ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    PART OF ME { SF | ONE SHOT } by WOLINR

    ลำดับตอนที่ #4 : {'ONE SHOT } Second ; TaoBaek [ EXO ]

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 55


    ∆ ( คูลิโอ้' ) 。




    ©BearlingT  

     

    Second.

    TaoBaek ; Special version 

    Written by ; ©BearlingT

    Thanks to  ;  @Taewvaw,@KATUNE1390,@NAMMKANG

    writer taik ; นี่ไง นี่ไงพาร์ทเทาแบคเวอร์ชั่นเต็ม! เผื่อใครอยากอ่านหลังจากอ่านคริสยอลไปแล้ว ๕๕
    รับประกันว่าหน่วงกว่านี้ ณ พาร์ท 2 นะจ้ะ นะจ้ะ

     



    part one'










     

     




     

    แค่เพียงวินาทีเดียวก็มีความหมาย..   

    หากสามารถย้อนเวลาได้ .. ถึงจะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ

     

     


     

    บางที .. ผมอาจจะทันได้พูดมัน

    ก่อนที่จะ  ‘ สาย เกินไป ..

     

     











    เข็มนาฬิกาเดินไวกว่าที่เรารู้สึกตัวเสมอ .. 

    และไม่ว่าอย่างไร .. เข็มนาฬิกาจะไม่มีวันเดินย้อนกลับ ..

     

     

     

     

     

    “  พักกันหน่อยไหม? ผมว่าแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ค่อยไหวกันแล้ว  ”  ผมเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเราวิ่งกันไม่หยุดมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน เสียงหอบหายใจกับใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อของแต่ละคนทำให้ผมหวั่นใจ ระยะเวลาที่เราวิ่งมันเกินกว่าที่ขีดจำกัดของร่างกายจะทนไหว




     

    “ พี่ก็คิดแบบนั้น  ”  พี่ชายของผมพูดด้วยน้ำเสียงปนหอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย เส้นผมสีทองของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ คนตัวสูงหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งคนนั้นไม่พูดอะไรแต่เท่าที่ผมฟังจากเสียงหอบหายใจ ดูท่าชานยอลเองก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน

     


     

    “ ขึ้นไปบนตึกนั้นเถอะ  ”  

     ไคเสนอความคิดเห็นและทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาชี้มือไปยังตึกด้านหลังที่ดูท่าทางจะปลอดภัย

     


     

     

    ในตอนนั้น..

    ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะคัดค้านความเห็นเด็กหนุ่มผิวสีเข้ม ..

    และแน่นอน.. มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก ..

     

     

     
     

    พวกเราประคับประคองกันเดินเข้าไปสู่อาคารสูงห้าชั้นตรงหน้า ราวกับมันคือความหวังสุดท้าย ..

     

     


     

    ไม่มีใครโต้แย้ง .. พวกเราเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะเดินทางไปต่อ ..



    ไม่มีใครทันระวังตัว ..

     

     
     

     


     

    นั่นก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังวิ่งเข้าหาความตาย ..

     

     

     

     

     

     
     

         เราเดินขึ้นมาตามบันไดหนีไฟ เมืองทั้งเมืองไร้ซึ่งไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคล้มเหลวไปได้เดือนกว่าๆ ทุกคนเลิกหวังที่จะพึ่งพาลิฟต์ไปแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดไม่ว่าเราจะไปยังที่ไหนนั่นก็คือบันไดหนีไฟ ช่องทางที่เหมือนจะเป็นส่วนเกินของตึกอยู่เสมอในเวลานี้กลับกลายมาเป็นทางรอดในเวลาขับขัน 



          พี่กับชานยอลเดินนำหน้าเช่นเคย ตามติดด้วยเซฮุน ลู่หาน ไค และ อี้ชิงตามลำดับ อี้ชิงยังคงเงียบอย่างที่เขาเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่สองวันก่อน ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการอะไร  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ภาพการตายของคยองซู ซิ่วหมิน เฉินและ ซูโฮ ยังคงติดตา และตามหลอกหลอนทุกย่างก้าว พวกเราทุกคนกำลังเดินต่อไป เพื่อตัวเองและเพื่อพวกเขาที่จากไปก่อนหน้า

     
     

     
     

    บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาน่าอิจฉา ..

     

    ยังหรอก .. ผมยังไปไม่ได้ยังมีคนที่ผมต้องคอยดูแล

     


     

     

    “ หน้านายซีดชะมัด  ”   ผมพูดแล้วดึงแขนของเขาพาดคอ เขาคนนั้นไม่ได้ว่าอะไร ดวงตาคู่นั้นเพียงแค่มองมาอย่างที่เขาชอบมอง พ่นลมหายใจอีกนิดหน่อยแล้วปล่อยให้ผมพยุงต่อไปโดยไม่พูดอะไร

     

     

    “ รู้สึกเหมือนฉันเป็นตัวถ่วงนายยังไงก็ไม่รู้  ”  เขาโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบ เราสองคนเดินรั้งท้าย เสียงลมหายใจของเขายังคงดังอยู่ข้างๆหูผม เราอยู่ใกล้ ใกล้กันจนผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นต่อเนื่อง ซึ่งนั่นทำให้ผมหายกังวล

     

     

     

     ยังเป็นเขาที่อยู่ตรงนี้ .. ไม่ใช่อย่างอื่น ..

     

     

     

    “ คิดอะไรแบบนั้น นายตัวเบาจะตาย ไม่หนักเหมือนเวลาฉันต้องแบกพี่เวลาเมามันไม่ได้ลำบากอะไรหรอก คิดมากน่า  ”  ผมตอบ ถึงในใจจริงๆจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายตัวหนักไม่ใช่เล่นก็เถอะ

     
     

    “ ฮะๆ ฟ้ามืดเร็วจังแฮะ  ”  เขาเปลี่ยนเรื่องพลางหันมองไปด้านนอก แสงตะวันที่ลอดเข้ามาผ่านบานกระจกเริ่มมืดลงทุกที

    สายตาของเขาดูเลื่อนลอยและไร้วี่แววของความสดใสอย่างที่เคยเป็น

    ผมชอบดวงตาที่ทอประกายความสดใสของเขามากกว่า..

