คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : △ The Dream Stranger :: YG'HC
September 27, 2012
5.10 p.m.
มือเรียวใหญ่ปิดหนังสือเล่มเล็กที่เพิ่งอ่านจบหมาดๆ หลับตาบีบสันจมูกคลายอาการล้า ลุกขึ้นเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวางใกล้หน้าต่าง เสียงวัตถุบางอย่างครูดบดพื้นเป็นจังหวะตะกุกตะกักด้านนอกเรียกให้ร่างหนาหันมองลอดกรอบหน้าตาสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกไป
ที่ถนนหน้าบ้าน คิมฮิมชานกำลังหัดเล่นสเก็ตบอร์ดโดยมีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวซีดอีกคนเป็นผู้สอน ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ร่างโปร่งจับเอวฮิมชานขณะเจ้าตัวพยายามไถลสเก็ตบอร์ดไปด้านหน้า ไม่ทันจะปล่อยได้สุดมือร่างบางก็ตกลงจากแผ่นไม้ทรงรียาว ร่างโปร่งรีบถลาไปคว้าตัวคนตัวเล็กไว้ไม่ให้สะดุดล้มก่อนจะยกมือขึ้นยีหัวเป็นสัญญาณให้ลองใหม่ บังยงกุกยืนนิ่งมองการกระทำแบบเดิมซึ่งเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งด้วยความรู้สึกไหววูบเจ็บหน่วงในช่องอกหากไร้ซึ่งการแสดงออกทางสีหน้า
“อ้าว ไงครับคุณย...” ความรู้สึกเอาชนะเหตุผลในที่สุด ร่างหนาผลักประตูเดินออกมาคว้าข้อมือร่างบางที่กำลังหัดเล่นสเก็ตบอร์ดอยู่ริมทางเท้าจูงเข้าบ้านโดยไม่สนใจร่างโปร่งที่ยืนนิ่งค้างอยู่ด้านนอก มือเรียวใหญ่ปล่อยข้อมือบางเมื่อเดินมาถึงโซฟากลางห้องโถง หอบหายใจราวกับได้ใช้พลังงานไปมากมาย
“มีเรื่องอะไรหรอครับ? ลากผมมาทำไม?” ร่างบางเลิกคิ้วถามพลางหายใจหอบ เหงื่อเม็ดเล็กๆปรากฎบนหน้าผากขาวเนียน คนถูกถามยืนนิ่งใบหน้าเรียบเฉยตรงข้ามกับภายในใจซึ่งกำลังวุ่นวายสับสน
ถ้าตอบว่า ‘ไม่มีอะไร แค่อยากลากออกมา’ ผู้ชายหน้าหวานตรงหน้าจะหัวเราะเยาะผมแล้วเดินออกไปเล่นสเก็ตบอร์ดกับผู้ชายที่ยืนข้างนอกนั่นต่อมั้ยนะ? ผมต้องตอบว่ายังไงคิมฮิมชานถึงจะไม่ออกไปหาผู้ชายคนนั้น? ผมแค่รู้สึกไม่ดี รู้สึกหงุดหงิด ข้างในนี้มันปวดหนึบตอนเห็นฮิมชานยิ้มให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น
ผมรู้ดีว่าความรู้สึกของตัวเองตอนนี้หมายความว่ายังไง แต่มันอาจจะเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบก็เป็นได้
เหมือนลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาทำให้ต้นไม้แห้งสั่นไหว ใบไม้แห้งร่วงกราว จากนั้นทุกอย่างก็สงบนิ่งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น....บางอย่างทำให้ผมเชื่ออย่างนั้น....
ผมอยากจะเชื่อว่าผมรักผู้ชายคนนี้เข้าแล้วจริงๆ แต่บางอย่างในสมองกลับทำให้ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ บางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมยังคงเต็มไปด้วยหมอกควันบดบัง...คำว่ารักยังคงไม่ชัดเจนในความรู้สึก
“ไปซุปเปอร์มาเก็ตเป็นเพื่อนฉันหน่อย” ยังไงก็ตามแต่ ผมขอทำตามความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ก่อนก็แล้วกัน
September 28, 2012
10.54 p.m.
