ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ☣ FAKE LOVE รักปลอมๆ

    ลำดับตอนที่ #4 : FAKELOVE :: CHAPTER 3 100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    CHAPTER 03

     

    ม.ร.ว.รังสิมันต์ สัตบรรณ : TALK

    “เฮ้ยๆ ทางนี้ครับคุณชาย”

     

    “เรียกผิด เรียกว่าท่านชาย” ผมบอกให้พวกมันก่อนที่จะทรุดนั่งลงโซฟาสีเข้มถ้ามาร้านแห่งนี้ที่ประจำก็คือตรงนี้แหละ ไอ้พวกนี้มันรู้ดีว่าเป็นการประชดของตัวเองจึงไม่สนเท่าไหร่นักกับสนใจชงเหล้าเคลื่อนมาวางตรงหน้า “ขอบใจ”

     

    “มาก็ส่องสาวเลยนะเว้ย”

     

    “ธรรมดาว่ะ”

     

    ธรรมดาที่หมายถึงมองไปเรื่อยๆ ไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษนักอีกอย่างที่ตรงที่ผมนั่งมันเป็นโซน VIP เนื่องด้วยทุกอย่างของผมไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่จึงต้องรักษาหน้าให้ตระกูลหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้ขนาดนั้นหรอกแค่อยากทำตามกฎให้มันจบๆ ไปค้านมีเรื่องมากกว่า

     

    “ธรรมดาแค่เหวี่ยงสายตาก็ได้แดก”

     

    ผมไม่ตอบหรอกแค่ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากจากนั้นแก้วเหล้าที่อยู่ในมือก็ยกขึ้นชนทางไกลกับพี่รหัสของตัวเอง วันนี้เลี้ยงสายรหัสของผมเองส่วนไอ้พวกที่เหลือก็ตามนั้นอยากมาแดกของฟรีพอดีว่าร้านนี้เป็นของพี่รหัสของผมเองซึ่งได้จบไปแล้วเรียบร้อย

     

    “หึ... ไม่ใช่แล้ว” ผมเลือกปฏิเสธพร้อมกับแกว่งแก้วเหล้าในมือแล้วมองไปรอบวงก่อนหยุดที่คนคุ้นหน้ามากที่สุดและคงสนิทกว่าใครในระยะนี้ “ไหนหลานและน้องรหัสมึงอ่ะไอ้ชา”

     

    กลายเป็นว่าสายตากับคำถามของผมเปลี่ยนพุ่งเป้าไปหาน้องรหัสของตัวเองที่กำลังยกเม็ดถั่วเข้าปากมันหันมาสบสายตากับผมแล้วยกยิ้มขึ้นตามประสาเด็กที่ยังโตแต่ตัว

     

    “นั่นไงครับ”

     

    คนหนึ่งที่เดินนำเดินเป็นผู้ชายตัวไม่ใหญ่มากผมรู้จักเมื่อปีที่แล้วในฐานะหลานรหัส

     

    ส่วนคนที่เดินตามยังไม่รู้จักแต่คงเป็นเหลนรหัสมั้งที่สำคัญเป็นผู้หญิง

     

    “เหี้ยผู้หญิงเหรอวะ กูจบมาไม่เคยมีผู้หญิงเลยไอ้สัส” อดีตพี่รหัสของผมเอ่ยขึ้น

     

    “สวัสดีครับพี่ต้า”

     

    “เออๆ หวัดดี” ทำทักทายและการไหว้เกิดขึ้นจากหลานรหัส

     

    “มิ้นนี่ทวดรหัสนะชื่อพี่ต้ารุ่นพี่ปี 4 ส่วน...”

     

    ผมไม่สนใจแค่รับไหว้จากคนชื่อมิ้นที่เป็นสายรหัสแล้วไม่ได้สนใจเสียงเหลนแนะนำอีกเพราะสายตาหันไปมองด้านล่างที่กำลังมีคนวาดลวดลายการโยกย้ายส่ายสะโพกเต้นไม่หยุดหย่อนหนึ่งในนั้นมีร่างหนึ่งเรียกสายตาของผมอยู่

     

    “ไอ้เหี้ยเอ้ยสวยสัดๆ”

     

    “พอบ้างเถอะพี่อ่ะ แก่แล้วนะ”

     

    “ไอ้ห่าถ้าไม่มียศนำกูตบหัวมึงแล้วนะไอ้เหี้ยต้า”

     

    “ขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจแล้วแหละพี่” เพราะพี่รหัสตัวดีไม่รู้ว่าย้ายที่นั่งจากไหนมายัดใกล้ผมจนไม่รู้จะใกล้ยังไงแล้วแหละ “เชื่อเลยว่ะ”

     

    “อะไรของมึง”

     

    “เปล่า”

     

    “ปฏิเสธแต่มึงก็ดูน้องเขาเว้ยไอ้ห่า”

     

    “คนไหน?”

