ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Mpreg] อย่ามาเกี้ยวสามีข้า [Yaoi + เมะสวย]

    ลำดับตอนที่ #48 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๔๖

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 67


    บทที่ ๔๖

     

     

    หยางเฉินเหวยประมุขแห่งสำนักเถียนได้ยินคำล่ำลือถึงความเก่งกาจของรองแม่ทัพปีศาจน้ำแข็งหรือถังต้าฟ่านมามากพอสมควร ขนาดที่ว่าเก่งกว่าแม่ทัพเป็นไหน ๆ แต่ด้วยที่เกิดมาให้ตระกูลรองจากแม่ทัพเลยทำให้ไม่สามารถขึ้นไปยังตำแหน่งนั้นได้ ว่ากันว่าทหารในวังส่วนใหญ่จะเชื่อฟังและเคารพรองแม่ทัพถังมากกว่าครึ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้มีการเกณฑ์ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ากองทัพทหาร หลอกล่อด้วยจำนวนเงิน มานึกแล้วก็สงสาร ชาวบ้านที่ไม่มีทักษะการต่อสู้ต้องลงสนามรบเช่นนี้เพียงเพราะต้องการเงินไปจุนเจือครอบครัวแม้จะแลกกับการที่เอาชีวิตไปตายก็ตาม

    แต่จดหมายที่ส่งมาให้กับเขานั้นจะสามารถลดตรงนี้ลงไปได้หากเป็นไปตามแผนการ

    อีกอย่างเพ่ยจวินหงลูกเขยของเขาที่พอมารู้ความจริงแล้วว่าเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์ที่มีบุญบารมีสูงส่งก็ใจหายไม่น้อยที่มนุษย์ธรรมดาเช่นเขาจะเกี่ยวพันกับเทพเซียนเช่นนี้ และเรื่องนี้เถียนซูหนี่ฮูหยินของตนก็ยังไม่ทราบเพราะยังไม่ได้บอก ไม่รู้เลยว่าบอกไปแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร อีกอย่างเขาเองก็ไม่คิดอยากจะให้ฮูหยินลงสนามรบอยากให้ไปอยู่ต่างแคว้นเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้นนี่ก็อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่คิดจะบอกนั้นเอง เอาเป็นว่าหารือและวางแผนกับรองแม่ทัพเรียบร้อยแล้วตนจะเดินเข้าไปบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายพร้อมกับเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ฟัง

    สนามฝึกนั้นอยู่ในถ้ำของภูเขา

    แต่ก็กว้างขวาง ไม่คิดเลยว่าในถ้ำจะมีอะไรแบบนี้ด้วย หากจะให้อธิบายแล้วมันเป็นผืนป่าแสนกว้างมากกว่าเพราะด้านในนั้นมีทั้งต้นไม้ ผืนดิน ลำธาร มีสถานที่แบบนี้ในเมืองถังซานช่างน่าประหลาดใจนัก แต่ก็ไม่น่าประหลาดใจเท่ากับได้เจอรองแม่ทัพถังต้าฟ่าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหนุ่มรูปงามถึงเพียงนี้แถมยังให้ความรู้สึกเยือกเย็นไหนจะผิวกายที่ขาวนั้นอีก หากไม่บอกว่าอีกฝ่ายเป็นรองแม่ทัพแล้วละก็ คงคิดว่าเป็นคุณชายเจ้าสำอางที่แอบเอาชุดทหารมาสวมเล่นเป็นแน่ หลังจากนั้นองค์รัชทายาทก็ขอตัวไปช่วยงานน้องชายของตนหรือก็คือองค์ชายสี่ซาหรงนั้นเอง และไม่เพียงแค่นั้นยังมีตงต๋าจินเป่าอยู่ด้วย

    ท่านประมุขตง ท่านหายจากอาการบาดเจ็บดีแล้วหรือ”

