คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๔๕
บทที่ ๔๕
กระดาษในมือสวยของบุตรชายคนเล็กของสำนักเถียนหรือเถียนเจียนเจี๋ยนั้นแม้จะมีเพียงไม่กี่ถ้อยคำก็ทำให้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าเขาถึงได้สั่งให้อพยพคนจากสำนักเถียนไปยังหมู่บ้านลิงแดงตั้งแต่เช้ามืดขนาดไฟยังไม่ทันดับ จนท่านพ่อและท่านแม่ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ยังยอมทำตามโดยการเก็บข้าวของแล้วขนขึ้นรถม้าแม้จะไม่ได้มีของมากอะไรนัก แต่พอจะต้องออกไปจากสำนักก็ย่อมเกิดใจหายอยู่แล้ว
ห้องทำงานของเจียนเจี๋ยในตอนนี้เตรียมไปด้วยม้วนเอกสารที่แทบจะถมตัวเองเอาสักวันหนึ่ง
ร่างสวยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้าที่อีกไม่กี่เค่อท่านพ่อท่านแม่ก็จะทำการอพยพออกไปแล้วร่วมถึงห่วงลู่ดวงใจของเขาที่แม้ตอนนี้ยังไม่ยอมตกลงปลงใจก็ตาม เอาเถอะ อาจจะมีเวลา....ได้เกี้ยวอยู่ละมั้ง ใบหน้างามเงยมองเพดานห้องที่ตอนนี้แอบมีหยากไย่บ่งบอกว่าคนทำความสะอาดไม่ได้มาทำนานพอสมควรหรือพูดง่ายๆ ก็คือจำนวนคนทำความสะอาดไม่มากพอซะมากกว่า เพราะให้ทยอยโยกย้ายไปที่อื่นกันเกือบหมดแล้วนั้นเอง เถียนเจียนเจี๋ยจัดการถอดหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ อะไรหลาย ๆ อย่างมันอัดอยู่ในอกจนอยากให้มันทลายหายไปในบัดดลเสียเหลือเกิน ระหว่างที่กำลังหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เคาะพร้อมกับเสียงขออนุญาตที่ต่อให้เจ้าของน้ำเสียงนั้นไม่ขอเขาก็ให้เข้ามาอยู่แล้ว ร่างของห่วงลู่เปิดเข้ามา แต่งกายที่ดูสบาย ๆ เรียบง่ายเดินมาหาเขาโดยที่เถียนเจียนเจี๋ยเองก็ไม่รอให้อีกคนเดินมาหาก็ลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปหาเช่นกันเพราะอีกไม่กี่เค่อคนตรงหน้าของเขาก็ต้องไปยังหมู่บ้านลิงแดงแล้ว และอีกอย่าง
เขาไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่
ห่วงลู่ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เอ่ยพูด
“ข้าวของและอะไรหลายๆ อย่างเตรียมพร้อมออกเดินทางแล้ว”
ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกยินดีเพราะยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งมากเท่านั้น เลยพยักหน้าเพื่อที่จะเดินไปร่ำลาท่านแม่และท่านพ่อนั้นเอง จังหวะที่เดินผ่านร่างของห่วงลู่ได้เพียงไม่กี่ก้าว ปกติแล้วห่วงลู่จะไม่แตะเนื้อต้องตัวผู้ใดก่อน และคราวนี้มือที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายทำงานมาหนักเพียงใดนั้นได้คว้าเข้าที่แขนของเจียนเจี๋ยน้องชายของสหายเพื่อกันไม่ได้ให้อีกฝ่ายเดิน ซึ่งคนที่ถูกคว้าแขนเอาไว้ก็หันไปก็พบกับสีหน้าที่ดูกังวลและไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้น พอเห็นเขาหันไปมองมือที่คว้าแขนเอาไว้ก็ดึงกลับทันที เพราะก่อนหน้านี้อยากจะถามบางอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้น สำนักเถียนนั้นทั้งยิ่งใหญ่ ปลอดภัย ถึงขั้นอพยพกันไปออกเกือบหมดสำนักเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็มองออกว่ามันผิดปกติ และเหมือนคนสวยจะมองออกว่าเขาเป็นอะไร ก็ไม่แปลกผ่านอะไรมาเยอะจะอ่านออกก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย ๆ ของอีกฝ่าย
“มีอะไรถามงั้นรึ”
ห่วงลู่ชั่งใจ ก้มหน้าลงเล็กน้อยว่าจะถามออกไปดีหรือไม่เพราะรู้สึกมันก้าวก่ายเกินไปสำหรับคนนอกอย่างเขา อาจจะเงียบไปนานเกินหรืออย่างไรไม่ทราบ ร่างของเจียนเจี๋ยถึงได้เดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม หากเป็นก่อนหน้านี้คงได้กลิ่นหอมจากอีกฝ่ายที่คอยพรมตามจุดชีพจรเนื่องจากทำงานกับคนหมู่มาก แต่บัดนี้กลิ่นนั้นช่างจืดจางจนได้กลิ่นเนื้อกายหนุ่มชัดเจนมากกว่าเดิม ช่างน่าแปลกนักที่กลิ่นนี้กับทำให้เขาใจเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัดในอก ไหนจะนิ้วมือที่รอยน้ำหมึกที่ฝังเอาไว้เป็นจารึกมาเชยคางของเขาให้เงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตาสวยที่อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ใส่ใจตัวเองขนาดไหนกันนะ นั้นทำให้ห่วงลู่ตัดสินใจเอ่ยถามออกไปทันที
“ถึงขั้นต้องอพยพกันเช่นนี้ มันอันตรายใช่ไหม”
เจียนเจี๋ยสบกับดวงตาใสซื่อที่สั่นไหวราวกับคนกำลังจะร้องไห้ ถามว่าอันตรายมากแค่ไหน ก็อาจจะมากพอที่เขาคนนี้อาจจะต้านทานกับบางสิ่งไม่ไหวก็ได้ ว่าแล้วก็เอามือออกจากคางมน
“ข้าถึงได้ให้ท่านเดินทางไปกับท่านพ่อท่านแม่ไง”
แม้จะตอบไม่ตรงคำถามก็เข้าใจว่ามันอันตรายมากจริง ๆ ห่วงลู่แม้จะไร้ความรู้ด้านนี้ก็ใช่จะโง่เขลาอ่านอะไรไม่ออก
“เพราะตัวเจ้าไม่สามารถปกป้องได้สินะ”
สมแล้วที่เป็นสหายของพี่ชายเขา เจียนเจี๋ยเลยทำได้แค่ยิ้มให้เท่านั้น ใช่แล้ว หากเป็นศัตรูที่เคยพบพานมาก่อนก็พอจะปกป้องคนของสำนักเถียนเอาไว้ได้ แต่อีกฝั่งนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยพบเจอ เมื่อถึงคราวได้ปะทะกันแล้วนั้น ชีวิตของเขาก็อาจจะหาไม่ก็ได้ ห่วงลู่ที่มองรอยยิ้มบนใบหน้าสวยแล้วนั้น มันใช่เรื่องที่ต้องยิ้มหรือ
