คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #201 : The Bird with the Red Plumage (1989&2021)
ชิราอิชิ มาชิโกะได้พบกับชายชาวต่างชาติผู้นี้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม ปี 1989 ระหว่างช่วงพักเที่ยง ชายผมแดงที่ก้มลงจ่อกล้องถ่ายรูปกับแอ่งน้ำบนทางเดินด้วยความจดจ่อนั้นดูแปลกพิลึกจนเธอเผลอไผลจ้องมอง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมา เรียกสายตาของเธอให้เสหลบไปทางอื่น อันที่จริงมันควรจะจบลงเพียงเท่านั้น ถ้ามาชิโกะจะไม่เห็นจากปลายหางตาว่าเขายกกล้องที่ห้อยคอขึ้นมายังทิศทางของเธอ ทั้งยังได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังไล่หลังแม้ในตอนที่เธอจะเดินเลยผ่านเขาไปแล้ว จึงอดหันไปพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่พอใจนิดๆ ในภาษาที่เขาย่อมต้องเข้าใจอย่างแน่นอนไม่ได้
“จะถ่ายรูปใครควรต้องขอก่อนหรือเปล่า?”
“ผมไม่เคยขอ”
“แล้วไม่มีใครเคยว่าหรือไง?”
“ผมไม่เคยถ่ายรูปคน”
เธอขมวดคิ้ว ทั้งสับสนระคนไม่พอใจ “แล้วที่ถ่ายรูปฉันล่ะ?”
แต่ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงติดสายเอี๊ยมตัวโคร่งเหมือนซูตสูทเตอร์ ซึ่งกลับมาเป็นที่นิยมในยุคแปดศูนย์อีกครั้ง จะเพียงยกริมฝีปากข้างหนึ่งขึ้นให้เธอได้รู้สึกตงิดๆ จะด้วยเจตนาดีหรือไม่ เรื่องนี้มาชิโกะดูไม่ออก จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเป็นภาษาบ้านเกิดของเธออย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“คุณอยากไปหาอะไรกินด้วยกันไหม?”
ในร้านราเมนแถวละแวกที่ทำงานซึ่งเจ้าตัวไม่ยักกะรู้จัก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าเธอจะไม่รู้จัก เพราะตรอกซอกซอยที่เขาพาเลี้ยวลดเสียจนมาชิโกะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะจำทางมาหรือกลับได้ถูกนั้นแน่นขนัดไปด้วยลูกค้า หลังได้ลิ้มรสอันแสนกลมกล่อมของชิโอะราเมนเธอจึงได้เข้าใจ ระหว่างนั้น เขาก็แนะนำตัวเองว่าชื่อเจสซี่ ลูอิส ย้ายจากลาสเวกัสมาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้สองปีแล้ว ปัจจุบันทำงานเป็นคนชงเหล้าอยู่ที่บาร์กลางคืนในย่านชินจูกุ ส่วนการถ่ายรูปนั้นเป็นแค่งานอดิเรก พอเขาย้อนถาม จึงเป็นทีของเธอได้คลายข้อสงสัยให้คู่สนทนาฝั่งตรงกันข้ามบ้างว่าเคยไปร่ำเรียนมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก ส่วนปัจจุบันทำงานเป็นนักแปลอยู่ที่บริษัทซาซากาวะการแปล แล้วนับตั้งแต่นั้น บทสนทนาของพวกเขาจึงผสมปนเปกันไปทั้งสองภาษา อย่างคล่องแคล่วเฉกเช่นกัน
“ผมใช้เลนส์ซูอิโกะ 50 มม.”
