ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #46 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 1(+2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 59


     

                ตูม!!!

                ??!!

                ทันทีที่ลืมตามันคือความแสบจนต้องหลับตาลง จมูกไม่สามารถหายใจได้ และการที่กินของเหลวเข้าไปหลายอึกเพราะความตกใจ เสียงอู้อี้สูงในลำคอที่จับใจความไม่ได้แต่ในหัวที่อยู่แค่ประโยคเดียว

                เฮ้ย!! อะไรวะเนี่ย!!

                ความไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าทางไหนผิวน้ำทางไหนก้นน้ำ มันทำให้ต้องสั่งตัวเอง

                ตั้งสติเดี๋ยวนี้ยัยบ้า!! จะฝันจะจริงไม่รู้แต่แกต้องออกไปจากไอ้น้ำที่มีปลาเล็กปลาจ้อยไหลเข้าปากเมื่อกี้ให้ได้!!

                เมื่อพอตั้งสติได้ ดวงตาที่อยู่ใต้น้ำทำให้พอมองเห็นรางๆถึงแสงแดด ไม่รอช้าทั้งสองขาและแขนโกยไปทางนั้นทันที

                “เฮือก!! ฮ่า!!

                เสียงหายใจหอบกลางแม่น้ำแหล่งน้ำหรืออะไรสักอย่างดังสะท้อนอยู่ในหู ดวงตาสีดำสนิทมองขึ้นไปยังสุริยะที่ฉายแสงกระทบผิวน้ำมันทำให้เธอฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เวลา

                ก็แหม คนมันรักธรรมชาติ น้ำใสขนาดนี้ในไทยมันมีที่ไหนกัน!!

                เดี๋ยวนะ ว่าแต่.....

                “แกมาอยู่กลางสระที่ไหนไม่รู้ได้ไงวะยัยตะวัน?”

                มันไม่ใช่แค่นั้น สายตานี่มัน...... มือที่ค่อนไปทางเล็กแปะที่หน้าตัวเองก่อนจะสบถออกมา แว่นแกอยู่ไหนยัยเซ่อ!!!! สายตาสั้นเกือบสี่ร้อยหรี่ลงมองไปทั่ว ก่อนจะเห็นขอบฝั่งรางๆ แต่ยังไม่ทันที่จะว่ายไป หางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรลอยมาไม่ไกล

                .......

                “เหี้eeeeeeeee ไอ้เข้!!!!!

              เสียงตะโกนลั่นชนิดที่ว่าป่ารอบสระแทบแตกก่อนที่เธอจะโกยไม่คิดชีวิตไปทางฝั่ง จะฟรีสไตล์หรือลูกหมาตกน้ำอะไรก็ขอให้เธอรอดก่อนเถอะ!! ถ้ารอดแล้วจะได้เอาไปออกรายการกู้ชีวิตได้ที่รอดมาจากจระเข้!!

                จากที่ตั้งใจว่าจะโกยทันทีที่แตะขอบฝั่งเพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าจระเข้จะว่ายเร็วเหมือนที่เห็นในหนังอย่างโคตรไอ้เคี่ยมที่จระเข้สามารถ วิ่งบนบกได้ แต่สัญชาตญาณก็สั่งให้หันไปดู สายตาที่มองเห็นรางๆหรี่ลงแบบพยายามอย่างยิ่งที่จะดูว่าไอ้สิ่งที่เธอเข้าใจว่าจระเข้นั่นแท้ที่จริงมันคืออะไร

                มันดูไม่มีหยักๆเหมือนจระเข้นะ แล้วทำไมรู้สึกมันเหมือนขนสีดำๆแล้วมีแดงๆขาวๆ จระเข้มีแบบนั้นด้วยเหรอ??

                เมื่อความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าความกลัวตาย เพราะการที่จ้องมานานสองนานแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยับไปไหน แล้วก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับสบถไม่สมหญิงอีกครั้งและกระโจนลงน้ำว่ายไปทันที

                เธอสาบานจริงๆว่าไอ้บางสิ่งบางอย่างนั่นมันกำลังจม และเธอเห็นเหมือนแขนคนที่เธอเดาว่าน่าจะเกาะขอนไม้หรืออะไรสักอย่างก่อนที่มันจะจมลงไป ไอ้ตะวันเอ้ย! แกมันโง่เง่าเต่าคลาน!!

                สายตาที่สั้นยิ่งมองเห็นยากยามอยู่ใต้น้ำ เธอว่ายไปยังสิ่งๆเดียวที่กำลังจมดิ่งและมีขนาดรูปร่างเหมือนมนุษย์นั่นก่อนจะว่ายอ้อมไปทางด้านหลังก่อนจะโอบแขนที่ไหล่ และพาขึ้นสู่เหนือน้ำ

                “ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ดีนะอยู่ในน้ำ หือ?” เธอบ่นพำพลางสังเกตอะไรบางอย่างที่เหมือนไหลออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ นั่นมัน... เลือด?!

                “บ้าเอ๊ย!” เธอสบถออกมาลั่นสระอีกครั้งก่อนจะโกยเข้าฝั่งเป็นรอบที่สอง นี่แกจะเรียกไอ้หลามไอ้เข้มารึเปล่าวะเนี่ยเลือดไหลแบบนี้น่ะหา!! หลังจากที่ขึ้นมาได้เธอก็รีบลากคนที่นอนสลบพร้อมมีเลือดไหลออกมาให้พ้นจากฝั่งโดยเร็ว คิ้วสีดำขมวดเมื่อเห็นการแต่งกายที่ไม่ต่างอะไรกับของถ่วงน้ำหนัก

                “เสื้อเกราะ? เหมือนพวกแม่ทัพในหนังจีนเลยแฮะ ไม่แปลกใจเลยว่าจะร่วงจากไอ้ขอนไม้นั่นถึงเกราะนั่นมันจะแตกๆไปบ้างแล้วก็เถอะ”

                การที่ผู้หญิงสูงร้อยห้าสิบสองอย่างเธอมาลากผู้ชายที่กะทางสายตาคร่าวๆต้องเกือบร้อยแปดสิบหรือมากกว่าแถมยังแต่งองค์ทรงเครื่องเปียกน้ำทั้งชุดนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจิ๊ปากขัดใจก่อนจะพูดขึ้น

                “อย่ามาดูถูกนักกีฬานะ แค่นี้น่ะเหรอ ฮึบ!!

                เป็นภาพที่ใครเห็นคงแปลกใจ เพราะผู้หญิงที่มองปราดก็บอกได้เลยว่าตัวเล็กนั้นกำลังพยายามยกชายหนุ่มกำยำที่มีเสื้อเกราะขึ้นหลังแบบนักยกน้ำหนัก ซึ่งมาเห็นก็คงบอกได้เลยว่าล้ม แต่ขอโทษที ช่วยเก็บคำพวกนั้นไปเถอะ มันไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอแบกเหมือนกับแบกสัตว์ตัวใหญ่และหันหลังเดินเข้าเขตป่าไปในทันที ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมไม่ลาก ก็นะ กลัวเกราะเป็นรอย เกราะขายังมี ถ้ามันเป็นรอยขึ้นมาแล้วเธอคงกรีดร้องแน่......

                ไม่ใช่ว่ามันแพง! แต่คือความชอบส่วนตัว!

