

    “แจ๊กพ็อตแตก นั่นไงต้นมะพร้าว!!

    เธอวิ่งปรี่ไปยืนอยู่หน้าต้นสูงที่อยู่ริมหนองน้ำไม่ไกลจากฝั่งที่เธอมักจะไปตักน้ำ บอกแล้วไงมันต้องมีเพราะริมแม่น้ำดินต้องอุดมสมบูรณ์! ตะวันยืนท้าวสะเอวมองความสูง เธอลองหยิบหินแถวๆนั้นมาก่อนจะโยนขึ้นไป ปรากฏว่ามันไปคนละทางกันมะพร้าวที่อยู่บนต้นเลยด้วยซ้ำ

    “บุญมีแต่กรรมมาบังชัดๆ..... ขนาดเล่นงานวัดใกล้ๆฉันยังปาไม่เคยโดนเลยเถอะ...” ตะวันจ้องไปยังมะพร้าวบนต้นอย่างคิดไม่ตก “เอาไงดีวะ ต่อให้โยนแม่นบางทีมะพร้าวอาจจะไม่ร่วงก็ได้”

    เธอหันซ้ายหันขวา ลองจับๆที่ลำต้นของมัน ขนาดที่ไม่ใหญ่มากทำให้เธอก็กอดได้มิด ตอนนี้ในหัวเธอกำลังมีอยู่สองคำ

    เอาไงดีตะวัน... ปีนไม่ปีน?

    ใช้เวลาเพียงสามวินาที เธอก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง พลางยิ้มเหี้ยมออกมา “เอาซี่... อย่ามาดูถูก... ไม่เคยปีนต้นไม้ก็จริงแต่ฉันไวเป็นลิงนะเว้ย เพราะงั้นก็ต้องปีนได้ดิ!

    เธอตัดสินใจที่จะสวมรองเท้าเมื่อไม่ให้อะไรบาด ดีจริงๆที่รองเท้าที่เธอใส่อยู่นั้นเป็นรองเท้าผ้าใบ และกางเกงขาสั้นเหนือเข่าประมาณสองฝ่ามือ เธอลองยึดให้มั่นก่อนจะกอดต้นมะพร้าวและค่อยๆกระดึ๊บขึ้นไป

    เอาวะ! น่าจะรอด! ไม่ลองไม่รู้เพราะงั้นมาสักตั้ง!!

     

     

    “ท่านแม่ทัพหลี่” นายทหารคนหนึ่งชี้ไปที่เหนือป่าจุดหนึ่งหลังจากที่ขี่ม้าลัดเลาะมาริมหนองน้ำ “นั่นมัน.. ควันรึเปล่าขอรับ”

    “ใช่” ผู้นำตอบเสียงเรียบขณะหรี่ตาลง “มีคนอยู่กลางป่า”

    “อาจจะเป็นฝ่าบาทก็ได้นะขอรับ”

    “ลองไปดู” แม่ทัพหลี่เลื่อนมือไปยังกระบี่ที่เอว “ระวังตัวด้วย อาจจะเป็นผู้ใดที่อยู่กลางป่าที่ไม่ประสงค์ดี เตรียมตัวให้พร้อม”

    “ขอรับ!

    ด้วยระยะทางที่ไม่ห่างกันมาก ไม่ช้ากองทัพขนาดย่อยก็มาถึงริมหนองน้ำบริเวณกองไฟ ดวงตาคมดุจอินทรีย์ของแม่ทัพหลี่คมกริบขึ้นมาเมื่อเห็นรอยเท้าบริเวณหนองน้ำ

    ที่สำคัญ ยังดูใหม่เสียด้วย

    แต่ชายร่างสูงกำยำกลับชักม้าไปทางที่ควันไฟมา เพียงชั่วอึดใจก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนราบอยู่

    “ฝ่าบาท!!

    แม่ทัพใหญ่ลงจากหลังอาชาพร้อมกับตรงไปที่ร่างนั้น แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหน้าอกของร่างตรงหน้านั้นกระเพื่อมอยู่ แต่จากที่โล่งอกก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อท่อนบนนั้นมีเศษผ้าสองผืนปกคลุมไว้ และเมื่อเปิดออกก็เห็นบาดแผลที่หน้าท้องที่ไม่มีรอยเลือดแม้แผลจะยังสด สิ่งที่รองรับใต้ร่างคือหญ้าแห้งที่เอามากองสุมๆกัน ยังไม่นับไม้ไผ่แก่อ่อนที่กองเรียงกันเป็นตั้ง มีไม้ไผ่ถูกตัดที่วางอยู่ข้างๆคนที่นอนอยู่ และเมื่อลองเทออกมันคือน้ำเปล่า อีกทั้งยังมีซากหน่อไม้ที่กองอยู่มุมหนึ่ง ชุดเกราะแตก รวมถึงเห็ดที่เหมือนโยนโครมทิ้งไว้เฉยๆ ที่ดูดีที่สุดคงเป็นกองไฟที่ไฟยังคงลุก