“แล้วเจ้าละเจียนเจี๋ย เจ้าจะปลอดภัยงั้นรึ! ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย เดี๋ยวข้าจะไปบอกท่านแม่ให้ทราบแล้วเอาข้าวของข้าลงมารถม้า ดีที่ไม่ได้มีอะไรเยอะนัก”
พูดจบห่วงลู่ก็ก้าวเท้าเพื่อไปเอาข้าวของของตนลงจากรถม้าและบอกกล่าวกับท่านแม่ถึงเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อ จะให้เขาทิ้งน้องชายของสหายไว้ผู้เดียวได้อย่างไรกัน แถมตอนนี้เขาแทบจะไม่ค่อยเห็นเด็กสำนักเถียนเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเดินพ้นร่างสวยได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกอีกฝ่ายดึงแขนเข้าไปหาให้หันหน้ามาคุยกันในระยะที่แทบจะกอดกันได้เลยด้วยซ้ำ
“อย่าเลย ยิ่งท่านอยู่ข้ายิ่งหวาดกลัว ข้ากลัวที่ปกป้องท่านเอาไว้ไม่ได้ ไปกับท่านพ่อท่านแม่ข้าเถอะ”
น้ำเสียงทุ้มที่นุ่มนวลที่เปล่งออกมานั้นเรียบ ๆ ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์อะไรเลย แต่เมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาแล้วนั้น ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งคนอย่างห่วงลู่จะอ่านแววตาของคนอื่นออก หรือเพราะคนตรงหน้าเขานั้นไม่เก็บความรู้สึกใด ๆ กับเขากันแน่ เพราะมันทั้งกลัวและไม่มั่นใจ หากเขายังดื้อดึงอยู่ต่อแล้วละก็ ..... อาจจะนำความลำบากให้กับเจียนเจี๋ยก็ได้ แต่อีกใจก็หวาดกลัวนักว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้จ้องมองแววตาคู่นี้ ได้มองใบหน้าสวย ๆ ได้เต็มตาแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้น บอกได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะปลอดภัย”
ปากบางของเจียนเจี๋ยยกยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้นจากห่วงลู่ ชายเพียงหนึ่งเดียวที่ครอบครองหัวใจของเขามาตลอด ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้อีกฝ่ายมีใจให้กับใครเลย จนกว่าเขาจะพร้อมหรือจนกว่าเขาจะโตพอที่รับผิดชอบชีวิตใครสักคน ตอนนี้ได้รับความห่วงใยจากอีกฝ่ายก็รู้สึกอิ่มเอิบจนรู้สึกเสียดายนักหากเขาจะไม่สามารถไปรับความห่วงใยจากคนตรงหน้าได้อีก
“ข้าขอโทษ ที่ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าข้าจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ห่วงลู่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งเป็นห่วงเป็นกังวลมากกว่าเดิมไปอีก แทนที่จะสบายใจแล้วออกเดินทางไปไกลจากตรงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกขัดใจ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาขัดใจกับน้องชายของสหายรัก แถมรู้สึกไม่พอใจในคำตอบด้วย ได้เมื่อรักเขาแล้วทำไมถึงได้.... เตรียมตัวเหมือนจะเอาชีวิตตัวเองไปตายเช่นนี้กันเล่า ห่วงลู่เผลอกันปากล่างตัวเอง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะเอ่ยคำใด เขาน่ะ เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายปลอดภัยก็เท่านั้นเอง เถียนเจียนเจี๋ยมองชายตรงหน้าที่ทำหน้าอย่างกับคนกำลังจะร้องไห้ที่เกิดจากการขัดใจเหมือนเด็กน้อยที่ขอของเล่นแล้วไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น ปากบางกำลังจะเอ่ยตอบ เสียงของห่วงลู่ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวท่านแม่กับท่านประมุขจะรอนาน”
พูดจบก็หมุนตัวแล้วหันหลังก้าวเท้าเดินออกไป จนเถียนเจียนเจี๋ยตอนแรกทำได้แค่มองตามแผ่นหลังเท่านั้นก่อนที่จะก้าวเท้าเดินตามออกไปยังลานที่มีรถม้าที่ธรรมดาไม่เตะตาหรือสะดุดตาเท่าไรนัก ส่วนข้าวของได้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว ขบวนจะได้ไม่ใหญ่มากนั้นเอง แน่นอนคนพ่อที่ต้องปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวแม้เขาจะขอเป็นฝ่ายอยู่ ไม่รู้เลยว่าบุตรชายคนเล็กของเขาจะเติบใหญ่ได้ขนาดนี้ เขานั้นยังเจ็บปวดที่ต้องเห็นลูกชายอยู่สำนักเพียงลำพัง แล้วคนผู้เป็นแม่จะขนาดไหน ปกตินายหญิงซูหนี่ไม่ใช่คนร้องไห้ง่าย ๆ เรียกได้ว่าน้ำตาหนึ่งหยดมีค่าประดุจทองคำเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้น้ำตาใสกำลังคลอเบ้าตาสวยที่จะไหลก็ไม่ยอมไหลออกมานั้น แถมปลากจมูกก็แดงอีกต่างหาก ทำให้คนเป็นลูกนั้นเจ็บปวดไม่น้อยที่ได้เห็นน้ำตาของแม่ แถมมือนุ่มที่อ้อมกอดตั้งแต่เขายังเป็นทารกได้มาประคองแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน ปากที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางก็เอ่ยพูด ไม่สิออกทำนองสั่งซะมากกว่า
“อย่าลืมทานข้าวเข้าใจไหม ห้ามขาดสักมื้อเชียวนะ อย่าทานแต่เนื้อทานผักเข้าไปด้วย อย่านอนดึกเดี๋ยวผิวจะเสียเอานะ ตอนสายตอนบ่ายหาขนมกินด้วย แม่ปักถุงหอมเอาไว้ให้หลายอันเลย เครื่องประทินผิวแม่ก็เอาไว้ให้แล้วนะ ถ้าบาดเจ็บละก็...”