    ประมุขสำนักเถียนเอ่ยถามเมื่อเห็นต๋าจินเป่า แม้ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังได้ทำสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอยู่ แถมทำแบบนี้มานานแล้ว เขาเผลอไปหยิบขนมชิ้นโปรดของอีกฝ่ายหรืออย่างไรกัน กระนั้นก็ยังเอ่ยตอบเขา

    อาการบาดเจ็บไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก อีกอย่างได้หมอหญิงซิงเยียนรักษาเลยทำให้ร่างกายได้รับการพื้นฟูอย่างดี”

    ซิงเยียน อ่า เด็กสาวผู้นั้น มานึกแล้ว อดีตชาติของต้าต่านลูกชายคนโตของเขาเป็นฮูหยินแม่ทัพสวรรค์และได้มีลูกด้วยกันสองคนมีนามว่าซิงเยียน กับ หลิวหยาง จะว่าไปแล้วเขาก็เคยอ่านตำนานของเทพแห่งการทำลายล้างมาเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นชื่อที่ผู้เขียนจะประพันธ์ขึ้นมาเองตามลักษณะของเทพองค์ ๆ นั้น นี่หากนับญาติชาตินี้ ทั้งสองคนนับเป็นหลานของเขาหรือเปล่านะ อ่า เวลานี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็แล้วกัน จากนั้นน้ำเสียงทุ้มที่ดูเยือกเย็นนั้นดังขึ้นซึ่งเป็นเสียงของรองแม่ทัพถังต้าฟ่านนั้นเอง

    ท่านประมุขเถียน ข้าได้ยินเรื่องการต่อสู้และวรยุทธ์ของท่านมามาก หากเป็นไปได้จะสามารถนำมาผสมผสานกับการฝึกของทหารได้หรือไม่ แต่ไม่ต้องถึงขั้นเอาวิชาลับของสำนักของท่าน”

    หากเรื่องนี้ก็ย่อมพอได้อยู่แล้ว แต่ว่าทหารสวรรค์จำเป็นต้องฝึกอะไรพวกนี้ด้วยหรือ”

    แค่ทหารที่เป็นมนุษย์เท่านั้นขอรับเพราะทหารสวรรค์จะไม่ทำร้ายมนุษย์”

    งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นเราไปคุยกันเถอะ แล้วประมุขตงเล่าจะคุยเรื่องนี้ด้วยกันหรือไม่”

    ไม่ล่ะ ข้าต้องไปดูแท่นตีอาวุธ เตาหลอม และอุปกรณ์ใช้ในการตีขึ้นรูป”

    ถ้าเช่นนั้นไม่รบกวนท่านประมุขตงแล้ว”

    ทั้งสามแยกจากกันเพื่อไปทำหน้าที่ของตน ในขณะนั้นต๋าจินเป่าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าประมุขสำนักเพ่ยจะเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์ เขาเคยคิดมาตลอดว่าของพวกนี้จะมีอยู่จริงหรือ แต่มันก็ประจักษ์แก่สายตาของเขาแล้ว แถมเขายังเคยไปเกี้ยวอีกฝ่ายอีกด้วย แค่คิดถึงช่วงเวลานั้นถึงตอนนี้เขาจะอายุมากแล้วแต่หัวเข่าก็ยังไม่ถึงเวลาเสื่อมยังแทบทรุดเลย

    ท่านพ่อ”

    บุตรชายตัวน้อยที่อีกไม่กี่เดือนนี้กำลังจะย่างเข้าวัยหกขวบ ตงต๋าเซียนเป่า เรียกขานผู้เป็นพ่อที่ในมือถือขนมที่น่าจะได้จากพ่อครัวของที่นี่ทำให้ วันที่โดนบุกโจมตีขอบคุณทหารสวรรค์ที่ช่วยเหลือบุตรชายของเขาเอาไว้แล้วพาหนีหายไปก่อน ไม่เช่นนั้นหัวใจของเขาได้แตกสลายเป็นแน่ ต๋าจินเปาย่อตัวลงเพื่อที่จะอุ้มลูกชายของตนขึ้นมาตอนนี้เขาเองก็แทบจะอุ้มไม่ไหวแล้วเช่นกัน