“ฝากด้วยนะจงออบ” ชายหนุ่มหน้าหวานยืนชิดรถเก๋งติดฟิล์มสีดำทั้งคัน มองลอดกระจกที่ถูกลดลงไปยังคนขับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกดดัน หากประกายความหวังอันริบหรี่ยังคงฉายออกมาจากดวงตาหม่นเศร้าอ่อนล้า
เจ้าของดวงตาเรียวเล็กพยักหน้าน้อยๆพลางจับคันเกียร์จ้องไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ เขาอาจจะถูกแจ้งจับข้อหาพยายามฆ่าหากทำพลาดเพียงแค่นิดเดียว ความกดดันลดลงเล็กน้อยจากครั้งก่อนๆ ทว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวคือความกดดันจากความคาดหวังถึงผลสำเร็จของสิ่งที่กำลังจะลงมือทำ....นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จงออบต้องแบกรับความกดดันอันหนักอึ้งแบบนี้
เสียงเครื่องยนต์ดังหึ่มที่เพิ่มเดซิเบลขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเรียกให้ร่างหนาที่เดินทอดน่องอยู่บนถนนในมือหิ้วถุงผลไม้สองสามอย่างที่เพิ่งซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตให้หันขวับไปมอง แสงไฟหน้ารถสว่างจ้าจนต้องเบือนหน้าหนี ร่างสูงยืนตะลึงนิ่งราวถูกสาบ รถคันหนึ่งกำลังแล่นมาทางเขาด้วยความเร็วสูงที่ยากจะคาดเดาตัวเลขบนหน้าปัด.....
ไม่ใช่ไม่อยากหนี แต่สัญชาตญาณกำลังบอกเขาว่าการยืนนิ่งๆอาจทำให้บาดเจ็บน้อยที่สุด....
เสียงล้อรถบดครูดพื้นคอนกรีตลากยาวเป็นเสียงบาดแก้วหู ตามมาด้วยเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มขึ้นอีกครั้งและห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดรอบตัวยงกุกมีเพียงความเงียบของกระแสลมเย็นเฉื่อยของฤดูใบไม้ผลิปกคลุม ไม่มีร่องรอยแห่งอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นกับร่างกาย
ร่างหนายืนนิ่งงันยิ่งกว่าเก่า ในหัวว่างเปล่าเห็นเพียงสีขาวโพลน เสียงบางเสียง... ภาพบางภาพ... ความรู้สึกบางอย่างที่หายไปปรากฎขึ้นมาอย่างไม่ปะติดปะต่ออยู่ภายในความว่างเปล่าทว่าวุ่นวายของสมอง
“นายว่าท้องฟ้าที่นี่สวยมั้ย?”
“สวยครับ”
“นายชอบท้องฟ้าที่นี่หรือที่บ้านฉันมากกว่ากัน?”
“ไม่เห็นจะต่างกันเลย”
“หมายความว่าไง?”
“ท้องฟ้าไม่เคยสวยไปกว่าท้องฟ้าหรอกครับ ใครบางคนที่อยู่ข้างๆตอนมองขึ้นไปบนนั้นต่างหากที่เป็นเหตุผลให้แผ่นสีฟ้าข้างบนนั้นสวยงาม...”
“..........”
“...ท้องฟ้าที่ผมเห็นน่ามองเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็เพราะมีคุณอยู่ข้างๆ”
“คุณยงกุก! โอเครึเป...”