     

    ผมถามไอ้พี่รหัสของตัวเองทว่ามันไม่ทันตอบหรอกเพราะไอ้เพื่อนอีกคนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งแหกปากขึ้นมาก่อนจะได้รับรู้จากปากมัน

     

    “เฮ้ยๆ ทางโน้นว่ะออร่าสัสๆ”

     

    “เออใช่ คนเดียวที่กูมองเลย” ไม่ใช่ผมนะที่ตอบแต่เป็นไอ้พี่รหัสคนเดิมแล้วมันยังมีหน้ากันมายักคิ้วส่งให้ผมอีกพร้อมพ่นคำถามมา “สวยเนอะว่ามั้ย”

     

    “ก็ไม่เท่าไหร่” ก็แค่สะดุดสายตาใครหลายคน ก็แค่เด่นในหมู่มาก ก็แค่มีผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ก็แค่มีริมฝีปากแดงเรียกสายตาแค่นั้นจริงๆ “มั้ง”

     

    “กูงงทำไมมึงมีมั้งด้วยวะไอ้ต้า”

     

    “งงต่อไปดิ”

     

    “แต่ดูท่าทางเมาแล้วจะโคตรเซ็กซี่แน่ๆ”

     

    “อ้อเหรอ?”

     

    ริมฝีปากของผมกระตุกขึ้นตามมาด้วยรอยยิ้มเหยียดอย่างเช่นทุกครั้งที่ได้ยินอะไรจำพวกนี้ในวงเหล้ากับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้มีความสนิทอะไรกันขนาดนั้น

     

    “หลายสายตาจดจ้องไปที่น้องเขาคนเดียวเลยว่ะ”

     

    ครั้งนี้ไม่ใช่พี่รหัสตัวเองนะประโยคนี้แต่เป็นไอ้พวกตรงข้ามที่นั่งอีกฝั่ง

     

    “ชอบก็จีบดิ” ผมพูดขึ้น “สวยอย่างนางฟ้าลองเหล้าเข้าปากขึ้นมาคราบนางฟ้าหายไปแน่”

     

    เป็นอันทุกอย่างจึงยุติลงไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกกับเรื่องมองผู้หญิงมีแต่พูดคุยเรื่องต่างๆ กันอย่างออกนอกหน้าทว่าแป๊บเดียวกับมีสายตาหนึ่งจ้องผมแบบนั้นไม่ไปไหน เป็นสายตาใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่หนึ่งเดียวในกลุ่มที่เป็นผู้หญิงนั่งใกล้หลานรหัสและน้องรหัสของผม

     

    “จ้องมึงแทบแดกไอ้สัส”

     

    “รู้” ผมตอบไอ้พี่รหัสของตัวเองแสดงว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่เห็น

     

    “สานต่อดิวะกลัวอะไร”

     

    “กลัวเหี้ย”

     

    “อันนี้มึงตั้งใจด่ากูแล้วไอ้ต้า”

     

    “ฉลาดครับ”

     

    “แล้วนั่นอะไร?” สายตาของไอ้พี่รหัสตัวเองหยุดไปยังนิ้วมือข้างซ้ายของผมที่ถือแก้วเหล้าอยู่มันจดจ้องมันอยู่แบบนั้นไม่วางสายตาใดๆ ทั้งสิ้นกระทั่งพูดเสียงดังกลางวงเหล้าว่า “ไอ้ท่านคุณชายต้าใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายเว้ยไอ้เหี้ย!”

