คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คำสอนข้อที่ 3 ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ...ถ้าไม่แน่จริง อย่าขัดใจหม่ามี้ของเจ้า!
‘ข้อนี้สำคัญอย่างยิ่ง! จงอย่าได้ลืมแม้เพียงเสี้ยววินาที นางนั้นแม้แต่จักรพรรดิมืดก็ไม่อยากมีปากเสียงด้วย...เพราะใครที่ขัดใจนางล้วนไม่ตายดีทุกราย’’
‘ขอรับ!!!’
ติ๋ง...
เสียงหยดน้ำตกกระทบบนผืนน้ำดังขึ้น โดยเว้นจังหวะเป็นช่วงๆ
กลิ่นสาบสางเหม็นตลบอบอวล
แสงสว่างอันน้อยนิด เผยให้เห็นพื้นที่รอบข้างอย่างเลือนราง...ซากศพที่กองสุมกัน แต่ยังไม่ส่งกลิ่นมากนักเนื่องจากยังสดใหม่
เขาคงจะต้องเป็นรายต่อไป...
ความกลัวค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า จนทำให้เหลือแต่ความกลัวที่ฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
มือขาวซีดของใครบางคนถูกยื่นออกมาข้างหน้า
“อิสระของเจ้า...แลกกับของบางสิ่ง เจ้าจะยอมแลกมันไหม” เจ้าของมือขาวซีดกล่าวเสียงเอื่อย
ร่างเล็กที่ฟังข้อเสนอพยักหน้าอย่างถี่รัว “อะไรก็ได้! ตามที่เจ้าต้องการ ข้าอยากออกไปจากที่นี่”
“ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว...มันไม่มีคำว่าบังเอิญ” คู่สนทนาแย้มรอยยิ้มเย็น “สิ่งที่ข้าต้องการ...หัวใจของเจ้า”
อ๊ากกกก!!!...
ภาพรอบตัวเปลี่ยนไป จากห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยซากศพกับกลิ่นสาบสาง กลับกลายเป็นภาพของร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก
‘รู้สึกยังไงกับภาพเมื่อกี้กันเล่า...ไอซี’ นางเอ่ยทัก
“มะ...มันเป็นแค่อดีต มะ...ไม่รู้สึกอะไรหรอก” ข้าพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น มือทั้งสองกุมอยู่ที่อกซ้ายโดยไม่รู้ตัว
เมื่อสัมผัสถึงจังหวะการเต้นของหัวใจได้ ร่างกายที่เกร็งแน่นก็พอจะคลายออก ถึงคำพูดที่พูดออกไปจะปฏิเสธว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ความหวาดหวั่นในแววตาของข้ามันคงจะฉายชัด ในเมื่อคู่สนทนาหัวเราะร่วน
‘ปากอย่างใจอย่างเสียจริง...เด็กสมัยนี้’
“...หัวใจของข้า มันยังอยู่กับข้า เสียงนี้ ยังบ่งบอกการมีอยู่” ข้ากล่าวเสียงเบา มือยังคงไม่ยอมเลื่อนห่างไปจากตำแหน่งเดิม
‘เอาเถอะ...’ นางโบกมือทีหนึ่ง ทำให้พิณสีทองสว่างปรากฏในมือ ก่อนจะเริ่มไล่ปรายนิ้วไปตามสายบางทำให้เกิดเสียงดังก้องกังวาน
เสียงพิณของนางดังอย่างนุ่มนวล มือทั้งสองของข้าจึงยอมที่จะเลื่อนลงไปได้อย่างสบายใจ จิตใจอันแสนวุ่นวายก็กลับมาสงบอีกครั้ง
“ถึงแม้ข้าจะพึ่งเคยเจอเอลฟ์เป็นครั้งแรก แต่ข้าได้ยินมาว่าเอลฟ์ร้องเพลงได้ไพเราะและเต้นรำได้สง่างาม แต่ทำไมท่านถึงใช้เครื่องดนตรีบรรเลงแทนเสียงของตน”
ร่างของนางกระตุกกึก เสียงเพลงที่ดังอยู่ก็พลันหยุดชะงัก ‘ขะ...ข้าไม่สามารถกล่าวทำนองเพลงได้’ สายตาของนางเศร้าสร้อย ‘แม้แต่เปล่งวาจา...ข้าก็ไม่สามารถจะทำได้’ นางเริ่มไล่สายพิณต่ออย่างช้าๆ ’คนข้างบนคงเป็นห่วงเจ้า...ไว้คราวหน้าค่อยเจอกันใหม่แล้วกัน’