    มีอะไรรึเจ้าลูกชาย”

    ท่านพ่อจะไปหรือ”

    ถ้างั้นไปกับพ่อแล้วกันนะ”

    ต๋าจินเปาอุ้มลูกชายตัวน้อยไปยังบริเวณที่อยู่ถัดไปจากลานฝึกซ้อมของทหาร นั้นก็คือบริเวณที่เอาไว้ทำอาวุธที่ไม่รู้เลยว่าทางนี้จัดเตรียมไว้นานเพียงใด เพราะทุกอย่างดูพร้อมมากราวกับว่าทำมันขึ้นมาเพื่อรอเขาเลยทีเดียว เด็กชายเห็นดังนั้น ความไร้เดียงสาเลยพูดออกไปว่า

    ท่านพ่อจะตีอาวุธอะไรหรือขอรับ”

    ต๋าจินเป่ามองลูกชายที่เอ่ยถาม ที่เริ่มพูดประโยคยาว ๆ มากขึ้นแล้ว เติบโตขนาดนี้แล้วรึ ถึงจะภูมิใจกับการเจริญเติบโตทีละเล็กทีละน้อยก็ไม่ลืมที่เอ่ยตอบลูกชายของตนว่า

    หอกน่ะ”

    หอกหรือ?”

    ใช่แล้ว เอาล่ะ” เมื่อเดินมาถึงบริเวณพื้นที่สำหรับตีอาวุธ มีคนของสำนักตงกำลังทำความสะอาดบางจุดและเริ่มดูอุปกรณ์ต่าง ๆ ต๋าจินเปาจัดการวางลูกชายให้นั่งเก้าอี้หินที่ไม่ไกลจากแท่นตีอาวุธเท่าไรนัก “เจ้านั่งรอพ่อตรงนี้ก่อน พ่อจะไปดูวัตถุดิบในการตีหอก”

    เด็กชายพยักหน้าให้กับผู้เป็นพ่อก่อนที่จะจัดการเอาขนมในมือยัดเข้าปากเพื่อทานให้หมด ต๋าจินเปาเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปลูบหัวลูกชายสองสามทีก็เดินออกห่าง เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็ปลอดภัยสำหรับลูกชายของเขาอยู่แล้ว เมื่อเดินมาถึงแท่นที่เอาตีอาวุธขึ้นรูปก็อดหวนนึกถึงวันที่ถูกโจมตีไม่ได้ แม้ข้าวของแต่ละชนิดจะดูแข็งแรงมากเพียงใด สิ่งของเหล่านั้นกลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ล่มสลายลงเพียงในพริบตา แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะต้องเกิดแน่หากเขาได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับสมาคมของพระสนมเอก ที่เป็นน้องชายของจวินหงหรือรองแม่ทัพเงิน ที่ตอนนี้เขานั้นไม่ต่างจากคนตระบัดสัตย์ของสำนักตงเลย หวังว่าบรรพบุรุษและบรรพสตรีจะเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    แล้วยิ่งมาเห็นวัตถุดิบที่จะต้องใช้ตีแล้วนั้น

    ใช้ของแบบนี้จริงรึ?

    ต๋าจินเปาไม่ใช่ไม่เคยเจอวัตถุดิบในการนำมาตีอาวุธ สตรีบางนางอยากได้อาวุธที่สวยงาม โดยมีดอกไม้อยู่ในด้ามจับโดยที่มันยังคงความสดเอาไว้ เขาก็ทำมาแล้ว แต่นี่มัน.... เอาเถอะ เขาจะทำมันอย่างสุดความสามารถก็แล้วกัน ไม่สิ เขาจะต้องทำให้มันสำเร็จต่างหากล่ะ เพราะมันมีเพียงโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

     

     