    เหมือนมีคำถามปรากฏอยู่ในใจ ดวงตาสีเข้มคมดั่งพญาอินทรีย์มองเป็นคำถามไปยังชายตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจเรียกเบาๆ “ฝ่าบาท”

    ไร้เสียงตอบรับ มือหนาเอื้อมไปแตะที่ไหล่กว้างเบาๆก็พบกับความร้อนที่สูงกว่าระดับปกติเล็กน้อย และยังมีผ้าสีเข้ม ไม่สิ.. ควรเรียกว่าเศษผ้ามากกว่า เมื่อลองคลี่ออกมามันคือผ้าที่ถูกตัดหยาบๆไม่เป็นระเบียบ คำถามยิ่งปรากฏขึ้นมากมายและคนที่จะตอบได้คือคนที่นอนอยู่ตรงนี้ คราวนี้แม่ทัพหลี่ลองเขย่าแรงขึ้นเล็กน้อย

    “....เสี่ยวหยาง?”

    ชื่อที่ไม่คุ้นหูนั่นที่ถูกพึมพำออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั่นทำให้บุคคลเดียวที่ได้ยินยิ่งขมวดคิ้ว เปลือกตาของคนป่วยกะพริบเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงเมื่อเห็นว่าใครที่เป็นคนปลุก “แม่ทัพหลี่งั้นรึ?”

    “พะยะค่ะ กระหม่อมหลี่ ไป๋ซาน” เหวินเจี้ยนไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะหันไปมองรอบๆ ก่อนจะถาม

    “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

    “กระหม่อมออกตามหาฝ่าบาทพะยะค่ะ”

    ราชนิกูลหนุ่มพยักหน้าพอใจกับคำเรียกนั่นขณะที่สายตายังคงสอดส่องโดยรอบ และนั่นอยู่ในสายตาของแม่ทัพหลี่ตลอด ดวงตาคมกริบมองไปยังสภาพโดยรอบก่อนจะถาม “ฝ่าบาทไม่ได้จัดการพวกนี้ด้วยตัวพระองค์เองใช่ไหมพะยะค่ะ?”

    “ท่านแม่ทัพหลี่! กริชขององค์ชายหายไปขอรับ!

    “อะไรนะ!” แม่ทัพหลี่เลื่อนมือไปที่กระบี่ข้างเอว แต่กลับถูกหยุดไว้โดยเจ้าของกริช

    “ไม่เป็นไร”

    “แต่กริชเล่มนั้นสำคัญมากนะพะยะค่ะ!

    “ถ้าไม่มีกริชเล่มนั้น ข้าคงไม่ได้หายใจอยู่แบบนี้”

    “....หมายความว่าเช่นไรพะยะค่ะ” แม่ทัพหลี่หรี่ตามองอย่างจับผิด “ผู้ใดเป็นคนช่วยชีวิตองค์ชายไว้”

    เหวินเจี้ยนไม่ตอบขณะมองไปรอบๆ สิ่งที่เพิ่มมาคงเป็นเห็ดที่วางกองๆไว้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขำในใจ แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่แววตามันบอก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมอย่างแม่ทัพหลี่ย่อมไม่พลาด คนยศต่ำกว่าถามย้ำอีกครั้ง “คนผู้นั้นอยู่ที่ใดพะยะค่ะ?”

    “...ข้าไม่รู้” นั่นคือคำตอบตามสัตย์จริง เพราะน้อยครั้งที่เขาตื่นมาแล้วจะเห็นเสี่ยวหยางอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ตื่นเพราะถูกปลุกหรือตอนปฐมพยาบาลแล้วเจ็บจนตื่น เขาจะแทบไม่เห็นเธอเลย

    “คนผู้นั้น มีนามว่าเสี่ยวหยางรึพะยะค่ะ?”

    สีหน้าแปลกใจของราชนิกูลหนุ่มทำให้คนเป็นแม่ทัพถอนหายใจ ก่อนจะเฉลย “พระองค์เอ่ยเรียกนามนั้นตอนกระหม่อมปลุกพะยะค่ะ”

    “...สถานการณ์ในวังตอนนี้เป็นเช่นไร?”

    การที่เฉไปอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยนั้นทำให้แม่ทัพหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ไม่ค่อยดีพะยะค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้”

    “แล้วเสด็จพ่อล่ะ?”