ข้าลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกได้ว่าร่างกายตึงไปแทบจะทุกส่วน เหมือนกับข้อต่อกระดูกของข้ามันขึ้นสนิมอย่างไรอย่างนั้น
“โอ้ว...ไอซี่ฟื้นแล้ว!” เสียงสดใสดังขึ้นจากข้างตัว
ไอซี่! มีไม่กี่คนหรอกที่เรียกข้าแบบนี้
ข้าพยายามดันตัวลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จึงทำได้เพียงชำเลืองตามองแล้วยิ้มบางๆ “หม่ามี้...ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เจ้าคงยังไม่รู้จักนางกันล่ะสิ เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จัก
สาวสวยเจ้าของเส้นผมยาวสีแดงเพลิง ดวงตาสีฟ้าสดใส ใส่ชุดเผยหุ่นเอ็กส์สบึ้มของตัวเองตรงหน้าข้านี้นางมีชื่อว่า เอลซ่า...หรือเต็มๆ คือ เอลซ่า ลาโทรดีเรเน่ ที่ข้าเรียกนางว่าหม่ามี้ก็เพราะนางเป็นคนเลี้ยงข้ามา...ไม่ต้องงงไป ข้าเคยบอกเจ้าว่าท่านอาจารย์เลี้ยงข้ามาใช่ไหม? นั่นก็ถูก แต่นี่ก็ถูกเหมือนกัน...ทั้งคู่เลี้ยงข้ามา
หรือจะให้ตรงหน่อยก็คือ...นางเป็น ผบทบ.ของท่านอาจารย์ นั่นเอง (รู้จักไหมล่ะ ผู้บัญชาการที่บ้านน่ะ -3)
ถึงแม้ท่านอาจารย์ของข้าจะคอยยักคิ้วหลิ่วตาให้สาวๆ นอกบ้าน แถมยังชอบเที่ยวกลางคืน แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่แบกเด็กมาแล้วบอกว่าเป็นสายเลือดของท่านอาจารย์สักคน (หรือไม่แน่ว่ามีแต่โดนเก็บไปเรียบร้อยแล้ว) แต่ถ้าเคยมี...ท่านอาจารย์ของข้าคงไม่มีโอกาสได้ชุบชีวิตขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียว
“ก็พอรู้ข่าวว่าสลบไปข้าก็รีบมาหาเลยนะ! ไอซี่คุงของหม่ามี้” นางพูดพรางเข้ามากอดข้าจนแน่น
“อ๋อย ขะ...ข้าหายใจไม่ออก” พอข้าพูดนางถึงกับสะดุ้งแล้วรีบปล่อยข้าลง แต่ก็ไม่วายตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้ามาหอมแก้มข้าอีกหลายต่อหลายฟอดก่อนจะนั่งลงแล้วคุยกับข้าดีๆ (ดีๆ สำหรับนางคือกุมมือของข้าไว้แล้วเล่นไปมา - -‘’)
“ทำไมอาการถึงกำเริบหนักขนาดนี้.” นางถามน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ข้ากลับเห็นประกายไฟแลบแปล๊บๆ ในแววตา
ข้าลอบกลืนน้ำลายลงคอ “เอ่อ...”
“สงสัยคงเพราะดาเกอร์เล่นแรงไปหน่อยล่ะมั้ง” เสียงเนิบๆ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง
“ขะ...ข้าเปล่าตั้งใจนะ!” กับอีกเสียงที่ดังขึ้นจากอีกมุม
แต่มุมทั้งสองมุมล้วนเป็นจุดที่อยู่ห่างจากเตียงของข้ามากที่สุด...
“เวลเดย์? ดาเกอร์?” ข้าพูดออกมาอย่างงงๆ ก่อนที่จะไล่เรียงเหตุการณ์ใหม่อีกครั้ง
นครจันทร์เสี้ยว...แข่งปามีด...คณะละครสัตว์และเป้านิ่ง...
เฮอ...ข้ายังไม่ตาย
แต่มือก็อยู่นิ่งไม่ได้ ในเมื่อเป้าสุดท้าย
ควับ!
เฮอ...โชคดีที่เจ้ายังรอดมาได้นะ...ไอซีน้อย
“ไอซี่คุงเป็นอะไรลูก?”
สงสัยจะประเจิดประเจอไปหน่อยแฮะ
“ไม่เป็นไรขอรับหม่ามี้...อันที่จริง ที่อาการกำเริบแบบนี้ก็เพราะมีคนแกล้งลูกน่ะขอรับ” น้ำตาเอ่อล้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง ปากแบะออกเล็กน้อย
เฮือก!