    เถียนเจียนเจี๋ยเองก็จดจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งล่าสุดที่ตนถืออาวุธของตนเองเพื่อต่อสู้แบบจริงจังนั้นเมื่อใดกันแน่ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำงานภายในช่วยพ่อมากกว่า ด้านนอกก็จะปล่อยพี่ชายของตนเป็นฝ่ายจัดการ หากอาวุธของเขามีปากมีเสียงคงต่อว่ายกใหญ่ที่ไม่ยอมจับต้องตนเสียที เพราะอาวุธที่แท้จริงของเขาก็คือทวนสะบั้นนภา ที่หลายคนต่างพากันประหลาดใจด้วยร่างกายที่บอบบางอย่างเขากับได้ครอบครองทวนที่หนาแน่นนี้ แต่เอาเถอะ นั้นไม่ใช่เวลามานึกถึงวันวาน

    มือขาวของเจียนเจี๋ยยื่นไปจับทวนของตนมาไว้ข้างกาย

    ยังไม่ทันจะได้เอ่ยพูดอะไรกับอาวุธ เสียงของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไรมายืนอยู่ด้านหลังด้วยชุดที่เต็มยศเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ใบหน้าหล่อน่ารักนั้นคงได้จากผู้เป็นพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดสินะ หลิวหยาง ผู้ที่ไม่ยอมฝึกตนเป็นเซียน

    ข้าจะต้องเรียกท่านว่าอะไรดี หากชาตินี้ก็นับว่าเป็นหลานชายได้หรือไม่”

    ข้ายอมเป็นหลานชายท่านเลยก็ย่อมได้ แต่ตอนนี้เตรียมตัวเถอะ พวกนั้นมากันแล้ว”

    สิ้นเสียงของหลิวหยาง หูก็ได้ยินเสียงอื่นดังขึ้นมา น่าจะเป็นเสียงของคนสำนักเถียนที่อยู่เคียงข้างยามสู้รบ และทหารที่ส่งมาช่วยเหลือ บ่งบอกว่าถึงช่วงเวลาที่ไม่อยากให้เกิดแล้วสินะ เจียนเจี๋ยยกยิ้มราวกับยิ้มเย้ยให้กับโชคชะตาที่นำพามาถึงจุดเกือบจะเป็นจุดจบของสำนักเถียนเลยว่าได้ หลิวหยางเดินออกไปเพื่อสกัดหน่วยสนับสนุนที่เข้ามาสมทบขอฃอีกฝั่ง ขายาวของเจียนเจี๋ยก็ก้าวเดินออกมาจากห้องของตนก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้ก็น่าจะเข้าสู่ยามเว่ย (13.00-14.59) แล้วสินะ อย่างน้อยเขาก็ได้ทานมื้อเที่ยงตามที่แม่สั่งเอาไว้ เท้างามถีบพื้นเพื่อดันตัวเองลอยขึ้นและใช้วิชาตัวเบาพาตัวเองไปยังด้านหน้าสำนักที่เป็นลานกว้างที่ตอนนี้ได้ยินเสียงอาวุธต่าง ๆ กระทบเอาหากัน ดวงหน้าสวยที่เคยผ่อนคลาย สบายใจยามได้มอง บัดนี้กลับเคร่งขรึมขึ้นผสมกับความโกรธในอกแทบจะลุกเป็นไฟจนเหมือนสวมหน้ากากยักษ์ทับเอาไว้ก็ไม่ปาน เมื่อเท้าเหยียบหลังคา ดวงตามองต่ำลงไปยังลานกว้างเพื่อมองหาเป้าหมายหรือแก่นนำการสู้รบครั้งนี้

    ร่างบุรุษแต่งกายด้วยชุดสีม่วงเด่นร่าที่กำลังผ่านประตูสำนักเถียนเข้ามานั้น พร้อมเงยหน้ามองมาทางเขา

