คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : {'ONE SHOT } Second ; TaoBaek [ EXO ]
©BearlingT
Second.
TaoBaek ; Special version
Written by ; ©BearlingT
Thanks to ; @Taewvaw,@KATUNE1390,@NAMMKANG
writer taik ; นี่ไง นี่ไงพาร์ทเทาแบคเวอร์ชั่นเต็ม! เผื่อใครอยากอ่านหลังจากอ่านคริสยอลไปแล้ว ๕๕
รับประกันว่าหน่วงกว่านี้ ณ พาร์ท 2 นะจ้ะ นะจ้ะ
part one'
แค่เพียงวินาทีเดียวก็มีความหมาย..
หากสามารถย้อนเวลาได้ .. ถึงจะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ
บางที .. ผมอาจจะทันได้พูดมัน
ก่อนที่จะ ‘ สาย ’ เกินไป ..
เข็มนาฬิกาเดินไวกว่าที่เรารู้สึกตัวเสมอ ..
และไม่ว่าอย่างไร .. เข็มนาฬิกาจะไม่มีวันเดินย้อนกลับ ..
“ พักกันหน่อยไหม? ผมว่าแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ค่อยไหวกันแล้ว ” ผมเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเราวิ่งกันไม่หยุดมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน เสียงหอบหายใจกับใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อของแต่ละคนทำให้ผมหวั่นใจ ระยะเวลาที่เราวิ่งมันเกินกว่าที่ขีดจำกัดของร่างกายจะทนไหว
“ พี่ก็คิดแบบนั้น ” พี่ชายของผมพูดด้วยน้ำเสียงปนหอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย เส้นผมสีทองของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ คนตัวสูงหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งคนนั้นไม่พูดอะไรแต่เท่าที่ผมฟังจากเสียงหอบหายใจ ดูท่าชานยอลเองก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน
“ ขึ้นไปบนตึกนั้นเถอะ ”
ไคเสนอความคิดเห็นและทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาชี้มือไปยังตึกด้านหลังที่ดูท่าทางจะปลอดภัย
ในตอนนั้น..
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะคัดค้านความเห็นเด็กหนุ่มผิวสีเข้ม ..
และแน่นอน.. มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก ..
พวกเราประคับประคองกันเดินเข้าไปสู่อาคารสูงห้าชั้นตรงหน้า ราวกับมันคือความหวังสุดท้าย ..
ไม่มีใครโต้แย้ง .. พวกเราเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะเดินทางไปต่อ ..
ไม่มีใครทันระวังตัว ..
นั่นก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังวิ่งเข้าหาความตาย ..
เราเดินขึ้นมาตามบันไดหนีไฟ เมืองทั้งเมืองไร้ซึ่งไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคล้มเหลวไปได้เดือนกว่าๆ ทุกคนเลิกหวังที่จะพึ่งพาลิฟต์ไปแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดไม่ว่าเราจะไปยังที่ไหนนั่นก็คือบันไดหนีไฟ ช่องทางที่เหมือนจะเป็นส่วนเกินของตึกอยู่เสมอในเวลานี้กลับกลายมาเป็นทางรอดในเวลาขับขัน
พี่กับชานยอลเดินนำหน้าเช่นเคย ตามติดด้วยเซฮุน ลู่หาน ไค และ อี้ชิงตามลำดับ อี้ชิงยังคงเงียบอย่างที่เขาเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่สองวันก่อน ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ภาพการตายของคยองซู ซิ่วหมิน เฉินและ ซูโฮ ยังคงติดตา และตามหลอกหลอนทุกย่างก้าว พวกเราทุกคนกำลังเดินต่อไป เพื่อตัวเองและเพื่อพวกเขาที่จากไปก่อนหน้า
บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาน่าอิจฉา ..
ยังหรอก .. ผมยังไปไม่ได้ยังมีคนที่ผมต้องคอยดูแล
“ หน้านายซีดชะมัด ” ผมพูดแล้วดึงแขนของเขาพาดคอ เขาคนนั้นไม่ได้ว่าอะไร ดวงตาคู่นั้นเพียงแค่มองมาอย่างที่เขาชอบมอง พ่นลมหายใจอีกนิดหน่อยแล้วปล่อยให้ผมพยุงต่อไปโดยไม่พูดอะไร
“ รู้สึกเหมือนฉันเป็นตัวถ่วงนายยังไงก็ไม่รู้ ” เขาโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบ เราสองคนเดินรั้งท้าย เสียงลมหายใจของเขายังคงดังอยู่ข้างๆหูผม เราอยู่ใกล้ ใกล้กันจนผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นต่อเนื่อง ซึ่งนั่นทำให้ผมหายกังวล
ยังเป็นเขาที่อยู่ตรงนี้ .. ไม่ใช่อย่างอื่น ..
“ คิดอะไรแบบนั้น นายตัวเบาจะตาย ไม่หนักเหมือนเวลาฉันต้องแบกพี่เวลาเมามันไม่ได้ลำบากอะไรหรอก คิดมากน่า ” ผมตอบ ถึงในใจจริงๆจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายตัวหนักไม่ใช่เล่นก็เถอะ
“ ฮะๆ ฟ้ามืดเร็วจังแฮะ ” เขาเปลี่ยนเรื่องพลางหันมองไปด้านนอก แสงตะวันที่ลอดเข้ามาผ่านบานกระจกเริ่มมืดลงทุกที
สายตาของเขาดูเลื่อนลอยและไร้วี่แววของความสดใสอย่างที่เคยเป็น
ผมชอบดวงตาที่ทอประกายความสดใสของเขามากกว่า..