                “ใต้ต้นนี้ก็พอ ใหญ่สูง เย็นดี ไม่ห่างจากแม่น้ำเท่าไหร่ด้วย เฮ้อ” เธอค่อยๆพยุงคนบนหลังตัวเองลงก่อนจะทรุดลงนั่งข้างๆอย่างหมดแรง หนักกว่าที่คิด มากก่อนจะชะงักไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “ชิบหายละ เมื่อกี้มันหายใจรึเปล่าเนี่ย!

                มือจับไปที่ชีพจรตรงต้นคอก็พบว่ายังเต้นอยู่ แต่ประเด็นคือเมื่อเธอลองปัดผมสีดำสนิทยาวออกจากใบหน้าและเอามืออังจมูกและไม่ได้หายใจ! ต้องถอดชุดให้อากาศมันถ่ายเทที่สุด แต่ว่า...

                “ไอ้ชุดเกราะระยำนี่มันถอดยังไงวะเนี่ย!!! บ้าชิบ!! ใส่อะไรเยอะแยะ!

                เธอแงะอย่างสุดชีวิต เพราะทุกนาทีที่ช้าหมายความว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะปล่อยคนตายต่อหน้า! “เอาแค่ตรงคอเสื้อก่อนนี่แหละ แกะยากเอาโล่เลยโว้ย!!” เธอกระชากบริเวณคอเสื้อออกอย่างแรงจนบาดตรงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไปหน่อย เธอเลิกคิ้วมองชั่วครู่ก่อนจะเลิกใส่ใจขณะคิดกับตัวเอง

                มันมีวิธีไหนให้หายใจบ้างวะนอกจากผายปอด?? มีเป่าจมูก.. ไม่ๆ เป่าปาก กดหน้าอก...

                โอ๊ย! คนจะตายอยู่ข้างหน้าแกมัวคิดอะไรอยู่วะแม่ง! นี่มันช่วยคนไม่ใช่จูบว้อย!

                “ขออนุญาตนะ” เธอพูดแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ยิน ดึงให้ผู้ชายตรงหน้านี่นอนหงาย โดยที่ตัวเองนั่งคุกเข่าอยู่บริเวณขมับ ใช้มือกดหน้าผากขณะที่อีกข้างบังคับเงยหน้าและเชยคางให้สูงขึ้น เธอสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งทำใจก่อนจะหายใจเข้าอีกครั้ง บีบจมูกก่อนจะจัดการครอบริมฝีปากและเป่าลมเข้าไป หางตาเห็นว่าช่วงอกขยายตัวขึ้นเล็กน้อย เธอละออกมาเพื่อตั้งใจจะนวดหัวใจ แต่เพราะติดเกราะมันอาจจะให้ผลเสียมากกว่าผลดี เธอสบถออกมาก่อนจะเป่าปากให้กับร่างที่ไม่หายใจนี่อีกครั้งขณะมืออีกข้างก็พยายามคลำหาปมเชือกหรืออะไรก็ได้ที่จะถอดเกราะออก เพราะมันทำให้เธอเป่าลมได้ไม่เต็มที่ด้วย

                เจอแล้ว!

                เธอร้องออกมาในใจ ก่อนจะกระตุกสายอะไรสักอย่าง ตอนนี้ไม่ว่าจะเจออะไรเธอก็ต้องถอดออกให้ได้!

                ออกสักทีสิโว้ยไอ้เกราะนรก! คนที่แกกำลังใส่มันจะตายเพราะแกอยู่รอมร่อแล้วนะโว้ย!!

                ปึด!! แกร๊ก!!

                !?

                เธอรีบผละออกมา สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะยิ่งช้ากว่าเก่า เธอพิจารณาชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกสายเชือกอีกเส้น นั่นดูเหมือนจะเป็นเกราะหนังด้านใน ที่สำคัญคือเกราะด้านนอกนี่ เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะแงะออกสุดท้ายก็หลุดออกมาแลกกับมือที่โดนเศษเกราะบาดเป็นแผลเล็กน้อย และเหลือเพียงเพราะที่เหมือนกับโซ่กับหนังนั่น เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะใจเย็น เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ก็สามารถถอดออกได้ทั้งหมดเหลือเพียงเสื้อรัดรูปที่ใส่ไว้ด้านในเท่านั้น

                เธอแหวกคอเสื้อพอให้อากาศถ่ายเทและเป่าปากอีกครั้ง ครั้งนี้ช่วงอกขยายตัวคล้ายกับเป่าลูกโป่งเข้าไป เธอละออกมาและใช้มือข้างที่ถนัดวัดตำแหน่งที่เหมาะการนวดหัวใจ ไม่รอช้าเธอสูดลมหายใจเข้า วางสันมือลงไปตรงบริเวณที่มั่นใจและกดน้ำหนักตัวไปยังกระดูกหน้าอกตรงมือที่เธอวางไว้ ผู้ช่วยเหลือทำอย่างคล่องแคล่วสลับกับการเป่าปาก จนในที่สุด ผู้ชายตรงหน้าก็สำลักน้ำออกมาและหายใจหอบ

                “นี่คุณ ตะแคงข้างเอาน้ำออกมาให้หมด” เธอสั่งพร้อมกับพลิกร่างสูงใหญ่นี่โดยให้ศีรษะหงายไปทางด้านหลัง เขาไอออกมาพร้อมกับที่มีน้ำที่อยู่ในปอดออกมาด้วยเช่นกัน ขณะที่ประคองอยู่นั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นรอยชุ่มสีแดงบนอาภรณ์สีขาวช่วงท้องด้านขวาจนต้องสบถออกมาอีกครั้ง "บ้าชิบ ลืมไปซะสนิทว่าหมอนี่บาดเจ็บ”

                เธอมองหาอะไรก็ได้ที่สามารถใช้เป็นผ้าพันแผล ก่อนจะก้มมองเสื้อที่ตัวเองสวมใส่เสื้อยืดสีกรมท่าที่เธอจิ๊ปากออกมาเล็กน้อย เพราะเป็นเสื้อที่ค่อนข้างโปรด แต่ก็เลิกใส่ใจก่อนจะมองหาของคมๆที่พอจะตัดเสื้อได้ เธอฉีกเสื้อมาทำเป็นผ้าพันแผลไม่เป็น แม้จะเคยลองมาหลายครั้งแต่ก็ไม่ฉีกขาด และนั่นทำให้อยากจะถามพวกคนที่ทำได้ซึ่งเคยเห็นแค่ในการ์ตูนว่ามันทำกันยังไง ก่อนสายตาจะไปหยุดที่กริชที่เธอถอดออกมารวมๆไว้กับพวกเกราะ ไม่รอช้าเธอเข้าไปหยิบและกรีดเสื้อตัวเองทันที โชคดีที่ชายเสื้อตัวนี้ค่อนข้างยาวทำให้ไม่มีปัญหาว่ามันจะสั้นเต่อ เธอหันไปมองคนที่นอนยันแขนตะแคงข้างมองเธอขณะที่อีกมือหนึ่งกุมบาดแผลที่ช่วงท้องไว้ เธอสั่งสั้นๆ “นอนลงรอสักครู่” ก่อนจะหันกลับไปตัดเสื้อต่อ และเมื่อได้ผ้าพันแผลที่ไม่ค่อยจะสวยงามอะไรเธอก็หันกลับไป ปรากฏว่ายังอยู่ในท่าเดิม และนั่นทำให้ต้องขมวดคิ้ว

                สงสัยจะไม่เข้าใจคำพูดที่เธอจะสื่อ แต่แค่เห็นเธอตัดเสื้อเป็นเส้นยาวขนาดนั้นน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าจะปฐมพยาบาลให้?