“ฮิมชาน!” ร่างบางที่วิ่งหน้าตาตื่นออกจากประตูบ้านมาจับตัวยงกุกหันไปมาสำรวจอย่างตกใจถูกแขนแกร่งมากอดแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างหนากอดคนหน้าหวานตัวสั่นเทาจนคนในอ้อมกอดรู้สึกโหวงในช่องอก เสียงทุ้มแหบพร่าที่เปล่งออกมาทำเอาหัวใจคนฟังกระตุกวูบด้วยความคาดหวังที่พัดกระพือขึ้นในจิตใจ มือบางยกขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลม ส่วนเจ้าของมือคู่สวยกำลังสะกัดกลั้นน้ำตาแห่งความกดดันซึ่งกำลังจะทะลักออกมาในไม่ช้า
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน อาการสั่นราวจับไข้อย่างหนักของบังยงกุกบรรเทาเหลือเพียงอาการมือสั่นน้อยๆ ร่างหนาหอบหายใจเสียงแผ่ว คลายอ้อมกอดจากร่างบาง ยืนนิ่งมองหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นระริก
“..คุณยงกุก” ฮิมชานเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่วราวกระซิบ เรี่ยวแรงเหมือนถูกกลืนหายไปกับดวงตาระริกไร้แววของคนตรงหน้า หากความหวังอันน้อยนิดยังคงส่องประกายอยู่ในดวงตาคลอน้ำสีใส
“.....ฉันไม่เป็นไรแล้ว...ขอบใจนะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้า ร่างสูงก้าวเข้าบ้านอย่างเหม่อลอยพร้อมกับถุงซุปเปอร์มาเก็ตในมือเย็นชุ่มเหงื่อ
คิมฮิมชานมองตามแผ่นหลังกว้างอ่อนระโหยหายลับเข้าไปในตัวบ้านตาละห้อย ในที่สุดน้ำตาที่ถูกกักกั้นเอาไว้ก็รินไหลลงมาราวเขื่อนแตก ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงราวใบไม้แห้งไร้ชีวิตถูกลมพัดร่วงหล่นลงพื้น ความหวังที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดของการได้คนรักกลับมาบัดนี้สูญสลายไปหมดสิ้น เสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาราวจะขาดใจดังคลอไปกับเสียงหวีดหวิวของลมเย็นแห่งค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วง
October 2, 2012
1.13 a.m.
เสียงทุบประตูดังๆเบาๆจังหวะไม่แน่นอนจนฟังดูรำคาญหูดังขึ้นขณะเจ้าของบ้านกำลังเปิดหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมาขึ้นอ่านได้เพียงครึ่งหน้าแรก ร่างหนาย่นคิ้ว วางหนังสือลงบนโต๊ะ สาวเท้าไปเปิดประตูด้วยอารมณ์หงุดหงิด คิ้วหนาคลายปมแทบจะทันทีที่เห็นต้นเหตุของเสียงเคาะน่ารำคาญเมื่อครู่ สีหน้าเคร่งอ่อนลงจนกลายเป็นรอยยิ้มระบายบางบนใบหน้านิ่งขรึม หากแต่ไม่นานก็ชักหน้าสงสัยเมื่อเห็นตาปรือเยิ้มกับคิ้วขมวดเป็นปมและแก้มแดงฝาดของคนตรงหน้า ความสงสัยได้รับคำตอบเมื่อสายตาตวัดเห็นกระป๋องเบียร์ในมือเรียวบาง ทว่าคำถามต่อมาคือต้นเหตุของสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“คุณยงกุก...” เสียงเล็กแหบพร่าเอ่ยขึ้นหลังจากยกเบียร์ขึ้นกระดกจนหมดกระป๋อง ร่างบางยืนโงนเงนจนเจ้าของบ้านต้องคว้าแขนเล็กเอาไว้ หากถูกเจ้าตัวสะบัดออกพร้อมกับถอยหลังออกห่าง
“บอกผมทีว่า...ผมควรทำยังไง..ฮึก...บอกผมที” ใบหน้าหวานเหยเกยอย่างเจ็บปวด น้ำใสไหลรินลงจากสองตาเคลือบทับรอยคราบน้ำตาเดิมที่ปรากฎจางๆอยู่บนแก้มเรื่อทั้งสองข้าง
“..เมื่อไหร่...เมื่อไหร่คุณจะนึกออกซักที!” กระป๋องเบียร์ซึ่งถูกบีบจนบิดเบี้ยวกระแทกเข้าที่หางคิ้วเจ้าของบ้าน เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากปากแผลเล็กช้าๆ ทว่าร่างสูงแทบไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บจากบาดแผลที่หางคิ้วแม้แต่น้อย ความรู้สึกเจ็บแปลบของก้อนเนื้อในช่องอกตอนนี้ชัดเจนยิ่งกว่าน้ำสีแดงสดที่ไหลซิบออกจากบาดแผลตรงหางคิ้วเสียอีก
สิ่งที่คนตรงหน้ากำลังรู้สึกราวกับถูกส่งผ่านมาสู่เขาโดยตรงเพียงแค่ยืนมองการกระทำของอีกฝ่าย ยงกุกสัมผัสมันได้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ร่างหนาไม่รู้มีเพียงต้นเหตุของความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเท่านั้น...