“ เนื้อวัว .. ”
“ เจ้าบ้า นายยังไม่เลิกเรียกฉันแบบนั้นอีกหรือไง? ” เจ้าของชื่อเรียกแปลกๆหันกลับมาพร้อมกับคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ายุ่งเหยิงอย่างคนไม่สบอารมณ์ของเขาทำให้ผมยิ้มออก ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เขาก็เป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับผมเสมอ ต่อให้หนทางข้างหน้าจะมืดมนแค่ไหน ขอแค่มีเขาผมก็พร้อมจะเดินต่อไป
“ ล้อเล่นน่า เห็นนายเครียดๆ แค่อยากลองแหย่ดูเฉยๆ โอเค ถ้านายไม่ชอบฉันจะไม่เรียกแบบนั้นอีก .. หน้าซีดเชียวนายหนาวเหรอ? ” ผมยกมือแตะข้างแก้มเย็นชืดนั่นเบาๆ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่แก้มนวลดูเหมือนจะมีสีระเรื่อขึ้นนิดหน่อยหลังจากผมผละมือออก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมว่ามันก็ดีกว่าปล่อยให้ซีดเหมือนกระดาษแบบเมื่อกี้
“ ถึงสักที.. ”
เขาลดแขนที่พาดคอผมลงทันทีที่เราพยุงกันมาถึงชั้นที่ห้าซึ่งเป็นที่หมายที่เราจะใช้พักสำหรับคืนนี้ คนตัวเล็กกว่าหันมาส่งยิ้มขอบคุณน้อยๆก่อนจะตอบคำถามก่อนหน้านี้ของผม
“ เปล่า ไม่ได้ไม่ชอบ ก็แค่แปลกใจที่จู่ๆนายก็พูดขึ้นมา .. ก็นิดหน่อยล่ะมั้ง ” เสื้อแจ็กเก็ตตัวเก่งถูกกระชับเขาหาตัว แบคฮยอนถูฝ่ามือไปมาพลางเป่าลมอุ่นๆไปด้วย
“ ใส่นี่อีกชั้นสิ ” ผมถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกที่ใส่อยู่ออกแล้วยื่นให้เขา ไม่ใช่ว่าผมไม่หนาวหรือแข็งแรงอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าน่าห่วงยิ่งกว่าตัวผมเองซะอีก
“ ไม่หนาวหรือไง? งี่เง่าน่า ใส่เองสิ ” เจ้าของใบหน้ายุ่งๆดันเสื้อในมือผมกลับ แถมมาด้วยประโยคขัดหูที่ผมไม่ได้ต้องการเท่าไหร่อย่างที่เขาชอบทำประจำ
และเพราะเขามักจะทำแบบนี้ประจำ มันทำให้เกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของบทสนทนาระหว่างเราเป็นการถกเถียงเสียมากกว่าคุยกันแบบที่คนอื่นๆเขาทำ
เขาชอบทำแบบนั้น และผมก็ไม่ต้องการให้การถกเถียงระหว่างเราหายไป
ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว.. ดีกว่าที่ต่างฝ่ายต่างเงียบและไม่มีอะไรจะพูดกัน
แค่ได้ยินเสียง ผมว่ามันก็ดีเกินพอ ..
กัดกันจนวันตายก็ได้ ขอแค่ได้ยินเสียงเขาพูดประโยคที่เป็นของผม
“ ใส่เถอะน่า ไม่อยากเห็นนายหนาวตายก่อนจะโดนพวกมันฆ่านะ ” เขาชะงัก ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดสักเท่าไหร่ แต่นิสัยเดิมๆของผมมันทำให้ผมพลั้งปากพูดออกไปจนได้
ให้ตายสิ หวังจื่อเทา นายมันงี่เง่าอย่างที่แบคฮยอนว่าจริงๆนั่นแหละ ..
“ อย่ามาบ่นหนาวให้ได้ยินทีหลังแล้วกัน ” แบคฮยอนเดินไปรวมกลุ่มกับพวกพี่ๆโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาแลบลิ้นใส่ผม บางทีเขาควรจะรู้ตัวนะว่าท่าทางแบบนั้นมันให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะทำให้โกรธหรือโมโหได้ลง
ในตอนนั้น.. ผมน่าจะรู้ตัวว่าผมช่างโง่งม และ ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย..
เราแปดคนตกลงกันเรื่องเวรยามเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนโดยที่ผมเป็นเวรกะที่สองต่อจากเซฮุน ผมนั่งๆนอนๆได้ไม่นาน พอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งก็ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ตอนนี้ฟ้ามืดสนิท ผมเดินมาผลัดเวรกับเซฮุน น้องเล็กของเรายิ้มเนือย เซฮุนตบบ่าผมสองสามทีเป็นกำลังใจแล้วปล่อยให้ผมประจำการที่บานหน้าต่างตรงข้ามประตูแทนที่เขา
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนที่ชอบทำประจำเวลาอยู่คนเดียว ปล่อยความคิดให้ไหลไปกับความเงียบ คืนนี้ไม่มีดาวเลย.. ท้องฟ้าดูมืดมิดจนน่าแปลกใจ มันมืดเกินไป มืดจนให้ความรู้สึกราวกับจะไม่มีแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ ผมรู้ว่าที่นี่คือโซลและคงไม่สามารถมองเห็นดาวได้มากนักในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ แต่นั่นมันเมื่อก่อนในวันที่โซลยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน
‘ ผู้คน ’ ที่เหมือนกับผม
แต่ในตอนนี้ โซลไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว .. ไม่มีแสงไฟ เมืองทั้งเมืองไร้ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งกองไฟก็ไม่มีให้เห็น ถึงแบบนั้นผมก็ยังมองเห็นเงาตะคุ่มๆเคลื่อนที่ไปมาช้าๆตามถนนข้างล่างห่างออกไปสองสามช่วงตึก
ไม่ใช่ชาวเมืองหรอก .. ‘ พวกมัน ’ต่างหากที่อยู่ตรงนั้น
ผมไม่รู้ว่ายังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ข้างนอกนั่นอีกเท่าไหร่ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาคงรู้ว่ากลางคืนไม่ใช่เวลาที่ปลอดภัยในการออกเดินทาง
‘ ลงใต้ไปเรื่อยๆ ’ คริส พี่ชายตัวสูงของผมพูดเอาไว้ คำพูดที่เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ความหวังที่เขาหว่านเอาไว้ในใจของพวกเราทุกคน
สองเดือนแล้วที่เราหนีลงใต้มาเรื่อยๆ สองเดือนที่พวกเราค่อยๆลดลงทีละคนสองคน
เป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน
ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้ว .. ไม่มีความช่วยเหลือ .. อาหารและน้ำดื่มก็เริ่มหาได้ยากเย็นขึ้นทุกที
พวกเราแปดคนจะไปได้ไกลอีกแค่ไหนกัน..