     

     

    “ เนื้อวัว .. ”  

     

     
     

    “  เจ้าบ้า นายยังไม่เลิกเรียกฉันแบบนั้นอีกหรือไง?  ”  เจ้าของชื่อเรียกแปลกๆหันกลับมาพร้อมกับคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ายุ่งเหยิงอย่างคนไม่สบอารมณ์ของเขาทำให้ผมยิ้มออก  ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เขาก็เป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับผมเสมอ ต่อให้หนทางข้างหน้าจะมืดมนแค่ไหน ขอแค่มีเขาผมก็พร้อมจะเดินต่อไป

     

     

    “  ล้อเล่นน่า เห็นนายเครียดๆ แค่อยากลองแหย่ดูเฉยๆ โอเค ถ้านายไม่ชอบฉันจะไม่เรียกแบบนั้นอีก .. หน้าซีดเชียวนายหนาวเหรอ? ”  ผมยกมือแตะข้างแก้มเย็นชืดนั่นเบาๆ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่แก้มนวลดูเหมือนจะมีสีระเรื่อขึ้นนิดหน่อยหลังจากผมผละมือออก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมว่ามันก็ดีกว่าปล่อยให้ซีดเหมือนกระดาษแบบเมื่อกี้

     

     

    “ ถึงสักที..  ”

     
     

     

     เขาลดแขนที่พาดคอผมลงทันทีที่เราพยุงกันมาถึงชั้นที่ห้าซึ่งเป็นที่หมายที่เราจะใช้พักสำหรับคืนนี้ คนตัวเล็กกว่าหันมาส่งยิ้มขอบคุณน้อยๆก่อนจะตอบคำถามก่อนหน้านี้ของผม

     

     

     

    “ เปล่า ไม่ได้ไม่ชอบ ก็แค่แปลกใจที่จู่ๆนายก็พูดขึ้นมา .. ก็นิดหน่อยล่ะมั้ง  ”  เสื้อแจ็กเก็ตตัวเก่งถูกกระชับเขาหาตัว แบคฮยอนถูฝ่ามือไปมาพลางเป่าลมอุ่นๆไปด้วย

     

     

    “ ใส่นี่อีกชั้นสิ  ”  ผมถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกที่ใส่อยู่ออกแล้วยื่นให้เขา ไม่ใช่ว่าผมไม่หนาวหรือแข็งแรงอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าน่าห่วงยิ่งกว่าตัวผมเองซะอีก

     

     

    “ ไม่หนาวหรือไง? งี่เง่าน่า  ใส่เองสิ  ”  เจ้าของใบหน้ายุ่งๆดันเสื้อในมือผมกลับ แถมมาด้วยประโยคขัดหูที่ผมไม่ได้ต้องการเท่าไหร่อย่างที่เขาชอบทำประจำ

     

     

    และเพราะเขามักจะทำแบบนี้ประจำ มันทำให้เกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของบทสนทนาระหว่างเราเป็นการถกเถียงเสียมากกว่าคุยกันแบบที่คนอื่นๆเขาทำ

     

     

     

    เขาชอบทำแบบนั้น และผมก็ไม่ต้องการให้การถกเถียงระหว่างเราหายไป

    ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว.. ดีกว่าที่ต่างฝ่ายต่างเงียบและไม่มีอะไรจะพูดกัน

     

     
     

    แค่ได้ยินเสียง ผมว่ามันก็ดีเกินพอ ..

    กัดกันจนวันตายก็ได้ ขอแค่ได้ยินเสียงเขาพูดประโยคที่เป็นของผม

     

     


     

    “ ใส่เถอะน่า ไม่อยากเห็นนายหนาวตายก่อนจะโดนพวกมันฆ่านะ  ”  เขาชะงัก ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดสักเท่าไหร่ แต่นิสัยเดิมๆของผมมันทำให้ผมพลั้งปากพูดออกไปจนได้

     

     

     ให้ตายสิ หวังจื่อเทา นายมันงี่เง่าอย่างที่แบคฮยอนว่าจริงๆนั่นแหละ ..

     

     
     

    “ อย่ามาบ่นหนาวให้ได้ยินทีหลังแล้วกัน  ”  แบคฮยอนเดินไปรวมกลุ่มกับพวกพี่ๆโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาแลบลิ้นใส่ผม บางทีเขาควรจะรู้ตัวนะว่าท่าทางแบบนั้นมันให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะทำให้โกรธหรือโมโหได้ลง

     

     


     

     
     

    ในตอนนั้น.. ผมน่าจะรู้ตัวว่าผมช่างโง่งม และ ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย..

     

     

     



     

              เราแปดคนตกลงกันเรื่องเวรยามเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนโดยที่ผมเป็นเวรกะที่สองต่อจากเซฮุน ผมนั่งๆนอนๆได้ไม่นาน พอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งก็ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ตอนนี้ฟ้ามืดสนิท ผมเดินมาผลัดเวรกับเซฮุน น้องเล็กของเรายิ้มเนือย เซฮุนตบบ่าผมสองสามทีเป็นกำลังใจแล้วปล่อยให้ผมประจำการที่บานหน้าต่างตรงข้ามประตูแทนที่เขา

     
     

              ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนที่ชอบทำประจำเวลาอยู่คนเดียว ปล่อยความคิดให้ไหลไปกับความเงียบ  คืนนี้ไม่มีดาวเลย..  ท้องฟ้าดูมืดมิดจนน่าแปลกใจ มันมืดเกินไป มืดจนให้ความรู้สึกราวกับจะไม่มีแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้  ผมรู้ว่าที่นี่คือโซลและคงไม่สามารถมองเห็นดาวได้มากนักในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ แต่นั่นมันเมื่อก่อนในวันที่โซลยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน

     

     

    ผู้คน  ที่เหมือนกับผม

     



     

    แต่ในตอนนี้ โซลไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว .. ไม่มีแสงไฟ เมืองทั้งเมืองไร้ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งกองไฟก็ไม่มีให้เห็น ถึงแบบนั้นผมก็ยังมองเห็นเงาตะคุ่มๆเคลื่อนที่ไปมาช้าๆตามถนนข้างล่างห่างออกไปสองสามช่วงตึก

     

     

    ไม่ใช่ชาวเมืองหรอก .. พวกมันต่างหากที่อยู่ตรงนั้น

    ผมไม่รู้ว่ายังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ข้างนอกนั่นอีกเท่าไหร่ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาคงรู้ว่ากลางคืนไม่ใช่เวลาที่ปลอดภัยในการออกเดินทาง

     


     

    ลงใต้ไปเรื่อยๆ  ’  คริส พี่ชายตัวสูงของผมพูดเอาไว้ คำพูดที่เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ความหวังที่เขาหว่านเอาไว้ในใจของพวกเราทุกคน

     


     

    สองเดือนแล้วที่เราหนีลงใต้มาเรื่อยๆ สองเดือนที่พวกเราค่อยๆลดลงทีละคนสองคน

    เป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน

     

     
     

    ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้ว .. ไม่มีความช่วยเหลือ .. อาหารและน้ำดื่มก็เริ่มหาได้ยากเย็นขึ้นทุกที 

    พวกเราแปดคนจะไปได้ไกลอีกแค่ไหนกัน..