                เธอเดินไปใกล้ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง บังคับให้ชายหนุ่มนอนลงก่อนจะจัดการเปิดเสื้อขึ้น และนั่นเรียกให้มือใหญ่กว่าที่เปื้อนเลือดนั้นจับที่แขนเธอทันที เธอมองอย่างสงสัยแต่เมื่อเห็นแววตาและสีหน้าก็พอรู้ได้ว่าเพราะอะไรถึงโดนหยุด และนั่นทำให้ดวงตาสีดำวาวขึ้นมาอย่างหงุดหงิดแล้วตวาดใส่ “นี่! มันใช่เวลาหวงเนื้อหวงตัวรึไงน่ะหา! เลือดไหลขนาดนั้นถ้าไม่ห้ามเลือดแล้วจะทำอะไรไม่ทราบ! ช่วยเอาไอ้บรรทัดฐานเก่าคร่ำครึพวกนั้นเก็บไปซะไม่งั้นได้ตายจริงๆ! เพราะงั้นนอนอยู่นิ่งๆให้ฉันห้ามเลือดไปไม่งั้นแม่จะกดที่แผลให้ร้องไม่ออกเลยคอยดูเถอะ!!

                ชายหนุ่มดูจะชะงักไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจ นอกจากถกเสื้อขึ้นมาครึ่งตัว เธอนึกอะไรขึ้นออกก่อนจะเอื้อมไปหยิบเกราะและมารองไว้ที่ขา เพราะจะได้ว่าต้องทำให้แผลที่เปิดเข้ามาชิดกัน เธอมองเขม็งเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าเอาขาลงตอนที่เธอเอาเกราะมาวางไว้ และเมื่อเธอเอามารองอีกครั้งก็ไม่ได้เอาลงแต่อย่างใด เธอพิจารณามองแผลที่เป็นแนวก่อนจะพึมพำ

                “คงไม่โดนอวัยวะอะไรที่สำคัญๆ เพราะไม่งั้นคงไม่มีแรงถึงตอนนี้หรอก..” แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้! ที่สำคัญ เธอว่าเธอเสียเวลาไปกับการถอดเกราะ ผายปอดและเถียงกับผู้ชายคนนี้พอสมควร ก็ดูจะไม่มีอาการอะไรอื่นๆ แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดนี่ก็ไม่ควรจะปล่อยทิ้งไว้เช่นกัน เธอใช้นิ้วมือกดแผลไว้ชั่วคราวขณะคิดแบบเครียดๆ เธอจำแทบไม่ได้เกี่ยวกับวิธีปฐมพยาบาลคนที่ถูกแทง ทำยังไงดี ห้ามเลือดนี่หวังว่ามันจะหยุด

                เวลาผ่านไปสักครู่แต่ยาวนานในความรู้สึกของผู้ช่วยเหลือ เธอสังเกตว่าเลือดที่ทะลักออกมามันมีไม่มากเท่าตอนแรก เมื่อสังเกตสีหน้าของผู้บาดเจ็บก็พบว่าหน้าซีด มีท่าทางเจ็บปวดและหายใจหอบ เธอสบถออกมาเมื่อการห้ามเลือดแบบนี้มันช้าเกินไป เธอเลื่อนไปกดเหนือบาดแผล หวังว่ามันจะโดนเส้นเลือดใหญ่ อุปกรณ์ที่ไม่เพียงพอทำให้ไม่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันแผลสะอาดที่ไว้ใช้กดแผล หรือการห้ามเลือดแบบใช้เชือกรัดก็ทำไม่ได้ เพราะเธอไม่เห็นอะไรที่จะใช้พันได้...เลย

                “จริงสิ!” จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา เธอทำท่าทำทางให้อีกฝ่ายถอดเสื้อที่สวมใส่ แต่ดูจะไม่เข้าใจเธอจึงลงมือถอดให้ด้วยมือเดียวเพราะอีกข้างยังคงกดแผลไว้ ตัดครึ่งด้วยกริชโดยใช้ปากคาบไว้ข้างหนึ่งและรบกวนให้คนป่วยช่วยถืออีกฝั่ง ก่อนจะพับเป็นทบและกดไว้ที่บาดแผล เธอจับมืออีกฝ่ายให้กดไว้แทนโดยที่เธอลงน้ำหนักเป็นแบบก่อนจะบอกเร็วๆ “ทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา ทนเอานิดนึงนะ”

                เธอวิ่งกลับมาทางบึงน้ำโดยที่ไม่ลืมหยิบกริชติดมาด้วย หันซ้ายหันขวาพลางภาวนากับตัวเองว่าขอให้มี เธอออกนอกเส้นทางเล็กน้อยเพื่อค้นหา ยิ่งสายตาที่สั้นกว่าสามร้อยนั้นทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด แต่สุดท้าย ความพยายามเธอก็เป็นผล

                สิ่งที่เธอมองหา คือต้นไม้ที่มีเถาวัลย์

                เธอจัดการตัดเถาวัลย์ มันเสียเวลามากเพราะว่าเธอไม่เคยใช้มีดหรือกริชอะไรแบบนี้ ยิ่งเถาวัลย์พวกนี้เหนียว กว่าจะได้มาก็กินเวลาไป เธอวิ่งกลับไปทันทีก็พบว่าผ้าที่ปิดแผลอยู่นั้นมีเลือดซึมออกมาพอสมควร แต่สำคัญกว่านั้นคือเขาลุกขึ้นมานั่งพิงต้นไม้ไว้

    “ลุกขึ้นมาทำไม! เลือดมันจะยิ่งไหลออกมาเพราะมันต่ำกว่าหัวใจนะ!” เธอดันเขาให้นอนลงอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าอีกครึ่งหนึ่งนั้นปิดไว้ก่อนจะพันแผลด้วยเถาวัลย์ มันเป็นไปด้วยความทุลักทุเล และสุดท้าย เธอก็พันได้สำเร็จ เธอมองผลงานของตัวเองที่มีเถาวัลย์พันสองทบพลางหอบออกมา

    “ใจจริงอยากจะใช้แบบที่รัดเหนือแผลให้เลือดหยุด แต่มันเสี่ยงเพราะฉันไม่รู้วิธี คงต้องดูแผลแบบนี้เอาไปก่อน หวังว่ามันจะหยุดน่ะนะ...”

    เธอมองไปยังเศษเสื้อของตัวเองที่ตัดไว้แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่ก็ทิ้งไว้แบบนั้นเพราะเผื่อจะได้ใช้ เธอมองคนที่นอนราบกับพื้น ใบหน้าซีดๆจากการที่ขึ้นมาจากน้ำและการเสียเลือด มันทำให้เธอนึกสิ่งที่ตัวเองต้องทำต่อไปออก

    จุดไฟ และต้องต้มน้ำ เพราะไม่รู้ว่าน้ำในหนองน้ำนั่นจะสะอาดมากขนาดไหน ถ้าให้เขาดื่มเข้าไปแล้วเป็นพยาธิมันจะหนักที่เธออีก

    นี่เธอต้องขุดเอาความรู้เอาตัวรอดที่เคยอ่านในการ์ตูนหรือนิยายมาใช้ใช่ไหมเนี่ย!?!