ผมคิดถูกหรือเปล่า ที่ทิ้งบ้านเกิดมาไกลถึงที่นี่..
ที่จีนจะเป็นยังไงบ้าง? ผมไม่รู้เลยจริงๆ ขาดการติดต่อ เราเหมือนถูกตัดการสื่อสารจากโลกภายนอก ..
ถูกกักขังไว้ในอดีตเมืองอันศิวิไลซ์..
แต่ถึงอย่างนั้น.. ผมก็ยังมีเขา .. เหตุผลที่ผมยังต้องอยู่ต่อไปถึงวันพรุ่งนี้ ..
“ ไม่ใส่เสื้อกันหนาวยังมายืนตากลมอีก นายไม่ได้กินหญ้านานจนคิดไม่เป็นหรือไง? ” เสียงที่คุ้นเคยดึงผมออกจากภวังค์ ไม่ทันได้หันไปมองเขาก็ชะโงกหน้ามาก่อกวนผมซะก่อน ใบหน้าที่คุ้นเคยยักคิ้วมาให้ผมอย่างกวนๆ เอาเถอะ ผมว่ามันน่ารักจนหงุดหงิดไม่ลงนั่นแหละ
“ ทำไมยังไม่นอน? พรุ่งนี้ถ้านายวิ่งไม่ไหวใครจะช่วยแบก? ” เมื่อได้ยินผมตอบโดยไร้ซึ่งประโยคแขวะกัดดูท่าเขาจะหงุดหงิดนิดหน่อยที่ผมไม่เต้นไปตามแผนของเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ผมจิ้มนิ้วไปตรงกลางระหว่างคิ้วนั่นอย่างอดไม่ได้
“ หยุดนะ! ว่าคนอื่นแต่นายก็ไม่นอน คิดว่าตัวเองแข็งแรงเป็นยอดมนุษย์อยู่ได้ ” เขาแยกเขี้ยวแล้วถอยตัวหลบ ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างแล้วเริ่มยุกยิกตามประสาคนอยู่ไม่สุข
“ คืนนี้ไม่มีดาวสักดวงไม่ต้องมองหาหรอก ฉันมองหามาจะเป็นชั่วโมงแล้ว ” ผมเปรยเบาๆเมื่อเหลือบไปเห็นเขาชะโงกซ้ายชะโงกขวามองไปนอกหน้าต่าง เนื้อวัวไม่ได้ตอบอะไรเขาพยักหน้าเงียบๆให้ผมรับรู้ว่าเข้าใจ ก่อนที่เราสองคนจะถูกโอบล้อมด้วยความเงียบยามค่ำคืน
เงียบสะงัด แต่ในหัวของผมกลับไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำร้ายหัวใจเจ้ากรรมข้างในอกยังส่งเสียงดังเสียยิ่งกว่า..
การกระทำของเขาเป็นอันตรายกับตัวผมจริงๆ..
“ มือนายอุ่นจัง ดูแลตัวเองบ้างสิเจ้างั่ง ” แบคฮยอนดึงมือสองข้างของผมไปแนบแก้มของเขาแล้วพูดพึมพำ ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมต้องใช้ความอดทนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คิดว่ามันง่ายนักเหรอที่ต้องอดทนแบบนี้..
“ คำก็งั่ง สองคำก็งี่เง่า .. สนใจมาดูแลให้ไหมล่ะ ? ” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยทีเล่นทีจริง นายจะรู้บ้างไหมว่ามันตรงข้ามกับความรู้สึกข้างในนี้อย่างสิ้นเชิง อยากรู้คำตอบ แต่ก็กลัวที่จะรับรู้มันสุดท้ายผมจึงปล่อยให้เขาคิดว่าผมแซวเล่นๆอย่างที่เคยทำบ่อยๆ
ที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้ .. มันก็ดีมากเกินพอแล้ว ผมบอกตัวเองซ้ำๆ
ถึงแม้มันจะยากเย็นเหลือเกินที่ต้องคอยบังคับใจไม่ให้คาดหวัง ..
ขี้ขลาดงั้นเหรอ?
ผมอาจจะเป็นคนแบบนั้นก็ได้..
ผมก็แค่กลัว.. กลัวว่าสักวันถ้าเขารู้ว่าผมคิดอะไร เขาอาจจะเปลี่ยนไป ..