    ผมคิดถูกหรือเปล่า ที่ทิ้งบ้านเกิดมาไกลถึงที่นี่..

     

     

    ที่จีนจะเป็นยังไงบ้าง? ผมไม่รู้เลยจริงๆ ขาดการติดต่อ เราเหมือนถูกตัดการสื่อสารจากโลกภายนอก ..

    ถูกกักขังไว้ในอดีตเมืองอันศิวิไลซ์..

     

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้น.. ผมก็ยังมีเขา .. เหตุผลที่ผมยังต้องอยู่ต่อไปถึงวันพรุ่งนี้ ..

     

     

     

     

    “ ไม่ใส่เสื้อกันหนาวยังมายืนตากลมอีก นายไม่ได้กินหญ้านานจนคิดไม่เป็นหรือไง?  ”  เสียงที่คุ้นเคยดึงผมออกจากภวังค์  ไม่ทันได้หันไปมองเขาก็ชะโงกหน้ามาก่อกวนผมซะก่อน ใบหน้าที่คุ้นเคยยักคิ้วมาให้ผมอย่างกวนๆ เอาเถอะ ผมว่ามันน่ารักจนหงุดหงิดไม่ลงนั่นแหละ

     
     

    “ ทำไมยังไม่นอน? พรุ่งนี้ถ้านายวิ่งไม่ไหวใครจะช่วยแบก?  ”  เมื่อได้ยินผมตอบโดยไร้ซึ่งประโยคแขวะกัดดูท่าเขาจะหงุดหงิดนิดหน่อยที่ผมไม่เต้นไปตามแผนของเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ผมจิ้มนิ้วไปตรงกลางระหว่างคิ้วนั่นอย่างอดไม่ได้

     

     

    “ หยุดนะ! ว่าคนอื่นแต่นายก็ไม่นอน คิดว่าตัวเองแข็งแรงเป็นยอดมนุษย์อยู่ได้ ”  เขาแยกเขี้ยวแล้วถอยตัวหลบ ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างแล้วเริ่มยุกยิกตามประสาคนอยู่ไม่สุข

     

     

    “ คืนนี้ไม่มีดาวสักดวงไม่ต้องมองหาหรอก ฉันมองหามาจะเป็นชั่วโมงแล้ว  ”  ผมเปรยเบาๆเมื่อเหลือบไปเห็นเขาชะโงกซ้ายชะโงกขวามองไปนอกหน้าต่าง เนื้อวัวไม่ได้ตอบอะไรเขาพยักหน้าเงียบๆให้ผมรับรู้ว่าเข้าใจ ก่อนที่เราสองคนจะถูกโอบล้อมด้วยความเงียบยามค่ำคืน

     
     

    เงียบสะงัด แต่ในหัวของผมกลับไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำร้ายหัวใจเจ้ากรรมข้างในอกยังส่งเสียงดังเสียยิ่งกว่า..

    การกระทำของเขาเป็นอันตรายกับตัวผมจริงๆ..

     

     

     

    “ มือนายอุ่นจัง ดูแลตัวเองบ้างสิเจ้างั่ง  ”   แบคฮยอนดึงมือสองข้างของผมไปแนบแก้มของเขาแล้วพูดพึมพำ ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมต้องใช้ความอดทนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คิดว่ามันง่ายนักเหรอที่ต้องอดทนแบบนี้..

     

     

     

    “ คำก็งั่ง สองคำก็งี่เง่า .. สนใจมาดูแลให้ไหมล่ะ ?  ”  น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยทีเล่นทีจริง นายจะรู้บ้างไหมว่ามันตรงข้ามกับความรู้สึกข้างในนี้อย่างสิ้นเชิง อยากรู้คำตอบ แต่ก็กลัวที่จะรับรู้มันสุดท้ายผมจึงปล่อยให้เขาคิดว่าผมแซวเล่นๆอย่างที่เคยทำบ่อยๆ

     

     

    ที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้ .. มันก็ดีมากเกินพอแล้ว ผมบอกตัวเองซ้ำๆ

    ถึงแม้มันจะยากเย็นเหลือเกินที่ต้องคอยบังคับใจไม่ให้คาดหวัง ..

     

     
     

    ขี้ขลาดงั้นเหรอ?

    ผมอาจจะเป็นคนแบบนั้นก็ได้..

     

     

    ผมก็แค่กลัว.. กลัวว่าสักวันถ้าเขารู้ว่าผมคิดอะไร เขาอาจจะเปลี่ยนไป ..

     

     

    “ เหอะ ใครเป็นคนดูแลนายคงได้ปวดหัวตาย ไปนอนเถอะไป เพ้อเจ้อ ” 

     
     


    “ ฉันเป็นเวรกะนี้ เหตุผลหนักพอไหม นายนั่นแหละที่ควรไปนอนได้แล้ว  ”  แบคฮยอนหันหลังกลับแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน เขาทรุดตัวลงนั่งอิงผนังข้างๆผม ไม่เถียงแต่ก็ไม่ทำตาม เป็นแบบนี้เสมอ

     


     

    “ เฮ้อ..  ”  ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก แล้วหันกลับมาทรุดตัวนั่งข้างๆเขา กวาดสายตามองรอบๆห้องแทนที่จะพูดเตือนแล้วลงเอยด้วยการต่อล้อต่อเถียงกันอีกสักรอบ พูดไปก็เท่านั้น ไม่มีทางหรอกที่ตัวยุ่งจอมดื้อคนนี้จะฟังคำพูดของผม

     


     

     

                    ห้องๆนี้ไม่ได้กว้างมากนักแต่ก็จัดได้ว่าเป็นที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่สามารถหาได้ในตอนนี้ เดิมทีอาคารหลังนี้เป็นโรงแรมประจำท้องถิ่น แต่คงเพราะทิ้งร้างไม่มีการดูแล และเท่าที่ผมสำรวจดูจากร่องรอยการงัดแงะ คงไม่ใช่แค่พวกของผมที่แวะมาที่นี่ คงมีกลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่นเคยผ่านมาพักที่นี่ และพวกเขาคงจะหยิบของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ห้องพักห้องนี้ถึงได้ทรุดโทรมลงไวกว่าที่ควรจะเป็นไปตามกาลเวลา