    แม้จะครวญครางแบบนั้นแต่เธอก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหากิ่งไม้ใบไม้แห้งๆที่พอจะหาได้ ก่อนสายตาจะไปเห็นกับดงไม้ไผ่ แน่นอนว่านั่นแหละหนทางรอดในการจุดไฟ! เธอวิ่งไปหาเศษไม้ไผ่แห้งมาพร้อมกับลองหาไม้ไผ่ธรรมดามาด้วย ก่อนที่จะหาหินที่ดูทางสายตาและเดาๆว่ามันสามารถกะเทาะให้เกิดไฟได้ เธอหอบทุกอย่างที่หาได้กลับมาบริเวณนั้นก็เห็นคนเจ็บนอนหลับตาแน่นิ่งอยู่ เช็คผ้าพันแผลเล็กน้อย ก่อนจะสะกิด เมื่อเห็นตาที่ปรือมองมันทำให้ยิ้มออก ก่อนจะพูดออกมาว่า “อย่าเพิ่งหลับดีกว่านะ ฉันไม่แน่ใจว่าถ้านอนแล้วจะตื่นขึ้นมารึเปล่า ให้เลือดหยุดไกลก่อนเถอะ”

    เธอหยิบหยิบกริชขึ้นมาอีกครั้งพลางหันไปมองเจ้าของที่เธอจัดให้มีอะไรหนุนคอ และสายตาก็หันข้างมองมาทางเธออยู่ เธอโบกกริชในมือก่อนจะบอก “คงกลายเป็นของฉันจริงๆแล้วมั้งกริชเล่มนี้”

    เธอลองเอาหินประมาณสี่ห้าก้อนที่เอามาลองมากระทบกันว่ามีก้อนไหนบ้างที่เกิดประกายไฟได้บ้าง และโชคดีที่เหมือนจะมีก้อนหนึ่ง เธอวิ่งออกไปหาหินที่มีลักษณะแบบเดียวกันอีกครั้ง โชคดีที่เจอ ก่อนจะกลับมาและจัดการขูดไม้ไผ่แห้งจนออกมาเป็นฝอยเพื่อเอาขี้เถ้า เธอปั้นเป็นก้อนๆจนมีขนาดคล้ายรังนก เธอมองหินในมือซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหินเหล็กไฟที่ในสมัยยุคเหล็กใช้จุดไฟ เธอใช้มันกระทบกัน มีบ้างที่พอให้เห็นประกายไฟ แต่สะเก็ดมันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ควันออกมาจากฝอยไม้ไผ่แห้งได้

    “บ้าชิบ ติดสิวะ! โชคเข้าข้างฉันบ้างสิ! วิธีอื่นฉันทำไม่เป็นเพราะงั้นไม่รู้มันจะติดรึเปล่านะโว้ย!” เธอลงทั้งความเร็วและแรงเพิ่มขึ้นในการขูด และสุดท้ายมันก็มีสะเก็ดติดลงไปในฝอยไม้ไผ่นั่น เธอแบ่งฝอยที่ติดออกมาเพราะรู้สึกว่ามันใหญ่เกินไป เธอพยายามเป่ามันเพื่อให้ไฟติด แต่สุดท้ายก็ดับ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะลองใหม่อีกครั้ง

    เมื่อพยายามเป็นครั้งที่สาม เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะเป่าไฟให้มันติด เธอไม่รู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ติด อาจจะเบาไปรึอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้เธอก็เป่าอย่างขะมักเขม้นจนรู้สึกเหมือนลมจะขึ้น จนในที่สุดมันก็ติดขึ้นมา

    “ขี้เถ้าๆๆ” เธอลนลานเอาฝอยไม้ไผ่ที่แบ่งไว้มาพยายามจุดให้ติด ก่อนจะเอาไม้ไผ่แห้งที่เหลือนั่นมาตัดสุ่มเป็นปล้องๆแล้วลองจ่อไฟ แต่เพราะมันไม่มีวี่แววจะลุก เธอเลยลองฝานให้เป็นแผ่นบางๆแล้วไปจ่อที่ไฟขนาดเล็กนั่น

    พรึ่บ!

    “เยส!!!” เธอร้องออกมาอย่างดีใจก่อนจะจัดการฝานไม้ไผ่ออกมาหลายชิ้น ขนาดของมันใหญ่ขึ้นก่อนที่เธอจะค่อยๆใส่เข้าไปในไฟเพื่อต่อยอดเชื้อเพลิงอย่างใจเย็น เธอลองเอาใบไม้กิ่งไม้แห้งโยนเข้าไปเพื่อสร้างกองไฟให้มันใหญ่ขึ้น พร้อมกับที่ไม้ไผ่แห้งที่เหลือขนาดใหญ่พอเธอก็จัดให้เป็นกองไฟ และสุดท้าย กองไฟก็เป็นผลสำเร็จ เธอรี่ไปหาคนเจ็บเพื่อที่จะดูบาดแผลเพราะเธอใช้เวลานานพอสมควรในการจุดไฟทำให้ไม่รู้ว่าเลือดมันหยุดไหลหรือยัง ดวงตาหรี่ลงก่อนจะเข้าไปมองใกล้ๆเมื่อเห็นไม่ชัด

    “ขอโทษนะ” เธอลองค่อยๆปลดเถาวัลย์ที่พันแผลออก ก่อนจะเอาผ้าผืนนอกออกมา แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเลือดนั้นหยุดไหลแล้ว เธอวิ่งรีไปซักผ้าสองผืนนั้นก่อนจะกลับมาผึ่งกับไฟผืนหนึ่ง ขณะที่อีกผืนเธอสะบัดน้ำก่อนจะค่อยๆเช็ดเลือดรอบๆแผล และเมื่อเช็ดจนสะอาด เธอก็ใช้ผ้าอีกผืนที่ผึ่งกับไฟมันพับและพันมันอีกครั้ง ใช้เถาวัลย์รัดไว้ต่างผ้าพันแผล ก่อนจะถาม “หิวน้ำรึเปล่า?”

    ถึงเธอจะถามไปแบบนั้นแต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่มีอะไรให้รองน้ำ แม้ว่าจะต้มแต่ก็ไม่มีภาชนะอยู่ดี เธอหันมองรอบๆตัวก่อนจะเห็นไม้ไผ่สีเขียวก่อนจะขมวดคิ้ว จำได้ว่าข้างในมันกลวง ฉะนั้นน่าจะใช้เป็นภาชนะได้อยู่

    แครก...แครก...

    หือ???

    เสียงจากข้างในกระบอกไม้ไผ่?

    เมื่อลองเขย่า พลิกกลับซ้ายขวาและลองแนบหูฟังเสียง ไม่ผิดแน่ มันคือเสียงน้ำไหลในกระบอกไผ่!

