ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic Harry Potter] [OCxDM] If Harry Potter has a sister!

    ลำดับตอนที่ #48 : บทเกริ่น [SS3]

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 64


    บทเกริ่น


    กลางถนนแคบๆ ที่สว่างด้วยแสงจันทร์ ชายสองคนปรากฏร่างขึ้นกลางถนนอันมืดมิดนั้น สักอึดใจหนึ่ง ทั้งสองยืนนิ่งงัน จ้องมองกันและกัน ไม้กายสิทธิ์ถูกยกขึ้นมาชี้ที่หน้าอกอีกฝ่าย แต่เมื่อจำกันได้ ต่างฝ่ายก็เก็บไม้กายสิทธิ์ลงใต้เสื้อคลุมเดินทางและออกเดินอย่างกระฉับกระเฉงไปในทิศทางเดียวกัน

    “มีข่าวอะไรไหม” คนที่สูงกว่าถามขึ้น

    “ข่าวดีที่สุด” เซเวอร์รัส สเนปตอบ

    ริมถนนด้านซ้ายปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้หนามเตี้ยๆ รกรุงรัง ส่วนทางขวามีแนวรั้วต้นไม้สูงตัดแต่งเข้ารูปทรงงดงาม เสื้อคลุมตัวยาวของชายทั้งสองกระพือรอบข้อเท้าระหว่างที่พวกเขาย่ำดินบนทางเดินกรวด

    “คิดว่าฉันจะมาสายซะแล้ว” แยกซ์ลีย์เอ่ยขึ้น กิ่งก้านต้นไม้ที่ปกคลุมเหนือศีรษะบังแสงจันทร์เป็นระยะๆ ทำให้ใบหน้าแข็งกระด้างของเขาเห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง “เรื่องยุ่งยากกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ฉันหวังว่าท่านคงจะพอใจ -- ว่าแต่แกล่ะ ท่าทางมั่นใจเหลือเกินว่าท่านจะชอบข่าวของแกมาก”

    สเนปพยักหน้า แต่ไม่ขยายความ ทั้งสองเลี้ยวขวา เข้าสู่ทางกว้างที่แยกจากถนนสายนั้น รั้วต้นไม้สูงโค้งตามไป ทอดยาวผ่านเลยประตูรั้วเหล็กดัดสง่างามสองบานที่ตั้งขวางกั้นอยู่กลางทาง ชายทั้งสองไม่ได้หยุดชะงักแต่ชูแขนซ้ายขึ้นเงียบๆ ในท่าแสดงความเคารพก่อนจะเดินผ่านไป

    รั้วต้นยิวทำให้เสียงฝีเท้าของทั้งคู่เบาลง มีเสียงกรอบแกรบที่ไหนสักแห่งทางขวามือ แยกซ์ลีย์ชักไม้กายสิทธิ์ออกมาอีกครั้ง ชี้ข้ามศีรษะเพื่อนร่วมทาง แต่ต้นเสียงนั้นเป็นเพียงนกยูงสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งเดินอย่างองอาจผ่าเผยอยู่บนรั้ว

    “หรูหราเสมอเลยนะ ไอ้เจ้าพวกมัลฟอย เฮอะ! นกยูง...” แยกซ์ลีย์ลดไม้กายสิทธิ์เอากลับเข้าไปในเสื้อคลุมพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม

    คฤหาสน์หลังงามตั้งโดดเด่นอยู่ในความมืดสุดทางสายตรงเส้นนี้ แสงไฟทอประกายตามหน้าต่างกระจกรูปข้าวหลามตัดในชั้นล่าง มีเสียงน้ำพุไหลรินอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวนมืดๆ เลยรั้วต้นไม้ไป เสียงกรวดกรอบแกรบอยู่ใต้เท้าเมื่อสเนปกับแยกซ์ลีย์รีบรุดไปยังประตูหน้า มันเปิดอ้าทันทีที่พวกเขาเข้าไปถึง แม้ว่าจะไม่เห็นตัวคนเปิดเลยก็ตาม

    “พวกเขาคงมากันแล้ว” เสียงทุ้มพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบ “ลงไปกันเถอะ”

    หญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกยาวระหัวเข่าสีดำสนิท สวมทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีนิลปักลูกไม้สีทองหรูหราหันไปมองเจ้าของเสียงด้วยแววตากังวลใจ เรือนผมยาวตรงสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำถูกมัดรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ ผมหน้าม้าที่ยาวปรกใบหน้าถูกจัดแต่งอย่างดี มือเล็กเอื้อมไปจับมือเรียวยาวที่ยืนมาให้ด้วยความกลัวที่ก่อขึ้นมาเต็มหัวใจ ร่างกายของเธอสั่นน้อยๆ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังจะต้องลงไปเจอกับอะไร

    “เขาจะทำอะไรฉันอีกไหม” เจ้าของดวงตากลมสีเขียวมรกตเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “เขาจะให้ฉันไปบอกอะไรเขาอีกไหม -- ฉันไม่เห็นอะไรมานานแล้ว...”