                    เท่าที่ดูห้องนี้คงเป็นห้องพักธรรมดา ผมทันเห็นไคบ่นพึมพำนิดหน่อยตอนที่ทุกคนขึ้นมาถึง เราไม่ได้พักที่ห้องสูทโอ่อ่าที่อยู่ตรงกลางทางเดินเชื่อมระหว่างชั้น นั่นก็เพราะห้องๆนี้อยู่ติดกับบันไดหนีไฟที่เราใช้เป็นทางขึ้นมากกว่า พี่เป็นคนออกความเห็นว่าให้เลือกห้องนี้ เขาให้เหตุผลไว้ว่า อยู่ใกล้ๆบันไดไว้เวลามีอะไรเกินขึ้นจะได้มีทางหนีทีไล่ และพวกเราควรจะพักรวมกันมากกว่าที่จะแยกย้ายกันพักตามห้องที่มีอยู่มากมายตามทางเดิน เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องเสียเวลา และอยู่รวมกันแบบนี้จะปลอดภัยมากกว่า ถึงจะมีเสียงโอดครวญเล็กๆแต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เห็นด้วย


                    อี้ชิง ไค เซฮุน ลู่หาน ชานยอล พี่อู๋ฟาน ตัวผม และ พยอนแบคฮยอน  คือแปดจากสิบสองคนที่เหลืออยู่ ทุกคนกระจายตัวกันอยู่ตามมุมต่างๆในห้อง  ชานยอลกับพี่เป็นสองคนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ทุกคนพร้อมใจกันยกเตียงนอนที่มีอยู่เตียงเดียวให้ทั้งคู่ไปครองเพราะรู้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นคนนำทางเหนื่อยที่สุด อีกมุมนึงบริเวณโซฟาก็มีร่างของไคนอนเอกขเนก ใกล้ๆกันนั้นมีอี้ชิงที่นั่งเป็นหลักให้เซฮุนกับลู่หานนั่งพิงไหล่สองข้าง พวกเขากำลังพัก และทุกอย่างอยู่ในความเรียบร้อย  เว้นก็แต่ อีกคนที่ไม่ยอมไปนอน แบคฮยอนนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆผม ดวงตาปรือด้วยความง่วงเต็มทน

     


     

    “ ง่วงก็นอน จะฝืนตัวเองแบบนี้ทำไม?  ”  ผมเอื้อมมือดึงตัวเขาเข้าใกล้ คนตัวเล็กโงนเงนอย่างน่าเป็นห่วง ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน ศีรษะของเขาเอนมาซบไหล่ของผมตามแรงดึง ดูเหมือนเขาจะตัวเย็นกว่าที่ผมคิดไว้

     


     

    “ อื้อ..  ”  เสียงครางพึมพำหลุดจากลำคอ คู่กัดของผมอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น และดูเหมือนเขาจะเข้าใกล้คำว่าหลับมากเข้าไปทุกทีๆ

     

     

    “ นอนเถอะ ฉันจะอยู่เฝ้านายเอง  ” ผมพูด ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันไหม ผมสีน้ำตาลของแบคฮยอนยาวขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้แตะนิดหน่อย กลิ่นหอมประจำตัวของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน  เช่นกันผมก็ยังรักษาระยะห่างของเราเอาไว้ได้เหมือนเดิม

     


     

    พวกพี่ๆว่ากันว่าผมกลัวการเปลี่ยนแปลง .. พวกเขามักจะเหน็บแนมผมว่าเป็นเด็กขี้ขลาด



    ใช่ ผมยอมรับว่าผมเป็นแบบนั้น



    แต่บางครั้ง..  การที่ผมพูดออกไปแล้วมันจะทำให้ระหว่างเรากลายเป็นความเหินห่าง ผมว่า ผมเก็บมันไว้เป็นความลับสุดยอดต่อไปอย่างเดิมน่ะดีแล้ว

     



     

    ความลับสุดยอดที่ว่า .. ผมรักเขา

    พยอนแบคฮยอน เนื้อวัว คนตัวเล็กที่เป็นทั้งคู่กัดและคนที่ผมรักที่สุดในเวลาเดียวกัน

     

     

    ไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อยที่ต้องห้ามใจไม่ให้แสดงอะไรที่มันอาจจะทำให้เขารับรู้  ไม่ใช่ว่าผมมีความสุขที่ต้องยิ้มไม่ว่ากำลังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆเวลาที่เขาแบ่งปันรอยยิ้มที่ควรจะเป็นของผมให้คนอื่น ไม่ใช่ว่าผมพอใจที่ระหว่างเราเป็นแค่คำว่าคู่กัด

     



     

    แต่ผมทำได้แค่นี้ ..

    คำพูดบางคำ .. มันก็ยากเกินกว่าที่คนงี่เง่าขี้ขลาดอย่างผมจะพูดมันออกไป

    ความรู้สึกบางอย่าง .. ต่อให้เรียกร้องขนาดนั้น ก็ใช่ว่าจะได้มันมา..

     





     

    “ หนาว..  ”  เสียงแผ่วเบาที่มาพร้อมกับอ้อมกอดทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก แบคฮยอนขยับตัวไปมาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหาไออุ่น สองแขนของเขายกขึ้นมากอดผมเอาไว้หลวมๆ จังหวะหัวใจของผมที่เคยเต้นราบเรียบสม่ำเสมอเร่งขึ้นจนผมรู้สึกได้

     



     

    “ .. กอดหน่อย  ”  น้ำเสียงงัวเงียข้างๆหูกับลมหายใจที่เป่ารดต้นคอ เขากำลังทำให้ผมเป็นบ้า

     



     

    “ ละเมอแล้วนายน่ะ ..  ”  ผมก้มลงกระซิบข้างหูของเขา แขนท้องสองข้างรวบตัวคนข้างๆเข้าสู่อ้อมกอด

     



     

    ใกล้แค่นี้เอง .. เขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง ไออุ่น เสียงลมหายใจ และกลิ่นที่คุ้นเคย

    ในอ้อมกอดของผม .. คนที่ผมรักอยู่ตรงนี้

     



     