    ร่างงามไม่รอช้าจับกระชับทวนในมือพุ่งตรงใส่อีกฝ่ายทันที

    กุมไป๋ที่เงยหน้ามองไปยังร่างงามของเถียนผู้เป็นน้องหรือบุตรชายคนเล็กของสำนักถียนที่พุ่งเข้ามาหาตนด้วยความเร็วเหนือความคาดหมายอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะวรยุทธ์สูงไม่น้อยไหนจะความเร็วที่เกินขีดจำกัดมนุษย์ไปเยอะพอสมควรด้วย หากกุมไป๋คือมนุษย์เฉกเช่นอีกฝ่ายก็อาจจะตกตะลึงจนต้องหลบหลีกมากกว่าตั้งรับ มือขวาของเขาตวัดดาบไปด้านหน้าเพื่อรับทวนที่ฟาดลงมา

    รุนแรงใช้ได้เลย แถมกดทวนลงมาก็ทำเอาดาบในมือถึงกับสั่นเลยทีเดียว

    จนเกิดคลื่นกระแทกสั่นสะเทือนไปโดนคนข้าง ๆ เว้นเสียแต่คนสำนักเถียนที่พอจะรู้ก็หลบได้ทัน ยกเว้นทหารของกุมไป๋ที่บุกเข้าล้มลงไปกับพื้น ดวงตาทั้งสองประสานเข้าหากัน ในขณะของเจียนเจี๋ยจ้องหมายเอาชีวิตอีกฝ่ายแม้รู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะได้ ในขณะกุมไป๋ที่จ้องกลับไปนั้นกลับดูสนุกสนานเสียมากกว่า ด้วยที่แรงกายที่มีเยอะกว่าแรงกายของมนุษย์การใช้ดาบรับทวนมันเลยดูง่ายดายพอใช้แรงมากขึ้นอีกหน่อยก็สะบัดทวนของเจียนเจี๋ยออกได้ให้ห่างออกจากตนเพื่อใช้ช่องว่างตรงนั้นสามารถยกขาเตะเข้าที่สีข้างได้ แต่นี่คือเถียนเจียนเจี๋ยแม้ประสบการณ์นอกลานฝึก ลานประลองจะไม่มากนัก อย่าได้ดูถูกการจดจำเชียว เพราะทุกครั้งที่ได้ต่อสู้หรือได้รับชมการต่อสู้ความจำของเขาจะจดจำนำมาปรับใช้ พอเห็นขายาวของกุมไป๋ที่จะเตะใส่สีข้างตน หากกระโดดหลบไม่ทางพ้นแน่นอน ยิ่งเกร็งร่างกายเพื่อรับมีแต่ตนเองนั่นแหละที่จะบาดเจ็บ ด้วยร่างกายที่ยืดหยุ่นที่โดนฝึกโดยผู้เป็นแม่เลยเอนไปด้านหลังทำให้หลบท่าเตะได้ง่ายดาย

    แน่นอนว่าใครจะปล่อยโอกาสนี้หลุดไป

    มือสวยที่ว่างจัดการจับเข้าที่ขาของอีกฝ่ายยึดเอาไว้ ใช้ทวนปักลงพื้นให้ช่วยพยุงร่างกายไม่ให้ล้มเป็นเสมือนตัวพยุง แล้วออกแรงดึงร่างเจ้าของขาที่จะเตะเข้ามาใกล้ตน ที่ต่อให้เป็นร่างกายของสัตว์อสูรอะไรก็ตามหากอยู่ในช่วงจังหวะนี้ไม่มีทางตั้งตัวได้ทัน ทำให้เท้าของเถียนเจียนเจี๋ยเตะเสยเข้าที่คางของกุมไป๋ทันที

    หากเป็นมนุษย์ก็คงสลบไปแล้ว

    ความเจ็บแล่นจากปลายคางจนไปถึงหัว จากดวงตาที่ดูสนุกเมื่อครู่แปรผันกลายเป็นความโกรธในพริบตา ยิ่งรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปากตนก็ยิ่งกระตุกความเดือดดาลเอาไปอีก

    เป็นแค่มนุษย์กล้าทำข้าเลือดออก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วรึไง”

    เจียนเจี๋ยได้ยินแบบนั้นก็จัดการดึงทวนกลับมาอยู่ข้างตนดังเดิม ก่อนที่ใช้ปลายด้านจับของทวนกระทบพื้นจนเกิดเสียงหนักแน่นเหมือนกับจิตใจของเขาในตอนนี้