    ชายหนุ่มตรงหน้าเธอส่ายหน้าเบาๆ กระชับมือเล็กให้แน่นขึ้นก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้อย่างอ่อนโยน มือเรียวยาวลูบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังของเธอเป็นเชิงปลอบใจ ในขณะที่เจ้าของร่างเริ่มสั่นน้อยๆ ด้วยความกลัว

    “ไม่ต้องกลัว” เขาพูด “ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ”

    ร่างสูงผละออกจากร่างบาง เขาเดินจูงมือเธอลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ พรมผืนงามปูไล่ลงจากบันไดชั้นบนทอดสู่เบื้องล่าง ดวงตาของเหล่าเครือญาติตระกูลมัลฟอยในภาพเหมือนมองตามทั้งคู่ไปตลอดทางเดิน ทั้งสองหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้บานหนาซึ่งนำไปสู่ห้องถัดไป ประจวบกับที่สเนปและแยกซ์ลีย์เดินมาถึงอย่างพอดิบพอดี

    “สวัสดีคุณชายมัลฟอย” แยกซ์ลีย์เอ่ยทักทาย เดรโกทำเพียงแค่พยักหน้ารับตามมารยาทและหมุนลูกบิดทองสัมฤทธิ์เข้าไปด้านใน

    ห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยผู้คนที่เงียบกริบ นั่งกันอยู่ที่โต๊ะยาวหรูหรา เครื่องเรือนประจำห้องถูกดันส่งๆ ให้ไปติดผนัง แสงสว่างมาจากกองไฟลุกโชนในกรอบเตาผิงหินอ่อนงดงามซึ่งมีกระจกกรอบทองแขวนอยู่ด้านบน เดรโกดึงมือเล็กๆ ที่เริ่มสั่นเทาเข้าไปด้านในโดยไม่ปริปากพูดอะไร ร่างมนุษย์ที่กำลังหมดสติลอยกลับหัวอยู่เหนือโต๊ะ หมุนวนราวกับถูกแขวนเอาไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็นทำให้เฮเลนรู้สึกตื่นกลัว

    หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ กับเดรโกอย่างเชื่องช้า ดวงตาจับจ้องอยู่บนเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกพื้นโต๊ะขัดมัน กลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้างใต้สิ่งประหลาดนี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยสักคนเดียว เธอและเดรโกนั่งอยู่เกือบจะใต้ร่างนั้นพอดิบพอดี

    “แยกซ์ลีย์ สเนป” เสียงสูง ชัดเจน ดังมาจากหัวโต๊ะ “หวิดจะมาสายแล้วนะพวกแก”

    ผู้พูดนั่งอยู่ด้านหน้าเตาผิง ใบหน้านั้นส่องสว่างอยู่ท่ามกลางแสงสลัว ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับงู ไม่มีผม มีรูจมูกเป็นช่องแคบๆ ดวงตาสีแดงเป็นประกายและรูม่านตาเป็นเส้นขีดตั้ง ผิวเขาซีดเผือดจนดูเหมือนจะทอแสงออกมาดั่งไข่มุก

    “เซเวอร์รัสมานั่งตรงนี้” โวลเดอมอร์เอ่ย ชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ติดกับเขาทางด้านขวา “แยกซ์ลีย์ไปนั่งข้างๆ โดโลฮอฟ”

    ชายทั้งสองเดินแยกไปยังที่ซึ่งกำหนดเอาไว้ให้ ดวงตาเกือบรอบโต๊ะมองไปยังสเนปและเขาก็เป็นคนที่โวลเดอมอร์เริ่มพูดด้วยก่อน

    “ว่าไง”

    “ภาคีนกฟินิกซ์ตั้งใจจะเคลื่อนย้ายแฮร์รี่ พอตเตอร์จากบ้านนิรภัยหลังปัจจุบันช่วงค่ำในวันเสาร์ครับเจ้านาย”

    ความสนใจรอบๆ โต๊ะ ชัดเจนขึ้นจนแทบสัมผัสได้ เฮเลนก็เช่นกัน เธอรอฟังว่าสเนปกำลังจะนำข่าวอะไรมา

    “ค่ำวันเสาร์” โวลเดอมอร์ทวนคำ ดวงตาสีแดงตรึงแน่นอยู่ที่ดวงตาสีดำของสเนป แน่วแน่เสียจนผู้ที่เฝ้าอยู่บางคนต้องเบือนหน้าหนี เหมือนกลัวว่าตัวเองจะถูกเผาไหม้ไปด้วยสายตาที่ร้ายกาจนี้ อย่างไรก็ตาม สเนปกลับมองไปที่ใบหน้าของโวลเดอมอร์อย่างสงบมากกว่าที่เฮเลนคิดไว้ หลังจากนั้นเพียงอึดใจโวลเดอมอร์ก็เผยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

    “ดี ดีมาก”

    “เจ้านายครับ”