    “  รัก..  ”  ผมกระซิบ รู้ว่าเขาไม่ได้ยิน เพราะแบบนั้นถึงได้เลือกที่จะพูดออกไป ถ้าผมกดจมูกกับข้างแก้มตักตวงโอกาสดีๆที่หาได้ยากแบบนี้อีกนิดคงไม่มีใครว่าผมใช่ไหม?  ไวกว่าที่จะคิดห้ามปรามตัวเอง ผมก็ฝังจมูกสูดกลิ่นหอมจากพวงแก้มใสๆของคนในอ้อมกอดเสียเต็มปอดไปแล้ว

     

     

    “ ฉันรักนาย พยอนแบคฮยอน..  ”  ผมพูดซ้ำ หัวใจพองโตแบบที่ไม่เคยเป็น คงจะมีแต่ช่วงเวลาแบบนี้ที่ผมจะมีโอกาสพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก

     


     

    “ ฮื่อ..  ” เขาครางเสียงอ่อนแล้วซุกหน้าลงกับอกของผม ขยับตัวไปมาหาท่านอนที่สบายที่สุดแล้วผ่อนลมหายใจอย่างเป็นสุข มือเรียวกำเสื้อของผมจนยับยู่โดยมีมือผมกุมมือของเขาไว้หลวมๆอีกที  

     



     

     

    ต่อให้คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย.. ผมก็ไม่คิดเสียดายอะไรอีก

    อย่างน้อยผมก็ยังได้พูดมันออกไปแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่รับรู้ก็ตาม

     

     





     

    ผมช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย..

     

     



     

    - - -

     

     


     

    “ พี่พึ่งรู้ว่านายเป็นโรคจิตชอบลักหลับ  ”  คนตัวสูงเดินมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

     

     

    “ งั้นพี่ก็เป็นโรคจิตชอบแสดงความรักต่อหน้าชาวบ้าน  ”

     

     

    “ ก็ดีกว่าคนปอดแหกที่แค่บอกรักยังไม่กล้า  ”  เขายักไหล่แล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ คนที่มีศักดิ์เป็นเสมือนพี่ชายของผมบิดขี้เกียจตามประสาคนพึ่งตื่น

     
     

    “ ถ้าผมพูดมันออกไปแล้วเขาเฉยชาใส่ ผมจะทำยังไง?  ”  ผมถามกลับ พี่เป็นคนเดียวที่รู้ความลับนี้ของผม หากไม่นับรวมอี้ชิงที่บังเอิญรู้เข้า แต่โชคดีที่อี้ชิงขี้ลืมเกินกว่าจะเก็บเรื่องนี้มาล้อผมบ่อยๆเหมือนชายหนุ่มผมทองคนนี้

     
     

    “ นายมันคิดมากเกินไป ขี้กังวลเกินไป  ”  เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอาอย่างเช่นทุกครั้งที่ยุให้ผมบอกรักไม่ขึ้น ผมไม่ได้ว่าอะไรกับท่าทีแบบนั้น ผมยังคงเฉยอย่างที่ผมทำมาตลอด

     

    “ ทำไมไม่คิดบ้างว่าแบคฮยอนอาจจะรู้สึกแบบเดียวกันกับนายก็ได้ มัวแต่กลัวอนาคตอยู่แบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ” ประโยคยาวๆของพี่ชายขี้บ่นทำเอามือที่กำลังลูบผมคนในอ้อมกอดของผมชะงัก

     

     
     

    รู้สึกแบบเดียวกัน ?

    มันเป็นไปได้งั้นเหรอ? ผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับรอยยิ้มนี่สักหน่อย

    ผมไม่ใช่คนที่มีความหมายต่อเขามากมายขนาดนั้น

     

     

    มันจะเป็นไปได้เหรอ?

    ที่แบคฮยอนจะรักเขาเหมือนที่เขารัก

     

     

    “ ผม..  ” 

     

     

    “ ไม่ต้องพูดหรอก พี่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พี่ก็อยากให้นายคิดแบบนั้นบ้าง อย่าเอาแต่ตัดความหวังตัวเอง ”  ฝ่ามือหนาเอื้อมมาบีบไหล่ของผมเป็นเชิงให้กำลังใจ  ผมไม่ใช่เด็กมีสัมมาคารวะ ไม่ใช่คนอายุมากกว่าทุกคนที่ผมจะเรียกว่าพี่ อาจจะพูดได้ว่าผมเรียกทุกคนด้วยชื่อห้วนๆมากกว่าจะเรียกตามอายุ แต่สำหรับเขาคนนี้ไม่ใช่ อู๋ฟานเป็นคนเพียงคนเดียวในกลุ่มเราที่ผมยอมเรียกเขาว่าพี่ อาจจะเพราะความสูงเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่เหตุผลที่ทำให้ผมยอมรับในตัวเขาจริงๆแล้วเป็นความคิดความอ่าน รวมถึงการกระทำของเขามากกว่า คนที่เป็นเสมือนเสาหลักให้น้องๆพึ่งพาและเป็นผู้นำในเวลาเดียวกัน

     

     

    “ ทั้งๆที่นายรักเขามานานขนาดนี้แท้ๆ นายมัวรออะไรอยู่กันนะจื่อเทา  ”  เขาถามคำถามที่ผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้

     

     

    “ รอความมั่นใจมั้ง.. ผมก็ไม่รู้  ”  ผมตอบพลางกระชับกอด คนในอ้อมแขนยังคงหลับอย่างเป็นสุข ไม่รับรู้เลยว่าผมกำลังพูดถึงเขาอยู่

     

     

    “ แล้วเมื่อไหร่ที่นายจะมั่นใจ?  ” 

     

     

    “ ตอนที่พี่บอกรักชานยอล.. ทำไมพี่ถึงกล้าพูดมันออกไป?  ”  ผมไม่ตอบแล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามเอง ถ้าผมยังปล่อยให้เขาไล่ต้อนต่อไปแบบเมื่อกี้มีหวังได้โดนยุให้พูดอีกเป็นสิบๆรอบ

     

     

    “ ก็แค่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความรู้สึก ใช้หัวใจอย่าใช้สมอง อย่าคิดให้มันมาก ”  พี่ตอบด้วยท่าที่สบายๆ รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าราวกับเราสองคนกำลังนั่งคุยกันสบายๆทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย

     

     

    “ พวกพี่รักกันปานจะกลืนกินกันด้วยสายตา  ”  ผมกรอกตาพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เวลาพี่กับชานยอลอยู่ด้วยกันเหมือนกับบรรยากาศรอบๆตัวเขาสองคนกลายเป็นสีชมพู