เสียงสูดหายใจลึกดังมาจากมุมห้องมุมที่สอง
“ใครเป็นคนแกล้งลูกกัน” เอลซ่ากัดฟันกรอด เคียวยักษ์เก่าๆ อันหนึ่งปรากฏอยู่ในมือ
แต่มันไม่ใช่เคียวธรรมดา...แต่เป็นเคียวของเผ่าพันธุ์ที่ทำงานเฉพาะทางเท่านั้นที่มี เคียวที่ใช้ตัดวิญญาณของยมทูต
โอ๊ะๆ ตอบยังไงดีนา...จะช่วยดี หรือไม่ช่วยดี
ข้าส่งสายตาให้บุรุษหนุ่มผมสองสีที่ผู้ชายชอบนักชอบหนา...นั่งขดตัวสั่นจนแทบจะจมลงไปในผนังห้อง
“เขาก็คือ...”
เอื๊อก!
เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นอย่างชัดเจน ร่างที่สั่นอยู่แล้วก็สั่นยิ่งกว่าเดิมอย่างกับจ้าวเข้า
“ข้าจำไม่ได้แล้วขอรับ”
ทั้งห้องเงียบกริบ แต่ไอ้คนที่นั่งสั่นอยู่ก็ยังคงสั่นไปหาย
เวลเดย์มองดาเกอร์อย่างอนาถ ก่อนจะเดินเข้าไปแตะบ่าเบาๆ เพื่อเรียกสติ เขาถึงจะหยุดสั่น
“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปิดบังข้าหรอกใช่ไหม” เอลซ่ากล่าวเรียบๆ ทำให้ข้าเองก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
“แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีก ข้าอาจจะจำได้ก็ได้ขอรับ” ข้าฉีกยิ้มให้นาง
อันที่จริง...ข้าก็อยากให้นางจัดการดาเกอร์อยู่หรอก แต่พอข้าเห็นลูกไฟที่ก่อตัวขึ้นในแววตาของนางบวกกับท่าทางการเตรียมพร้อม ข้าก็แน่ใจทันทีว่าถ้าข้าพูดชื่อใครก็ตามออกไป นางจะต้องจับชื่อนั้นยัดลงบัญชีเก็บวิญญาณแบบพิเศษของนาง แล้วต่อให้คนนั้นตายไปแล้วเจ็ดชั่วโคตรนางก็จะปลุกมันขึ้นมาใหม่จับเชือดเองกับมือแบบทรมานที่สุดแน่นอน
พอข้าแย้มรอยยิ้ม...ลูกไฟที่ลุกโชนอยู่ในแววตาของนางก็เหมือนโดนน้ำสาดโครมเข้าให้ จนลูกไฟดับวูบทันที
“อย่างนั้นเองหรอลูก” นางยิ้มแป้น “หิวหรือเปล่าหลับไปตั้งหลายวันแน่ะ”
“หลายวันหรือขอรับ?” ข้าถึงกับอึ้ง แต่ก็เชื่อในคำพูดนั้นเนื่องจากร่างกายของข้าเหมือนกับผอมลงไปมาก
“อีก 2 ชั่วโมงจะครบ 16 วัน” เวลเดย์เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเอลซ่า “มาแซล...ไปชวนดาเกอร์มานั่งนี่หน่อยสิ”
พอเวลเดย์พูดจบมาแซลก็กระโดดลงจากไหล่ของเขาแล้ววิ่งหายไปในความมืด ก่อนจะกลับมาพร้อมกับดาเกอร์...ที่โดนลากมา ก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเวลเดย์เหมือนเดิม
“เอลซ่า...ทำไมไอซีถึงสลบไปแบบนั้นล่ะ” เวลเดย์เอียงคอถามอย่างสงสัย
เอลซ่าผงะ “อย่าเอียงคออย่างนั้นเลย แก่แล้ว...เจียมตัวหน่อย” เธอส่ายหน้าอย่างระอา เวลเดย์จึงเลิกเอียงคอแล้วกลับมายิ้มแบบฉบับของตัวเองเหมือนเดิม “หัวใจของไอซีไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็กๆ แล้วคราวนี้พวกเจ้าคงเล่นแรงกันไปหน่อย ไอซีที่กลับมาแข็งแรงแล้วถึงได้...เกือบแย่” ปรายประโยคเอลซ่าพูดด้วยเสียงแผ่ว
“แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง”
“แหวนนี่ไง” นางปล่อยมือข้างหนึ่งที่กุมมือข้าออกทำให้เห็นแหวนสีทับทิมวงสวยที่อยู่บนนิ้วของข้า
“แหวนของท่านอาจารย์” ข้าพึมพำ
“ถ้าไอซี่คุงเกิดอะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเมื่อไหร่ ข้าก็จะรับรู้ได้ทันที แล้วก็สามารถเดินทางผ่านทางแหวนนั่นมาได้อีกด้วย”
ใส่มาตั้งนานไม่ยักจะรู้แฮะว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย...เฮอๆ
“ดูท่าเธอจะหวงเด็กคนนี้เกินไปล่ะมั้ง” เวลเดย์พูดเนิบๆ มือลูบคางของตนเล่น
“แน่นอน! ข้าขอสาบานเลยว่า ถ้าข้ารู้ว่าใครแกล้งลูกชายตัวน้อยของข้า ข้าจะจับมันยัดลงบัญชีพิเศษ! ถ้าเจ้าแกล้งลูกชายข้าอีก ถึงเป็นเจ้าข้าก็ไม่เว้น!” เอลซ่าชี้หน้าดาเกอร์ ทำให้เขาถึงกับเบี่ยงตัวไปหลบอยู่หลังเวลเดย์ “หึ! คิดหรือว่าหมอนั่นจะช่วยเจ้าได้...เชื่อข้าได้เลย แม้แต่หมอนั่นเองก็เอาตัวไม่รอดถ้าแกล้งลูกของข้า! ข้าขอสาบานต่อองค์มหาเทพเลย!”