    เพราะเป็นมนุษย์จึงได้เรียนรู้วิถีการเอาตัวรวด อย่าได้ดูถูกมนุษย์ไปหน่อยเลย”

    วิถีการเอาตัวรอดอย่างนั้นรึ ฮึ ดิ้นรนมีชีวิตไปวัน ๆ ละไม่ว่า” กุมไป๋พูดถึงตรงนั้นก็ถุยเลือดออกมาจากปากของตนแล้วพูดต่อ “พยายามดิ้นรนมีชีวิตต่อจากนี้แล้วกัน!”

    ดวงตาสวยมองร่างของบุรุษชุดม่วงที่พุ่งตรงมาใส่ตน ที่ดูแล้วน่าจะหมายเอาชีวิตเลย มือกำชับทวนของตนแน่นขึ้นเพื่อสู้ต่อไปจากนี้ที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายลอยเข้ามาในหัวเพียงชั่วพริบตา ก่อนที่จะตามมาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใสกับเขา ชายที่เขาอยากมีชีวิตอยู่เพื่อกลับไปแต่งงาน และอยากมีชีวิตเพื่ออยู่ด้วยกันที่สุด หากสามารถกลับไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ละก็

    ห่วงลู่ ข้ารักเจ้า อยากให้เจ้าได้ยินประโยคนี้อีกสักคราเหลือเกิน’

    แม้จะรู้ว่ามันไม่สามารถดังไปถึงอีกคนได้ เพราะเสียงที่ดังกว่าคือเสียงอาวุธที่กำลังกระทบกันในตอนนี้ พร้อมกับสองร่างที่เป็นแก่นนำสู้รบพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

     

     

    ดวงตาที่ดูโรยราตามอายุที่มากขึ้นของหลวนเซียนที่อยู่ในชุดของทหารรวบผมขึ้นทั้งหมดและสวมด้วยกวานสีเงิน จ้องมองไปยังสำนักเถียนที่อยู่ห่างไกลจากบริเวณที่ตนอยู่ เป็นบริเวณที่เป็นป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังของสำนักเถียนเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ไผ่ไปทำอย่างอื่น เพราะระหว่างทางที่กำลังเดินไปสมทบกุมไป๋นั้นได้มีร่างของเด็กหนุ่มสวมชุดเกาะที่เอ่ยบอกว่าคุ้นก็คงไม่ใช่ เพราะชินตาทุกครั้งที่เห็นก็ว่าได้ หากอีกฝ่ายเป็นเหมือนกุมไป๋ ทหารมนุษย์ที่มากับเขาก็คงตายไปหมดแล้ว โซ่นรกเกี่ยวพันร่างของเหล่าทหารและด้วยอายของพลังจากนรกทำให้ทหารพากันสลบไปกันทั้งหมด ไม่อาจจะต้านทานพลังที่กดดันอารมณ์ได้ไหวหรอก

    สมแล้วที่เป็นหลิวหยาง

    ที่ใช้พลังนี้แทน ทำให้เหลือเพียงแค่เขากับเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ด้วยที่มีแม่คนเดียวกัน ทั้งสองยืนประชันหน้ากัน แม้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไปก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับอีกฝ่ายเป็นจริงเป็นจังหรอก เพราะในห้วงความทรงจำของหลวนเซียนแล้วหลิวหยางคือพี่ชายที่ค่อยดูแลเหมือนกับเทวดาประจำตัวก็ว่าได้ ตอนที่เขาไม่สบายหนัก ก็หายาและค่อยย่องมายามกลางคืนเพื่อดูอาการของเขาตลอด บางครั้งที่เอาขนมอร่อยมาให้เขาได้กินด้วย