     

     

    “ พวกนายก็กัดกันหยั่งกับพวกคู่รักพ่อ แง่ แม่ งอน  ”  เขาถองศอกใส่ผม แล้วล้อกลับ ผมส่ายหน้าไปมาแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เขาเบาเสียงลงเมื่อแบคฮยอนขยับตัว โชคดีที่เขาแค่เปลี่ยนท่านอนไม่ได้ตื่นขึ้นมาร่วมวงสนทนาของพวกผมด้วย

     



     

    “ จื่อเทา.. เวลาไม่เคยรอใครหรอกนะ  ”  พี่พูดขึ้นมาโดยที่สายตายังคงจ้องมองการกระทำของผม

     



     

    “ ผมรู้..  และตอนนี้ก็ถึงเวลาเปลี่ยนเวร ผมคงต้องไปนอนเอาแรงบ้างแล้ว ให้ผมปลุกชานยอลมานั่งเป็นเพื่อนไหม?  ”  ผมเลี่ยงที่จะตอบอะไรด้วยคำถามที่ผมรู้คำตอบดี

     
     

    “ ไม่ต้องหรอก ให้เขานอนพักนั่นแหละ แถวๆข้างเตียงยังว่างนะ พี่กองหมอนกับผ้าห่มไว้ให้แล้ว พวกนายนอนตรงนั้นก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์  ”  ผมพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆช้อนตัวแบคฮยอนมาไว้ในอ้อมกอด

     



     

    “ พี่..  ”  ผมเรียกเขา

     

     

    “ หือ?  ”

     



     

    “ ขอบคุณนะครับ..  ”  ผมผงกหัวให้เขา แล้วอุ้มคนในอ้อมแขนไปยังที่ๆเราจะนอน

     

     

    ผมแค่รู้สึกว่าควรจะพูดก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด.. 

     

     


     

     

     

    เวลาไม่เคยรอใคร .. และเวลาไม่เคยเดินย้อนคืน ..

     









     

    “ แบคฮยอน.. แบคฮยอน  ” ผมเขย่าตัวเขาไปมา แต่ไม่ว่าจะเรียกหรือออกแรงยังไงเขาก็ไม่มีท่าทีจะตื่น

     
     

    “ ตัวเย็นเกินไป.. มันผิดปกติ  ”  ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงกังวล เขาแตะฝ่ามือลงกับหน้าผากของคนที่นอนคุดคู้อยู่ตรงนั้นแล้วนิ่วหน้า

     
     

    “ เป็นไข้หรือเปล่า?  ”  เซฮุนถามน้องเล็กของเราหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าเลิกลั่ก

     
     

    “ อาการไม่ดีเลย เราน่าจะยังพอมียาแก้ไข้ พี่ฟานลองดูในเป้ให้หน่อย ”  ลู่หานหันไปบอกคนตัวสูงที่ชะเง้อมองอยู่ห่างๆ เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วลงมือค้นกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว

     
     

      “ ไม่เป็นไรนะ.. ฉันอยู่ตรงนี้ นายต้องไม่เป็นไร  ”  ผมกระซิบข้างใบหูของเขา ดึงมือเรียวสวยมาบีบเบาๆ ถ้าเลือกได้ผมอยากให้คนที่ไม่สบายเป็นผมมากกว่า

     
     

    “ เสี่ยวลู่ ไม่มีแล้ว ดูเหมือนเราจะต้องออกไปหายาข้างนอก  ”  คำตอบที่ผมรอคอยหลุดออกมาจากริมฝีปากของพี่ เขาสบตาผมคล้ายกับจะพูดว่าเขาเสียใจ

     
     

    “ แล้วใครจะออกไปหายา? เมื่อคืนผมเฝ้ายามช่วงเช้าเห็นร้านขาอยู่ห่างไปสองช่วงตึก  ” ไคพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง  ประโยคของเขาดึงความสนใจของทุกคนไปรวมกัน

     

     

    “ ผมจะไปเอง  ”  ผมยกมือเสนอตัวเป็นคนแรก ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คนๆนี้เป็นอะไรไปตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่

     

     

    “ ดี จื่อเทานายไปกับพี่ เสี่ยวลู่ อี้ชิง นายดูอาการแบคฮยอนไว้ ไค เซฮุน นายคอยมองดูลาดเลาจากหน้าต่าง  ”  ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่ง

     



     

                    ผมเดินห่างออกมาจากแบคฮยอน กวาดของที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋าเป้ แล้วสะพายมันขึ้นหลัง ปืนคู่ใจอยู่ในตำแหน่งที่ผมสามารถหยิบออกมาได้ตลอดเวลา พี่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ออกไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเราสองคนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เขาตบบ่าผมเป็นเชิงให้กำลังใจ แล้วผลักบานประตูออก ผมก้าวเท้าออกไปโดยไม่ลืมเหลียวหลังกับไปมองเขาที่ยังคงนอนอยู่ตรงนั้น..

     

     

     

    “ จะรีบกลับมา..  ”









    - - -

     

     

     

     

     

    “ อึก.. บ้าชิบ! ”  ผมสถบอย่างหัวเสีย ก่อนจะลั่นไกเข้ากลางหน้าผากของพวกมันตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้อย่างพอดิบพอดี

     

     

    “ จะถึงแล้วจื่อเทา เร็วเข้า!   ”  พี่หันกลับมาบอกผมแล้วชี้ไปที่ร้านขายยาทางขวามือ ผมเร่งฝีเท้า ถึงพวกมันจะเคลื่อนไหวช้าแต่ถ้ามารวมตัวกันมากๆลำพังพวกผมสองคนก็คงต้านไม่ไหว

     

     

    ปัง! กระสุนปืนดังขึ้นอีกนัด ผ่านไปทางขวามือของผม ผมไม่มีเวลาเหลียวหลังกลับไปมอง คงเป็นพี่ยิงพวกมันสักตัวสองตัวหรือไม่ก็ไคกับเซฮุนที่ยิงมาจากข้างบน

     

     

    “ จื่อเทา เจ็ดนาฬิกา!  ”  พี่ตะโกนมาจากด้านหน้า ผมตวัดปากกระบอกปืนในมือไปตามที่พี่บอกแล้วลั่นไก

     

     