“ เหอะ ใครเป็นคนดูแลนายคงได้ปวดหัวตาย ไปนอนเถอะไป เพ้อเจ้อ ”
“ ฉันเป็นเวรกะนี้ เหตุผลหนักพอไหม นายนั่นแหละที่ควรไปนอนได้แล้ว ” แบคฮยอนหันหลังกลับแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน เขาทรุดตัวลงนั่งอิงผนังข้างๆผม ไม่เถียงแต่ก็ไม่ทำตาม เป็นแบบนี้เสมอ
“ เฮ้อ.. ” ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก แล้วหันกลับมาทรุดตัวนั่งข้างๆเขา กวาดสายตามองรอบๆห้องแทนที่จะพูดเตือนแล้วลงเอยด้วยการต่อล้อต่อเถียงกันอีกสักรอบ พูดไปก็เท่านั้น ไม่มีทางหรอกที่ตัวยุ่งจอมดื้อคนนี้จะฟังคำพูดของผม
ห้องๆนี้ไม่ได้กว้างมากนักแต่ก็จัดได้ว่าเป็นที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่สามารถหาได้ในตอนนี้ เดิมทีอาคารหลังนี้เป็นโรงแรมประจำท้องถิ่น แต่คงเพราะทิ้งร้างไม่มีการดูแล และเท่าที่ผมสำรวจดูจากร่องรอยการงัดแงะ คงไม่ใช่แค่พวกของผมที่แวะมาที่นี่ คงมีกลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่นเคยผ่านมาพักที่นี่ และพวกเขาคงจะหยิบของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ห้องพักห้องนี้ถึงได้ทรุดโทรมลงไวกว่าที่ควรจะเป็นไปตามกาลเวลา
เท่าที่ดูห้องนี้คงเป็นห้องพักธรรมดา ผมทันเห็นไคบ่นพึมพำนิดหน่อยตอนที่ทุกคนขึ้นมาถึง เราไม่ได้พักที่ห้องสูทโอ่อ่าที่อยู่ตรงกลางทางเดินเชื่อมระหว่างชั้น นั่นก็เพราะห้องๆนี้อยู่ติดกับบันไดหนีไฟที่เราใช้เป็นทางขึ้นมากกว่า พี่เป็นคนออกความเห็นว่าให้เลือกห้องนี้ เขาให้เหตุผลไว้ว่า อยู่ใกล้ๆบันไดไว้เวลามีอะไรเกินขึ้นจะได้มีทางหนีทีไล่ และพวกเราควรจะพักรวมกันมากกว่าที่จะแยกย้ายกันพักตามห้องที่มีอยู่มากมายตามทางเดิน เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องเสียเวลา และอยู่รวมกันแบบนี้จะปลอดภัยมากกว่า ถึงจะมีเสียงโอดครวญเล็กๆแต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เห็นด้วย
อี้ชิง ไค เซฮุน ลู่หาน ชานยอล พี่อู๋ฟาน ตัวผม และ พยอนแบคฮยอน คือแปดจากสิบสองคนที่เหลืออยู่ ทุกคนกระจายตัวกันอยู่ตามมุมต่างๆในห้อง ชานยอลกับพี่เป็นสองคนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ทุกคนพร้อมใจกันยกเตียงนอนที่มีอยู่เตียงเดียวให้ทั้งคู่ไปครองเพราะรู้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นคนนำทางเหนื่อยที่สุด อีกมุมนึงบริเวณโซฟาก็มีร่างของไคนอนเอกขเนก ใกล้ๆกันนั้นมีอี้ชิงที่นั่งเป็นหลักให้เซฮุนกับลู่หานนั่งพิงไหล่สองข้าง พวกเขากำลังพัก และทุกอย่างอยู่ในความเรียบร้อย เว้นก็แต่ อีกคนที่ไม่ยอมไปนอน แบคฮยอนนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆผม ดวงตาปรือด้วยความง่วงเต็มทน
“ ง่วงก็นอน จะฝืนตัวเองแบบนี้ทำไม? ” ผมเอื้อมมือดึงตัวเขาเข้าใกล้ คนตัวเล็กโงนเงนอย่างน่าเป็นห่วง ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน ศีรษะของเขาเอนมาซบไหล่ของผมตามแรงดึง ดูเหมือนเขาจะตัวเย็นกว่าที่ผมคิดไว้
“ อื้อ.. ” เสียงครางพึมพำหลุดจากลำคอ คู่กัดของผมอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น และดูเหมือนเขาจะเข้าใกล้คำว่าหลับมากเข้าไปทุกทีๆ
“ นอนเถอะ ฉันจะอยู่เฝ้านายเอง ” ผมพูด ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันไหม ผมสีน้ำตาลของแบคฮยอนยาวขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมได้แตะนิดหน่อย กลิ่นหอมประจำตัวของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน เช่นกันผมก็ยังรักษาระยะห่างของเราเอาไว้ได้เหมือนเดิม
พวกพี่ๆว่ากันว่าผมกลัวการเปลี่ยนแปลง .. พวกเขามักจะเหน็บแนมผมว่าเป็นเด็กขี้ขลาด
ใช่ ผมยอมรับว่าผมเป็นแบบนั้น
แต่บางครั้ง.. การที่ผมพูดออกไปแล้วมันจะทำให้ระหว่างเรากลายเป็นความเหินห่าง ผมว่า ผมเก็บมันไว้เป็นความลับสุดยอดต่อไปอย่างเดิมน่ะดีแล้ว
ความลับสุดยอดที่ว่า .. ผม ‘รัก’ เขา
พยอนแบคฮยอน เนื้อวัว คนตัวเล็กที่เป็นทั้งคู่กัดและคนที่ผมรักที่สุดในเวลาเดียวกัน
ไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อยที่ต้องห้ามใจไม่ให้แสดงอะไรที่มันอาจจะทำให้เขารับรู้ ไม่ใช่ว่าผมมีความสุขที่ต้องยิ้มไม่ว่ากำลังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆเวลาที่เขาแบ่งปันรอยยิ้มที่ควรจะเป็นของผมให้คนอื่น ไม่ใช่ว่าผมพอใจที่ระหว่างเราเป็นแค่คำว่าคู่กัด
แต่ผมทำได้แค่นี้ ..
คำพูดบางคำ .. มันก็ยากเกินกว่าที่คนงี่เง่าขี้ขลาดอย่างผมจะพูดมันออกไป
ความรู้สึกบางอย่าง .. ต่อให้เรียกร้องขนาดนั้น ก็ใช่ว่าจะได้มันมา..