    “นึกออกแล้ว! เคยอ่านเจอว่าในกระบอกไผ่แก่มันจะมีน้ำอยู่” เธอจัดการฟันตรงเหนือแต่ละข้อของไม้ไผ่ มีน้ำไหลออกมาจริงๆ เธอลองดื่มก่อน เพราะถ้าจำไม่ผิด น้ำในกระบอกไผ่นั้นไม่จำเป็นต้องต้ม “ฮ่า! สดชื่นจริงๆ”

    เธอชูขึ้นมาเป็นเชิงถามว่า ดื่มไหมซึ่งคนป่วยที่ยังคงดูอ่อนระโหยนั้นก็พยักหน้าเบาๆ เธอเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะพยุงคนเจ็บขึ้น โดยหาอะไรมาให้พิงหลังเพื่อที่จะได้ไม่นั่งตรงมากและแผลจะได้ไม่เปิด ก่อนที่เธอจะจ่อปลายไว้ที่ปาก ซึ่งเขาก็รับมือถือและดื่มมันจากกระบอก

    “โห ดื่มอึกๆขนาดนี้สงสัยจะไม่พอ” เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อย “เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ รอแปปนะ”

    เธอวิ่งไปที่ป่าไผ่อีกครั้งก่อนจะเขย่าๆแล้วฟังเสียงข้างใน ถ้าลำต้นไหนที่มีเสียงน้ำเธอก็ตัดออกมา เธอตัดมาประมาณห้าต้นไผ่ก่อนจะแบกขึ้นบ่ามา เพราะเธอตัดลำต้นมายาวเกือบเท่าตัวเอง และเมื่อมาถึงก็โยนโครมจนอีกคนสะดุ้ง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ตัดไม้ไผ่ประมาณสี่ปล้องก่อนจะเจาะรูตรงข้อมันและยื่นให้กับคนเจ็บ แต่เพราะตาที่มองเห็นไม่ค่อยจะชัด ทำให้มีบ้างที่เสี้ยนตำเข้าไปในนิ้ว เธอจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะเพ่งที่นิ้วและบีบเอาเสี้ยนออก มีบ้างที่ต้องใช้กริชแงะจนมีเลือดซึม แต่ก็ใช่ว่าเธอจะสน นอกจากเช็ดกับเสื้อต้นเอง เธอวิ่งไปวิ่งกลับอยู่หลายรอบเพื่อที่จะหาใบไม้และกิ่งไม้แห้งมากันไฟมอด และแสงอาทิตย์ที่เย็นลงทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง

    “เย็นแล้วเหรอ... กี่โมงก็ไม่รู้สินะ” เธอถอนหายใจก่อนจะนั่งพักหลังจากที่วิ่งไปมาหลายรอบ จริงสิ ผ้าพันแผล!

    เธอปรี่เข้าไปดูอาการอีกครั้ง ค่อยๆแกะเถาวัลย์ออก แต่เพราะมันมีบางส่วนที่เปื้อนเลือดทำให้เธอตัดสินใจไปเอาเถาวัลย์เส้นใหม่มา อากาศที่ดูเริ่มจะเย็นลงและเธอคิดว่าคงต้องสร้างที่พักแรมเอาแน่ๆ ดวงตาสีดำสนิทหันไปมองคนเจ็บที่มองมาที่เธอก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอหยิบกริชขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะยิ้มแบบแยกเขี้ยวให้คนเจ็บแล้วเดินเข้าป่าไปอีกครั้ง

    ถ้าไม่บาดเจ็บแม่จะเรียกมาช่วยให้เข็ด!

    เธอหากิ่งไม้ใหญ่ๆมาเพื่อที่จะสร้างเป็นฐาน ในหัวของเธอจินตนาการวิธีการสร้างไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าสร้างออกมาจะได้เหมือนที่คิดรึเปล่า แต่ถึงยังไงไม่ลองก็คงไม่รู้ บริเวณที่หมอนั่นอยู่นั้นอยู่ใต้ต้นไม้พอดี เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ชะงัก จริงๆไม่ต้องทำก็ได้ล่ะมั้ง งั้นก็เปลี่ยนแผนเป็นหาหญ้าแห้งๆมากองสุมกันเป็นที่นอนดีกว่ารึเปล่านะ....

    เธอยืนคิดอยู่คนเดียวชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้า เพราะคิดว่าคงไม่จำเป็น ถ้าสมมุติว่าพรุ่งนี้ยังเป็นแบบนี้อีกค่อยว่ากัน และเมื่อตกประเด็นนั้นไปได้ ข้อต่อมาคืออาหาร....

    วันเดียวกินน้ำไปก่อนก็แล้วกัน ต้นไผ่มีเหลือเฟืออยู่ พรุ่งนี้ค่อยลองจับปลาไม่ก็เดินหาของกิน ตอนนี้ไปตัดต้นไผ่เพิ่มน่าจะเป็นการดีที่สุด มันน่าจะใช้งานได้หลายอย่างอยู่

    เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเธอไม่รู้ แต่เธอตัดเพิ่มอีกประมาณสิบต้นไผ่ใหญ่ ก่อนจะตัดครึ่ง เธอหาเถาวัลย์ก่อนจะมัดรวมกันและลากกลับบริเวณกองไฟโดยที่ไม่ลืมหยิบไม้ไผ่แห้งมาด้วยไว้เป็นเชื้อเพลิง และตัดเป็นข้อปล้องสี่ปล้องฆ่าเวลาเสียหนึ่งในสาม เธอยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้คนเจ็บปรากฎว่าเจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งเธอก็ดื่มเองแทน

    และเมื่อเริ่มว่าง ก็จะเริ่มเล่น...

    เธอตัดไม้ไผ่ที่ดื่มน้ำจากต้นมันเรียบร้อยออกเป็นสองส่วน ก่อนจะเก็บไว้ มีบ้างที่ลองเหลาให้มันแหลม แต่บอกเลยว่าเธอเหลาได้ห่วยมาก

    คนเพิ่งลองทำ จะเอาอะไรมากมายเล่า!

    er...”

    เสียงนั้นทำให้เธอต้องหันไปมองต้นเสียง ก็พบว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกำลังเหมือนจะเรียกเธออยู่ ซึ่งทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ และต้องสารภาพว่าลืมคนเจ็บไปแล้วเพราะกำลังเมามันกับการเหล่าไผ่และปักเป็นรูปนั่นรูปนี่อยู่

    “ว่าไง?” เธอถาม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้จนต้องขยี้เรือนผมตัวเองแรงๆ “บ้าชิบ เขาใช้ภาษาอะไรวะ? สวัสดี? เฮลโหล? โอฮะโย? บองชูว? โฮล่า? หนีห่าว?”

    Nǐ hǎoและคำตอบกลับนั้นทำให้เธอก็ทำให้ประจักษ์

                โอเค ภาษาจีน...

                ทำอย่างกับเธอรู้เยอะแบบนั้นแหละ!!! ทำไมไม่มาอังกฤษวะ!

                “รู้สึกเศร้าใจเป็นบ้า ฝั่งพ่อเป็นคนจีนแท้ๆแต่ดันเกลียดจีน... เรียนก็ไม่เคยตั้งใจเรียน ตอนนี้เป็นไงล่ะ?”

                “Xièxiè เสียงนุ้มทุ้มว่าอีกครั้ง ซึ่งคำนี้เธอก็ฟังออก เธอโบกไม้โบกมือพยายามที่จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่คือเธอไม่รู้จีนคำนั้น

                “Nǐ jiào shén me míng zì?