    ปัง! มันล้มลงไปกองกับพื้น  พวกมันจะไม่ตายหากไม่ยิงเข้าที่หัว เหลือพวกมันแถวนี้อีกสี่ห้าตัว ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่ามันมีจำนวนมากกว่าที่ผมคิด ก้าวเท้าต่ออีกสองสามก้าวผมก็สะบัดหัวไล่ความสงสัยออกไป พี่หายเข้าไปในร้านยาแล้ว

     

     

    ปัง! ปัง! สาม .. สอง อีกแค่สองตัว พวกมันก็จะหายไปจากคลองสายตาของผม ผมไม่ได้เข้าไปในร้านแต่เลือกที่จะยืนเฝ้าระวังให้พี่อยู่ข้างนอกร้าน 

     

     

    “ พี่! เจอไหม? ได้อะไรบ้าง?  ”  ทันทีที่เขาโผล่ออกมา พี่ก็กระชากแขนให้ผมวิ่ง ผมไม่ได้ขัดขืน ผมรีบสาวเท้าวิ่งแบบไม่คิดชีวิตโดยไม่ลืมเอ่ยปากถาม

     

     

    “ เจอ .. ได้ เอาเป็นว่ากลับถึงที่พักก่อนพี่จะเล่าให้ฟัง เร็วเข้า! ”  พี่ตอบเสียงห้วนโดยไม่หันกลับมามอง ผมหันกลับไปยิงพวกมันบ้างเป็นระยะๆ เราสองคนวิ่งไปตามถนนเลี้ยวโค้งตรงหัวมุมแล้ววิ่งขึ้นตึกโดยไม่หยุดพัก

     

     

     

     

    “ เปิดประตู!  เปิดเดี๋ยวนี้!   ”  เขาทุบฝ่ามือลงกับบานประตู พี่มีท่าทีร้อนใจมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น อะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้? ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันทีที่บานประตูเปิดออก

     

     

    “ ได้มาไหม?   ” ลู่หานถามขึ้นทันทีที่พวกผมเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มผมสีทองพยักหน้าพร้อมกับหอบหายใจ เขาส่งเป้ในมือให้กับลู่หานแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้โดยมีชานยอลดูอยู่ไม่ห่าง

     

     

    “ นายทำดีแล้ว  ”  ไคปลอบผม แรงบีบที่ไหล่ทำให้ผมคลายความกังวลลงได้นิดหน่อย แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมสบายใจ

     

     

    “  พี่ฟาน ..เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น?  ”  ลู่หานหันกลับไปถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ จริงอย่างที่เขาพูด พี่มีสีหน้าแปลกๆตั้งแต่ออกจากร้านขายยาเมื่อกี้

     

     

    “ นั่นสิ พี่ดูไม่ดีเลย พักหน่อยไหม?  ”  ชานยอลพูดแล้วกุมมือคนตัวสูงกว่า ความห่วงใยที่ฉายชัดในดวงตากลมโตคู่นั้นดูเหมือนจะช่วยคลายความกังวลของพี่ลงได้

     

     

    “ ไม่เป็นไร พี่ไม่เป็นไร  ”  พี่พูดแล้วสูดหายใจราวกับต้องการรวบรวมสติ เขายึดชานยอลเป็นหลักแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน

     

     

    “ อาการแบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง? เสี่ยวลู่  ”  ผมหันกลับไปมองคนที่นอนคุดคู้อยู่ตรงนั้น แบคฮยอนเริ่มพลิกตัวไปมาอย่างคนที่กำลังฝันร้าย จู่ๆอี้ชิงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างทำให้ที่ข้างๆแบคฮยอนว่าง ผมจึงเดินเข้าไปนั่งแทนที่เขา ไล้แก้มนวลที่เย็นกว่าปกติอย่างเบามือแล้วเงี่ยหูฟังที่ลู่ฮานเล่าอาการของแบคฮยอนอย่างตั้งใจ

     

     

    “ จับกรอกยาแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้นเลย..  ”  ลู่หานหลุบตาลงต่ำขณะพูด ชายหนุ่มหน้าหวานกำหมัดน้อยๆ อาการของแบคฮยอนไม่ได้ทำให้ผมลดความกังวลลงได้เลย ผมได้แต่ภาวนาขอร้องให้เขารีบตื่นขึ้นมากัดกับผมเร็วๆ

     

     

    “ ตรวจดูตามร่างกายแบคฮยอน..  ”  พี่ออกคำสั่ง ประโยคคำสั่งแปลกๆที่ทำเอาเสี่ยวลู่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

     

     

    “ ทำไม?  ”  ไม่ใช่ลู่หานที่เอ่ยปากถาม ผมเองที่เป็นคนเปิดปากพูด

     

     

    “ ตอนที่พี่เข้าไปในร้านยา นายได้ยินเสียงปืนไหมจื่อเทา?  ” 

     

     

    “ ได้ยิน  ”  ผมตอบพลางนึกถึงตอนที่ผมยืนเฝ้าต้นทางหน้าร้าน ในตอนนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดจากในร้าน ผมตะโกนถามแต่พี่ไม่ได้ตอบหลังจากนั้นพี่ก็วิ่งออกมาแล้วบอกว่าจะมาเล่าให้ฟังบนห้อง จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง

     


     

    “ พี่เจอคน  ”  คำพูดที่ออกมาจากปากของอู๋อี้ฟานดึงความสนใจของทุกคนให้หันกลับไปมอง

     


     

    “ หมายความว่ายังไง? พี่หมายถึงคน? แบบพวกเราน่ะเหรอ?  ”  เซฮุนถามด้วยสีหน้าแตกตื่นจนไคที่ยืนอยู่ข้างๆต้องกดไหล่ให้เด็กหนุ่มนั่งลงกับที่

     

     

    “ ใช่  ”  คนตัวสูงพยักหน้า ผมยังคงกุมมือของแบคฮยอนเอาไว้อย่างนั้นขณะที่ทุกคนถูกห้อมล้อมด้วยความสงสัย

     


     

    “ แล้ว? อย่ามัวยึกยักน่า มีอะไรก็รีบๆเล่ามาเถอะ  ”  ไคเอ่ยเร่ง ใบหน้าคมเต็มไปด้วยความสงสัย

     



     

    “ เจอคนแล้วทำไมพี่ไม่ช่วยเขา ทำไมไม่ชวนเขามารวมกลุ่มกับเรา? เกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่ฟาน?  ”  เสี่ยวลู่ที่เริ่มนั่งไม่ติดหันหน้าไปถามคนตัวสูงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เม็ดเหงื่อผุดพรายตามข้างขมับจนเห็นได้ชัด

     

     