เจียนเจี๋ยรีบจับมือของตัวเองออกจากแก้มของตนก่อนที่จะประคองจับมือเอาไว้
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่ รีบขึ้นรถม้าเถอะ เดี๋ยวสาย”
สิ้นเสียงของเขาปากของผู้เป็นแม่ก็คว่ำลงทันที ราวกับเด็กน้อยที่เบะปากจะร้องไห้ แต่ไม่ทันไรก็รีบปรับสีหน้ากลับมาขรึมใส่เขาสักอย่างนั้น ช่างเป็นหญิงที่ร้องไห้ยากจริง ๆ นั่นแหละ แม่ของเขาทำไมเก่งได้ขนาดนี้กันนะ
“เข้าใจแล้วจริง ๆ ใช่ไหม อย่าให้แม่รู้ทีหลังล่ะ แม่จะตีเจ้าแน่”
“ขอรับท่านแม่”
เถียนซูหนี่ดึงมือออกจากลูกชายคนเล็กของนางที่ไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กน้อยที่คอยถามว่าอันนี้คืออะไร อันนั้นคืออะไร แอบมาเล่นเครื่องสำอางของนางตอนที่ไม่อยู่อีกด้วย ตอนนั้นนางเลยต้องเป็นตุ๊กตาให้เจ้าลูกชายคนเล็กจับแต่งหน้าเล่นซะอย่างนั้น แล้วนี่ต้องห่างไกลกัน ไม่เหมือนกับต้าต่านที่แต่งงานออกเรือน แต่ในเมื่อลูกชายนางทำเช่นนี้ นางก็เคารพการตัดสินใจของลูก ร่างของเถียนซูหนี่ขึ้นรถม้าไปแล้ว หยางเฉิยเหวยผู้เป็นพ่อหันมาหาลูกชายคนเล็ก ก่อนที่จะยื่นมือไปจับบ่า
“พ่อจะดูแลแม่ให้ดี”
“ขอรับ ออกเดินทางเถอะ”
หยางเฉินเหวยพยักหน้าแล้วดึงมือกลับมาเพื่อขึ้นรถม้าออกเดินทางไปยังหมู่บ้านลิงแดงที่ว่านั้น โดยอีกหนึ่งรถม้าที่กำลังจะเดินทางตามหลังโดยทิ้งระยะห่างเอาไว้นั้นคือรถม้าของห่วงลู่นั้นเอง เจียนเจี๋ยมองไปยังร่างที่กำลังยืนรอเพื่อขึ้นรถม้าก็เลยจัดการไล่คนอื่นออกไปจากตรงนี้ก่อนแล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปหา เพราะเมื่อครู่ที่แม้จะไม่ได้ทะเลาะกัน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเดินเข้าไปเพื่ออำลา โดยห่วงลู่เองก็รับรู้ว่าอีกคนกำลังเดินมาหาเขา เมื่อระยะใกล้กันมากพอที่พูดคุยกันได้ ห่วงลู่เลยไม่รีรอที่จะเอ่ยพูดขึ้นก่อน
“เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ทำกิริยาเช่นนั้นออกไป ข้าเป็นกังวลแล้วก็เพราะไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตราย”
“ข้าไม่ได้โกรธเคืองอะไรท่านหรอก อีกอย่างข้าเข้าใจเจตนาของท่าน ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า ขอบคุณมาก ๆ เลย”
ทั้งสองมองหน้ากันเพราะห่วงลู่ไม่รู้จะพูดอย่างไรออกไป แต่เพียงไม่นานเสียงของเจียนเจี๋ยก็ดังขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาจะต้องออกเดินทางออกจากสำนักเถียนแล้ว
“รถม้าท่านพร้อมแล้ว ออกเดินทางเถอะ”
ห่วงลู่ยกยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้แล้วหันไปเพื่อเตรียมก้าวเท้าขึ้นรถม้า แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับร่างกาย เสียงของเจียนเจี๋ยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าอยากจะบอกกับท่านก่อนที่จะไม่ได้บอก ว่า ข้ารักท่าน และรักมาตลอด และจะรักตลอดไป”
ห่วงลู่น่ะแม้จะมารู้ทีหลังว่าน้องชายสหายคิดอย่างไรกับตน ตอนแรกยอมรับเลยว่าเขาเองก็ไม่รู้ใจหัวใจตัวเองเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาในสายตาของเขาก็มองอีกฝ่ายเป็นเสมือนน้องชายมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแอบชอบเขามาโดยตลอดเช่นกัน นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ขอให้เขาเป็นคู่ฝึกจูบให้ คิดแล้วก็แอบโมโหที่โดนหลอกกินเต้าหู้ ถึงกระนั้นแล้ว ...
ไม่รู้อะไรดลใจว่าห่วงลู่หันไปเจียนเจี๋ย
สองเท้าก้าวไปหาจนระยะห่างย่นลงเรื่อย ๆ โดยเจียนเจี๋ยเองก็ไม่ได้ขยับไปไหนจนกระทั่งร่างกายของทั้งสองใกล้กัน ปากของห่วงลู่ยื่นไปสัมผัสเข้าที่ปากของเจียนเจี๋ย พร้อมกับกดลงไปแนบแน่นกว่าเดิมจนคนที่โดนกระทำถึงกับเบิกตากว้างที่ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะกล้ากระทำเช่นนี้ แล้วถามว่าชอบหรือไม่
แน่นอนสิ ชอบมากเลย
ว่าแล้วสองแขนของบุตรชายคนเล็กสำนักเถียนก็จัดการโอบกอดร่างของชายที่เขาตกหลุมรักมายาวนานให้เพื่อจูบที่กำลังสัมผัสกันและกันอยู่นั้นได้คงอยู่ยาวนานมากที่สุด ดีที่ไม่มีคนอยู่แถวนี้ แต่ต่อให้มีใครสนใจกันล่ะ ถึงอยากจะให้จูบคงอยู่ยาวนานเพียงใด สุดท้ายก็ละออกจากกัน เป็นจูบที่ทั้งหวานและขม ยากเกิดกว่าจะบรรยายออกมาได้ ดวงตาของสองคนสะท้อนภาพของกันและกัน ก่อนที่ห่วงลู่จะเอ่ยพูดออกมาก่อนที่เขาจะต้องออกไปจากอ้อมกอดนี้
“ได้โปรดอย่าให้จูบนี้เป็นจูบสุดท้ายเลยนะเจียนเจี๋ย”
ห่วงลู่เอ่ยพูดโดยไม่รู้เลยว่าน้ำตาทำไมต้องไหลออกมา เพราะจูบรสชาติขมปนหวานเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ เถียนเจียนเจี๋ย เห็นเช่นนั้นไม่อาจจะเปล่งเสียงให้คำตอบออกไปได้ นอกจากกระชับกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากของอีกฝ่าย หากสามารถส่งความคิดในหัวไปให้ได้ก็อยากจะทำเหลือเกิน
“ยกโทษให้กับข้าเถอะนะ ห่วงลู่ดวงใจของข้า”
มันเจ็บ นี่รึเปล่าที่เจ็บได้โดยไร้บาดแผล มันเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ได้กัน ทำไมกันนะ หน้าผากที่แนบชิดกันนั้นสัมผัสถึงความอุ่นที่มอบให้ จนอยากจะหยุดกาลเวลาเอาไว้ตรงนี้ แต่อย่างไรก็ตามเวลามันไม่เคยหยุดเดินไปข้างหน้า ทั้งสองเลยจะต้องละออกจากกันโดยมีนิ้วโป้งของเจียนเจี๋ยยื่นไปเช็ดน้ำตาให้พ้นจากแก้มใส ก่อนที่จะใช้ปากของตนจรดจูบไปยังเปลือกตาที่เปียกชื้นของห่วงลู่ที่หลับตาลงเพื่อรับมัน