ข้าเชื่ออย่างจริงใจเลยว่านางพูดความจริงทุกประการ เพราะนางไม่เคยผิดคำสาบานที่มีต่อองค์มหาเทพ แม้แต่ครั้งเดียว
ว่าแต่...พวกเจ้าดูจะสนิทสนมกันจังเลยนะ
อยู่ดีๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรได้ ดวงตาของเอลซ่าก็มีประกายไฟแลบแปล๊ปๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่นางไม่ได้จ้องมาที่ข้าแต่เลยไป...ไปที่สองคู่ซี้ (ที่กำลังจะ) ม่องเท้ง (ถ้าคำตอบไม่ตรงใจของนาง) “ว่าแต่...เจ้าออกมาจากหมู่บ้านเพราะอะไรกัน ไอซี”
แล้วทำไมคำถามถึงเป็นของข้าซะได้ล่ะนี่...
“หมู่บ้านถูกเผาขอรับ...ท่านอาจารย์
เมื่อได้รับคำตอบนางก็เผยรอยยิ้มเย็น ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะหยิบเอาสมุดเล่มเล็กๆ ออกมา
อืม...ข้าไม่รู้นะเนี่ยว่าในอกเสื้อของนางเก็บของได้ด้วย ในเมื่อมันทั้งฟิดทั้งล้นขนาดนั้น แต่ข้าก็เห็นของที่นางเก็บไว้กับตัวแทบจะทุกอย่างนางก็หยิบออกมาจากในนี้นี่แหละ เฮอๆ
นางเปิดหน้าที่ขั้นไว้ก่อนจะยืนสมุดออกมาให้ข้าดู ข้ามองชื่อที่ถูกขีดเส้นใต้สีแดง ‘อัชลาน คาซาล’ ต่อด้วยข้อความว่า ‘(Online) กิจกรรม: แช่น้ำพุร้อน สถานที่: นารีซิตี้)’
“เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าบัญชีพิเศษของข้าแจ้งยอดไม่เคยพลาด” น้ำเสียงหวานจ๋อย เปลวเฟลิงจุดเล็กๆ ในแววตากลายเป็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างแจ่มชัด ส่งผลให้ดวงตาสีฟ้าครามกลลายเป็นสีแดงสด ส่วนเส้นผมสีแดงสดกลับกลายเป็นสีฟ้าคราม
“...” ข้าปิดปากเงียบกริบ
ข้าไม่กล้าพูดอะไรแล้วล่ะตอนนี้ ถึงแม้จะแค้นท่านอาจารย์ที่หลอกกันได้ลง แต่ร่างข้างๆ กลับข่มความแค้นของข้าไปจนมิด ถ้าเจ้ารู้จักนางในร่างเนตรครามแล้วคิดว่านางเป็นอะไรที่น่ากลัวแล้วล่ะก็ ลองได้เจอสภาวะเนตรเพลิงของนางเข้าไป เจ้าคงได้กลัวหัวหดยิ่งกว่าเต่าในกระดอง ไม่กล้าขัดใจนางอีกเลย...