“ หนาว.. ” เสียงแผ่วเบาที่มาพร้อมกับอ้อมกอดทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก แบคฮยอนขยับตัวไปมาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหาไออุ่น สองแขนของเขายกขึ้นมากอดผมเอาไว้หลวมๆ จังหวะหัวใจของผมที่เคยเต้นราบเรียบสม่ำเสมอเร่งขึ้นจนผมรู้สึกได้
“ .. กอดหน่อย ” น้ำเสียงงัวเงียข้างๆหูกับลมหายใจที่เป่ารดต้นคอ เขากำลังทำให้ผมเป็นบ้า
“ ละเมอแล้วนายน่ะ .. ” ผมก้มลงกระซิบข้างหูของเขา แขนท้องสองข้างรวบตัวคนข้างๆเข้าสู่อ้อมกอด
ใกล้แค่นี้เอง .. เขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง ไออุ่น เสียงลมหายใจ และกลิ่นที่คุ้นเคย
ในอ้อมกอดของผม .. คนที่ผมรักอยู่ตรงนี้
“ รัก.. ” ผมกระซิบ รู้ว่าเขาไม่ได้ยิน เพราะแบบนั้นถึงได้เลือกที่จะพูดออกไป ถ้าผมกดจมูกกับข้างแก้มตักตวงโอกาสดีๆที่หาได้ยากแบบนี้อีกนิดคงไม่มีใครว่าผมใช่ไหม? ไวกว่าที่จะคิดห้ามปรามตัวเอง ผมก็ฝังจมูกสูดกลิ่นหอมจากพวงแก้มใสๆของคนในอ้อมกอดเสียเต็มปอดไปแล้ว
“ ฉันรักนาย พยอนแบคฮยอน.. ” ผมพูดซ้ำ หัวใจพองโตแบบที่ไม่เคยเป็น คงจะมีแต่ช่วงเวลาแบบนี้ที่ผมจะมีโอกาสพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก
“ ฮื่อ.. ” เขาครางเสียงอ่อนแล้วซุกหน้าลงกับอกของผม ขยับตัวไปมาหาท่านอนที่สบายที่สุดแล้วผ่อนลมหายใจอย่างเป็นสุข มือเรียวกำเสื้อของผมจนยับยู่โดยมีมือผมกุมมือของเขาไว้หลวมๆอีกที
ต่อให้คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย.. ผมก็ไม่คิดเสียดายอะไรอีก
อย่างน้อยผมก็ยังได้พูดมันออกไปแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่รับรู้ก็ตาม
ผมช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย..
- - -
“ พี่พึ่งรู้ว่านายเป็นโรคจิตชอบลักหลับ ” คนตัวสูงเดินมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ งั้นพี่ก็เป็นโรคจิตชอบแสดงความรักต่อหน้าชาวบ้าน ”
“ ก็ดีกว่าคนปอดแหกที่แค่บอกรักยังไม่กล้า ” เขายักไหล่แล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ คนที่มีศักดิ์เป็นเสมือนพี่ชายของผมบิดขี้เกียจตามประสาคนพึ่งตื่น
“ ถ้าผมพูดมันออกไปแล้วเขาเฉยชาใส่ ผมจะทำยังไง? ” ผมถามกลับ พี่เป็นคนเดียวที่รู้ความลับนี้ของผม หากไม่นับรวมอี้ชิงที่บังเอิญรู้เข้า แต่โชคดีที่อี้ชิงขี้ลืมเกินกว่าจะเก็บเรื่องนี้มาล้อผมบ่อยๆเหมือนชายหนุ่มผมทองคนนี้
“ นายมันคิดมากเกินไป ขี้กังวลเกินไป ” เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอาอย่างเช่นทุกครั้งที่ยุให้ผมบอกรักไม่ขึ้น ผมไม่ได้ว่าอะไรกับท่าทีแบบนั้น ผมยังคงเฉยอย่างที่ผมทำมาตลอด
“ ทำไมไม่คิดบ้างว่าแบคฮยอนอาจจะรู้สึกแบบเดียวกันกับนายก็ได้ มัวแต่กลัวอนาคตอยู่แบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ” ประโยคยาวๆของพี่ชายขี้บ่นทำเอามือที่กำลังลูบผมคนในอ้อมกอดของผมชะงัก
รู้สึกแบบเดียวกัน ?
มันเป็นไปได้งั้นเหรอ? ผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับรอยยิ้มนี่สักหน่อย
ผมไม่ใช่คนที่มีความหมายต่อเขามากมายขนาดนั้น
มันจะเป็นไปได้เหรอ?
ที่แบคฮยอนจะรักเขาเหมือนที่เขารัก
“ ผม.. ”
“ ไม่ต้องพูดหรอก พี่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พี่ก็อยากให้นายคิดแบบนั้นบ้าง อย่าเอาแต่ตัดความหวังตัวเอง ” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาบีบไหล่ของผมเป็นเชิงให้กำลังใจ ผมไม่ใช่เด็กมีสัมมาคารวะ ไม่ใช่คนอายุมากกว่าทุกคนที่ผมจะเรียกว่าพี่ อาจจะพูดได้ว่าผมเรียกทุกคนด้วยชื่อห้วนๆมากกว่าจะเรียกตามอายุ แต่สำหรับเขาคนนี้ไม่ใช่ อู๋ฟานเป็นคนเพียงคนเดียวในกลุ่มเราที่ผมยอมเรียกเขาว่าพี่ อาจจะเพราะความสูงเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่เหตุผลที่ทำให้ผมยอมรับในตัวเขาจริงๆแล้วเป็นความคิดความอ่าน รวมถึงการกระทำของเขามากกว่า คนที่เป็นเสมือนเสาหลักให้น้องๆพึ่งพาและเป็นผู้นำในเวลาเดียวกัน
“ ทั้งๆที่นายรักเขามานานขนาดนี้แท้ๆ นายมัวรออะไรอยู่กันนะจื่อเทา ” เขาถามคำถามที่ผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้
“ รอความมั่นใจมั้ง.. ผมก็ไม่รู้ ” ผมตอบพลางกระชับกอด คนในอ้อมแขนยังคงหลับอย่างเป็นสุข ไม่รับรู้เลยว่าผมกำลังพูดถึงเขาอยู่