    แยกซ์ลีย์ชะโงกตัวมาข้างหน้า มองข้ามโต๊ะตัวยาวมายังโวลเดอมอร์และสเนป ทุกสายตาเบือนไปหาเขา

    “ผมได้ยินมาต่างจากนี้” เขาพูด “ดอว์ลิชมือปราบมารเผลอหลุดปากมาว่า พอตเตอร์จะไม่ถูกย้ายไปไหนจนกว่าจะถึงวันที่สามสิบ คืนก่อนที่เขาจะอายุครบสิบเก้าปี”

    “แหล่งข่าวของผมบอกว่ามีแผนที่จะปล่อยข่าวลวงด้วย" สเนปยิ้ม "นี่คงจะเป็นข่าวลวงที่ว่า ดอว์ลิชต้องถูกเสกคาถางงงันใส่แน่นอน คงไม่ใช่ครั้งแรกด้วย เรารู้ๆ กันอยู่ว่าเขานั้นอ่อนแอ”

    “กระผมขอยืนยันขอรับเจ้านาย! ดอว์ลิชดูท่าทางมั่นใจมากๆ” แยกซ์ลีย์บอก

    “ถ้าเขาถูกคาถางงงัน เขาก็ต้องแน่ใจอยู่แล้ว” สเนปตอบ “ผมขอยืนยันกับคุณ แยกซ์ลีย์ สำนักงานมือปราบมารไม่ได้มีบทบาทในการปกป้องแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกต่อไป เพราะภาคีเชื่อว่าเราเข้าไปแทรกซึมในกระทรวง -- เฮเลน พอตเตอร์คงรู้เรื่องนี้ดีอย่างแน่นอน”

    ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่หญิงสาว เฮเลนนั่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งสายตาที่แทบจะมองทะลุร่างของโวลเดอมอร์ได้จ้องมองมายังเธอ เฮเลนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

    “ใช่" เธอตอบ “พวกเขาสงสัยมานานแล้วว่าพวกคุณแทรกซึมอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์”

    “ถ้างั้นภาคีก็คิดถูกเรื่องหนึ่งแล้วสินี่ จริงไหม!” ชายร่างเตี้ยม่อต้อซึ่งนั่งไม่ไกลจากแยกซ์ลีย์เอ่ย เขาหัวเราะคิกคัก เสียงสะท้อนก้องไปตามโต๊ะ

    โวลเดอมอร์ไม่ได้หัวเราะด้วย เขาละสายตาจากเฮเลนขึ้นไปมองจับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งหมุนอย่างเชื่องช้าเหนือหัวและดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แผลเป็นบนหน้าผากของเฮเลนปวดแปลบแต่เธอก็พยายามกลั้นความรู้สึกพวกนั้นไว้

    “เจ้านายครับ” แยกซ์ลีย์พูดต่อไป “ดอว์ลิชเชื่อว่ามือปราบมารทั้งหมดจะถูกใช้ในการเคลื่อนย้ายเด็กนั่น...”

    โวลเดอมอร์ยกมือใหญ่สีขาวเผือดขึ้นและแยกซ์ลีย์หยุดพูดลงทันที เขามีท่าทางขุ่นเคืองเมื่อโวลเดอมอร์หันกลับไปหาสเนปอีกครั้ง

    “พวกมันจะซ่อนเด็กนั่นไว้ที่ไหนต่อไป”

    “ที่บ้านของพวกภาคีคนหนึ่งครับ” สเนปตอบ “แหล่งข่าวบอกว่าสถานที่นั้นได้รับการคุ้มครองทุกอย่างที่ภาคีกับกระทรวงจะให้ได้ ผมคิดว่าถ้าเขาไปอยู่ที่นั่นแล้วเราจะมีโอกาสจับตัวเขาได้ยากมาก” เฮเลนนึกถึงภาพของบ้านโพรงกระต่าย ถ้าหากว่าแฮร์รี่ได้ไปซ่อนตัวที่นั่นก็คงจะปลอดภัยสำหรับเขามากเลยทีเดียว -- อีกอย่าง นอกจากนั้นความอบอุ่นที่ได้สัมผัสจากครอบครัววีสลีย์จะทำให้เขาไม่ต้องว้าวุ่นใจเหมือนกับเธอในตอนนี้ เขาจะต้องได้อยู่กับทุกๆ คนและพยายามหาทางออกของเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างแน่นอน “ยกเว้นเพียงแต่ว่ากระทรวงจะล่มก่อนวันเสาร์ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะมีโอกาสค้นพบและถอนมนตร์ต่างๆ แล้วทีนี้จะแก้มนตร์ที่เหลือได้ง่ายขึ้นอีก”

    “ว่าไงแยกซ์ลีย์” โวลเดอมอร์ส่งเสียงถามมาจากหัวโต๊ะ “กระทรวงจะล่มก่อนวันเสาร์ไหม”