แต่ข้อนี้แหละที่ทำให้ข้านับถือท่านอาจารย์ขึ้นมาหน่อย คงเพราะถึงแม้ท่านจะค่อนข้างกลัว (?) แต่ท่านก็ไม่เคยเข็ดสักที
เหตุที่นางน่ากลัวจนน่าผวาอันเป็นเหตุให้แม้แต่คนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างท่านอาจารย์ก็ต้องกลัวหัวหดก็คงเพราะ นางเป็น...เทวะยมทูต
เท่าที่ข้ารู้มา บิดาของนางเคยเป็นเทพแห่งเมฆาอยู่บนสวรรค์แต่แอบอู้งานก็เลยโดนลงโทษให้ไปช่วยงานในเขตนรก 2 เดือน หลังจากเขากลับมาไม่นานก็มีพัสดุผูกโบว์อย่างดีส่งมาให้กล่องหนึ่ง พอเขาเปิดดูก็พบจดหมายที่เขียนข้อความสั้นๆ ว่า ‘ที่รักคะ บอกแล้วให้ป้องกันก่อน ฝากเลี้ยงด้วยนะคะ จุ๊บๆ’ กับทารกตัวน้อยที่มีผมสีฟ้าครามกับเนตรสีเพลิง ร้องอ้อแอ้อยู่ในกล่อง
เพราะฉะนั้นร่างของนางจึงแบ่งได้ 2 ส่วนด้วยกัน ผมและหน้าตาที่ถอดมาจากพ่อ ดวงตาและรูปร่างที่มาจากแม่ ส่วนนิสัยของนาง ข้าว่าคงจะปนๆ กันมา ซึ่งพอเวลานางเดือดทุกอย่างก็จะกลับกันโดยสิ้นเชิง
“หนีเที่ยวแล้วปล่อยให้ลูกลำบากอย่างนั้นหรอ ไอ้แก่หัวงู!” เสียงกดต่ำชวนขนหัวลุกดังขึ้นเบาๆ แทรกด้วยเสียงกัดฟันกรอดๆ จนคนรอบข้างได้แต่หวั่นใจ “แช่น้ำพุร้อนอย่างนั้นรึ...หึ! ไปหาอีตัวสิไม่ว่า เตรียมใจไว้ได้เลยไอ้แก่หัวงู~ อยากกินหญ้าอ่อนอย่างนั้นรึ ฉันจะเผาหญ้าพวกนั้นทิ้งให้ราบคาบซะเลย!!”
พูดจบเปลวเพลิงสีมรกตก็ลุกโชตช่วงขึ้นที่ปรายเท้าก่อนที่จะกลืนร่างข้างกายของข้าให้หายวับไป
เฮอ...
เสียงถอดหายใจยาวแบบประสานดังขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย
นางไปแล้ว...ด้วยเวทย์ที่มีใช้เฉพาะทางของพวกยมทูต ‘เพลิงมรกต’ เวทที่ทำให้พวกเขาไปที่ได้ก็ได้ที่ต้องการ
“นี่มันอะไรกัน! พวกเจ้ารู้จักหม่ามี้ใช่ไหม!” ข้ากดเสียงต่ำ พร้อมกับทำสีหน้าแบบพวกโรคจิตเวลาอยากฆ่าคนมากๆ
ซึ่งตอนนี้ข้าก็อยากฆ่าคนมากๆ จริงๆ
เวลเดย์ถอนหายใจเบา เหมือนกับเสียดายอะไรบางอย่าง ก่อนจะชูสองมือขึ้นเหนือหัวเหมือนยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ข้าไม่เล่นแล้ว”
ดีมาก ยอมรับสักที...หือ? เล่น! เขาพูดว่าเล่นเนี่ยนะ! ปกติเวลาคนจะสารภาพอะไรก็น่าจะพูดนำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ หรือ ‘ข้าขอโทษ’ อะไรแบบนี้ไม่ไช่หรือไงกัน!
“น่าเสียดายแท้ๆ แต่ก็คงเล่นไม่ได้อีกแล้ว...เดี๋ยวยังไงอัชลานก็ต้องบอก สู้ชิงบอกก่อนคงไม่เป็นอะไร” เด็กชายบิดขี้เกียจเล็กน้อย “เคยได้ยินเรื่องของเทพแห่งการควบคุมทั้ง 7 ที่ขึ้นตรงกับองค์มหาเทพไหมล่ะ”
ข้าพยักหน้ารับ “ท่านอาจารย์คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งแสงลำดับที่ 21 เจ้าคงหมายถึงแบบนั้นใช่ไหม”
“ปิ๊งป่อง! แต่ก็ผิด เสียใจด้วยคุณตอบผิดแล้ว”
ดาเกอร์ดูจะซ่าเหมือนเดิมแล้ว เขาส่งยิ้มสวยให้ข้า แต่ข้าคิดว่ามันออกจะกวนพระบาทาของข้าซะมากกว่า
“ไม่ๆ ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มีแต่ตำแหน่งแบบนั้น ข้าหมายถึงสิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ สิ่งที่เหนือกว่าทุกเผ่าพันธุ์ ทั้งไม่แก่ ไม่ตาย สิ่งที่กำหนดความเป็นความตายของโลก กำหนดว่าอะไรควรเกิด อะไรควรดับสูญ...” เด็กชายยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ “ความจริงแล้วพวกที่ได้ชื่อว่าผู้ใช้มนตราหรือผู้ใช่เวทย์เหล่านั้นก็เท่ดีนะ แต่พวกเขาก็ยังจัดเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาที่ค้นพบศาสตร์แห่งเวทย์เท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าท่านอาจารย์เป็นสิ่งที่มีเพียงตำแหน่ง” ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าเด็กนี่กำลังอธิบายเอาซะเลย
“อัชลานก็เก่งดีอยู่หรอก แต่เขาไม่ผ่านการคัดเลือก มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเอามากๆ” เวลเดย์พูดด้วยสีหน้าออกจะเสียดายเล็กๆ
“แต่เจ้านี่ก็ใจดี เห็นว่าเผ่าจิ้งจอกเงินอายุยืน เลยมอบงานให้ทำแทนพวกผู้ใช้มนตราอายุเพียงลมผ่านพวกนั้น” ดาร์เกอร์ยักไหล่ เหมือนกับอยากจะบอกประมาณว่า ‘มักง่ายซะเหลือเกิน’
“เผ่าจิ้งจอกเงิน? ข้าคิดว่าท่านอาจารย์เป็นผู้ใช่มนตราแห่งแสงธรรมดาๆ ซะอีก” มือทั้งสองกุมหัวพรางขยี้ไปมาอย่างหัวเสีย
ท่านอาจารย์! ท่านมันคนลวงโลก เอ่อ...จิ้งจอกลวงโลก! หลอกข้าซะได้!