“ไปเถอะ ออกเดินทางได้แล้วนะ”
ห่วงลู่กลืนน้ำลายลงคอตามด้วยจะหายใจเข้าลึกๆ จ้องมองใบหน้าสวยของคนตรงหน้าให้เต็มสองตาคู่นี้ แล้วค่อยก้าวเท้าขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางออกไปจากสำนักเถียนทันที โดยเสียงเท้าของม้าได้พาร่างของคนรักออกไปไกลมันช่างเหมือนเหยียบกลางอกของเขาเลยทีเดียว จังหวะนั้นเอง ด้านหลังก็มีร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าจะเจออะไรแบบนี้ ยอมรับเลยว่าทำใจยากพอสมควรเลยที่เชื่อลง
“เตรียมตัวให้พร้อมเถอะขอรับ”
เจียนเจี๋ยหันไปมองก็พบกับเด็กหนุ่มใบหน้าน่ารักสวมเกาะใบหน้าจงขุย หรือก็คือ หลิวหยางนั้นเอง
สำนักเพ่ยก่อนรุ่งสาง
การที่เทพเซียนฝันนั้น ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก การง่วงหรือการหลับนอนส่วนใหญ่ไม่ต่างจากการเข้าสมาธิและส่วนใหญ่จะไม่ฝัน หากฝันก็ไม่ต่างจากลางบอกเหตุนั้นเอง แล้วสิ่งที่เพ่ยจวินหงฝันนั้น คือต้าต่านจดจำอดีตชาติได้ แต่กระนั้นกลับจดจำได้เพียงชาติเดียวหรือชาติที่เขาเอาหอกแทงอีกฝ่ายนั้นเอง จนร่างกายเด้งขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่ไหลข้างขมับ เมื่อหันมองอีกฝ่ายที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขา ใบหน้าหล่อเหลายามหลับใหลนั้นไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังคงงดงามในสายตาของเขาอยู่เสมอ นิ้วสวยยกมือไปเกลี่ยแก้มนุ่มอย่างเบามือ ก็พบว่ามือของเขากำลังค่อย ๆ จางลงไปแล้วค่อย ๆ กลับมาเหมือนเดิม
เวลาของเขามันใกล้จะหมดลงไปทุกที ๆ
จวินหงเลยดึงมือของตัวเองกลับแล้วลุกจากเตียงนอนเพื่อไปจัดการล้างหน้าล้างตัวเพื่อไปยังห้องเครื่องประดับที่เขาจะจัดให้กับต้าต่านได้สวมใส่ในวันนี้ มาคิดตรงนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดกลางอก หากวันนั้นมาถึง วันที่เขาไม่สามารถอยู่บนดินแดนมนุษย์หรือแม้กระทั่งแดนสวรรค์ วันนั้นใครจะคอยจัดเครื่องประดับให้ต้าต่านกันนะ จวินหงสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึกแล้วเดินไปยังห้องเครื่องประดับหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย เมื่อมาถึงก็เจอกับเฉินยืนถือถาดรออยู่แล้ว
“วันนี้เป็นจี้หยกแดงก็แล้วกัน”
นึกย้อนไปถึงวันนั้นที่อีกฝ่ายทำตก เขาในตอนนั้นตั้งมั่นว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครได้ตัวต้าต่านไปจากเขาเป็นแน่ แต่พอเป็นนี้ เขาคงได้แค่ภาวนาว่าคนคนนั้นที่มีชะตาต้องกับต้าต่านจะรักและคอยดูแลเป็นอย่างดี แม้เขาไม่อยากให้มีใครมาแทนที่ก็ตาม แค่ตอนนี้ยังยืดเวลาให้กับร่างกายนี้ยังยากเลย เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลับมามีร่างกายที่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้นั้น คือการคืนชีพทองคำให้กับเขา แล้วการคืนชีพคือต้องใช้เลือดและกระดูกของต้าต่านที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายตายได้
แน่นอนว่าเขาแทบไม่ต้องเลือกเลย
มือสวยหยิบเครื่องประดับลงบนถาดที่เฉินกำลังยืนรออยู่ โดยไม่ลืมที่หยิบปิ่นปักผมที่ทำจากหยกสีขาววางลงบนถาดด้วยเช่นกัน เฉินเห็นดังนั้นก็ยกยิ้ม เมื่อทุกอย่างครบแล้วเฉินก็เดินออกไปจากห้องเพื่อเตรียมแต่งกายให้กับนายของตนที่อีกสักพักก็น่าจะตื่นนอน ที่ไม่รู้ปลงหรืออย่างไร จากที่พยายามตื่นก่อนผู้เป็นสามี ตอนนี้ตื่นตอนไหนก็ช่างมันไปซะอย่างนั้นแถมยังยอมปักปิ่นอีกต่างหาก นี่เท่ากับนายของเขาแอบมีใจให้กับท่านประมุขแล้วหรือเปล่านะ แต่งงานมากันขนาดนี้แล้ว
และเมื่อจวินหงเดินออกมาจากห้องโดยมีสองพี่น้องลี่ปิดประตูให้
ก็เจอกับชายชราที่ชอบแบกไม้ตกปลาไว้บนบ่าอยู่เสมอกำลังยืนรอเขาหรือเปล่าก็ไม่อาจจะทราบได้ ก็คือตาเฒ่าปลาทองที่เป็นเสมือนพ่อของเขานั้นเอง โดยสองพี่น้องลี่เห็นเช่นนั้นก็พากันเดินออกไปจากตรงนั้น จวินหงก้าวเท้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อเดินเคียงกัน โชคดีที่ตาเฒ่าปลาทองหมุมไม้ตาปลาไปอีกฝั่ง ไม่เช่นนั้นเช้าวันนี้เขาอาจจะโดนไม้ตกปลาฟาดใส่แต่เช้าเป็นแน่
“จะตกปลาแต่เช้าเลยรึ”
“คนแก่อย่างข้าจะมีอะไรให้ทำนักเล่า เช้านี้เจ้าว่างหรือเปล่า ไปตกปลาเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกชวนไปตกปลา แต่เป็นครั้งแรกที่ชวนไปตกปลาแต่เช้าเช่นนี้ เอาเถอะ เช้านี้เขาไม่มีทำอยู่เหมือนกัน เพราะกว่าฮูหยินของเขาจะตื่น กว่าจะได้ทานมื้อเช้าก็อีกพักใหญ่ ว่าแล้วก็เดินตามตาเฒ่าปลาทองไปยังทะเลสาบทันที โดยที่นั่นมีไม้ตกปลาอีกคันวางเอาไว้อยู่แล้ว น่าจะเป็นคันเดียวกับที่ต้าต่านใช้ ทั้งสองนั่งลงตกปลาด้วยกัน นึกย้อนไปวันที่ได้นั่งตกปลาครั้งแรก ที่ตกเท่าไรก็ตกไม่ได้สักตัว จนท้องร้องหิวข้าว พอถามว่าจะตกปลามากินแบบนี้ไม่ทันการแน่ ๆ แถมปลาก็ไม่ยอมกินเหยื่อด้วยซ้ำ ตาเฒ่าก็ตอบกลับมาว่า ‘ข้ามาตกปลาไม่ใช่เพราะอยากจะกินปลาสักหน่อย’ จากนั้นก็ยื่นซาลาเปามาให้กับเขาได้ทาน แม้วันนั้นจะไม่เข้าใจว่าทำไมก็เถอะ และไม่ต้องถามว่า ณ ปัจจุบันเขารู้หรือไม่ ตอบเลยก็คือไม่ ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยอยู่นั้น เสียงตาเฒ่าก็ดังขึ้น