    “ผมมีข่าวดีในข้อนี้” แยกซ์ลีย์ตอบ “ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ผมเสกคำสาปสะกดใจครอบงำไพอัส ทิกเนสได้สำเร็จแล้วครับ”

    หลายคนที่นั่งรอบๆ แยกซ์ลีย์ดูทึ่งกับเรื่องนี้ โดโลฮอฟ ชายหน้ายาวนั่งข้างๆ ตบหลังเขาเบาๆ

    “นี่เป็นการเริ่มต้น” โวลเดอมอร์กล่าว “แต่ทิกเนสเป็นแค่คนเดียว ต้องให้มีคนของเราอยู่รอบตัวสคริมเจอร์ก่อน ฉันถึงจะลงมือ ถ้าลอบสังหารรัฐมนตรีนั่นพลาดไปครั้งเดียว ฉันก็ถอยหลังไปมากโข ดังนั้นแกคงจะต้องช่วยฉันหน่อยล่ะเฮเลน”

    ร่างบางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว มือเล็กเลื่อนไปกุมมือของเดรโกแน่น เธอพยายามไม่คิดถึงครั้งก่อนที่เขาพยายามให้เธอมองดูว่าแฮร์รี่กำลังจะทำอะไร อยู่ที่ไหนและเธอตอบเขาไม่ได้ คำสาปกรีดแทงถูกใช้ซ้ำๆ จนเธอแขนหักไปแล้วครั้งหนึ่ง ขอบคุณที่อย่างน้อยยังมีตำราเรียนของเดรโกอยู่ที่นี่ การซ่อมแซมร่างกายด้วยเวทมนตร์จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะต้องกลับไปอยู่ในจุดนั้นอีก เธอก็ไม่อยากจะกลับไปอีกแล้ว!

    “ได้ไหมแม่สาวน้อย” โวลเดอมอร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เธอสำคัญกับฉันมากจริงๆ นะ”

    “ถ้าต้องการ" เฮเลนตอบเสียงสั่น “ฉันจะพยายามทำให้”

    รอยยิ้มอย่างพึงพอใจคลี่ออกมาจากใบหน้าอันน่าขยะแขยงนั้นทันที เฮเลนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองสั่นไปหมดอย่างไม่อาจควบคุมได้ ครั้งที่แล้วแขนหักไป ครั้งนี้เธอจะต้องพบเจอกับอะไรอีกนะ...

    “เจ้านาย ท่านก็รู้ว่าในฐานะหัวหน้ากองบังคับควบคุมเวทมนตร์ศาสตร์ ทิกเนสไม่เพียงจะเข้าพบรัฐมนตรีเป็นประจำเท่านั้น” แยกซ์ลีย์พูดขึ้น “เขายังได้พบบรรดาหัวหน้ากองทั้งหมดของกระทรวงอีกด้วย ผมคิดว่าเราคงจะครอบงำคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นพวกมันทั้งหมดก็จะทำงานร่วมกันเพื่อโค่นล้มสคริมเจอร์”

    “ถ้าทิกเนสเพื่อนเราไม่ถูกเปิดโปงซะก่อนที่จะชักชวนใครได้สำเร็จ” โวลเดอมอร์พูด “ไม่ว่ายังไงกระทรวงก็คงไม่มีทางตกเป็นของฉันได้ก่อนวันเสาร์แน่ๆ ถ้าเราแตะต้องเด็กนั่นที่จุดหมายปลายทางไม่ได้ ก็ต้องทำระหว่างเดินทางนั่นแหละ”

    “เราได้เปรียบตรงนี้นะครับเจ้านาย” แยกซ์ลีย์บอก “ตอนนี้เราวางคนไว้ในกองการขนส่งวิเศษหลายคนแล้ว ถ้าพอตเตอร์หายตัวหรือใช้เครือข่ายผงฟลูล่ะก็ เราจะรู้ทันที”

    “เขาไม่ใช้สองวิธีนั้นหรอก” เฮเลนเอ่ย ดวงตาสีมรกตว่างเปล่าและเธอไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป “พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการขนส่งทุกรูปแบบ พวกเขาจะไม่ไว้ใจทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับที่นั่นเลย”

    “แล้วเขาจะเคลื่อนย้ายพอตเตอร์ พี่ชายของเธอได้ยังไงล่ะ” โวลเดอมอร์พูดทั้งที่ยังฉีกยิ้มกว้าง

    “การเคลื่อนย้ายในที่แจ้ง” เธอตอบ ภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวกำลังบอกเล่าเรื่องราวให้เธอได้เห็น “เขาจะบินไป ไปที่ไหนสักแห่งที่พวกเขาคิดเอาไว้ว่าปลอดภัย ฉันเห็นใครบางคนตาย ฉันบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร”

    โวลเดอมอร์หัวเราะออกมา

    “ขอบใจมากแม่สาวน้อย” โวลเดอมอร์พูด เฮเลนสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ “ฉันจะจัดการเรื่องเด็กนั่นด้วยตัวเอง อะไรที่มีพอตเตอร์อยู่ดูเหมือนจะผิดพลาดไปหมด บางข้อก็เป็นเพราะความผิดพลาดของฉันเองทั้งนั้น”