“ลืมเรื่องที่อัชลานเคยบอกทั้งหมดไปเสียเถอะ ไม่มีเรื่องจริงสักกะเรื่อง” ดาเกอร์ส่ายนิ้วชี้ไปมา ทำหน้าเหมือนกินยาขม “หมอนั่นต้มเจ้าจนเปื่อยเป็นหมูตุ๋นซะแล้ว เสียใจด้วย”
“...” ข้าเถียงอะไรไม่ออกจริงๆ ในเมื่อท่านอาจารย์ของข้าพึ่งจะตุ๋นข้าไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
“อย่าเสียใจไปเลยไอซี อัชลานเป็นคนแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เวลเดย์พูดเหมือนพยายามปลอบใจ “ข้าเอง...ก็เคยโดน”
“ทำใจซะเถอะ” ข้าส่ายหน้าอย่างระอา
นี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง! หากอยากใช้ชีวิตอยู่ท่านอาจารย์โดยไม่มีข้อหาฆาตกรติดตัวเพราะบันดาลโทสะ เนื่องจากนิสัยกลับกลอกกลิ้งไปกลิ้งมาจนทำให้หัวหมุนไปตามๆ กันของท่านอาจารย์มันช่างแรงกล้าจนแก้ยังไงก็ไม่หาย
“แต่เขาก็ใช่งานได้ดีนะ...ในที่สุดก็เจอคนที่น่าจะลองทดสอบดูอย่างเจ้ามา” ดารเกอร์แสยะยิ้มสวยสยิวมาทางข้า “ถ้าเจ้าผ่านข้าก็จะมีกระสอบทรายมาอยู่ด้วย ถ้าไม่ผ่านอย่างน้อยข้าก็จะมีกระสอบทรายมาใช้งาน”
เอ่อ...ข้าว่าจุดจบมันไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่เลยนะ เจ้าว่าไหมล่ะ
“เขาทำงานมานานมาก...เอาแต่พูดว่า ‘ยังหาไม่เจอ ช่างหายากจริงๆ’ พูดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งวันที่เขาพบเจ้า เขาพูดว่า ‘ในที่สุดเจอแล้ว’ แต่เขากลับทำท่าทางแปลกๆ จนกระทั่งข้าได้พบตัวจริงของเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่” เขาจ้องมองมาที่ข้า “เพราะเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรคงอยู่...”
ข้าชะงัก เขาพูดว่า ‘สิ่งที่ไม่ควรคงอยู่’ อย่างนั้นหรือ
เขายื่นมือมาแตะมือของข้าเบาๆ
ข้ากลับไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนมีเพียงแค่ไอเย็นพัดผ่าน แต่ผลที่ตามมาดูเหมือนจะไม่ใช่แค่การแตะมือธรรมดาเพราะมือของเขาค่อยๆ โปร่งแสงเมื้อแสงสีขาวไล่ไปตามมือของเขา ขณะเดียวกันผิวของข้าบริเวณที่เขาแตะค่อยๆ ซีดลง เมื่อสัมผัสโดนเงาสีดำ แขนของเสื้อกลายเป็นกลีบดอกไม้สีขาวสะอาด เล็บสีชมพูอ่อน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์
ข้าตั้งสติได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรก็รีบชักมือกลับ มองมือของตัวเองที่ค่อยๆ กลับเป็นปกติอย่างช้าๆ “เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่” ข้าร้องเสียงหลง เหงื่อซึมชื้น น้ำลายเหนียวหนืด
ข้าไม่ได้แค่รู้สึกไปเอง แต่เด็กคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา...