    แล้วตอนนี้พี่น้องต้องหันอาวุธเข้าหากันเช่นนี้

    มันก็เจ็บกันทั้งคู่นั่นแหละ

    ทั้งสองมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มถืออาวุธในมือที่แอบสั่นเทาเล็กน้อย เพราะสิ่งที่อยู่ในมือนั้นมันมีไว้ใช้เพื่อโจมตีอีกฝ่ายที่ไม่ใช่แค่หยอกเล่นหรือประลองฝีมือกันสนุก ๆ แต่นี่คือการทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บให้มากที่สุด หรือก็คือต้องเอาชนะให้ได้ หลวนเซียนนั้นยังคงเป็นกระบอง ส่วนหลิวหยางก็ยังเป็นโซ่ ก่อนที่จะสู้กันเสียงของหลวนเซียนก็เอ่ยพูดกับผู้เป็นพี่ชายของตน

    ไม่คิดเลยว่า จะมีวันที่ข้าได้สู้กับท่านจริง ๆ พี่ใหญ่”

    หลิวหยางได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้ม โดยในรอยยิ้มและแววตานั้นแม้จะอยู่ในระยะที่ห่างเพื่อระวัง หลวนเซียนก็มองเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มให้กับเขาแบบใด แววตานั้นสะท้อนออกมาแบบใด หากไม่ใช่ความเอ็นดูที่พี่ชายคนหนึ่งจะมีให้กับน้องชาย

    สู้รึ?ฮึ ก็แค่การทะเลาะกันของพี่น้องมากกว่ามั้ง แล้วพี่ชายคนนี้ก็ต้องสั่งสอนน้องที่ดื้อออกนอกลู่นอกทางก็เท่านั้นเอง”

    ดื้อออกนอกลู่นอกทางงั้นรึ ข้าอยู่ในทิศทางของข้าอยู่แล้วพี่ใหญ่”

    จะว่าไปแล้วช่วยเปลี่ยนกลับไปดูหนุ่มให้พี่ชายหน่อยไม่ได้รึไง ข้ารู้สึกรังแกคนแก่เลย นะนะ เปลี่ยนร่างคนหนุ่มให้พี่ที”

    หลิวหยางนั้นไม่ได้พูดหยอกล้อน้องชายตนที่ยังใช้ร่างมนุษย์ที่โรยราตามอายุขัย โดยยกมือพนมอ้อนวอนขอให้เปลี่ยนร่างให้ หลวนเซียนมองท่าอ้อนวอนของพี่ชายตนแล้วนั้นก็เผลอถอดหายใจ จะร่างไหนเขาก็สู้ไหวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อขอมาแบบนี้ก็ย่อมได้อยู่หรอก ว่าแล้วหลวนเซียนก็พยักหน้าว่าได้ให้กับหลิวหยางก่อนที่จะตามมาเสียง ‘เย้!’ ของผู้เป็นพี่ชายตน ผมที่ตอนนี้เริ่มมีสีขาวแทรกตามผมสีดำนั้นมันค่อย ๆ กลายเป็นสีดำที่ตามด้วยความเงางามเหมือนจะถูกม้วนอยู่ในกวานก็ตาม ใบหน้าที่ร่องรอยแห่งกาลเวลาไม่ว่าจะร่องแก้ม หางตา หน้าผาก ก็กลับมาเรียบตึง ผิวพรรณที่ไม่ค่อยผ่องใสก็เปล่งปลั่งขาวสะอาดราวกับเรือนแสงได้ ดวงตาที่กลับมาคมเหมือนกับดวงตาของต้าต่านไม่มีผิด ช่างหล่อสง่างามจริง ๆ

    เจ้านี่ได้ท่านแม่เกือบทั้งหมดเลยนะ หล่อเหมือนท่านแม่เลย”

    แน่นอนเพราะข้าเองก็เป็นลูกท่านแม่เหมือนกัน”