“บอกฉัน ใครทำอะไรนาย?” ร่างหนาเอ่ยถามนิ่งๆอย่างใจเย็น ไม่ใส่ใจจะจัดการกับหยดเลือดที่ไหลซึมลงมาถึงโหนกแก้ม
“คุณนั่นแหละ! เพราะคุณคนเดียว...” ร่างเล็กตวาดเสียงยานคางชี้หน้าเจ้าของบ้านสีหน้าโกรธขึ้ง ร่างหนาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ อารมณ์ขุ่นเริ่มก่อตัวหากแต่ยงกุกระงับมันเอาไว้
“ฮึก..คุณเป็นคนเดียวในโลก....ที่ทำให้ผมเป็นได้ถึงขนาดนี้...” ร่างหนาส่ายหน้าช้าๆ สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจอย่างไม่ปิดบัง
“ฉันว่านายเม...” เสียงทุ้มต่ำขาดหายไปพร้อมกับดวงตาเบิกกว้างและหัวใจกระตุกวูบ เมื่อจู่ๆคนตรงหน้าวาดแขนบางมาโน้มคอตนลงไปประกบปากนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว สัมผัสของริมฝีปากอิ่มหยักสีพีชซึ่งบดคลึงริมฝีปากหนาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอ่อนล้า ความหวานจากกลีบปากและลิ้นนุ่มที่สอดเข้ามาในโพรงปากทำให้สมองร่างหนาว่างเปล่า รู้สึกราวกับตัวกำลังล่องลอย หากครู่ต่อมารสเค็มปะแล่มจากน้ำตาของคนตรงหน้ากลับกลายเป็นสิ่งซึ่งเรียกให้ยงกุกตื่นจากภวังค์ได้เป็นอย่างดี ทว่าร่างหนาก็ไม่สามารถจะปฏิเสธสัมผัสจากร่างเล็กตรงหน้าได้เลย
คิมฮิมชานหยุดการรุกล้ำริมฝีปากและหัวใจของร่างหนาในที่สุด บังยงกุกพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของตนโดยมีร่างเล็กหอมละมุนซึ่งมีกลิ่นเบียร์อ่อนๆติดอยู่นอนทับอยู่บนแผงอกกว้าง เจ้าของใบหน้าหวานหลับตาพริ้มหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ยงกุกขยับแขนแกร่งเพื่อจะผลักคนด้านบนออกแต่ก็ชะงักเปลี่ยนเป็นวาดแขนโอบรอบลำตัวนุ่มอย่างถนุถนอม ไม่กี่อึดใจต่อมาสองจังหวะหายใจก็กลายเป็นหนึ่งเดียว....
October 3, 2012
8.28 a.m.
ร่างหนาซึ่งท่อนบนเปลือยเปล่าบนเตียงกว้างกระพริบเปลือกตาเปิดราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย กรอกตามองเพดานสีขาวหม่นไปมาราวกับรอให้บางสิ่งวาบสว่างขึ้นในสมอง ไม่กี่อึดใจภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายซ้ำไปมาในหัวราวกับเป็นจินตภาพแห่งความฝันที่ใครบางคนปั้นแต่งขึ้น แขนแกร่งวาดควานไปข้างตัว เมื่อไม่พบร่องรอยของร่างที่นอนกอดเมื่อคืนเจ้าของเตียงจึงยันตัวขึ้นนั่งพร้อมกับส่ายสายตาไปรอบห้อง และแล้วก็มาหยุดลงตรงกระดาษสีครามอ่อนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
‘ขอโทษ... และขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...’
Him Chan K.