“ แล้วเมื่อไหร่ที่นายจะมั่นใจ? ”
“ ตอนที่พี่บอกรักชานยอล.. ทำไมพี่ถึงกล้าพูดมันออกไป? ” ผมไม่ตอบแล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามเอง ถ้าผมยังปล่อยให้เขาไล่ต้อนต่อไปแบบเมื่อกี้มีหวังได้โดนยุให้พูดอีกเป็นสิบๆรอบ
“ ก็แค่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความรู้สึก ใช้หัวใจอย่าใช้สมอง อย่าคิดให้มันมาก ” พี่ตอบด้วยท่าที่สบายๆ รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าราวกับเราสองคนกำลังนั่งคุยกันสบายๆทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“ พวกพี่รักกันปานจะกลืนกินกันด้วยสายตา ” ผมกรอกตาพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เวลาพี่กับชานยอลอยู่ด้วยกันเหมือนกับบรรยากาศรอบๆตัวเขาสองคนกลายเป็นสีชมพู
“ พวกนายก็กัดกันหยั่งกับพวกคู่รักพ่อ แง่ แม่ งอน ” เขาถองศอกใส่ผม แล้วล้อกลับ ผมส่ายหน้าไปมาแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เขาเบาเสียงลงเมื่อแบคฮยอนขยับตัว โชคดีที่เขาแค่เปลี่ยนท่านอนไม่ได้ตื่นขึ้นมาร่วมวงสนทนาของพวกผมด้วย
“ จื่อเทา.. เวลาไม่เคยรอใครหรอกนะ ” พี่พูดขึ้นมาโดยที่สายตายังคงจ้องมองการกระทำของผม
“ ผมรู้.. และตอนนี้ก็ถึงเวลาเปลี่ยนเวร ผมคงต้องไปนอนเอาแรงบ้างแล้ว ให้ผมปลุกชานยอลมานั่งเป็นเพื่อนไหม? ” ผมเลี่ยงที่จะตอบอะไรด้วยคำถามที่ผมรู้คำตอบดี
“ ไม่ต้องหรอก ให้เขานอนพักนั่นแหละ แถวๆข้างเตียงยังว่างนะ พี่กองหมอนกับผ้าห่มไว้ให้แล้ว พวกนายนอนตรงนั้นก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์ ” ผมพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆช้อนตัวแบคฮยอนมาไว้ในอ้อมกอด
“ พี่.. ” ผมเรียกเขา
“ หือ? ”
“ ขอบคุณนะครับ.. ” ผมผงกหัวให้เขา แล้วอุ้มคนในอ้อมแขนไปยังที่ๆเราจะนอน
ผมแค่รู้สึกว่าควรจะพูดก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด..
เวลาไม่เคยรอใคร .. และเวลาไม่เคยเดินย้อนคืน ..
“ แบคฮยอน.. แบคฮยอน ” ผมเขย่าตัวเขาไปมา แต่ไม่ว่าจะเรียกหรือออกแรงยังไงเขาก็ไม่มีท่าทีจะตื่น
“ ตัวเย็นเกินไป.. มันผิดปกติ ” ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงกังวล เขาแตะฝ่ามือลงกับหน้าผากของคนที่นอนคุดคู้อยู่ตรงนั้นแล้วนิ่วหน้า
“ เป็นไข้หรือเปล่า? ” เซฮุนถามน้องเล็กของเราหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าเลิกลั่ก
“ อาการไม่ดีเลย เราน่าจะยังพอมียาแก้ไข้ พี่ฟานลองดูในเป้ให้หน่อย ” ลู่หานหันไปบอกคนตัวสูงที่ชะเง้อมองอยู่ห่างๆ เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วลงมือค้นกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว
“ ไม่เป็นไรนะ.. ฉันอยู่ตรงนี้ นายต้องไม่เป็นไร ” ผมกระซิบข้างใบหูของเขา ดึงมือเรียวสวยมาบีบเบาๆ ถ้าเลือกได้ผมอยากให้คนที่ไม่สบายเป็นผมมากกว่า
“ เสี่ยวลู่ ไม่มีแล้ว ดูเหมือนเราจะต้องออกไปหายาข้างนอก ” คำตอบที่ผมรอคอยหลุดออกมาจากริมฝีปากของพี่ เขาสบตาผมคล้ายกับจะพูดว่าเขาเสียใจ
“ แล้วใครจะออกไปหายา? เมื่อคืนผมเฝ้ายามช่วงเช้าเห็นร้านขาอยู่ห่างไปสองช่วงตึก ” ไคพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ประโยคของเขาดึงความสนใจของทุกคนไปรวมกัน
“ ผมจะไปเอง ” ผมยกมือเสนอตัวเป็นคนแรก ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คนๆนี้เป็นอะไรไปตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่
“ ดี จื่อเทานายไปกับพี่ เสี่ยวลู่ อี้ชิง นายดูอาการแบคฮยอนไว้ ไค เซฮุน นายคอยมองดูลาดเลาจากหน้าต่าง ” ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่ง
ผมเดินห่างออกมาจากแบคฮยอน กวาดของที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋าเป้ แล้วสะพายมันขึ้นหลัง ปืนคู่ใจอยู่ในตำแหน่งที่ผมสามารถหยิบออกมาได้ตลอดเวลา พี่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ออกไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเราสองคนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เขาตบบ่าผมเป็นเชิงให้กำลังใจ แล้วผลักบานประตูออก ผมก้าวเท้าออกไปโดยไม่ลืมเหลียวหลังกับไปมองเขาที่ยังคงนอนอยู่ตรงนั้น..