“ข้าก็เป็นแค่บางสิ่งที่ไม่สมควรคงอยู่ เหมือนกับเจ้ายังไงล่ะ ” เด็กชายหัวเราะร่วน “อันที่จริงแล้วพวกภูติน่ะ ไม่ได้ทอดทิ้งผู้ให้กำเนิดอย่างที่เจ้าเข้าใจ...พวกเขาสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว”
“อย่ามาตลก! ขะ...ข้าจำได้นะ!”
ต้นไม้ใหญ่ขนาด 15 คนโอบที่เคยมีใบสีเขียวชอุ่มตลอดปี บัดนี้กลับแห้งเหี่ยว ใบไม้น้อยใหญ่โรยราจนเหลือแต่กิ่งก้านที่ไร้ใบ
แต่บนกิ่งเล็กๆ กิ่งหนึ่งกลับมีดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์กำลังเบ่งบาน ตรงกลางที่ควรเป็นเกสรกลับเป็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง
เขามีปีกใสเหมือนแมลงปออยู่ที่กลางหลัง ใบหูแหลมเล็ก ดวงตาสีมรกต เส้นผมสีทองสบายตา ผิวกายซีดจาง แต่งกายด้วยใบไม้และดอกไม้สีขาวสะอาด
“ท่านแม่ ท่านจะทอดทิ้งข้าจริงๆ หรือขอรับ” พูดพลางมือกอดรัดกิ่งไม้ใกล้ๆ น้ำตาเอ่อคลอ
ดอกไม้ไม่ควรจะเบ่งบานออกมาตอนนี้ ในเมื่อยังไม่กลายเป็นผล...
‘ข้าไม่ได้อยากจะทอดทิ้งเจ้าเลยดอกไม้น้อยของข้า แต่ถ้าเจ้ายังคงอยู่กับข้าเจ้าคงจะต้องอดตายก่อนที่จะกลายเป็นผลแน่’ เสียงสายหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ถึงแม้ข้าจะต้องตาย ข้าก็จะอยู่กับท่าน” เด็กน้อยยังคงดึงดัน
‘ดอกไม้น้อยเอ๋ย ตอนนี้เจ้าเบ่งบานแล้วก็ควรต้องออกผจญโลกกว้าง ถึงจะไม่ใช่ผลสุกที่เบ่งบาน แต่เจ้าคือดอกไม้ที่สวยงามที่สุดของข้า...ถ้าพวกมนุษย์มาพบเจ้าพวกเขาอาจทำร้ายเจ้า จงไปเสียเถอะ’ เสียงนั้นอ่อนแรงลง
“ไม่ขอรับ! ถึงแม้ข้าจะถูกพาตัวไป แต่ข้าก็จะขออยู่กับท่านให้นานที่สุด...” เด็กน้อยกล่าวอย่างแน่วแน่
‘...’
ดวงตาเบิกโพลงเมื่อรับรู้ถึงการจากไป เขาปล่อยมือออกจากกิ่งไม้ในอ้อมกอดก่อนจะหยิบฟรุตที่ใส่ปลอกไว้ข้างตัวออกมา “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง...หลับให้สบายเถิด” จรดเครื่องดนตรีคู่กายเข้าที่ริมฝีปาก ก่อนจะเป่าลมบรรเลงเพลงอย่างแผ่วเบา น้ำตาไหลรินไม่ขาดสายแต่ก็ยังคงฝืนทนข่มเสียงสะอื้นไห้บรรเลงเสียงเพลงต่อไป
เสียงเพลงอันแสนเศร้าสร้อย เปรียบได้กับบทเพลงแห่งการอำลาในวาระสุดท้าย...
“...ข้าลืมไปซะได้ ที่ท่านแม่ป่วยก็เพราะเสียงเพลงหายไป ก่อนท่านแม่จะ...ท่านปล่อยให้ข้าออกมาจากดอกไม้เพราะรู้ว่ากำลังจะไม่ไหว พวกภูติไม่เหลืออยู่เสียงเพลงถึงหายไปสินะ ลืมไปซะได้...” ข้าหัวเราะแห้งๆ เมื่อนึกย้อนไปจนจำได้
เสียงเพลงหายไป ก็เพราะภูติหายไป ต้นไม้แห่งภูติที่ไร้เสียงเพลงขับกล่อมก็ล้มป่วยจนตาย แต่ก็ยังเหลือภูติบริสุทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์อย่างข้าเอาไว้...