     

    แหวนแบรน์ดังบนนิ้วนางข้างซ้ายผมกลายเป็นข้อสงสัย

     

    แหวนที่ผมไม่เคยใส่นิ้วนี้เลยยกเว้นสองอาทิตย์มานี้

     

    ใช่ครับผมใส่จริงๆ

     

    มันไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นถ้าไม่ใช่ใส่นิ้วนางข้างซ้ายใช่ไหม สำหรับผมแล้วมันก็พอมีอะไรอยู่บ้างแต่ในสายตาของคนอื่นๆ มันกับใหญ่โตมากกว่าปกติ

     

    “ยังไงครับพี่รหัส” ไอ้ชาเอ่ยมาเลย

     

    “นั่นสิครับทวดรหัส” ตามด้วยเหลนรหัส

     

    “จะมีข่าวดีแล้วใช่ไหมครับเนี่ย” ตบท้ายด้วยไอ้ชาอีกรอบหนึ่ง

     

    “กูอยากรู้ใครเป็นเจ้าของแหวนมึงใส่เองหรือสาวใส่”

     

    “มันยังไงนัก”

     

    “กูอยากรู้กูพี่รหัสมึงนะเว้ย”

     

    “แล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน” ผมไม่อยากสร้างปริศนาอะไรแค่เบื่อการตอบในเมื่อถ้าตอบไปก็ยังโดนถามไม่เลิกแน่นอนและคงสาวยาวมากกว่าเดิมหลายเท่า “คิดอะไรก็คิด”

     

    “งั้นตอนนี้กูคิดว่ามึงไม่โสดแล้วไอ้คุณชายต้า มึงเข้าวังไปไม่ใช่หรือไงวะ”

     

    “ก็ที่นั่นบ้านผมก็กลับบ้านไม่เห็นแปลกอะไรสักหน่อย”

     

    “มึงแย้งไม่ถูกหรอกใช่บ้านของมึงแต่ทุกครั้งไม่มีแหวนนี่โว้ย”

     

    “แค่นี้เหรอ”

     

    เพราะผมไม่ทุกข์ร้อนอะไรมั้งเลยเลยทำให้อีกฝ่ายยิ่งเฉยไม่ได้

     

    “ไอ้คุณชายต้า!”

     

    “ให้ผมพูดมั้ยครับ” แต่แล้วไอ้ชาน้องรหัสของผมมันก็พูดขึ้นทำให้ทุกคนเงียบเพื่อที่จะฟังมันคนเดียว เงียบที่แบบว่าโคตรเงียบ “แบบนี้นะครับที่พี่รัชสงสัยพี่ต้าเพราะแหวนที่ใส่นิ้วนางนั้นเขาให้คนที่แต่งงานหรือว่าหมั้นกันครับ”

     

    “แสดงว่ากูหมั้นและแต่งงานแล้วงั้นสิ”

     

    “แล้วใช่มั้ยล่ะครับพี่ต้า”

     

    “ไม่อ่ะไม่หมั้นไม่แต่งอะไรทั้งนั้นแหละ”

     

    “กูหวังอะไรอยู่วะเนี่ย”

     

    “ให้เลิกหวังจะได้ไม่ผิดหวัง” ความจริงที่ผมซ้ำเข้าไป “แต่มีเจ้าของแล้ว”

     

    “ห้ะ!/ห้ะ!”

     

    “ความจริงไงอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

     

    “ใครเมียมึงใคร”

     

    “ให้โควต้ารู้แค่มีเจ้าของแล้วก็พอ”

     

    รู้แค่นั้นก็คือรู้แค่นั้นจริงๆ ไม่นานหรอกที่พวกนั้นจะหยุดเซ้าซี้เอ่ยถามเรื่องของผมเพราะรู้ว่ามันไม่ได้คำตอบต่างจากเดิมนักส่วนผมที่เริ่มเบื่อหน่ายสถานการณ์เดิมๆ จึงปลีกตัวบอกพวกนั้นว่าจะเข้าห้องน้ำพร้อมกับคนตามหลังมาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นไอ้ชาน้องรหัสของตัวเอง

     

    “ตามกูมาเพื่อ?” ผมหยุดถามข้างโซนไว้สูบบุหรี่ “จะเสือกอะไร”

     

    “เกลียดนักคนรู้ทัน”

     

    “ว่ามาเลย”

     