กระดาษแผ่นเล็กถูกปล่อยลงบนพื้นข้างเตียง ขายาวดีดตัวลงจากเตียงก้าวฉับไปที่ประตูบ้านอย่างรีบเร่ง แม้ยังไม่รู้แน่ชัดถึงความหมายที่เจ้าของโน๊ตต้องการจะสื่อ แต่หัวใจกลับเต้นถี่รัวเร่งให้บังยงกุกรีบไปหาเจ้าของกระดาษแผ่นนั้นโดยเร็วที่สุด ขายาวหยุดลงตรงประตูรั้วหน้าบ้านตัวเอง เจ้าของบ้านยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย
ร่างเล็กที่ตามหากำลังขนกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขึ้นท้ายกระบะสีขาวซึ่งมีกระเป๋าขนาดเล็กกว่าสองสามใบวางรออยู่ก่อนแล้ว บนพื้นข้างตัวฮิมชานไม่มีสัมภาระอื่นใดหลงเหลืออยู่อีก ราวกับสิ่งเดียวที่เหลือซึ่งร่างบางต้องทำสำหรับการจากไปคือก้าวขึ้นรถเท่านั้น....
“นายจะไปไหน คิมฮิมชาน?” บังยงกุกไม่สามารถระบุความรู้สึกของตัวเองได้ว่ากำลังเศร้า ตกใจ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย ทว่าเสียงทุ้มต่ำเรียบๆที่เปล่งออกไปกลับฟังดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย
“อ้าว คุณยงกุก ตื่นแล้วหรอครับ? ผมไม่กล้าปลุกคุณเพราะเห็นคุณกำลังหลับสบาย” คนถูกเรียกหันมาพูดเสียงใสเจือหัวเราะไร้วี่แววความเจ็บปวดที่เห็นเมื่อคืน ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างที่ยงกุกเห็นจนชินตา..และชินใจ...
“งานที่เกาหลีเสร็จแล้วครับ ผมต้องไปทำงานที่อิตาลีต่อ เครื่องจะออกอีกหนึ่งชั่วโมง ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณก่อนนะครับ พอดีทางบริษัทแจ้งมากระทันหัน” ร่างบางอธิบายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเห็นคนอีกฝั่งรั้วยืนขมวดคิ้วมองตนนิ่งไม่พูดจา มีเพียงความเงียบส่งกลับมาเป็นคำตอบ ร่างเล็กจึงเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเพื่อเอ่ยคำลา
“...โชคดีนะ” ร่างหนาเอ่ยนิ่ง สิ่งที่เปล่งออกไปคือคำเดียวที่ปรากฎอยู่ในหัว คล้ายกับสมองหยุดทำงานชั่วขณะ ยงกุกนึกอะไรไม่ออก ไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองกำลังรู้สึกหรือต้องการอะไรแน่ ราวกับในหัวมีเพียงความว่างเปล่าซึ่งบรรจุหมอกควันเอาไว้จนเต็มพื้นที่ ตาเรียวคมจดจ้องไปที่ร่างบางซึ่งยิ้มละมุนให้เป็นครั้งสุดท้ายและหมุนตัวเดินห่างออกไปอย่างอ้อยอิ่ง
เมื่อก้าวไปถึงประตูรถฝั่งข้างคนขับ ร่างเล็กที่ยืนนิ่งหันหลังให้ยงกุกไหล่สั่นเกร็ง สายตาร่างหนายังคงจับจ้องในทุกกิริยาของคนตรงหน้า ไม่ช้าคนที่ยืนหันหลังให้ก็หมุนตัวกลับก้าวมายืนตรงหน้ายงกุกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มไม้ต่างจากเมื่อครู่ ต่างกันเพียงตอนนี้ดวงตาคู่สวยมีน้ำใสรื้นขึ้นมามากกว่าปกติ
“....คุณช่วยกอดผมหน่อยได้มั้ย?” ร่างหนาขมวดคิ้วน้อยๆราวกับต้องการทวนประโยคที่เพิ่งเปล่งออกจากริมฝีปากสีพีชตรงหน้า ทว่าสายตาจริงจังจนน่าใจหายของร่างเล็กเป็นเครื่องตอกย้ำประโยคเมื่อครู่ได้ดีว่าตัวคำพูดเองเสียด้วยซ้ำ
แขนแกร่งผายออกช้าๆ ทันใดร่างบางตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาสวมกอดคนสูงกว่าโดยไม่ทันตั้งตัว คางมนเกยอยู่บนไหล่ลาด แขนบางโอบรอบลำตัวหนา เสียงหายใจเข้าออกหนักแน่นทว่าเชื่องช้า คิมฮิมชานกอดร่างสูงแน่นนิ่งเนิ่นนานประหนึ่งต้องการจดจำทุกรายระเอียดแห่งสัมผัสและความรู้สึกของการจากลาครั้งสุดท้าย....