“เรื่องนี้แหละนะที่อัชลานกังวล พวกภูติที่สูญพันธุ์ก็เพราะถูกไล่ล่า ที่ถูกไล่ล่าก็เพราะความอันตราย มีน้อยแต่ร้ายแรงแท้ๆ” ดาเกอร์ส่ายหน้าไปมาเหมือนคนจนปัญญา “ที่ท่านเวลเดย์พูดว่าไม่สมควรคงอยู่ก็เพราะแบบนี้แหละนะ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
ว่าแต่...พวกเจ้าหลอกให้ข้าเขวใช่ไหมเนี่ย!
สีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงอดีตเก่าๆ หายไป เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าโดนเบี่ยงเบนประเด็น “เวลเดย์ ข้าไม่ได้ถามว่าข้าเป็นอะไร แต่ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!”
“ว้า...นึกว่าจะลืมได้ซะอีก” เขาทำเสียงเหมือนเสียดาย “พูดไปจะรู้จักไหมเนี่ย เด็กสมัยนี้”
“พูดมาเถอะน่า รู้จักไม่รู้จักค่อยว่ากันอีกที”
เบี่ยงประเด็นเก่งซะจริงเจ้าพวกนี้! แถมเล่นตัวอีกต่างหาก ทำเกือบลืมเลย...
“ก็ได้ๆ” เขายิ้มโชว์ฟันสวยให้ข้าเหมือนปกติ “ดาเกอร์ขอยืมกิ๊บติดผมกับหวีหน่อยสิจะได้ไม่เมื่อยมือ” ยื่นมือไปหาดาเกอร์ ทำให้เขารีบแกะกิ๊บออกจากผมของตัวเองพรางหยิบหวีในกระเป๋ากางเกง แล้วส่งให้ทันที
เด็กชายหวีผมข้างหน้า (ที่ข้ารำคานมานาน) ขึ้นไปแล้วติดกีบไว้ข้างบน แต่เขาไม่ยอมลืมตา “เฮอ...เซ็งจริงๆ” เขาถอนหายใจก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ
ขนคอของข้ามันตั้งชันทันทีเมื่อสบตากับดวงตาของเด็กชายตรงหน้า
ดวงตาสีอำพันสะท้อนแสงที่มีขีดสีดำอยู่ตรงกลาง ไม่เพียงแค่นั้นแต่ยิ้มสยองของเขากลับยิ่งสยองกว่าเดิมในเมื่อฟันในปากแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมราวกับฟันฉลาม แล้วเมื่อบวกกับชื่อที่คุ้นหูและท่าทางประหลาดๆ ข้าก็เรียบเรียงความเป็นไปได้ในทันที
ร่างกายของข้าส่วนอยู่ใกล้เวลเดย์มากๆ ก็คืนสภาพเช่นเดียวกัน ร่างกายซีกขวาของข้าทางฝั่งเวลเดย์ถึงกับคืนสภาพไปเกือบทั้งหมดเพียงแค่เขาคืนร่างเดิม ทำให้รู้ได้ทันทีว่าการอยู่ในร่างแปลงทำให้แสดงพลังได้น้อยขนาดไหน
ข้าสูดหายใจลึก พยายามฉีกยิ้มกว้างๆ อย่างสุดซึ้ง “จักรพรรดิมืด!”
“ยินดีที่ได้รู้จักในร่างจริงนะไอซี”
...........................................................................................................................................................
เดี๋ยวลองๆ ทำฉากกระทำชำเลา (?) สามีของหม่ามี้ดูดีกว่า...เฮอๆๆๆ
อย่าเข้าใจผมผิดไป! ผมมิใช่ไอ้โรคจิต! ไม่ใช่ฉากอนาจารแน่นอน วะฮ่าๆๆๆ!!
ชื่อ: เอลซ่า ลาโทรดีเรเน่
ประวัติ: เทวะยมทูต 1 เดียวในโลก! รับจ๊อบคอยตามเก็บวิญญาณของคนตาย ส่วนอาชีพหลักคือการเป็น ผบทบ. ของอัชลาน นั่นเอง
อายุ: 24 (ไม่ได้บอกว่ามีหน่วยเป็นอะไรนี่เนาะ)
ลักษณะ: มีดวงตาสีฟ้าคราม เส้นผมยาวสีเพลิง เมื่อถึงจุดเดือดทุกอย่างจะกลับกันโดยสิ้นเชิงและทวีความน่ากลัวขึ้น 10 เท่า...รูปร่างสยิวกิ้ว (?) ชอบแต่งตัวชวนคิดลึก
ส่วนสูง:
ความชอบ: เด็กน่ารักๆ และสัตว์โลกผู้น่ารักทั้งหลาย~
ไม่ชอบ: คนที่ขัดใจ อาหารจืดๆ
ความพิเศษ: ทุกคน (!!) ที่รู้จักน้อยคนนักที่จะกล้าขัดใจเธอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม...
เพิ่มเติม: ไม่มีอะไรจะเกินคำว่า...น่ากลัว
ความคิดเห็น