    “ผมจะมาบอกว่า...” ไอ้ชาหันไปมองทางที่ทั้งผมกับมันพึ่งเดินมาหยุดเหมือนสำรวจอะไรบางอย่างพอมันแน่ใจก็หันกับมามองหน้าผมเช่นเดิม “มิ้นเหลนรหัสล่าสุดสนใจพี่อ่ะ เนี่ยให้ผมช่วยขอคอนแทคติดต่อ”

     

    “กูมีเจ้าของแล้ว”

     

    “เรื่องจริงเหรอครับ ผมนึกว่าเป็นเรื่องหลอกนะพี่ต้า”

     

    “จริง” ผมย้ำอีกครั้งหนึ่ง

     

    “…”

     

    “กูไม่สนใจเหลนรหัสอะไรทั้งนั้น”

     

    “งั้นแหวนนี่ก็...”

     

    “ก็ตามที่เห็น ถึงกูไม่ใส่แหวนก็ใช่ว่ากูจะไม่มีใครนิทุกอย่างที่เปลือกนอกใครๆ ต่างเห็นนั้นมันต่างจากความจริงนะไอ้ชาแต่ที่กูเลือกใส่แหวนก็เพราะอยากใส่แล้วอีกคนเขาก็ใส่ด้วย”

     

    “เป็นความลับเหรอวะพี่ แบบที่วังไม่ให้เปิดหรือว่าพี่ไม่อยากเปิดให้ที่วังรู้”

     

    “ถึงกูปิดซ่อนแค่ไหนวังเขารู้ดี กูไม่ได้ปิดและที่วังก็รับรู้”

     

    “แสดงว่าคนๆ นี้กุมหัวใจผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชายน้ำแข็งแบบพี่ได้นี่ต้องโหดพอสมควรนะครับ” ไม่รู้สิโหดเหรอ... อ่าผมนึกไม่ออกเลยว่าเธอจะโหดยังไงแค่ทำตัวเป็นธรรมชาติมั้ง “งั้นผมก็ยินดีด้วย ว่างๆ พามาเปิดตัวนะครับพี่ต้าแต่ถ้าพี่เปิดรับรู้ทางหน้า 1 เลยมั้งเนี่ย”

     

    “อย่าช็อคล่ะ”

     

    ไอ้ชาเบิกตานิดหน่อยก่อนพูดอะไรกับผมไปเรื่อยๆ ไม่นานมันก็ปลีกตัวออกไปหากลุ่มที่จากผมส่วนผมนั้นแยกมาทางห้องน้ำเพราะอยากล้างมือทว่าเหตุการณ์มันดันเกิดขึ้นเสียก่อน มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งล้มเอียงเข้ามาให้ผมรับประคองเอาไว้ปลายผมที่น้ำตาลอ่อนร่วงปรกใบหน้าที่ซบตรงอกก่อนกลิ่นน้ำหอมอ่อนตีขึ้นให้ได้กลิ่น

     

    เธอไม่ได้สติแล้ว

     

    เธอคือคนเดียวที่กลุ่มผมมอง

     

    และเธอก็เป็นคนที่ผมนั่นรู้จักดีเสียด้วย

     

    แค่เสี้ยวผมยาวปรกใบหน้าที่แต่งแต้มให้เข้มขึ้นกรีดอายไลนเนอร์คมตวัดให้ตาดุและโตจรดริมฝีปากเรียวบางเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดไม่ทำให้ผมลืมได้แน่

     

    “ตื่น!”

     

    “อือ... เวียนหัวว่ะมึง”

     

    “มึง?”

     

    อ่อนี่คงนึกว่าผมเป็นเพื่อนสินะ

     

    “เหมือนโลกหมุน 10 รอบต่อหนึ่งวิเลยโว้ย”

     

    “ลืมตา โลกมันอยู่ที่เดิมแต่เธอนั่นแหละที่หัวหมุนเอง”

     

    “แป๊บๆ”

     

    แป๊บๆ เป็นคำๆ คำหนึ่งที่ถ้าเกิดออกจากปากใครบอกเลยว่ามันแปลได้ในทางตรงข้ามกันนั่นคือช้ามากยิ่งคนเมาก็ยิ่งคูนเข้าไปอีกเมื่อคนที่พึ่งเอ่ยปากบอกว่าแป๊บไม่คิดทำอะไรเลยนอกจากนิ่งพิงซบไปกับร่างกายของผมแบบนั้นและถ้าไม่คว้าเอวเอาไว้ป่านนี้ร่วงกองลงพื้นแน่นอน

     

    “แป๊บไป 5 นาที แป๊บอะไรของเธอฟาง”

     

    เธอชื่อว่าฟาง

     

    เธอคือผู้หญิงที่หมดสภาพ

     

    เธอคือนางฟ้าแต่ตอนนี้คราบนางฟ้าหายไป

     

    “เพื่อนเปล่าว่ะพวกมึงเนี่ยกูบอกว่ากู...”