“ฉันกำลังแปลเรื่อง ‘เมเนียก คอป’ ลงวีเอชเอส”
ถึงต่างฝ่ายจะพูดว่า “น่าสนใจ” แต่พวกเขาต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้ว่าเธอไม่สนใจเรื่องการถ่ายรูป เธอรู้ว่าเขาก็ไม่สนใจเรื่องภาพยนตร์ หลังจบคำพูดตามมารยาทในแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นแล้วก็ต่างมองตากัน จากนั้นประสานเสียงหัวเราะที่ใกล้เคียงกับการระเบิดเสียงหัวเราะมากกว่าแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“เรามาพูดสิ่งที่คิดกันตรงๆ ดีกว่า” เขาว่า
“โอเค งั้น...ฉันขอเริ่มด้วยการพูดว่าวิธีที่คุณทำนั้นเสียมารยาทสุดๆ”
เขาไหวไหล่ ไม่ให้ความเห็นใดๆ ในเรื่องนั้น
“ส่วนผมคิดว่าคุณสวยมาก” มือที่จับตะเกียบอยู่ถึงเมื่อครู่พลันชะงักค้าง “สนใจเป็นนางแบบให้ผมและคบกับผมไหม?” มาชิโกะไม่ยิ้มอีกแล้ว ขณะจ้องสบนัยน์ตากับเขาที่มองจ้องกลับมาโดยไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย อาจจะฟังดูถือดีไปสักหน่อย เมื่อมาชิโกะรู้ว่าตัวเองหน้าตาดีและเป็นจุดสนใจของผู้ชายมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ถึงกระนั้นมาชิโกะก็ไม่ค่อยทำให้มันเกิดขึ้นอย่างง่ายดายนักในแง่ของความสัมพันธ์แบบผูกมัดกับใคร เธอต้องการอะไรบางอย่าง...ความรู้สึกถึงอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ และมันไม่ได้มาจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือแค่นิสัยใจคอเพียงผิวเผิน แต่ทันใด ในวินาทีที่ทุกสิ่งรอบตัวคล้ายว่าจะหยุดนิ่งลงไป และมีเพียงแค่เธอกับชายแปลกหน้ารูปงามกำลังประจันหน้ากันอยู่ในความเป็นจริง สิ่งนั้นก็พัดวูบเข้ามา แม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ มันก็รุนแรงมากพอให้เธอได้ตระหนัก มาชิโกะยังคงไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือศีรษะที่ผงกรับอย่างเชื่องช้า และรอยยิ้มตรงมุมปากที่เธอเคยคิดว่ามันแฝงความเย้ยเยาะ มาบัดนี้มันกลับทำเอานัยน์ตาของเธอแทบมัวพร่า แม้ว่าแสงอาทิตย์จะไม่ได้สาดส่องทะลุหลังคาลงมาก็ตาม
เย็นวันนั้น เขาพาเธอมาที่อาคารเก่าหลังหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่พักของคนงานในอู่ต่อเรือ มีขนาดเท่ากับอาคารสูงสามชั้น และมีส่วนของดาดฟ้าที่อาจไม่ได้มีประโยชน์ใช้สอยใดๆ แม้วัสดุก่อสร้างจะเริ่มผุพังไปตามกาลเวลา เผยสีสนิมคร่ำครึจากสังกะสีที่นำมาปูเป็นผนังด้านนอกที่ฟากหนึ่ง เฉกเช่นผนังสีฟ้าที่ซีดจางและมีรอยกระดำกระด่างเป็นหย่อมยวง ไหนจะเหล็กที่นำมาทำราวจับบันไดวนขึ้นไปตลอดชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของห้องพัก ทั้งที่ควรจะนึกรังเกียจ แต่มาชิโกะกลับรู้สึกตื่นเต้นในทุกขณะที่เดินตามชายตัวสูงขึ้นไป เหมือนการกำลังก้าวย่างไปหาที่ซ่อนขุมสมบัติซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เมื่อครั้งยังเด็ก เขาเอื้อมมือขึ้นไปหยิบกุญแจที่วางอยู่บนวงกบประตูแล้วไขมัน และเมื่อเจสซี่พูดขึ้นว่า “นี่คือความลับของผม” ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับเด็กซุกซน หัวใจของมาชิโกะก็ยิ่งเต้นโครมคราม