“เจ้าจะทำเช่นไรต่อไปล่ะจวินหง”
ดวงตาสวยหันไปมองตาเฒ่าที่ถามโดยไม่ได้หันมองเขาเลยสักนิด
“ตอนนี้มีกองกำลังแล้ว เหลือแค่ฝึกอีกเล็กน้อย กำลังข้าในตอนนี้อาจจะสู้จวินหรงไม่ได้ แต่กองกำลังที่มีอยู่น่าจะต้านไหว ไหนจะหลิวหยางที่จะลอบฆ่าเพื่อตัดกำลังได้อยู่”
“เรื่องนั้นข้าน่ะข้าเข้าใจและก็พอรู้ ข้าหมายถึงเจ้ากับจวินหรงต่างหาก”
จวินหงได้ยินคำถามแบบนั้นทำให้เขาหวนถึงความทรงจำกับน้องชายที่ตามหลังเขา วันที่ได้นั่งตกปลากับตาเฒ่าปลาทองพร้อมกันทั้งสองคนโดยในมือถือซาลาเปากินไปด้วย พูดคุยกันไปด้วย หยอกล้อกันไปด้วย จนปลาพากันหนีหายแล้วก็โดนตาเฒ่าเขกหัวไปคนละหนึ่งที แล้วไล่ให้ไปเล่นที่อื่น แม้ร่างกายของจวินหรงในตอนแรกลำบากลำบนหน่อย พอได้บำเพ็ญเพิ่มตบะกับตนเองร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นจนมีรูปร่างและหน้าตาเหมือนเขา ทำให้วิ่งเล่นกันสนุกมากขึ้นเลยทีเดียว มานึกแล้วลูกทั้งสองคนของเขาก็น่าจะได้ความดื้อจากเขาเป็นแน่ ความทรงจำเหล่านั้นมันทั้งสนุกและมีความสุขมากเลยทีเดียว ไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงวันที่เขาจะต้องมาจับน้องชายตนเองแบบนี้
“ข้าคงต้องส่งให้กับสวรรค์เพื่อลงทัณฑ์ตามที่ตกลงกันไว้”
“แล้วเจ้าจะจับอย่างไรในเมื่อจวินหรงสามารถรวมร่างกับมังกรทมิฬได้สำเร็จแล้ว เขาทรงพลังมากกว่าเจ้า”
“ข้ารู้ แต่อย่างไรก็ตามข้าไม่คิดจะคืนชีพหอกอยู่ดี”
ตาเฒ่าปลาทองได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองใบหน้างดงามที่ไม่คิดเลยเด็กชายที่ร้องไห้ขี้มูกโปงในวันนั้นจะงดงามเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์ที่นำชัยชนะมาให้ไม่รู้เท่าไร ทั้งงดงามและแข็งแกร่ง และไม่คิดเลยว่าจะรักภรรยามากอีกด้วยมากจนยอมทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเอง เขาสอนเด็กคนนี้ได้ดีขนาดนี้เลยรึ
“ถ้าหากวันหนึ่งต้าต่านรับรู้ถึงทุกอย่าง เจ้าไม่คิดว่าเขาจะเสียใจรึ”
“ไม่หรอก ต้าต่านจะไม่มีทางจำได้ และหากเป็นเช่นนั้นต่อให้ถึงวันที่ข้าหายไป ....นี่ตาเฒ่า”
“อะไร”
“ถ้าข้าหายไป ต้าต่านในชาตินี้จะเจ็บปวดที่ข้าหายไปหรือเปล่า”
“ข้าจะไปรู้รึไง ไปถามเจ้าตัวเอาสิ”
จวินหงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกและปล่อยให้บทสนาจบลงตรงนั้นแล้วปล่อยให้ปลามากินเหยื่อที่ไม่รู้เลยว่ามันจะมากินเมื่อไร
มือเรียวของต้าต่านจัดการปักปิ่นลงไปบนม้วนผมแม้จะเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ โดยมีเฉินที่ยืนปลาบปลื้มอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่ากระจกย่อมสะท้อนให้เห็นอยู่แล้ว ต้าต่านเลยจัดการหันไปหาเฉินที่ไม่รู้จะทำท่าทางแบบนั้นอีกนานไหม
“เจ้าจะทำท่าทางปลาบปลื้มอะไรนักหนาไม่ทราบ”
“ข้าน้อยไม่คิดเลยว่าฮูหยินจะยอมปักปิ่นเองขอรับ”
“ก็เจ้าปักเสียแน่นบางทีข้าก็เจ็บเป็น ไปๆ ไปทานมื้อเช้าดีกว่า”
เพราะการเริ่มวันใหม่ท้องต้องอิ่มไว้ก่อน ต้าต่านเดินนำหน้าเฉินเพื่อไปยังห้องทานอาหาร ที่พร้อมเปิดประตูออกมาก็เจอกับจวินหงที่ไม่รู้ไปไหนมา พอเห็นหน้าเขาก็ยิ้มหวานใส่ทันที เอาจริงเถอะ เขาน่ะไม่ได้ยอมแพ้ที่จะพยายามตื่นก่อนอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรสุดท้ายก็ตื่นทีหลังอีกฝ่ายเหมือนเดิมทุกที
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือ”
“ข้าละเหม่อเดินอยู่น่ะ”
การเถียงกลับมาเช่นนี้หากเป็นคนอื่นคงจะรู้สึกโมโหหรือรู้สึกโดนกวนประสาทอยู่ แต่สำหรับจวินหงแล้วนั้นมันเป็นอะไรที่น่ารักมาก ก็อย่างว่า อีกคนยืนเด่นเป็นสง่าด้วยท่าทางหล่อเหลาเช่นนี้แล้วยังจะถามว่าตื่นแล้วหรือ ต้าต่านไม่ด่าเขากลับก็นับว่ามีบุญวาสนามากพอแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นไปทานข้าวกันเถอะ”
ต้าต่านไม่ได้ปฏิเสธเขาหรืออะไร แถมยังเดินเคียงเขาเพื่อไปยังห้องอาหาร ส่วนเฉินก็เดินตามหลังมองทั้งสองที่เดินเคียงข้างกันมันช่างสวยงามยิ่งนัก นาน ๆ จะนายทั้งสองของเขาจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ว่าแล้วเฉินเลยเดินทิ้งระยะห่างมากพอสมควร และเหตุผลที่ต้าต่านมาเดินข้าง ๆ เช่นนี้จวินหงรู้จุดประสงค์ดี ว่าอีกฝ่ายต้องมีอะไรแน่นอน
“ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรอยากจะถามข้าแต่เช้ารึ”
“ก็ดีที่เจ้ามองออก ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าสังเกตว่ามีคนของสำนักเพ่ยเพิ่มขึ้นแม้จะไม่มาก แต่บางคนข้ากลับไม่รู้คุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไรนัก”
“ไม่คิดว่าฮูหยินนะสังเกตถึงเพียงนี้ ใช่ เพื่อความปลอดภัยของฮูหยินข้าเลยต้องเพิ่มกำลังคนมากขึ้น”
“เพื่อความปลอดภัยของข้าเนี่ยนะ เผื่อเจ้าจะลืมไปว่าข้าคือใคร”
“ข้ารู้ว่าฮูหยินคือใครและฝีมือไม่สองรองใครนอกจากพ่ายแพ้ให้กับข้า”
“เพราะเจ้าเล่นสกปรกกับข้าต่างหาก!”
จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวเดินหนีเขาทันที จวินหงเลยทำได้แค่เดินตามไปเท่านั้น ทำเอาเฉินที่อยู่มองถึงกับงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อครู่ยังเดินเคียงข้างกันอยู่เลย แล้วไฉนถึงได้ทะเลาะแล้วเดินหนีเสียแล้วเล่า จะรักกันหวานชื่นเมื่อไรกันหนอ แถมประมุขคนงามก็ดูจะชอบใจเพราะเดินยิ้มตามหลังฮูหยินไปอย่างร่าเริงอีกต่างหาก
ณ หมู่บ้านลิงแดง
เหตุการณ์ตรงหน้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี แม้ว่าหมู่บ้านลิงแดงจะเป็นสถานที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ จึงต้องมามีการอพยพไปยังแคว้นอื่นหรือแคว้นใกล้เคียงที่พันธมิตรกับแคว้นเค่อ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ถือว่าจะรับอันตรายก็พาอพยพไปที่นั่นเสียส่วนใหญ่ที่จะต้องใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างทางจะทหารของสวรรค์ตามไปดูแลอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าระหว่างทางจะได้รับอันตราย
แต่ทว่าบางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อรถม้าของสำนักเถียนได้เดินทางมาถึง
นายหญิงเถียนซูหนี่หน้านิ่งไร้อารมณ์ ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องร้ายแรงกับนาง แต่นางอยู่ในอารมณ์ที่ร้ายแรงแก่ผู้คนรอบข้างมากกว่า แม้แต่ซาหรงที่เป็นถึงองค์ชายสี่กับหย่งจื้อที่เป็นถึงองค์รัชาทายาทยังถอยห่างออกมาจากที่เกิดเหตุไกลพอสมควร แล้วมีหรือที่โม่วั่งซูจะไม่ถอยห่างออกมาจากเขาบ้าง ว่ากันว่า อารมณ์นั้นร้ายมาก โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ หวังว่าหยางเฉินเหวยประมุขสำนักจะสามารถบรรเทาได้ก็แล้วกัน
เพราะเรื่องของเรื่องก็คือ
เถียนซูหนี่ไม่รู้ว่าตนจะต้องเดินทางเดินไปยังแคว้นข้างเคียงแล้วให้ตนละทิ้งสามีอยู่ที่หมู่บ้านลิงแดงนั้นเอง โดยข้าง ๆ นางมีห่วงลู่สะใภ้ในอนาคตประคองอยู่
“ซูหนี่ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าและของห่วงลู่ เจ้าต้องเดินทางไปที่แคว้นข้างเคียงจริง ๆ อีกอย่างที่หมู่บ้านลิงแดงแห่งนี้ก็ไม่ได้สะดวกสบายด้วย”
หยางเฉินเหวยสบตาสวยที่บัดนี้มามองทางเขา หากดวงตาคู่นั้นสามารถปามีดสั้นใส่เขาได้คงปามาหลายเล่มแล้วเป็นแน่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้บอกกล่าวกับฮูหยินด้วยว่าต้องทำการเดินทางไปยังแคว้นข้าง ๆ เลยทันที แถมลูกชายคนเล็กของเขาก็น่าจะให้มาอยู่แค่หมู่บ้านลิงแดงเท่านั้น ไม่แปลกที่ซูหนี่ฮูหยินของเขาจะโกรธจนนิ่งไปขนาดนี้
“สะดวกสบายรึ ก่อนที่ข้าจะแต่งงานจนมีลูกสองกับท่าน ข้าก็เป็นจอมยุทธ์หญิง นอนกลางดินกินกลางทราบมาแล้ว จะอ้างเหตุผลนี้ให้ข้าเดินทางไปจากท่านงั้นรึ”
“ซูหนี่ ก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตราย ข้าบอกกับเจียนเจี๋ยไว้แล้วว่าจะดูแลเจ้าให้ดี”
“โดยการให้ข้าไปอยู่ห่างไกลจากท่านงั้นรึ ข้าต้องจากลูกทั้งสอง แล้วยังต้องมาจากท่านพี่ไปอีกรึ!”
พูดจบมือสวยที่บอบบางกำเข้าหากันแน่นก่อนที่จะยกไปทุบที่ไหล่ซ้ายของสามีตนอย่างเต็มแรง แน่นอนว่าแรงของซูหนี่นั้นแม้จะแรงเพียงใดก็ทำให้หยางเฉินเหวยไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ออกจะคัน ๆ ด้วยซ้ำ ผิดกับคนทุบเองที่เจ็บมือเสียเองเพราะทุบเสร็จก็สะบัดคลายเจ็บอยู่หลายที จนผู้เป็นสามียังยื่นมือเข้าไปจับเพื่อจะดูมือว่าแดงหรือไม่ แต่สุดท้ายก็โดนภรรยาดึงมือหนีซะอย่างนั้น จนห่วงลู่ไม่รู้จะช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ตรงนี้อย่างไรดี อีกนิดนายหญิงซูหนี่ได้โวยวายเป็นแน่ สุดท้ายองค์รัชทายาทหย่งจื้อเลยตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างน้อยตำแหน่งของเขาอาจจะพอทำให้เหตุการณ์ดีขึ้นก็ได้
“เรียนท่านประมุขสำนักเถียนกับฮูหยินเถียน”
หย่งจื้อเรียกขานทั้งสองเพื่อให้หันมาสนใจตนในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจ้องมองกันอยู่ แน่นอนพอได้ยินเสียงใครไม่รู้เรียกขาน หยางเฉินเหวยยังไม่ทันจะได้หันไปมองว่าใคร นายหญิงแห่งสำนักเถียนที่กำลังโกรธสามีคนอยู่นั้นก็รีบหันขวับไปหาคนที่เรียกตนทันทีด้วยใบหน้าที่สวมหน้ากากยักษ์ก็ไม่ปานพร้อมกับขึ้นเสียงดังฟังชัดเจน
“อะไร!”