    สุรเสียงที่สั่นขึ้นมาเล็กน้อยทำให้สีหน้าของแม่ทัพใหญ่วัยกลางคนฉายแววเอ็นดูขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามสัตย์จริง “ทรุดลงเล็กน้อย แต่ถ้าองค์ชายกลับไป กระหม่อมมั่นใจว่าฮ่องเต้จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”

    “งั้นรีบกลับกันเถอะ” เหวินเจี้ยนพยายามยันตัวขึ้นยืน ซึ่งมันลำบากเล็กน้อยจนแม่ทัพหลี่ต้องช่วยประคองแต่ได้รับการปฏิเสธ

    “องค์ชายรอสักครู่พะยะค่ะ กระหม่อมให้คนกลับวังไปเตรียมรถม้า พระองค์บาดเจ็บทรงม้าลำบาก” ดวงตาคมกริบหรี่ลงก่อนจะว่าต่อ “อีกประการ กระหม่อมอยากเห็นหน้าของเสี่ยวหยางพะยะค่ะ”

    นั่นแหละประเด็นใหญ่ เหวินเจี้ยนลอบถอนหายใจ เขาไม่อยากให้เสี่ยวหยางกับแม่ทัพหลี่คนนี้เจอกัน ยุคสมัยตอนนี้สำหรับผู้คนที่รู้ภาษาอื่นจะไม่เป็นที่ยอมรับเพราะการกดขี่จากมองโกลในสมัยก่อน แม้ตอนแรกเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นจากค่านิยม แต่ในเมื่อ คนที่รู้ภาษาอื่นที่ว่าตอนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา และเขามั่นใจว่าเสี่ยวหยางไม่ใช่แค่รู้ภาษาอื่น แต่เป็น คนชาติอื่นซึ่งไม่น่าใช่มองโกล และมันจะยิ่งยุ่งยากถ้าให้เสี่ยวหยางมาเจอกับแม่ทัพหลี่ผู้เคร่งครัด เสี่ยวหยางมีสิทธิ์ที่จะถึงขั้นถูกประหารได้ต่อให้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาก็ตาม

    เหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อนายทหารคนหนึ่งควบม้ามาก่อนจะถวายสาส์นให้แก่แม่ทัพหลี่ ชายวัยกลางคนรับมาก่อนจะมีสีหน้าเคร่งเครียดและสั่งทันที

    “เตรียมกลับวังหลวงเดี๋ยวนี้ และคุ้มกันองค์ชายไว้ด้วยชีวิตพวกเจ้า!

    “ขอรับ!

    กริชเล่มนั้น ข้าขอคงต้องขอฝากไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจอกันอีก

    ระวังตัวด้วย เสี่ยวหยาง

    ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะเอาตัวรอดผ่านจนมาเจอกับข้าได้

     

    อีกด้านหนึ่ง....

    ตะคริวจะกินแขนกูแล้วโว้ยยย!! ทำไมมันปีนยากงี้วะ!!!

    ตะวันที่กระดึ๊บมาจนถึงกลางต้นรู้สึกขาสั่นในการปีน มันใช้เวลานานกว่าและยากกว่าที่คิดหลายเท่า

    บ้าชิบ! ค้างเติ่งตรงกลางแบบนี้เอาไงดีวะเนี่ย!!

    “ปีนต่อสิยัยตะวัน.... เพื่อน้ำมะพร้าว!!” เธอกัดฟันกรอดก่อนจะพยายามปีนขึ้นไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เธอติดแหง็กอยู่กับต้นมะพร้าว แต่เธอก็ยังพยายามที่จะลองปีนต่อ

    อย่ามองข้างล่างนะตะวัน... อย่ามองข้างล่าง.....

    ไม่ใช่ว่ากลัวความสูง แต่เธอไม่อยากคิดสภาพที่ว่าเธอปีนขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวและกริช ซึ่งถ้าตกลงมามันคงไม่เลี้ยงไม่โต เธอว่าเธอคงตายเลย

    “เอาไงดี... ปีนลง? แต่มาถึงนี่แล้ว...”

    ฟิ้ว!!!

    “เหี้EEEEEE!!!!

    จู่ๆก็มีอะไรวิ่งผ่านหน้าจนเธอตกใจแทบตกต้นไม้ มือและขากอดหนึบที่ต้นมะพร้าวอย่างใจหายก่อนจะมองลงไปข้างล่าง

    ... นั่นใครวะ? ใส่ชุดดำๆปิดหน้ามิดชิดขนาดนั้น นินจารึไง?

    ฟิ้ว!!