    สมาชิกที่นั่งล้อมรอบโต๊ะจ้องไปยังโวลเดอมอร์อย่างหวาดหวั่น เฮเลนเห็นแท็คทำหน้าพอใจที่เธอใช้ความสามารถของตัวเองออกมา ความกลัวดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนของเธอ เฮเลนจำแทบไม่ได้เลยว่าทำไมถึงต้องพูดในสิ่งที่เห็นออกมา เพราะกลัวความตายใช่ไหม? หรือเพราะว่าเชื่อในคำพูดของดัมเบิลดอร์ว่ายังไงแฮร์รี่ก็จะต้องปลอดภัยถ้าเกิดว่าโวลเดอมอร์ให้ความมั่นใจแก่คำพยากรณ์

    “เพราะฉันเลินเล่อ ก็เลยถูกโชคและเคราะห์ขัดขวาง นี่แหละคือสิ่งที่ทำลายทุกอย่างยกเว้นแต่แผนที่วางเอาไว้อย่างดีเยี่ยม แต่ตอนนี้ฉันฉลาดขึ้นแล้ว ฉันเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ฉันต้องเป็นคนฆ่าพวกพอตเตอร์และฉันจะทำอย่างนั้นแน่”

    เขาพูด ดวงตาสีแดงสดจ้องมองมายังร่างอันสั่นเทาของเฮเลน หญิงสาวรู้ดีแก่ใจว่ายังไงเขาก็ต้องฆ่าเธอแน่ถ้าหากเธอหมดประโยชน์แล้ว ถ้าหากแฮร์รี่ตาย เธอก็คงจะตามเขาไปแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าเธอได้ทำนายเรื่องของคนที่ถูกเลือกที่จะมาล้มล้างเขาคนถัดไปเท่านั้น

    เสียงคร่ำครวญโหยหวนดังขึ้นกะทันหัน เสียงร้องชวนสยองที่เกิดจากความเจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส โวลเดอมอร์สั่งให้หางหนอนออกไปจัดการกับนักโทษที่ส่งเสียงก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ

    “ตอนนี้ฉันฉลาดขึ้นแล้ว และฉันจำต้องยืมไม้กายสิทธิ์ของพวกแกคนใดคนหนึ่งก่อนที่ฉันจะไปฆ่าพอตเตอร์”

    ทุกใบหน้าที่รายรอบแสดงอารมณ์ตกใจสุดขีด ยกเว้นเพียงเดรโกคนเดียวเท่านั้น เขายังคงความสงบเอาไว้ได้ราวกับว่าไม่ได้ฟังสิ่งที่โวลเดอมอร์พูดเลยสักประโยคเดียว

    “ไม่มีอาสาสมัครงั้นเหรอ” โวลเดอมอร์พูด “ถ้างั้นนาร์ซิสซา ฉันคิดว่าไม่มีเหตุผลที่แกจะต้องมีไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสเอาไว้นะ”

    นาร์ซิสซาเงยหน้าขึ้นมองโวลเดอมอร์ ผิวของเธอซีดเซียว ดวงตาลึกโหลและดำคล้ำ ผมยาวสีบลอนด์ทิ้งตัวลงบนแผ่นหลัง มือผอมๆ ดึงไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสออกมาส่งให้โวลเดอมอร์ เขารับมาถึงเอาไว้เบื้องหน้า ดวงตาสีแดงสำรวจไม้นั้นอย่างละเอียด

    “ไม้อะไร”

    “ไม้เอล์มค่ะ” เธอตอบเสียงกระซิบ

    “แกนล่ะ”

    “เอ็นหัวใจมังกรค่ะ”

    “ดี” โวลเดอมอร์พูด เขาดึงไม้กายสิทธิ์ของตัวเองออกมาเปรียบเทียบความยาว “ฉันสังเกตว่าหมู่นี้แกไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ การที่ฉันมาอยู่บ้านแกนี่ทำให้แกไม่พอใจงั้นเหรอนาร์ซิสซา”

    เธอเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรออกไปเลยแม้แต่คำเดียว

    “ไม่ครับ” เดรโกตอบเสียงราบเรียบ “ไม่เลยครับนายท่าน”

    โวลเดอมอร์ผุดยิ้มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบที่เข้ามาคลอบคลุม เสียงขู่ฟ่อก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอะไรหนักๆ ลื่นถไลไปตามพื้นห้องข้างใต้โต๊ะ งูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยช้าๆ ขึ้นมาบนเก้าอี้ของโวลเดอมอร์ นากินีเลื้อยขึ้นเรื่อยๆ และพาดพักอยู่บนบ่าของเขา ลำคอของมันหนาเสียจนเฮเลนคิดว่าสามารถกลืนเธอลงไปได้ทั้งตัว