_______________
คนโนะ ไทกิจำไม่ได้ว่าเขาเกลียดกลัวนกตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่มันเป็นความกลัวที่เกาะติดเขามาอย่างเนิ่นนานแม้กระทั่งเติบใหญ่ จนกลายเป็นสิ่งที่ฝังแนบแน่นเหมือนกับส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจสลัดได้พ้น โชคร้ายที่ไม่มีใครในครอบครัวเข้าใจความกลัวนั้น พ่อมักบังคับขู่เข็ญให้เขาไปเดินป่าด้วยกัน และจะตบหน้าเขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มร้องไห้แม้แค่ได้ยินเสียงปีกนกกระพือจากที่ไกลๆ ส่วนแม่ก็ซื้อนกแก้วมาคอว์สีแดงปีกเหลืองสดใสมาให้น้องสาวที่อายุห่างจากเขาสี่ปี มันคอยแต่ตะโกนเลียนเสียงคนที่บ้านว่า “เจ้าโง่ไทกิกลัวนก!” ด้วยเสียงแหลมสูงเสียดแก้วหูซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่ารำคาญและน่ารังเกียจ ไทกิมีความคิดว่าอยากจะฆ่ามันให้ตายๆ ไปเสียตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้ เพราะแค่การเหลือบแลมองยังเป็นเรื่องที่เต็มกลืน
เขารอกระทั่งเรียนจบมัธยมปลาย จากนั้นจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่สำหรับการหนีออกจากบ้าน จากครอบครัวที่ไม่มีใครใส่ใจใยดีเขาเลยแม้แต่น้อย ไปยังเมืองหลวงที่อยู่ห่างไกลจากป่าทึบทึมซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์มีปีกที่เขาทั้งเกลียดและกลัว
ไทกิอยู่รอดปลอดภัยในป่าคอนกรีตที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากคุณลุงเจ้าของร้านอาหารจีนซึ่งให้ทั้งที่พัก การงาน และอาจรวมถึงชีวิตใหม่ แล้วหลังจากหนึ่งปีที่พ้นผ่าน ไทกิก็ได้พบกับหลานสาวของคุณลุงที่ย้ายจากชิโกกุเข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในโตเกียว ไทกิตกหลุมรักเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงสดใสตั้งแต่แรกพบ จากใบหน้าและรอยยิ้มที่สดสวยยิ่งกว่าใครคนใดที่ไทกิได้เคยพานพบเจอ
ถึงแม้ว่าชื่ออาคาบาเนะ อาสึกะของเธอจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้ตลอดมา...และจะเป็นตลอดไป หากไทกิก็ไม่อาจต้านทานความต้องการที่จะได้เข้าไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อจดจ้องมองใบหน้าที่สดสวย รับฟังเสียงหวานใสที่แสนจะไพเราะยามเปิดปากสนทนาเจื้อยแจ้วกับเขาที่เป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดโดยไม่รู้หน่าย
จวบกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ที่เขาต้องเดินไปส่งเธอกลับบ้านหลังจากการอยู่ช่วยงานที่ร้านอาหารจีนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ตามคำขอของคุณลุงจนเป็นกิจวัตร เมื่อไปถึงหน้าอพาร์ตเมนต์หลังเล็กน่ารักที่เขาเคยฝันว่าอยากจะเข้าไปเห็นมันดูสักครั้ง อาสึกะก็ทำยิ่งกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มผู้ไม่อาจเอื้อมจะกล้าฝันด้วยการชักชวนเขาเข้าไปดื่มกาแฟในห้อง