ต่อให้เป็นถึงองค์รัชทายาทก็ตกใจผวาถอยหลังได้เหมือนกันกับเสียงที่แผดใส่ตน และใช่คนที่แผดเสียงใส่ก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะในหัวของซูหนี่นั้นกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้นางได้อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปโดยที่นางไม่ต้องทิ้งใครอีก พอมีเสียงใครไม่รู้มาขัดก็ย่อมเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่มาขัดจะเป็นองค์รัชทายาทได้ นางเตรียมจะคุกเข่าแต่ถูกองค์รัชทายาทหย่งจื้อนั่นแหละที่ห้ามเอาไว้เพราะบริเวณนี้มีแต่พื้นดินคุกเข่าไปก็ทำให้เสื้อผ้าเลอะได้ ระหว่างที่ห้ามก็เอามือทาบอกตนไปด้วย โดยมีซาหรงลูบหลังปลอบโยนพี่ชายตนให้ขวัญที่หายไปกลับมาโดยเร็ว
“หม่อมฉันขอประทานอภัย เมื่อครู่หม่อมฉันได้กระทำเสียมารยาทแก่ฝ่าบาทเสียแล้ว”
เถียนซูหนี่รีบเอ่ยกล่าวคำขอโทษแก่องค์รัชทายาทโดยทันที ซึ่งหย่งจื้อเองก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรอีกอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะมาโกรธกับอะไรพวกนี้ง่ายด้วย
“เอาเถอะ ๆ ข้าเองก็เสียมารยาทที่เอ่ยแทรกออกไปเช่นนั้นเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมนายหญิงแห่งสำนักเถียนถึงได้ดูไม่พึงพอใจนักล่ะ หากไปอยู่สถานที่ปลอดภัยน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ”
เถียนซูหนี่ไม่ใช่ไม่เคยเข้าวังมาก่อน แต่สำหรับบุคคลตรงหน้านางก็เพิ่งจะได้เคยพบเจอแบบเต็มสองตานี่แหละ ปกติแล้วเหล่าองค์ชายหรือองค์รัชทายาทส่วนใหญ่จะไม่ให้เห็นพระพักตร์เพื่อความปลอดภัย นางได้ยินเรื่องราวขององค์รัชทายาทหย่งจื้อที่ทำงานแทนฮ่องเต้ทุกอย่างจนคิดว่าอีกฝ่ายขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนเลยไม่ดีกว่าหรือ พอได้มาเจอตัวจริงแล้วนั้นไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยังเด็กขนาดนี้ แถมยังดูอ่อนโยนกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากอีกด้วย ซูหนี่ยังคงอยู่ในท่าทางเคารพต่อองค์รัชทายาทพร้อมกับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นไม่สั่นเครือแต่อย่างใด ราวกับน้ำเสียงของเหล่าทหารก็ไม่ปาน ทั้ง ๆ ที่นางนั้นมีเส้นเสียงที่หวานแท้ ๆ
“ทูลฝ่าบาท ถึงร่างกายของหม่อมฉันจะใกล้ถึงวัยชรา แต่จิตใจและหัวใจของหม่อมฉันก็ยังแข็งแกร่งเหมือนดั่งเด็กสาวเมื่อครั้งออกท่องยุทธภพครั้งแรก แต่กระนั้นหม่อมฉันก็ยังมีอีกหนึ่งจิตใจและหัวใจคือความเป็นแม่และภรรยา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ทอดทิ้งบุตรชายคนเล็กต้องเผชิญโชคชะตาอยู่เพียงลำพังก็เจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว พอมาตอนนี้กลับเพิ่งได้รับข่าวว่าต้องทอดทิ้งไปอยู่ดินแดน ณ ที่ห่างไกล ต่างแคว้นบ้านเกิด ทอดทิ้งให้สามีต้องเผชิญกับศัตรูที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หากข้าต้องไปที่แสนไกลเพียงนั้นอีก ข้าคงไม่อาจจะทนไหว”
เถียนซูหนี่ร่ายยาวถึงความรู้สึกของตนออกมา ขนาดองค์รัชทายาทยังรู้สึกได้เลยว่าสตรีผู้นี้ช่างเป็นสตรีที่หนักแน่นยิ่งนัก เขาเลยไม่พูดอะไรแทรกปล่อยให้อีกฝ่ายเอ่ยบอกกับตนต่อ
“หม่อมฉันจะขออยู่สู้ที่นี่ไม่ใช่ในฐานะนักรบ แต่ขอสู้ในฐานะที่เป็นแม่คนและในฐานะภรรยาของประมุขสำนักเถียนเพคะ”
น้ำเสียงแน่นหนักนั้นไม่ได้ส่งไปถึงแค่องค์รัชทายาทเท่านั้นมันยังส่งไปถึงหยางเฉินเหวยอีกด้วย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด ซูหนี่ก็ยังเป็นซูหนี่อยู่ดีสินะ
“ดี ข้าชอบ สมแล้วที่ท่านคือนายหญิงแห่งสำนักเถียน เอาล่ะ ข้าจะให้คนพาไปยังที่พักก่อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะแก่การฝึก ส่วนท่านประมุขเถียน ข้าจะพาไปแนะนำกับรองแม่ทัพก็แล้วกัน”
เมื่อเถียนซูหนี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มกว้างทันที ก่อนที่จะหันไปหาสามีของตนอย่างผู้ชนะ ซึ่งแน่นอนว่าผู้เป็นสามีไม่ได้สนใจหรอกว่าตนจะแพ้ให้แก่ภรรยาหรือไม่ เขาแค่เป็นกังวลก็เท่านั้นเอง ทำไงได้ก็หยางเฉินเหวยเป็นห่วงภรรยาอย่างสุดหัวใจเลยนี่นา หลังจากที่ตกลงเรียบร้อยให้เถียนซูหนี่อยู่ที่หมู่บ้านลิงแดงต่อไปโดยมีห่วงลู่คอยดูแลเรื่องอื่น ๆ ในขณะนั้นเองก็มีเด็กสาวใบหน้างดงามเดินมาพร้อมกับทำความเคารพแก่ประมุขสำนักเถียน
“ข้าน้อยมีนามว่าซิงเยียน เป็นแพทย์สนามขอที่นี่เจ้าค่ะ และข้าจะคอยดูแลนายหญิงเถียนซูหนี่ระหว่างที่อยู่ที่หมู่บ้านลิงแดงด้วย เพราะสตรีย่อมต้องดูแลสตรีด้วยกันถึงจะดี”
เถียนซูหนี่มองใบหน้างามของซิงเยียนนางก็รู้สึกหลงรักทันที โดยไม่ลืมที่จะลากห่วงลู่ให้เข้าไปเด็กสาวดังกล่าวใกล้ ๆ
“ว้าย ตายจริง ไม่คิดเลยว่าจะมีเด็กสาวใบหน้างามเช่นนี้ แถมเป็นแพทย์หญิงเสียด้วย ส่วนคนข้าง ๆ ข้าคือห่วงลู่ อนาคตกำลังจะเป็นลูกสะใภ้ข้าแหละ ฮิฮิฮิ”
จะว่าอย่างไรดี เมื่อครู่นายหญิงเถียนซูหนี่ยังดูหนักแน่นเข้มแข็งเสียจนองค์รัชทายาทยังรู้สึกพึงพอใจ และแล้วก็กลายเป็นนายหญิงเถียนซูหนี่ที่ร่าเริงพร้อมกับน้ำเสียงหวานหยอกล้อกับซิงเยียนราวกับรู้จักกันมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่นั้นยังจูงมือกันไปยังที่พักอีกด้วย เล่นเอาผู้คนที่ยืนอยู่แถวนั้นปรับสภาพอารมณ์ไม่ทันกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นองค์รัชทายาทหย่งจื้อเลยพาประมุขสำนักเถียนไปแนะนำกับรองแม่ทัพถังต้าฟ่านที่พาตนหนีออกมาจากพระราชวังได้สำเร็จ และใช่ ห่วงลู่ไม่ใช่ไม่ได้ยินประโยคที่ว่าตนกำลังจะสะใภ้ อยากจะอ้าปากปฏิเสธแต่นึกย้อนไปก่อนจะเดินทางมาเขาก็ดันจูบกับเจียนเจี๋ยด้วย มานึกแล้วก็แอบเขินที่เขาเผลอทำอะไรแบบนั้นลงไปสินี่
ซึ่งในระหว่างนั้นเองก็มีดวงตาสองคู่จ้องมองไปยังนายหญิงเถียนซูหนี่ก็เดินจูงมือเด็กสาวหนึ่งคนกับชายหนุ่มหนึ่งคนอย่างกับแม่ที่จูงลูกน้อยเดินกันหลงทางก็ไม่ปาน โม่วั่งซูขยับเข้าไปใกล้องค์ชายสี่หรือซาหรงที่อีกฝ่ายเองก็จ้องมองไม่ต่างกัน โม่วั่งซูเลยชวนองค์ชายสี่พูดคุย ไม่สิชวนกระซิบมากกว่า เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดแบบเดียวกันกับเขาเป็นแน่
“ฝ่าบาท หากซิงเยียนคือลูกสาวของต้าต่านกับประมุขเพ่ย ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าซิงเยียนก็คือหลานสาวของนายหญิงเถียนซูหนี่กับประมุขสำนักเถียน แต่หากนับอายุแล้ว ซิงเยียนมีอายุมากกว่าผู้เป็นยายกับผู้เป็นตา แถมมองดูการวนเวียนว่ายตายเกิดของทั้งคู่อีก แล้วแบบนี้ต้องนับใครเป็นผู้อาวุโสมากกว่าล่ะ กระหม่อมว่ามันดูเป็นแผนผังครอบครัวที่....”