    “ ช่วยไม่ได้ .. ไม่ใช่ว่าไม่ช่วย  ”   พี่ตอบแล้วถอนหายใจ มือหนาออกแรงบีบจนชานยอลที่กุมมือของเขาอยู่หันไปมอง

     


     

    “ หมายความว่ายังไง ช่วยไม่ได้?  ”  คราวนี้เป็นผมที่ถาม ไม่ชอบเลยจริงๆที่พี่มีท่าทีเหมือนไม่อยากให้เรารับรู้ ทั้งๆที่เราควรจะได้รู้

     


     

    “ นั่นสิ ไหนพี่บอกว่าเจอคนไง?  ” 

     


     

    “ ช่วยไม่ได้ เขาไม่ตายแต่ก็เหมือนตายไปแล้ว  ”   พี่พูดต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ คำตอบของพี่ทำเอาเซฮุนที่เป็นเจ้าของคำถามก่อนหน้า เลิกคิ้วด้วยความตกใจ

     


     

    “ พี่ต้องการจะพูดอะไรกันแน่ ฟาน?   ”  ลู่หานหยุดการทำงานแล้วหันไปประจันหน้ากับคนตัวสูงตรงๆ

     


     

    “ คนที่พี่เจอเหมือนจะเป็นลูกจ้างของร้านขายยา .. เขาป่วย ... อ  ” 

     


     

    “ แค่ป่วย? พี่ถึงกับไม่ช่วยเขา? ยิงเขาแล้ววิ่งออกมาเนี่ยนะ?  ”  

     



     

    “ เงียบน่า อย่าพึ่งขัดไค ให้ฟานพูดต่อ  ”  ลู่หานถลึงตาเอ็ดไคที่พูดแทรก ดวงตากลมทอประกายแข็งกร้าวจนไคต้องผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ

     


     

    “ เขาป่วย มีอาการเดียวกับแบคฮยอน ตัวเย็น สะลึมสะลือ พูดไม่เป็นภาษา แต่ต่างจากแบคฮยอนอยู่ที่เดียว..  ” พี่เว้นวรรคจังหวะหายใจ เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างชั่งใจราวกับกำลังคิดว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่

     



     

    “  อู๋ฟาน ต่างยังไง?  ”  ชานยอลที่เงียบฟังมานานถามด้วยความสงสัย เจ้าของชื่อหันไปมองคนข้างๆแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

     


     

    “ เขามีรอยแผลเหมือนโดน..  ”

     
     

    “ โดนกัด  ”   เป็นอี้ชิงที่พูดขึ้นมาแทน แววตาเลื่อนลอยและเฉยชาหายไปแล้ว ดูเหมือนเขาพึ่งได้สติหลังจากที่อยู่ในอาการช็อคไปพักใหญ่ อี้ชิงสาวเท้าเข้ามากลางวงสนทนาที่พร้อมใจกันเงียบราวกับถูกสาปช้าๆ

     


     

    “ ใช่ไหมอี้ฟาน? คนที่นายเจอมีรอยเหมือนถูกกัดใช่ไหม?  ”  อี้ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไหล่ของเขาสั่นสะท้าน จนลู่หานที่อยู่ใกล้ที่สุดอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปประคอง

     


     

    “ ใช่   ”  พี่พยักหน้าช้าๆ  แล้วพูดต่อ   “ และที่แย่กว่านั้น.. เขากลายเป็นพวกมัน  ”   จบประโยคของชายหนุ่มผมสีทอง ความเงียบก็โรยตัวลงมาปกคลุมคนทั้งแปดคนเอาไว้

     




     

     

     

    หนึ่งวินาทียาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์...

    ความหวังที่ริบหรี่ดูเหมือนจะดับมอดลงเพียงเพราะสายลมแห่งความสิ้นหวังพัดผ่าน .. 

     

     

     

     

     

     

    “ เพราะแบบนี้ใช่ไหมนายถึงยิงซิ่วหมิน อี้ชิง..  ”  ลู่หานพูดขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขากระท่อนกระแท่น คนถูกถามไม่ได้ตอบ อี้ชิงหันไปสบตาลู่หานแล้วยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนกับเขากำลังรู้สึกสมเพชตัวเองเสียเต็มประดา อี้ชิงยกสองมือที่สั่นจนเห็นได้ชัดของเขาขึ้นมา พร้อมๆกับที่หยาดน้ำตาใสๆเริ่มไหลอาบแก้ม

     


     

    “ มือของฉันมีแต่เลือด ลู่หาน.. เลือดของเขา เต็มไปหมด ”  ลู่หานดึงสองมือของอิ้ชิงมาแนบแก้มแล้วส่ายหน้า

     


     

    “ พอแล้วนะ พอเถอะ เลิกโทษตัวเอง นายไม่ผิดเลยอี้ชิง ไม่ผิด..  ” 

     


     

    “ พี่.. ไม่ร้องนะ  ”  เซฮุนเดินเข้าหาทั้งสองคนแล้วโอบแขนรอบไหล่ของพวกเขา ขณะที่พี่อี้ฟานมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไคที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ที่เดิม

     
     

    “ นายทำดีแล้วอี้ชิง .. ซิ่วหมินไม่โกรธหรอก  ”  พี่พูดปลอบหลังจากที่เซฮุนคลายอ้อมกอดของเขาออก ลู่หานและอี้ชิงหันไปมองพี่แล้วพยักหน้าน้อยๆ ผมยังคงเงียบขณะที่สายตาของคนในห้องหันกลับมามองที่ผม ไม่สิคนที่ผมกุมมืออยู่ต่างหาก

     





     

     

    พยอน แบคฮยอน..

    Dear, please wake me up ..

     



     

     

    กลัว ..

    กลัวเหลือเกิน.. 


     

     

    ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ..

     

     

     

     



     

    “ ตรวจดูตามร่างกายแบคฮยอนเดี๋ยวนี้ .. ”  จบประโยคของพี่ เหมือนกับว่ามีสายฟ้าผ่าลงมากลางใจของผม ...

     

     



     

     

     

    พระเจ้า ได้โปรดเมตตาผมสักครั้ง ..

    ได้โปรดทำให้ผมตื่นจากฝันร้ายนี้ที ..

     

     

     

     


     

    เวลาของเราไม่มีอีกแล้ว ..

     

     

     






     

     

    Second ver.TaoBaek : Part’ one “ end

    To be continued ..

     

     

     

     

     

    ©BearlingT
    thanks for the Great Theme '
    Qulio'

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×