แต่หลังจากที่เธอล็อกบานประตูแล้ว ทันทีทันใดก็จะโถมถั่งน้ำหนักตัวเข้าหาจนเขาล้มลงไปกับพื้นในท่าที่ถูกเธอนั่งคร่อมอยู่ หลังจากเธอพูดว่า “ฉันชอบคุณคนโนะนะ คุณคนโนะก็ชอบฉันเหมือนกันใช่ไหม?” ก็ก้มหน้าลงไปจู่โจมด้วยจูบที่ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัวหรือแม้แต่ตอบรับกลับไปเป็นคำพูด อันที่จริง ไทกิไม่เคยนึกชอบความสัมพันธ์ที่รวดเร็วและข้ามขั้นตอนเกินไปแบบนี้ แต่เมื่อได้สอดประสานลมหายใจกับเธอ แนบชิดและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเธอ ไทกิก็ได้ตระหนักรู้ว่าอาสึกะจะเป็นข้อยกเว้นให้กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ของเขา
แต่การคบหากันนำพาซึ่งแง่มุมที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคาดคิดมาถึง ไทกิไม่รู้มาก่อนเลยว่าอาสึกะจะเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจได้มากขนาดนี้ เธอเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและบีบให้ไทกิต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะโกรธ และความโกรธของเธอก็หมายถึงการทำอะไรสิ้นคิดอย่างเช่นการผลุนผลันออกไปข้างนอกทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ เปิดประตูลงจากรถไปท่ามกลางความมืดมิดในป่า หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ไทกิต้องยอมเธอทุกครั้งไปอย่างเสียไม่ได้ เขารักเธอมาก เรื่องนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยหน่ายใจกับนิสัยเกินเหลือรับของเธอ จนทำให้เขามีอาการปวดหัวและต้องพึ่งยาแก้ปวดคราวละหลายๆ เม็ด
เป็นเพราะความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่ในหัว กอปรกับความรู้สึกที่สั่งสมอยู่ในอก ค่ำวันที่ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เขาจึงตะคอกใส่หน้าเธอที่เริ่มต้นหาเรื่องทะเลาะเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งคราว อาสึกะโกรธจัดที่ถูกคนรักด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นครั้งแรกทั้งที่เขาควรจะยอมอ่อนข้อให้ ก่อนพุ่งตัวเข้ามาตบหน้าเขา และไทกิในเวลานั้นก็ไม่สำนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อยที่จะผลักเธอจนล้มลงไปกับพื้น แล้วเป็นฝ่ายผลุนผลันจากไปโดยทิ้งเพียงคำก่นด่าไล่หลังตามมาแทน
แต่นับจากวันนั้น ไทกิก็ไม่ได้พบเธออีก ไม่ใช่แค่เขา หากยังรวมถึงทุกคนทั้งลุงและเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งต่างโทร.มาถามไถ่เรื่องของเธอเพราะไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้ อพาร์ตเมนต์ที่เขาเคยอยู่ร่วมกับเธอบัดนี้ก็ว่างเปล่า อาสึกะไม่ได้ทิ้งโน้ตไว้ ไม่มีร่องรอยของการบุกรุก ข้าวของทุกอย่างของเธอยังอยู่ในห้อง แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่จะพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ต่อให้จะเป็นแค่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล การแจ้งคนหายไม่ได้ช่วยอะไร เมื่อไม่มีหลักฐานให้ไปต่อ ตำรวจก็จนปัญญา ไทกิกระวนกระวายใจ และเกิดเสียใจขึ้นมาถ้าหากว่านั่นจะเป็นคำพูดสุดท้ายระหว่างพวกเขา