    “ฮะ??” ครั้งนี้มาพร้อมประโยคที่ยาวขึ้นจนเธอต้องอุทานออกมา “หนี่เจี้ยว?? อะไรนะ???”

    - jiào - shén - me - míng - zì?” ชายหนุ่มพูดช้าๆชัดๆอีกครั้ง ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง “Wǒ shì Yáng Wénjiàn

    “ชื่อเหรอ??” เธอลองเดา ก่อนจะชูนิ้วขึ้นอีกรอบ “ขออีกรอบได้ไหม? อะไรเจี้ยนๆ?”

    Wén - jiàn

    “เหวิน..เจี้ยน?” เธอพึมพำตาม ก่อนจะลองย้ำอีกครั้ง “เหวินเจี้ยน”

    และเมื่อเห็นชายตรงหน้าพยักหน้า เธอก็ถอนหายใจออกมาเพราะกว่าจะสื่อสารกันได้ แต่แล้วคนตรงหน้าก็ชี้มาที่เธอและถามประโยคที่จำได้ว่าได้ยินเมื่อไม่ถึงนาทีที่แล้วว่า Nǐ jiào shén me míng zì?

    “หนี่เจี้ยวเฉินเมอหมิง... ถามชื่อฉัน?” เธอชี้มาที่ตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าอีกครั้ง และเธอตอบ “ฉันชื่อตะวัน”

    เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าขมวดคิ้ว ก็ได้ความว่าคงฟังไม่รู้เรื่องเป็นแน่แท้ เธอหันมองรอบตัวก่อนจะชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า “นั่นไงๆ ชื่อฉัน ตะวัน”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นพยายามที่จะเข้าใจ เขามองตามนิ้วที่ชี้ ก่อนที่จะมองนิ้วเดิมที่เหมือนจะวาดเป็นรูปอะไรสักอย่างบนพื้นดิน วงกลมและมีรังสีออกมา

    ใช่ เธอกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกว่าเธอมีชื่อว่าตะวัน

    Tàiyáng?

    “อย่าถามฉัน ฉันไม่รู้” เธอส่ายหัว “คงใช่มั้ง เพราะถ้าฉันจำไม่ผิด หยางแปลว่าพระอาทิตย์นี่นะ”

    “...Xiǎoyáng” เขาพูดออกมา ก่อนจะย้ำอีกครั้ง “Wǒ huì dǎ diànhuà gěi nǐ Xiǎoyáng

    “ฉันฟังที่นายพูดยาวพรืดนั่นไม่ออกหรอกนะ” เธอลูบต้นคอตัวเองอย่างหนักใจ

    Xiǎoyáng

    “เสี่ยวหยาง?”

    Xiǎoyáng

    “ฉัน??” เธอชี้มาที่ตัวเอง “เสี่ยวหยางคือฉัน?”

    เขาพยักหน้า

    “คุยเรื่องเดียวกันแน่รึเปล่าวะ ลองถามดูละกัน คำว่าอะไรนะที่ถ้าใส่เข้าไปในภาษาจีนแล้วจะทำให้เป็นประโยคคำถาม.. อ๋อ! หว่อชื่อเสี่ยวหยางเดส... ไม่ๆ เดสก๊ะอันนั้นมันญี่ปุ่น หว่อชื่อเสี่ยวหยางเฉินเมอ?”

    บุรุษตรงหน้าเลิกคิ้ว ซึ่งตะวันก็ชี้ไปที่อีกฝ่ายก่อนจะบอก “เหวินเจี้ยน” เธอทำมือเป็นรูปปากขยับๆแล้วชี้มาที่ตัวเอง “เสี่ยวหยางเฉินเมอ?”

    เมื่อเห็นว่าเขาดูจะแปลกใจรึอะไรเธอไม่คิดจะหา เพราะตอนนี้ตะวันกำลังลุ้นว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสิ่งที่เธอสื่อว่า เหวินเจี้ยนเรียกฉันว่าเสี่ยวหยางเหรอรึเปล่า จู่ๆชายหนุ่มตรงหน้าก็ยิ้มออกมานิดๆ แม้สีหน้าจะดูอ่อนแรง ก่อนจะย้ำช้าๆ

    - shì - xiǎo - yang

    “โอเคเข้าใจตรงกัน เสี่ยวหยาง เสี่ยวหยาง” เธอพึมพำก่อนจะหัวเราะร่าออกมา “เสี่ยวแปลว่าอะไรวะ เหมือนจะจำได้แต่จำไม่ได้ แต่ช่างแม่ง เสี่ยวหยางโคตรเสี่ยว ฮ่าๆๆๆ”

    เธอหัวเราะออกมากับมุกตลกฝืดของตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ก่อนจะหันมามองผู้ชายที่มองหน้าเธอแบบงงๆ ก็คงไม่แปลกกระมังเพราะจู่ๆเธอหัวเราะออกมาแบบนี้ “เอ ขอโทษภาษาจีนคืออะไรวะ ฮ่าๆๆ”

    เมื่อนึกไม่ออก เธอก็เลยประกบมือและขอโทษแทนทั้งที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ ในเมื่อแสดงออกทางคำพูดไม่ได้ก็ทางการกระทำนี่แหละ แต่เมื่อมองมายังชายหนุ่มตรงหน้าก็พบว่าท่อนบนของเขานั้นเปลือยอยู่ แม้จะมีเรือนผมสีดำสนิทยาวปกคลุมอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวได้ป่วยแน่

    “บ้าชิบ เดี๋ยวฉันมา” เธอวิ่งหายไปอีกทาง แต่เพียงอึดใจก็วิ่งกลับมาแล้วเก็บกริช ก่อนจะวิ่งกลับไปอีกทางโดยที่เธอหันกลับมามองคนที่ยังนั่งพิงต้นไม้อยู่ เธอยิ้มให้ก่อนใช้นิ้วโป้งจิ้มที่หน้าอกตัวเองพร้อมบอกทั้งที่รู้ว่าพูดไปเขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เธอก็ยังอยากพูด “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฝากชีวิตนายไว้กับฉันก่อนละกันตอนนี้ นายยังไปไหนไม่ได้ จริงๆฉันชอบเวลานายกับฉันมานั่งเดากันน่ะนะว่าพูดอะไร ไว้อีกเดี๋ยวจะมาเล่นด้วยใหม่นะเหวินเจี้ยน!