    สิ้นเสียงของหลวนเซียนก็ตามมาด้วยร่างที่พุ่งใส่ผู้เป็นพี่ชายอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ปลายกระบองจะถึงหน้าผากของหลิวหยางมันก็ชะงักอยู่กลางอากาศเพราะเจ้าของได้ถูกโซ่ที่ขึ้นมาพื้นดินมาพันรัดเอาไว้นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้หลวนเซียนเลยทำการยืดกระบองออกหมายจะไปกระแทกหน้าผากของหลิวหยางให้หงายหลังขัดจังหวะการร่ายคาถาโซ่พันธการนี้ หากหลิวหยางจะโดนกระบองที่ยืดออกมากระแทกหน้าผาก เขาคงเป็นพี่ชายของอีกฝ่ายไม่ได้แล้วล่ะนะ เพราะเพียงแค่เอียงหัวไปข้างใดข้างหนึ่งก็หลบการโจมตีที่ว่าได้แล้ว ก่อนที่จะจ้องมองไปยังน้องชายที่คืนสภาพเป็นหนุ่มหล่อเหลาราวกับท่านแม่อีกคนที่ไม่ได้ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ตนเผชิญอยู่แล้ว ก็หลวนเซียนนี่นา หากจะมาแพ้รูปแค่โดนโซ่พันธนาการแบบนี้ก็มันง่ายไปนั่นแหละ ว่าแล้วหลิวหยางก็ชวนคุยสักหน่อยก่อนที่จะไม่ได้คุยกันหลังจากนี้

    หากท่านแม่รู้ว่าเราสองคนมาทะเลาะกันแบบนี้ ท่านแม่จะทำหน้ายังไงนะ”

    หลวนเซียนได้ยินแบบนั้น ก็นึกถึงใบหน้าและนิสัยของผู้เป็นแม่แล้วก็พอจะเดาออกเลยว่าจะทำยังไงหากเห็นเขากับพี่ชายตรงหน้าทะเลาะกัน

    ท่านแม่คงยืนเท้าเอวไม่ก็กอดอก พร้อมกับบอกพวกเราให้ตีกันให้พอละมั้ง”

    ฮ่าฮ่าฮ่า ก็นั่นสินะ”

    สิ้นเสียงของหลิวหยางโซ่ที่พันธนาการอยู่ก็เกิดสั่นสะเทือนจากร่างกายที่เปล่งแสงสีแดงราวกับเปลวเพลิงของหลวนเซียนก่อนที่โซ่เหล่านั้นจะขาดสะบัดในที่สุด ทำเอาเจ้าของวิชาไม่รู้จะรู้สึกเช่นไรระหว่างตื่นตระหนกที่น้องชายสามารถเอาชนะวิชาโซ่พันธนาการของตนได้หรือภาคภูมิใจดี

     

     

    ................................................

    #อย่ามาเกี้ยวสามีข้า

    เจอกันได้ที่ทวิต @Miya0942

     

    โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ไรท์ไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ ที่อัพช้ากว่านิยายเรื่องอื่นเพราะนิยายเรื่องนี้ไรท์เขียนมันมือไปหน่อย

    (ไม่หน่อยอะ)

    เลยทำให้สเกลของเรื่องมันไปไกลกว่าที่วางเอาไว้เยอะมาก เหมือนไรท์จะเคยบอกไปแล้วมั้ง ไรท์ก็จำไม่ได้ด้วย

    ทำให้เขียนตอน ๆ หนึ่งไรท์จะเขียนแบบส่ง ๆ ไม่ได้ จะต้องเขียนออกมาให้ดีที่สุด เท่าที่สมองน้อย ๆ จะเค้นออกมาได้! ไม่งั้นจะมันจะเหมือนทรยศคุณนักอ่านค่ะ T^T

    เพราะฉะนั้นไรท์ไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ ยังเขียนอยู่ จะเอาให้จบให้ได้ ให้ได้เลย!

    เขียนมาไม่รู้กี่ปีแล้วด้วย 5555555 มีคุณนักอ่านจบมหาลัยไปแล้วไหมคะ

    ยังไงก็ขอบคุณที่ยังรักยังรอนิยายของไรท์นะคะ กลับไปปั่นต่อแล้ว

     
    FAN
    TAS
    TIC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×