    “ทำไมพวกมัลฟอยถึงดูไม่มีความสุขกับวาสนาของตัวเองนะ” โวลเดอมอร์พูด นิ้วเรียวลูบนากินีอย่างใจลอย “การกลับมาของฉัน การเถลิงอำนาจของฉันไม่ใช่สิ่งที่พวกแกปรารถนาหรอกเหรอ แล้วฉันยังให้เด็กสาวน่ารักน่าชังมาอยู่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแกด้วย มันก็ดีออกไม่ใช่เหรอ”

    นาร์ซิสซามีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาหลบเลี่ยงใบหน้าของโวลเดอมอร์ ทางด้านเฮเลนเหลือบมองดูร่างของศาสตราจารย์สอนวิชามักเกิ้ลศึกษาของเธอที่อยู่เหนือหัว ส่วนเดรโกยังคงนิ่งเงียบ เขามองเงาบนโต๊ะโดยไม่เอ่ยอะไร

    “เจ้านาย” ผู้หญิงผมดำหยิกฟูที่นั่งอยู่กลางโต๊ะเอ่ยขึ้น “เป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านที่นี่ ในบ้านตระกูลเรา ไม่มีความยินดีใดๆ จะยิ่งไปมากกว่านี้แล้วค่ะ”

    เธอนั่งอยู่ข้างๆ นาร์ซิสซา เส้นผมสีเข้มและเปลือกตาหนาปรือทำให้ทั้งสองดูไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว เช่นกันในการวางตัวในขณะที่นาร์ซิสซาวางท่าอย่างสงบ เบลาทริกซ์กลับเอนตัวไปทางโวลเดอมอร์ ลำพังแล้วคำพูดนั้นไม่พอที่จะแสดงความปรารถนาอันบ้าคลั่งที่อยากจะใกล้ชิดกายเขา

    “ไม่มีความยินดีใดๆ ยิ่งไปกว่านี้แล้ว” โวลเดอมอร์ทวนคำ “มีความหมายมากนะ เมื่อมาจากเธอ เบลาทริกซ์”

    เบลาทริกซ์หน้าแดงก่ำ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความปิติยินดียิ่ง

    “ไม่มีความยินดีใดๆ แม้จะเปรียบกับเหตุการณ์แสนสุขที่ฉันได้ยินว่าเกิดขึ้นกับครอบครัวแกสัปดาห์นี้น่ะเหรอ”

    เฮเลนเงยหน้าขึ้นมองไปยังโวลเดอมอร์ด้วยสายตาสงสัย

    “ฉันไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร” เบลาทริกซ์เอ่ยถาม ท่าทางงุนงงไม่แพ้กัน

    “ฉันกำลังพูดถึงหลานสาวของแกเบลาทริกซ์ แล้วก็ของแกด้วยนาร์ซิสซา หล่อนเพิ่งแต่งงานกับมนุษย์หมาป่า รีมัส ลูปิน -- พวกแกคงภูมิใจมากเลยสิ”

    เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นรอบโต๊ะ หลายคนชะโงกหน้ามาสบตากันอย่างยินดี สองสามคนใช้กำปั้นทุบโต๊ะ แต่งูใหญ่ไม่ชอบเสียงอึกทึก มันอ้าปากกว้างส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเกรี้ยวกราดแต่พวกผู้เสพความตายไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่ปรีดากับเรื่องน่าอับอายของเบลาทริกซ์และครอบครัวมัลฟอย

    “อีกอย่าง เดรโกลูกชายของแกก็คว้าเอาเลือดผสมเข้ามาอีก” โวลเดอมอร์พูดต่อ “ถึงจะเป็นผู้ถูกเลือกแต่ก็ยังมีเชื้อของแม่เลือดสีโคลน”

    เฮเลนขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เธอรู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาแบบนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มือของเดรโกบีบแน่นราวกับกำลังบอกเธอให้อดทนเอาไว้ เสียงหัวเราะพร้อมกับถ้อยคำดูถูกและสมเพชลอยเข้ามาเข้าหูจนเฮเลนรู้สึกว่ามันอื้ออึงไปหมด ใจอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้เสียให้ไกล

    “นังนั่นไม่ใช่หลานเราเจ้านาย!” เบลาทริกซ์พูด “ฉันกับนาร์ซิสซาไม่เคยมองนังน้องสาวนั่นตั้งแต่มันแต่งงานกับไอ้ผู้ชายเลือดสีโคลน นังเด็กสารเลวนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราเลย ไอ้สัตว์ประหลาดที่มันแต่งงานด้วยก็ไม่เกี่ยว”

    “ส่วนนังเด็กนี่” เบลาทริกซ์หันมาจิกตามองยังเฮเลน “สักวันมันก็ต้องตายอยู่แล้ว! ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าจะได้เข้ามารวมอยู่กับเราไหม เพราะยังไงมันก็ต้องตาย!!