     

    ตกดึกคืนนั้น

    ตะวันที่นอนไม่ค่อยจะหลับอยู่แล้วตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงครางเบาๆดังขึ้นจนต้องลุกจากที่นั่งพิงต้นไม้มาดูคนที่นอนราบโดยที่เธอหาหญ้าและใบไม้แห้งมาทำเป็นที่นอนและผ้าห่มให้ จากที่ตอนแรกว่าจะไม่ทำแต่ก้ต้องทำเพราะว่าเหวินเจี้ยนนั้นเปลือยท่อนบน และเสื้อนั้นเธอใช้ทำผ้าปิดแผลไปแล้ว เธอใช้ไม้ไผ่กับหญ้าที่เตรียมไว้ใส่เข้าไปในไฟที่เริ่มจะมอดลง ใช้ไม้เขี่ยให้มันเข้ากันและสว่างพอที่จะเห็นคนที่นอนอยู่ไม่ห่างจากไฟ เธอเขยิบเข้าไปใกล้ก็เห็นสีหน้าเหมือนกับทรมานของเหวินเจี้ยน เธอลองใช้หลังมือแตะที่ใบหน้าก็พบกับความร้อนที่แผ่ออกมาทำให้ต้องถอนหายใจ

    “ทั้งตกน้ำทั้งโดนแทง ว่าแล้วไงว่าไข้ต้องขึ้น” เธอลุกขึ้นมาก่อนจะหรี่ตามองหากระบอกไม้ไผ่ที่ใช้แล้วว่าจะไปตักน้ำจากหนองน้ำแทนกะละมัง แต่เพราะสายตาสั้นที่มองไกลไม่ค่อยจะเห็นและเมื่อไปไกลก็ไม่มีแสงไฟ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเจาะเอาน้ำจากกระบอกไม้ไผ่แทนชั่วคราว เธอเอากระบอกที่หั่นเล่นเป็นสองซีกเมื่อตอนเย็นใช้รองน้ำ ก่อนที่เธอจะใช้ผ้าที่ตัดมาจากเสื้อของตัวเองชุบน้ำแล้วเช็ดให้ที่ใบหน้า

    หือ? หน้าหมอนี่มันหล่อใช่ย่อยแฮะ

    ระหว่างที่เช็ดใบหน้าให้เธอก็พึ่งจะได้สังเกตใบหน้าของเหวินเจี้ยนครั้งแรก รูปหน้าคมคาย คิ้วโก่งสวยและดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสันเสียจนน่าอิจฉา ริมฝีปากบางเฉียบได้รูปสวย ผิวขาวเนียนกับผมสีดำสนิทยาว บ้าฉิบ! สรุปมันจะสวยหรือมันจะหล่อวะเนี่ย!? ตะวันจิ๊ปากอย่างหมั่นไส้ก่อนจะวางไว้ที่หน้าผาก

    “คงทำได้แค่นี้แหละ เช็ดตัวระบายความร้อนไม่ให้สูงมาก ไม่มีทั้งยาทั้งอะไร คงต้องต้มน้ำอุ่นเผื่อให้ดื่มด้วยล่ะมั้ง”

    หมับ!

    ทันทีที่เธอถอยออกห่าง มือใหญ่กว่าก็คว้าหมับที่ข้อมือ แรงของมันทำให้แทบล้ม และเมื่อเธอหันไปมองเขาก็พบว่ายังคงหลับไม่ได้สติ มันคงเป็นปฏิกิริยากระมัง แต่ความร้อนฉ่าจากมือที่ตรงข้ามกับข้อมือที่อุณหภูมิปกตินั่นยิ่งทำให้คนป่วยกำแน่นยิ่งกว่าเก่า และมือของเหวินเจี้ยนก็สามารถกำรอบข้อมือของตะวันได้มิด

    “เหวินเจี้ยน?” ตะวันเข้าไปใกล้ก่อนจะเรียกอีกครั้ง “เหวินเจี้ยน? เป็นอะไรไป?”

    Xuě é...

    “ฮะ? นายว่าอะไรนะเหวินเจี้...”

    ควับ! ตุบ!!

    จู่ๆคนป่วยก็พลิกร่างของผู้หญิงตัวเล็กกว่าลงมาอยู่ใต้ร่าง มือใหญ่ข้างที่กำข้อมือนั้นรวบข้อมืออีกข้างไว้เหนือหัวขณะที่มืออีกข้างกำรอบคอเล็กๆไว้และออกแรงกดจนตะวันไอออกมา

    “เหวินเจี้ยน! แค่ก! เหวิ...”

    นิ้วยาวกดที่คอจนเธอหายใจแทบไม่ออก สีหน้าของเหวินเจี้ยนตอนนี้เหมือนกับคนบ้าไร้สติ และแววตานั้นก็เหมือนกำลังมองไปยังที่อื่นที่ดูห่างไกล แต่อย่าคิดว่าแค่นี้เธอจะยอม! ตะวันตวัดขาเกี่ยวคนที่อยู่ข้างบน และทันทีที่มือทั้งสองผ่อนแรงนั้นก็เป็นโอกาสที่ตะวันจะกระทุ้งเข่าและหมุนตัวมาอยู่ด้านบนแทน มือเล็กกว่านั่นต่อยเข้ากับใบหน้าของเหวินเจี้ยนอย่างจัง

    “อะไรของนายวะไอ้เหวินเจี้ยน! หมาบ้าเข้าสิงรึไง!!

    เธอง้างหมัดขึ้นเตรียมในกรณีที่เหวินเจี้ยนยังไม่ได้สติ ต้องขอบคุณกล้ามเนื้อนักกีฬากับการที่ดูหนังต่อสู้บ่อยๆกระมังทำให้เธอหลุดออกจากมาได้ เหวินเจี้ยนดูเบลอๆแต่กระนั้นดวงตาเรียวคู่นั้นที่มองมาที่เธออย่างอ่อนแรงก็มีแววประหลาดใจ

    Xiǎoyáng?

    “เฮ้อ ได้สติแล้วสินะ” เธอผละตัวออกมาจากการนั่งอยู่บนตัวของชายหนุ่ม จริงๆก็กระดากอยู่นิดหน่อยเมื่อนึกย้อนไปว่าตัวเองนั่งอยู่บนตัวผู้ชายโตเต็มวัย แต่ใครจะสนในเมื่อผู้ชายคนนั้นเป็นคนป่วยที่สติเหมือนจะหลุดไป “ฉันจะไปต้มน้ำแล้วเดี๋ยวจะกลับมาเช็ดตัวให้ นอนนิ่งๆเป็นเด็กดีไปซะ บ้าขึ้นมาอีกทีจะเอายาหมาบ้าให้กิน”

    เธอผละออกมาตัดไม้ไผ่เป็นรูปคล้ายๆสี่เหลี่ยมคางหมูมุมฉาก เจาะรูตรงข้อปล้องไม้ไผ่แก่และเอาน้ำใส่ไม้ไผ่สี่เหลี่ยม ก่อนจะตั้งไว้ข้างๆกับกองไฟ เธอหันกลับมาเตียงหญ้าที่อุตส่าห์ทำให้คนป่วยที่มันเละจากเรื่องเมื่อครู่ เธอจัดให้มันเรียบร้อยก่อนจะหันไปมองเหวินเจี้ยนที่พยุงตัวเองขึ้นนั่งได้ พลางตบตรงเตียงหญ้าที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับฟูกนุ่มๆ

    “คนป่วยกรุณามานอนด้วย”

    เหวินเจี้ยนที่กุมท้องตัวเองเขยิบเข้ามาใกล้ แต่แทนที่จะล้มตัวนอน กลับกลายเป็นว่าเขาคว้าข้อมือของเธอมา อาศัยแสงไฟและนั่นทำให้เขามองเห็นรอยเป็นปื้นตรงข้อมือ แต่ยังไม่ทันที่เหวินเจี้ยนจะพูดอะไรมือของตะวันอีกข้างที่ว่างก็เอื้อมมาปิดปากที่เหมือนจะเปิดพูดอะไร

    “อย่าสนใจเลย และกรุณาอย่าพูด เพราะฉันฟังนายพูดไม่รู้เรื่องอยู่ดี” เธอดึงมือออกจากการถูกเกาะกุมและดึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนมือหนาของเหวินเจี้ยนออกมา เดินไปหยิบน้ำต้มและชุบผ้ากับมัน ก่อนที่ตะวันจะเช็ดที่มุมปากที่เป็นรอยช้ำจากการที่เธอต่อยไปเมื่อครู่ เหวินเจี้ยนเบ้หน้าเล็กน้อย และเมื่อเธอประคบให้เรียบร้อยก็ตั้งใจจะชุบกับน้ำจากป่าไม้ไผ่ต่อ แต่แล้วน้ำจากไม้ไผ่ที่เหลือน้อยทำให้ตะวันชะงักไปครู่ เธอถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจไปที่บึงน้ำ เธอเอาฝอยไม้ไผ่มันพันกับท่อนไม้ และเอาไปจุดกับกองไฟจนเกิดเป็นคบไฟขึ้น

    Xiǎoyáng?