    “นรกแตกเหอะ! นี่จะให้ฉันตกไปหัวแบะรึไงหา!!!” ตะวันด่าทันทีเมื่อคนด้านล่างประมาณสามสี่คนยิงธนูขึ้นมา ก่อนที่คนที่อยู่หน้าสุดจะตะโกนอะไรออกมา

    อย่างกับว่าเธอฟังรู้เรื่องอย่างนั้นแหละ!!

    “ฉันจะเอาน้ำมะพร้าวโว้ย! พวกแกปล่อยลิงอย่างฉันไปได้ไหมหา!! แม่งอยู่บนต้นไม้แบบนี้เห็นได้ไงวะ”

    ตะวันหรี่ตามองเพราะมองไม่ชัด แต่เหมือนจะเห็นมีคนมาใหม่คนหนึ่งขี่ม้ามา พวกนั้นคุยอะไรกันสักอย่างก่อนจะชี้มาที่เธอ ซึ่งคนที่มาใหม่แหงนหน้ามองตามก่อนจะลงจากหลังม้า ก่อนที่จะหยิบธนูขึ้นมาเช่นกัน

    สาบานได้ว่าเธอมีความรู้สึกว่าไอ้หมอนั่นมันจะยิงแม่นที่สุดในบรรดาพวกที่อยู่ข้างล่างนั่น!!

    บ้าชิบ! ถ้าอยู่บนพื้นอย่าหวังว่าพวกนั้นจะมีโอกาสมาเล็งธนูใส่เธอแบบนี้!!

    ฉึก!!

    แม่งเอ๊ยมันแม่นจริงๆด้วย!!

    เมื่อครู่นั้นมีลูกธนูปักตรงกลางระหว่างแขนและขาของเธอที่กอดต้นมะพร้าวไว้อยู่ จะว่าฟลุกก็ไม่น่าจะใช่ ชูนิ้วกลางใส่ดีไหมเนี่ย!

    เฟี้ยว!!

    “โอ๊ย!” ตะวันถึงกับซี้ดปากเมื่อคมธนูเฉี่ยวเข้าที่แขนจนมีเลือดไหล เธอจิ๊ปากเมื่อเห็นว่าตัวเองไร้ทางหนีเพราะอยู่บนต้นไม้ และแถวนี้ก็ไม่มีที่อะไรให้เธอกระโดดแล้วจะรองรับได้เลย

    หรือว่ามี!!

    ตะวันตาเป็นประกายเมื่อเห็นต้นไม้อยู่ทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลังที่เตี้ยกว่าบริเวณที่เธออยู่เล็กน้อย ต้นมะพร้าวนี้อยู่ริมหนองน้ำ และพวกนั้นก็ยืนอยู่ริมหนอง แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังเธอนี่เป็นอาณาบริเวณป่า

    เอาวะ วัดดวงกันอีกสักรอบ!

    คนที่อยู่ง้างคันธนูอยู่เบื้องล่างเห็นคนด้านบนมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหันมามองที่ตน คิ้วเรียวขมวดเมื่อเห็นรอยยิ้มกับแววตาที่ท้าทายอย่างน่าโมโหที่ไม่รู้สถานการณ์ตัวเอง แล้วดวงตาคมเรียวที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าก็ต้องเบิกกว้างเมื่อคนที่อยู่บนต้นมะพร้าวนั้นกระโดดลงมา

    “ความสูงระดับนั้นนั่นจะฆ่าตัวตายรึไง!” คนอื่นเองก็ไม่เข้าใจ เขาลดธนูในมือลงก่อนจะเก็บสะพายไว้และวิ่งไปทางที่ร่างนั้นกระโดดลงไปทันที

    นั่นไม่ใช่สายตาของคนที่จะฆ่าตัวตาย

    อีกอย่าง ทางที่กระโดดนั้นมันต้นไม้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะบาดเจ็บสาหัส

    แต่เมื่อมาถึงที่ๆมั่นใจว่าน่าจะใช่ กลับพบเพียงใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นมากผิดปกติ และมีบางส่วนที่ยังร่วงหล่นอยู่ และนั่นทำให้มีบางคนสบถและอุทานออกมา แต่คนที่อยู่หน้าสุดที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลับสั่ง

    “หาให้ทั่ว! ตกลงมาแบบนั้นต้องมีบาดเจ็บ! ไม่น่าจะไปไหนได้ไกล!

    ปีนขึ้นไปบนต้นมะพร้าว แถมยังกระโดดลงมาและหนีไปได้ที่ความสูงระดับนั้น

    คนๆนั้นเป็นใครกัน! แต่อย่าคิดว่าจะหนีไปได้!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×