    ริมฝีปากบางเม้มแน่น อยากจะส่งเสียงพูดอะไรออกไปบ้างแต่มือเรียวที่จับเอาไว้คอยดึงสติของเธออยู่ตลอด ความเป็นห่วงในดวงตาคู่นั้นทำให้เฮเลนสงบใจลงอย่างรวดเร็ว เธอพยายามที่จะยั้งใจตัวเองอย่างมากที่จะไม่ให้พูดโต้ตอบอะไรไปมากกว่านี้

    “แล้วแกล่ะว่าไงเดรโก” โวลเดอมอร์หันมาถามเดรโก แม้เสียงจะเบาแต่มันดังชัดเจนกลบเสียงโห่ฮาทั้งหลาย “แกจะเป็นพี่เลี้ยงลูกหมาป่าไหม? หรือบางทีแกอาจจะอยากมีลูกสักสองสามคนกับคนที่ถูกเลือกก่อนที่หล่อนจะตาย”

    เสียงหรรษายิ่งดังมากขึ้น เดรโกกระชับมือที่จับเฮเลนเอาไว้แน่นราวกับพยายามสงบสติอารมณ์

    “ตระกูลอันเก่าแก่ที่สุดของพวกเราหลายตระกูลได้กลายเป็นต้นไม้ที่ติดโรคไปบ้างเมื่อผ่านเวลาอันยาวนาน” เขาพูด “พวกแกต้องตัดแต่งต้นไม้เพื่อให้มันแข็งแรงใช่หรือไม่ ตัดส่วนที่จะเป็นอันตรายต่อส่วนที่เหลือออกไป”

    “ใช่ค่ะเจ้านาย” เบลาทริกซ์ว่า “ทันทีที่มีโอกาส!

    “แกต้องมีโอกาสแน่” โวลเดอมอร์บอก “แล้วในโลกก็เหมือนกับในครอบครัว เราจะตัดเห็ดราที่ทำให้ติดโรคออกไป จนกระทั่งมีแต่เลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่เหลืออยู่”

    โวลเดอมอร์ชูไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสขึ้น ชี้ตรงไปยังร่างที่แขวนลอยหมุนวนอยู่เหนือโต๊ะและกระดกไม้นิดหนึ่ง ร่างนั้นกลับมามีสติ สงเสียงครางและเริ่มต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างกระเสือกกระสน

    “แกจำแขกของเราได้ไหมเฮเลน” โวลเดอมอร์ถาม เฮเลนเหลือบตาขึ้นมองใบหน้านั้นแล้วหลับตาลงเม้มริมฝีปากด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวในหัวใจ

    “เซเวอร์รัสช่วยฉันด้วย!” ผู้หญิงคนนั้นเรียกสเนปเสียงแหบแห้ง เสียงนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกหวาดกลัวและกำลังขอร้องความเห็นใจที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่มีวันส่งไปถึงเธอ "ได้โปรด -- เซเวอร์รัส"

    “จำได้สิ” เธอตอบ ขณะที่อาจารย์สอนวิชามักเกิ้ลศึกษาลอยผ่านหน้าไป 

    “แล้วแกล่ะเดรโก” โวลเดอมอร์ถาม ลูบจมูกงูด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือไม้กายสิทธิ์ เดรโกพยักหน้าช้าๆ เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองเธอได้อีก เพราะเขาจะเห็นอาจารย์คนนี้ทุกครั้งที่แอบเข้าไปกวนใจเฮเลนตอนเรียนวิชามักเกิ้ลศึกษาเป็นประจำ

    “แต่แกคงไม่ได้เรียนวิชาที่มันสอนสินะ” โวลเดอมอร์พูด “สำหรับพวกแกที่ไม่รู้ ผู้ที่มาสมทบกับเราคืนนี้คือ แซริตี้ เบอร์เบจ ผู้ซึ่งเคยสอนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้”

    เสียงแสดงความเข้าใจดังขึ้นรอบโต๊ะ

    “ศาสตราจารย์” เฮเลนพึมพำ

    “ใช่แล้ว... ศาสตราจารย์เบอร์เบจสอนทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมักเกิ้ล ให้ลูกหลานของพ่อมดแม่มดได้รู้ สอนว่าพวกมันไม่ได้แตกต่างจากเราตรงไหนเลย”

    ผู้เสพความตายหลายคนทำหน้าขยะแขยง แซริตี้ เบอร์เบจหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับสเนปอีกครั้ง

    “เซเวอร์รัส ได้โปรด...”

    “เงียบ” โวลเดอมอร์พูด ไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสตวัดอีกครั้ง “ทำให้จิตใจของลูกหลานพ่อมดแม่มดไขว้เขว ยังไม่พอ เมื่อสัปดาห์ก่อนศาสตราจารย์เบอร์เบจของเราได้เขียนบทความปกป้องพวกเลือดสีโคลนลงเดลี่พรอเฟ็ต มันบอกว่าเราต้องยอมรับว่าไอ้พวกหัวขโมยพวกนี้มีความรู้และเวทมนตร์ ศาสตราจารย์เบอร์เบจยังย้ำอีกว่าจำนวนพ่อมดแม่มดเลือดบริสุทธิ์ที่ลดน้อยลงเป็นสิ่งที่น่าพึงประสงค์มากที่สุด มันอยากให้พวกเราจับคู่กับมักเกิ้ล หรือไม่ก็พวกมนุษย์หมาป่า!