“ จะรีบกลับมา.. ”
- - -
“ อึก.. บ้าชิบ! ” ผมสถบอย่างหัวเสีย ก่อนจะลั่นไกเข้ากลางหน้าผากของพวกมันตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้อย่างพอดิบพอดี
“ จะถึงแล้วจื่อเทา เร็วเข้า! ” พี่หันกลับมาบอกผมแล้วชี้ไปที่ร้านขายยาทางขวามือ ผมเร่งฝีเท้า ถึงพวกมันจะเคลื่อนไหวช้าแต่ถ้ามารวมตัวกันมากๆลำพังพวกผมสองคนก็คงต้านไม่ไหว
ปัง! กระสุนปืนดังขึ้นอีกนัด ผ่านไปทางขวามือของผม ผมไม่มีเวลาเหลียวหลังกลับไปมอง คงเป็นพี่ยิงพวกมันสักตัวสองตัวหรือไม่ก็ไคกับเซฮุนที่ยิงมาจากข้างบน
“ จื่อเทา เจ็ดนาฬิกา! ” พี่ตะโกนมาจากด้านหน้า ผมตวัดปากกระบอกปืนในมือไปตามที่พี่บอกแล้วลั่นไก
ปัง! มันล้มลงไปกองกับพื้น พวกมันจะไม่ตายหากไม่ยิงเข้าที่หัว เหลือพวกมันแถวนี้อีกสี่ห้าตัว ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่ามันมีจำนวนมากกว่าที่ผมคิด ก้าวเท้าต่ออีกสองสามก้าวผมก็สะบัดหัวไล่ความสงสัยออกไป พี่หายเข้าไปในร้านยาแล้ว
ปัง! ปัง! สาม .. สอง อีกแค่สองตัว พวกมันก็จะหายไปจากคลองสายตาของผม ผมไม่ได้เข้าไปในร้านแต่เลือกที่จะยืนเฝ้าระวังให้พี่อยู่ข้างนอกร้าน
“ พี่! เจอไหม? ได้อะไรบ้าง? ” ทันทีที่เขาโผล่ออกมา พี่ก็กระชากแขนให้ผมวิ่ง ผมไม่ได้ขัดขืน ผมรีบสาวเท้าวิ่งแบบไม่คิดชีวิตโดยไม่ลืมเอ่ยปากถาม
“ เจอ .. ได้ เอาเป็นว่ากลับถึงที่พักก่อนพี่จะเล่าให้ฟัง เร็วเข้า! ” พี่ตอบเสียงห้วนโดยไม่หันกลับมามอง ผมหันกลับไปยิงพวกมันบ้างเป็นระยะๆ เราสองคนวิ่งไปตามถนนเลี้ยวโค้งตรงหัวมุมแล้ววิ่งขึ้นตึกโดยไม่หยุดพัก
“ เปิดประตู! เปิดเดี๋ยวนี้! ” เขาทุบฝ่ามือลงกับบานประตู พี่มีท่าทีร้อนใจมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น อะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้? ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันทีที่บานประตูเปิดออก
“ ได้มาไหม? ” ลู่หานถามขึ้นทันทีที่พวกผมเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มผมสีทองพยักหน้าพร้อมกับหอบหายใจ เขาส่งเป้ในมือให้กับลู่หานแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้โดยมีชานยอลดูอยู่ไม่ห่าง
“ นายทำดีแล้ว ” ไคปลอบผม แรงบีบที่ไหล่ทำให้ผมคลายความกังวลลงได้นิดหน่อย แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมสบายใจ
“ พี่ฟาน ..เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น? ” ลู่หานหันกลับไปถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ จริงอย่างที่เขาพูด พี่มีสีหน้าแปลกๆตั้งแต่ออกจากร้านขายยาเมื่อกี้
“ นั่นสิ พี่ดูไม่ดีเลย พักหน่อยไหม? ” ชานยอลพูดแล้วกุมมือคนตัวสูงกว่า ความห่วงใยที่ฉายชัดในดวงตากลมโตคู่นั้นดูเหมือนจะช่วยคลายความกังวลของพี่ลงได้
“ ไม่เป็นไร พี่ไม่เป็นไร ” พี่พูดแล้วสูดหายใจราวกับต้องการรวบรวมสติ เขายึดชานยอลเป็นหลักแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน
“ อาการแบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง? เสี่ยวลู่ ” ผมหันกลับไปมองคนที่นอนคุดคู้อยู่ตรงนั้น แบคฮยอนเริ่มพลิกตัวไปมาอย่างคนที่กำลังฝันร้าย จู่ๆอี้ชิงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างทำให้ที่ข้างๆแบคฮยอนว่าง ผมจึงเดินเข้าไปนั่งแทนที่เขา ไล้แก้มนวลที่เย็นกว่าปกติอย่างเบามือแล้วเงี่ยหูฟังที่ลู่ฮานเล่าอาการของแบคฮยอนอย่างตั้งใจ
“ จับกรอกยาแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้นเลย.. ” ลู่หานหลุบตาลงต่ำขณะพูด ชายหนุ่มหน้าหวานกำหมัดน้อยๆ อาการของแบคฮยอนไม่ได้ทำให้ผมลดความกังวลลงได้เลย ผมได้แต่ภาวนาขอร้องให้เขารีบตื่นขึ้นมากัดกับผมเร็วๆ
“ ตรวจดูตามร่างกายแบคฮยอน.. ” พี่ออกคำสั่ง ประโยคคำสั่งแปลกๆที่ทำเอาเสี่ยวลู่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ ทำไม? ” ไม่ใช่ลู่หานที่เอ่ยปากถาม ผมเองที่เป็นคนเปิดปากพูด
“ ตอนที่พี่เข้าไปในร้านยา นายได้ยินเสียงปืนไหมจื่อเทา? ”
“ ได้ยิน ” ผมตอบพลางนึกถึงตอนที่ผมยืนเฝ้าต้นทางหน้าร้าน ในตอนนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดจากในร้าน ผมตะโกนถามแต่พี่ไม่ได้ตอบหลังจากนั้นพี่ก็วิ่งออกมาแล้วบอกว่าจะมาเล่าให้ฟังบนห้อง จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง
“ พี่เจอคน ” คำพูดที่ออกมาจากปากของอู๋อี้ฟานดึงความสนใจของทุกคนให้หันกลับไปมอง
“ หมายความว่ายังไง? พี่หมายถึงคน? แบบพวกเราน่ะเหรอ? ” เซฮุนถามด้วยสีหน้าแตกตื่นจนไคที่ยืนอยู่ข้างๆต้องกดไหล่ให้เด็กหนุ่มนั่งลงกับที่