เขาบอกว่าเธอเป็น ‘ผู้หญิงชั้นต่ำ’ เพราะคิดว่าเธอนอกใจไปกับเพื่อนร่วมคณะที่พักนี้เธอสนิทสนมด้วยจากการทำงานกลุ่ม เพราะรายการโทร.ออกที่มีชื่อของเรย์อะมากกว่าใครๆ กับการที่เธอมักจะแวะเวียนไปที่ภัตตาคารครอบครัวกับเด็กหนุ่มรายนี้บ่อยๆ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เรย์อะมีคนรักอายุมากกว่าที่คบควงด้วย ป้ายชื่อบนหน้าอกในชุดเครื่องแบบผ้ากันเปื้อนที่ภัตตาคารครอบครัวบนชั้นสองนั้นเขียนว่า ‘คุโรยานางิ’ และเป็นคุโรยานางิเองต่างหากที่สนิทสนมถึงขั้นรักใคร่อาสึกะเหมือนกับพี่น้อง ถึงขนาดร้องห่มร้องไห้เพราะความกลัวที่ว่าเธออาจเป็นอะไรไป ในตอนที่เขาไปสอบถามเรื่องของหญิงคนรักที่หายสาปสูญจากคนรอบข้าง ถ้าเพียงแต่เขาจะยอมเชื่อเธอ ไม่ทึกทักเรื่องของผู้ชายคนอื่นเอาเองแล้วปล่อยให้อารมณ์ครอบงำอยู่เหนือเหตุผลที่คนอย่างไทกิเคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เหตุการณ์ทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เขาให้คำมั่นสัญญากับคุโรยานางิว่าจะหาอาสึกะให้พบให้ได้ “เธอจะต้องไม่เป็นไร” นั่นหาใช่คำพูดที่มีความหมายอื่นใด นอกไปจากการปลอบใจตัวเอง
ไทกิได้พบ ‘มัน’ เป็นครั้งแรกระหว่างขากลับอพาร์ตเมนต์ ความกลัวที่เหินห่างไปแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง อาจเป็นภาพที่น่าขบขันเมื่อมนุษย์ผู้ชายต้องมาคุดคู้อยู่บนพื้นเพราะนกตัวเล็กกระจ้อยที่บินโฉบลงมา
รูปถ่ายหนึ่งใบปลิวว่อนลงมาอยู่แทบเท้าของเขา
หญิงสาวผมสีแดงที่ปรากฏอยู่บนรูปถ่ายใบนั้นและกำลังฉีกยิ้มกว้าง ราวกับไม่มีเรื่องร้ายใดจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หรืออาจแม้แต่คนที่กำลังมองดูมันอยู่อย่างเขาก็คืออาสึกะ ฉากหลังที่เขาจำจดได้คือระเบียงบ้านพักตากอากาศที่เป็นของแม่เลี้ยงคนปัจจุบันในกุนมะ ที่เธอเพิ่งจะชวนเขาไปเที่ยวด้วยกันก่อนหน้าที่จะหายตัวไป ในชุดไหมพรมสีขาวและต่างหูเงินทรงวงกลมที่เขาเป็นคนซื้อให้ แต่ไทกิแน่ใจว่าไม่ใช่เขาที่เป็นคนถ่ายรูปนี้
เขาตัดสินใจไม่รั้งรออีกต่อไป แล้วกระโจนขึ้นรถเพื่อจะได้ขับรวดเดียวไปที่กุนมะ ในค่ำคืนที่ไม่ค่อยมีรถราพลุกพล่านแบบนี้น่าจะใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น
ไทกิแทบไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลยสักอย่าง เขาเข้าโตเกียวตัวเปล่า กระทั่งตอนนี้ก็ยังตัวเปล่า การทำงานอยู่ในร้านอาหารจีนไม่ได้ทำให้เขามีเงินทองมากมายขนาดให้ตั้งตัวได้ และไทกิที่ก็ไม่เคยฝันใฝ่อยากมีอนาคตที่ดีไปกว่านี้ก็ไม่ได้ขวนขวายอะไร ถึงขนาดเคยคิดด้วยซ้ำว่าเขาจะทำงานกับคุณลุงผู้เมตตาไปจนกว่าจะมีใครตายจาก
เหมือนปณิธานที่เขามีต่ออาคาบาเนะ อาสึกะ...หญิงสาวผู้เป็นที่รัก
_______________
ความคิดเห็น