    ไม่มีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกเลย เฮเลนรู้สึกว่าตัวเองตัวสั่นเมื่อน้ำเสียงของโวลเดอมอร์นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและเหยียดหยามอย่างชัดเจน ศาสตราจารย์เบอร์เบจหมุนตัวไปหาสเนปเป็นครั้งที่สามหรือสี่ หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาด สเนปมองตอบอย่างไร้ความรู้สึก

    อะวาดา เคดาฟ - รา!

    แสงสีเขียวของคำสาปสาดต้องทุกมุมห้อง ศาสตราจารย์เบอร์เบจหล่นพลั่กลงมาบนโต๊ะเสียงดังสนั่น ทำให้โต๊ะทั้งโต๊ะสั่นไหว ผู้เสพความตายหลายคนผงะถอยหลังบนเก้าอี้ เฮเลนทนไม่ไหวปล่อยน้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของศาสตราจารย์เบอร์เบจที่เธอเคยไปเข้าเรียนด้วยเมื่อตอนปีห้ากับเฮอร์ไมโอนี่

    “คงจะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นแบบนี้สินะ” โวลเดอมอร์แสยะยิ้มเย็น มองมายังเฮเลน “พามันกลับไปบนห้องเดรโก แล้วฉันจะเรียกอีกทีถ้าฉันต้องการ ไป!

    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ซีดพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะดึงแขนของร่างบางให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงสะอื้นเบาๆ ดังขึ้นตามหลังเขาในขณะที่เขาพยายามก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อพาเฮเลนไปให้พ้นสิ่งต่ำทรามและความทรมานที่เธอไม่อาจทนเห็นมันได้

    “อาหารเย็น นากินี” โวลเดอมอร์พูดเสียงนุ่มนวล เสียงคำรามขู่ฟ่อดังขึ้นตามหลังเสียงประตูบานใหญ่ปิดลง

    เดรโกไม่รอช้า อุ้มเฮเลนขึ้นและรีบสาวเท้าขึ้นไปยังห้องนอนในทันที ร่างบางในอ้อมแขนยังคงร้องไห้ออกมาไม่หยุดเพราะกำลังเสียขวัญ

    “อย่าร้องนะ” เขาวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่ม แขนสองข้างยังคงโอบกอดเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไรแล้ว”

    “แต่...” เฮเลนสะอื้น “ศาสตราจารย์เบอร์เบจ... แล้วยังที่ฉันเห็นแฮร์รี่”

    “พวกนั้นต้องไม่เป็นไร” เดรโกพูดเสียงเข้ม เขาพยายามกลั้นความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ “เชื่อใจหมอนั่นสิเฮเลน”

    “แต่ว่า แต่ว่าฉันบอกเขาไปเรื่องการส่งตัว” ใบหน้าของเฮเลนซุกเข้าไปในแผงอกกว้าง “พวกเขาจะต้องตามไปแน่ แล้วฉันยังเห็น... เห็นใครสักคนตาย ใครสักคน -- อาจจะเป็น...”

    “ไม่ใช่แฮร์รี่หรอก” เขาว่า

    “แต่ก็ต้องเป็นหนึ่งในภาคีไม่ใช่เหรอ!” เฮเลนพูด น้ำเสียงยังคงสั่นเครือ “พวกเขาน่ะ...”

    “พวกเขาเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องพวกเธอ” เดรโกพูด “เหมือนกับฉันในตอนนี้”

    เฮเลนเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ เธอพยายามบอกตัวเองให้เข้มแข็งและอดทน ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ไปอีกกี่ครั้งก็ตาม ตลอดเวลาเดือนกว่าที่เธอได้มาอยู่ที่นี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอจะสามารถตั้งสมาธิพยากรณ์ออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราว เธอมักจะมองเห็นใครสักคนตาย ใครที่เป็นพวกเขา และมันทำให้เธอคิดถึงแฮร์รี่ เป็นห่วงรอนและเฮอร์ไมโอนี่ ลูปิน ท็องส์หรือฝาแฝดวีสลีย์ก็ตาม

    ไม่อยากให้พวกเขาเป็นอะไรไปเลย -- เธอหวังอย่างนั้น -- หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าของเธอในเวลานี้

    “เดรโก” หญิงสาวพูดเสียงกระซิบ “นายจะไม่ตายใช่ไหม”

    “ไม่รู้สิ” เขาตอบ “แต่ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เธอตาย”

    เดรโกผละออกจากร่างบาง ดวงตาคมสีฟ้าซีดจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ

    “ฉันรักเธอ เฮเลน”

    “ฉันก็รักนาย”


    ติดตามตอนต่อไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×