“ ใช่ ” คนตัวสูงพยักหน้า ผมยังคงกุมมือของแบคฮยอนเอาไว้อย่างนั้นขณะที่ทุกคนถูกห้อมล้อมด้วยความสงสัย
“ แล้ว? อย่ามัวยึกยักน่า มีอะไรก็รีบๆเล่ามาเถอะ ” ไคเอ่ยเร่ง ใบหน้าคมเต็มไปด้วยความสงสัย
“ เจอคนแล้วทำไมพี่ไม่ช่วยเขา ทำไมไม่ชวนเขามารวมกลุ่มกับเรา? เกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่ฟาน? ” เสี่ยวลู่ที่เริ่มนั่งไม่ติดหันหน้าไปถามคนตัวสูงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เม็ดเหงื่อผุดพรายตามข้างขมับจนเห็นได้ชัด
“ ช่วยไม่ได้ .. ไม่ใช่ว่าไม่ช่วย ” พี่ตอบแล้วถอนหายใจ มือหนาออกแรงบีบจนชานยอลที่กุมมือของเขาอยู่หันไปมอง
“ หมายความว่ายังไง ช่วยไม่ได้? ” คราวนี้เป็นผมที่ถาม ไม่ชอบเลยจริงๆที่พี่มีท่าทีเหมือนไม่อยากให้เรารับรู้ ทั้งๆที่เราควรจะได้รู้
“ นั่นสิ ไหนพี่บอกว่าเจอคนไง? ”
“ ช่วยไม่ได้ เขาไม่ตายแต่ก็เหมือนตายไปแล้ว ” พี่พูดต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ คำตอบของพี่ทำเอาเซฮุนที่เป็นเจ้าของคำถามก่อนหน้า เลิกคิ้วด้วยความตกใจ
“ พี่ต้องการจะพูดอะไรกันแน่ ฟาน? ” ลู่หานหยุดการทำงานแล้วหันไปประจันหน้ากับคนตัวสูงตรงๆ
“ คนที่พี่เจอเหมือนจะเป็นลูกจ้างของร้านขายยา .. เขาป่วย ... อ ”
“ แค่ป่วย? พี่ถึงกับไม่ช่วยเขา? ยิงเขาแล้ววิ่งออกมาเนี่ยนะ? ”
“ เงียบน่า อย่าพึ่งขัดไค ให้ฟานพูดต่อ ” ลู่หานถลึงตาเอ็ดไคที่พูดแทรก ดวงตากลมทอประกายแข็งกร้าวจนไคต้องผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ
“ เขาป่วย มีอาการเดียวกับแบคฮยอน ตัวเย็น สะลึมสะลือ พูดไม่เป็นภาษา แต่ต่างจากแบคฮยอนอยู่ที่เดียว.. ” พี่เว้นวรรคจังหวะหายใจ เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างชั่งใจราวกับกำลังคิดว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่
“ อู๋ฟาน ต่างยังไง? ” ชานยอลที่เงียบฟังมานานถามด้วยความสงสัย เจ้าของชื่อหันไปมองคนข้างๆแล้วคลี่ยิ้มบางๆ
“ เขามีรอยแผลเหมือนโดน.. ”
“ โดนกัด ” เป็นอี้ชิงที่พูดขึ้นมาแทน แววตาเลื่อนลอยและเฉยชาหายไปแล้ว ดูเหมือนเขาพึ่งได้สติหลังจากที่อยู่ในอาการช็อคไปพักใหญ่ อี้ชิงสาวเท้าเข้ามากลางวงสนทนาที่พร้อมใจกันเงียบราวกับถูกสาปช้าๆ
“ ใช่ไหมอี้ฟาน? คนที่นายเจอมีรอยเหมือนถูกกัดใช่ไหม? ” อี้ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไหล่ของเขาสั่นสะท้าน จนลู่หานที่อยู่ใกล้ที่สุดอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปประคอง
“ ใช่ ” พี่พยักหน้าช้าๆ แล้วพูดต่อ “ และที่แย่กว่านั้น.. เขากลายเป็นพวกมัน ” จบประโยคของชายหนุ่มผมสีทอง ความเงียบก็โรยตัวลงมาปกคลุมคนทั้งแปดคนเอาไว้
หนึ่งวินาทียาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์...
ความหวังที่ริบหรี่ดูเหมือนจะดับมอดลงเพียงเพราะสายลมแห่งความสิ้นหวังพัดผ่าน ..
“ เพราะแบบนี้ใช่ไหมนายถึงยิงซิ่วหมิน อี้ชิง.. ” ลู่หานพูดขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขากระท่อนกระแท่น คนถูกถามไม่ได้ตอบ อี้ชิงหันไปสบตาลู่หานแล้วยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนกับเขากำลังรู้สึกสมเพชตัวเองเสียเต็มประดา อี้ชิงยกสองมือที่สั่นจนเห็นได้ชัดของเขาขึ้นมา พร้อมๆกับที่หยาดน้ำตาใสๆเริ่มไหลอาบแก้ม
“ มือของฉันมีแต่เลือด ลู่หาน.. เลือดของเขา เต็มไปหมด ” ลู่หานดึงสองมือของอิ้ชิงมาแนบแก้มแล้วส่ายหน้า
“ พอแล้วนะ พอเถอะ เลิกโทษตัวเอง นายไม่ผิดเลยอี้ชิง ไม่ผิด.. ”
“ พี่.. ไม่ร้องนะ ” เซฮุนเดินเข้าหาทั้งสองคนแล้วโอบแขนรอบไหล่ของพวกเขา ขณะที่พี่อี้ฟานมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไคที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ที่เดิม
“ นายทำดีแล้วอี้ชิง .. ซิ่วหมินไม่โกรธหรอก ” พี่พูดปลอบหลังจากที่เซฮุนคลายอ้อมกอดของเขาออก ลู่หานและอี้ชิงหันไปมองพี่แล้วพยักหน้าน้อยๆ ผมยังคงเงียบขณะที่สายตาของคนในห้องหันกลับมามองที่ผม ไม่สิคนที่ผมกุมมืออยู่ต่างหาก
พยอน แบคฮยอน..
Dear, please wake me up ..
กลัว ..
กลัวเหลือเกิน..
ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ..
“ ตรวจดูตามร่างกายแบคฮยอนเดี๋ยวนี้ .. ” จบประโยคของพี่ เหมือนกับว่ามีสายฟ้าผ่าลงมากลางใจของผม ...
พระเจ้า ได้โปรดเมตตาผมสักครั้ง ..
ได้โปรดทำให้ผมตื่นจากฝันร้ายนี้ที ..
เวลาของเราไม่มีอีกแล้ว ..
Second ver.TaoBaek : Part’ one “ end ”
To be continued ..
©BearlingT
thanks for the Great Theme 'Qulio'
ความคิดเห็น