“...ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ฮิมชานเอ่ยพร้อมใบหน้าระบายยิ้มละไม ทว่าเสียงเล็กนุ่มซึ่งเปล่งออกมาไม่สามารถปิดบังน้ำตาซึ่งกำลังไหลรินอยู่ภายในได้ ขาเรียวก้าวอย่างเหนื่อยอ่อนไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับก่อนกระบะสีขาวจะแล่นออกไปจนหายลับไปที่หัวมุมถนน บังยงกุกยืนนิ่งจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของร่างบางจนกระทั่งรถสีขาวลับตาไปด้วยสมองและความรู้สึกพร่ามัวไม่ชัดเจน....
รถกระบะสีขาวปลอดจอดสงบนิ่งอยู่ริมทางเท้าใกล้สวนสาธารณะ ร่างบางที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับมองเหม่อไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บอกความรู้สึกใดๆ สิ่งเดียวซึ่งบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจคือน้ำตาเป็นสายซึ่งพรั่งพรูออกจากดวงตาเรียวซึ่งฉายแววอ่อนล้าสิ้นหวัง มือของเพื่อนสนิทตาตี่เอื้อมมาแตะไหล่บางอย่างเข้าใจ
"บางทีมันอาจถึงเวลาที่แกต้องทำใจแล้วนะฮิมชาน นี่มันครั้งที่สามแล้วนะที่แกทำแบบนี้"
"ทำเป็นย้ายเข้ามาใหม่ ทำเป็นไม่รู้จัก ทำเป็นไม่รัก แล้วสุดท้ายก็ทำเป็นจากไป แกทำทุกอย่างเหมือนเดิมซ้ำๆกันอย่างงี้มาสามครั้งแล้วนะ!"
"ยอมรับซะทีเถอะคิมฮิมชาน ยงกุกมันสูญเสียความทรงจำไปแล้ว.."
4 Months Ago
“ม...หมายความว่ายังไงครับหมอ?”
“มันเป็นโรคที่เกิดจากอาการแทรกซ้อนจากภาวะที่สมองถูกกระทบกระเทือนจนได้รับความเสียหายครับ ทีมแพทย์ของเราได้ทำอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตในระดับที่ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด แต่หมอเสียใจจริงๆครับเรื่องอาการแทรกซ้อน”
“...เขาจะเป็นยังไงครับ?”
“คนไข้จะมีปัญหาเรื่องความทรงจำครับ โรคนี้จะทำให้คนไข้สูญเสียความทรงจำโดยที่เราไม่สามารถระบุหรือคาดการล่วงหน้าได้เลย จะเป็นการสูญเสียชั่วคราวหรือตลอดไปก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันครับ..”
“...พอจะมี...วิธีรักษามั้ยครับ?”
“คุณอาจจะต้องจำลองเหตุการณ์บางอย่างที่อยู่ในความทรงจำที่สูญเสียไปของคนไข้..คุณ! คุณ! คุณครับ! พยาบาล!!...”
หนึ่งวันผ่านไป เป็นเศษหนึ่งในหลายพันหลายหมื่นส่วนของช่วงชีวิตที่ผ่านไป ใครหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็หายไปเป็นเศษหนึ่งในหลายล้านส่วนของความทรงจำ หายไปไม่มากก็น้อย...มันก็เป็นเช่นนั้น...
แต่ถ้าหากความทรงจำทั้งหมดที่ใครคนหนึ่งมีหายไปกับหนึ่งวันที่ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
คนที่อยู่ในความทรงจำที่สูญหายจะทำเช่นไร....
ความคิดเห็น