ซาหรงเอนหัวลงเล็กน้อยเพื่อกระซิบกลับโม่วั่งซูเช่นกัน
“ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่าซิงเยียนและหลิวหยางคือหลานของทั้งสอง พอเจ้ามาเรียบเรียงแบบนี้แล้ว ข้าเองก็ชักจะสับสนตามเจ้าแล้วสิ”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะจัดการแยกห่างจากนั้นหลังจากที่กระซิบกันเสร็จเพราะสุดท้ายแล้วก็คิดไม่ตกว่าตกลงแล้วความสัมพันธ์หรือแผนผังของตระกูลนี่จะเป็นเช่นไร อืม ชีวิตที่เกี่ยวพันกับเทพเซียนแบบนี้ มันช่าง......วุ่นวายเสียจริง
ณ ลานกว้างของสวนสำนักเพ่ย
ดวงตาเรียวคมของต้าต่านจ้องมองอักษรบนหนังสือหรือประวัติของสำนักเพ่ยที่ยังอ่านไม่จบ ที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น เอาเข้าจริงเขาก็ไม่รู้จะมานั่งอ่านไปทำไมในเมื่ออ่านไปแล้วก็ไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างสถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่า การหย่าคือเรื่องรองลงไปเลย มือเรียวจัดการเปิดหน้าหนังสือลงแล้ววางพร้อมกับถอนหายใจจนเฉินที่อยู่ใกล้ ๆ กำลังชงชาให้ถึงกับหันไปมอง หลังจากที่ทานมื้อเช้าจนตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสาย ก็ไม่คิดจะทะเลาะอะไรกับท่านประมุขคนงามเลย
“ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือขอรับ ถึงได้ถอนหายใจแบบนั้น”
“ข้าแค่คิดเรื่องบางเรื่องไม่ตกก็เท่านั้นเอง”
พูดจบก็จัดการลุกขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งมาพักหนึ่ง พร้อมกับทอดสายตามองบริเวณรอบ ๆ ที่มันสงบเสียจนไม่คิดเลยว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่เสมือนสงครามใหญ่ก็ไม่ปานที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา เพราะการต่อต้านครั้งนี้มันใหญ่หลวงนัก อีกทั้งเจ้าเมืองแต่ละเมืองเองก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาวุ่นวายแต่อย่างใด เหตุผลยังจำคำตรัสเมื่อครั้งนั้นได้ ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสำนักใดสำนักหนึ่งเพราะยังคงยึดมั่นในคำตรัสนั้นที่ว่าคนในราชนิกุลจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักใดอีกเป็นอันขาด แต่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือทางฮ่องเต้เองด้วยเช่นกัน การตัดสินใจครั้งนี้ของเจ้าเมืองแต่ละเมืองนั้นก็ย่อมส่งผลพอ ๆ กับยุทธภพที่กำลังปั่นป่วนในตอนนี้ หากฝั่งเขาเป็นฝ่ายชนะทุกอย่างก็จะกลับมาปกติสุขโดยเร็ว แต่หากฝั่งนั้นชนะแล้วละก็....... ดวงตาเรียวคมของต้าต่านหันไปมองห้องทำงานของเพ่ยจวินหงหรือสามีของตนเข้าด้านในที่ยังคงปิดสนิทหลังจากที่ทานมื้อเช้าแล้ว โดยเฉินมองการกระทำของฮูหยินที่ยืนมองห้องทำงานของประมุขอยู่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เรียบนิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เหมือนจะไม่ใช่ฮูหยินของเขาเลย หรืออาจจะเพราะลักษณะท่าทางเช่นนี้ของฮูหยินใช้แค่ด้านนอกของสำนักกันนะ ว่าแล้วเฉินก็ลุกขึ้นเพื่อเดินไปถามไถ่ อย่างน้อยเขาอาจจะพอช่วยแบ่งเบาความรู้สึกของฮูหยินได้บ้าง
“ฮูหยินขอรับ”
ต้าต่านเหลือบสายตามองเฉินที่เรียกตน อย่างว่าดูแลเขามานานคงรู้ว่าเขาคิดอะไรในใจอยู่ แต่มองเพียงครู่เดียวก็กลับจ้องมองไปยังห้องทำงานของเพ่ยจวินหงเหมือนเดิม
“เฉิน หลังจากยามห้าย (21.00-22.59น.) ของวันนี้ไป ข้าขออะไรเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”
เฉินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ ปกติฮูหยินหรือนายของเขาไม่เคยขออะไรจากเขาในทำนองแบบนี้เลย ประโยคเมื่อครู่เขาขอบอกตามตรงได้หรือไม่ว่า เขาไม่ชอบมันเอาเสียเลย อีกอย่างเมื่อมองไปยังดวงตาเรียวคมคู่นั้นที่ยังจ้องมองไปยังห้องทำงานของประมุขเพ่ยอย่างไม่วางตา มันสะท้อนอารมณ์ที่เฉินเองก็ไม่เข้าใจ มันทั้งดูโกรธ มันทั้งดูทั้งเสียใจ มันปะปนกันจนคนธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้เลย แต่จะทำเช่นไรได้ อยู่ ๆ นายเหนือหัวก็เอ่ยปากขอเช่นนี้
“ฮูหยินจะขออะไรจากข้าน้อยหรือขอรับ”
................................................
#อย่ามาเกี้ยวสามีข้า
เจอกันได้ที่ทวิต @Miya0942
จะว่ากล่าว เอื้อนเอ่ย หรืออย่างไรดี หลังจากหายไปนาน นานแบบเป็นปีเลย
เรื่องของเรื่องก็คือหลังจากที่สูญเสียคุณพ่อไปปีที่แล้ว โดนตัดญาติจากฝั่งพ่อเพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จนไม่สามารถไปร่วมงานศพพ่อได้เลย
ไม่พอปีนี้ไรท์ก็สูญเสียน้องหมาที่เลี้ยงมาเกือบ 9 ปีในเดือนเดียวกับคุณพ่อไรท์อีก
มันเหมือนสภาพจิตใจเจอการสูญเสียซ้ำ ๆ มั้งค่ะ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองจิตใจเข้มแข็งแล้วนะกับอะไรพวกนี้แล้วนะ
สุดท้ายก็ตามสภาพเลย จมหนักมาก ตอนนี้ไรท์กำลังเริ่มอะไรใหม่ๆ สภาพจิตใจกลับมาบ้างแล้วค่ะ เย้!
แต่ยังไงไรท์ก็ขอโทษจริง ๆ ที่หายไปนาน ไม่มีแจ้งหรือบอกกล่าวกันเลย ยังไงก็ขอบคุณที่ยังรอ ยังทวงถาม
ยังคิดถึงกันนะคะ กับนิยายอัพรายปีเรื่องนี้ 5555555555555555
ขอบคุณนะ
ความคิดเห็น