    “นี่พูดเป็นอยู่คำเดียวรึไง?” ตะวันขมวดคิ้วก่อนจะชูกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำต้มก่อนจะชี้ไปทางบึงน้ำ “จะไปที่นั่น น้ำหมด”

    เหวินเจี้ยนขมวดคิ้วก่อนจะเตรียมลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล และนั่นทำให้ตะวันรีบแจ้นไปหยุดร่างอีกฝ่าย “หยุดๆๆ นี่อย่าบอกนะว่าจะไปด้วย ไม่ต้องเลย เจ็บอยู่ ไปแปปเดียวเดี๋ยวมา”

    ก็ใช่ว่าที่เธอพูดไปนั้นเหวินเจี้ยนจะฟังรู้เรื่อง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะสน เธอชูสองมือห้ามไว้ก่อนที่จะสั่ง “ปู้ๆๆๆๆ”

    ปู้ เป็นภาษาจีนที่มีความหมายว่าไม่ อีกคำหนึ่งที่เธอรู้ และท่าทางการห้ามจริงจังแต่สำเนียงและประโยคที่ผิดๆนั่นทำให้เหวินเจี้ยนต้องหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและยอมนั่งลงแต่โดยดี เมื่อตะวันเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะว่าพร้อมรอยยิ้ม "เซี่ย เซี่ย”

    เธอดันตัวอีกฝ่ายลงนอนก่อนจะเอาผ้าที่พอมีความเย็นลงเหลือนิดหน่อยแปะไว้บนหน้าผากแล้วหันหลังวิ่งไปทันที และจริงๆจากใจ มองเห็นได้ยากมากเพราะสายตาสั้นยิ่งมองเห็นในที่มืดไม่ชัด แต่คบเพลิงในมือก็ช่วยให้อุ่นใจเป็นอย่างมาก เธออุ้มกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ประมาณสี่ห้ากระบอกก่อนจะวิ่งตรงไปที่แม่น้ำ เพียงไม่นานก็ถึง

    จริงอยู่ว่าขาไปเธอวิ่งมาได้ แต่ขากลับนี่สิ ตักน้ำมาเต็มขนาดนี้จะวิ่งกลับไปยังไงวะ....

    ตะวันค่อยๆเดินกลับอย่างระมัดระวังซึ่งเป็นการยากที่จะถือกระบอกห้ากระบอกและคบเพลิงด้วย และค่อยๆเดินกลับไม่ให้น้ำหกและไม่ให้สะดุด

    โอเค.... เธออาจจะโลภมากไปที่จะตักเยอะแบบนี้ แต่จะได้ไม่ต้องมาหลายรอบ เพราะงั้นก็ทนๆไปก็แล้วกัน

    .... ทำไมขากลับมันไกลจังวะ!!

    และเมื่อเห็นแสงไฟไกลๆ เธอก็รีบจ้ำขึ้นทันที ก่อนที่จะมาถึง แต่...

    ตุบ!

    Xiǎoyáng?

     

     

    “เสี่ยวหยาง?”

    เหวินเจี้ยนเรียกออกมาเมื่อเธอนอนแน่นิ่งคว่ำหน้ากับพื้นโดยมีกระบอกน้ำไม้ไผ่ห้ากระบอกที่เจ้าตัวไปตักมาถึงบ่อน้ำนอนหกอยู่ เช่นเดียวกับคบไฟที่อยู่กับพื้น

    จะสงสารหรือจะหัวเราะดี ที่เธอสะดุดรากไม้ตอนมาถึงจนน้ำหกหมดแบบนั้น และตอนนี้เธอก็ยังคงนอนนิ่งอยู่แบบนั้น

    $)@^&@^!!!

    จู่ๆเธอก็พูดอะไรสักอย่างออกมาซึ่งเขาฟังไม่รู้เรื่องแต่มั่นใจว่าเป็นคำสบถ สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้แต่ออกไปทางเจ็บใจและอยากอาละวาดเสียมากกว่า ซึ่งมันเป็นสีหน้าที่แปลกใหม่มากสำหรับเขา

    &*%@@!*&&#&@^&*)_+@!!!!!” เธอโวยวายออกมา และถึงแม้จะฟังไม่ออก แต่ท่าทางกิริยานั้นทำให้เขารู้ได้ไม่อยากว่าเธอกำลังบ่นเรื่องที่ไปเอาน้ำมาและมันต้องสูญเปล่า แต่กระนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาแล้วคว้ากระบอกพวกนั้นพร้อมแรงอารมณ์แล้วหมุนตัวเตรียมกลับไปทางเก่าอีกครั้ง แต่จู่ๆเธอก็หันมามองทางเขาเขม็ง ปากบ่นอะไรสักอย่างก่อนจะเดินตรงมาเขาแล้วดันเขาลงนอนเป็นครั้งที่สองโดยที่ยังคงหันรีหันขวางหาอะไรบางอย่าง ซึ่งเขายื่นเศษผ้าสีเข้มคืนให้เธอ

    เพราะผ้ามันไม่มีความเย็น และถ้านอนอยู่แบบนั้นก็กลัวว่าจะหลับก่อนที่เธอจะมา เพราะการที่ปล่อยผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นออกไปในป่าที่มืดๆมันอันตราย แม้สภาพตัวเขาตอนนี้จะย่ำแย่แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยให้ไปคนเดียว แต่เพราะท่าทางการห้ามที่น่าขำทำให้ยอมรออยู่เฉยๆ

    เธอเดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่จำได้ว่าผิงไว้ข้างกองไฟก่อนจะยื่นมาให้เขาซึ่งรับมาแต่โดยดี น้ำอุ่นพอประมาณที่ไหลผ่านช่วงคอทำให้รู้สึกสบายพอสมควร และเมื่อดื่มหมด เธอก็เอากระบอกคืนไปก่อนจะทำท่าให้เขานอน

    แม้จะไม่อยากทำตาม แต่ก็ยอมนอนลงแต่โดยดีโดยตั้งใจว่าพอเธอไปแล้วค่อยลุกขึ้นมานั่ง แต่เธอกลับยืนอยู่แบบนั้นข้างตัวเขาเหมือนกับระแวงกลัวว่าจะตื่น และสุดท้ายเพราะความปวดหัวและอาการเจ็บทั้งหลาย บวกด้วยน้ำอุ่นที่ดื่มไปเมื่อครู่มันให้รู้สึกสบาย แม้ตั้งใจจะตื่นแต่ไม่นานสติของเขาก็หลุดลอยไปและเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากนั้นไม่นาน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×