     

    แต่แล้วศีรษะที่หลุดออกจากการซบอกผมก็เงยหน้าขึ้นมองเส้นผมที่บดบังถูกมือหนึ่งแหวกออกไปด้านข้างเพื่อให้เห็นหน้าผมมากขึ้นแต่เอาจริงสายตาคนเมามันโฟกัสยากมากกว่าอีกฝ่ายจึงพยายามเพ่งใบหน้าผมแบบนั้นทั้งที่มีมือวางบนอกผมตลอดเพื่อพยุงตัวเองอีกที

     

    “อะไรครับ กูอะไร”

     

    “พี่...”

     

    “ฟาง!/อีฟาง!”

     

    แต่แล้วทุกอย่างก็ยิ่งไปกันใหญ่เมื่อมีกลุ่มเพื่อนของฟางเข้ามาแล้วยืนอึ้งกันแบบนั้นคงยังไม่ได้สติถึงขั้นตลึงที่เพื่อนตัวเองทำกับผม

     

    “นี่ตาฝาดไปหรือเปล่าวะ อึก!

     

    “ไม่ฝาด ความจริง”

     

    “ไม่ๆ นี่เมาไง”

     

    ยังมีนะครับคนเมาที่ยอมรับว่าเมาบนโลกไปนี้

     

    “ใช่เมามากด้วยครับ”

     

    “รู้มั้ยว่าเครียด รู้มั้ยๆ เครียดจนจะตายห่าอยู่แล้วโว้ย!” แบบนี้สินะถึงได้มาสถานที่แบบนี้แต่แล้วสิ่งที่ผมได้ถัดมาคือของเหลวอุ่นที่ย้อนสรมาจากท้องของอีกฝ่าย "แหวะ!"

     

    “อีเหี้ยฟางอ้วกใส่คุณชายพี่ต้า!”

     

    แบบนี้ไงที่เอ่ยปากบอกว่าสวยอย่างนางฟ้าลองเหล้าเข้าปากขึ้นมาคราบนางฟ้าได้หายไปแน่มันเกินจริงที่ไหนกันล่ะเพราะถ้าเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มันจริงทุกประการ ไม่มีอะไรที่ผมจะไม่รู้เกี่ยวกับเธอหรอกและดูเหมือนจะรู้มากกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำไปทว่าไม่อยากพูด

     

    บางเรื่องพูดไปแล้วใช่ว่าจะดี

     

    บางเรื่องพูดไปแล้วมีแต่เรื่องราว

     

    และบางเรื่องควรปล่อยให้มันตายไปดีแล้ว

     

    ผมไม่สนใจว่าเนื้อตัวจะเปื้อนอ้วกอีกฝ่ายมากแค่ไหนตอนนี้ทำได้แค่เพียงถอนหายใจมองไปทางเพื่อนของฟางที่เดินเข้ามาจะเอาตัวเธอไปทว่าไม่ได้หรอกผมเบี่ยงหลบไม่ให้แตะตัวเธอจนผู้ชายคนนั้นจ้องมองเขม็งแบบแข็งกร้าวขึ้นในทันที

     

    ไอ้คนนี้มันพึ่งมาใหม่สมทบเมื่อกี้เอง

     

    “ขอเธอคืนด้วยครับ”

     

    “สนิทกันเหรอ?”

     

    “เอ่อ... ขอโทษจริงๆ นะคะพี่ต้า” เป็นผู้หญิงอีกคนที่ก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ย “พวกเรากลุ่มเดียวกับอี... เอ่อฟางค่ะ”

     

    “กลุ่มเดียวกันก็สนิทกันไง”

     

    แล้วผู้ชายคนนั้นมันก็เอ่ยพูดอีกครั้งหนึ่ง หึ... สนิทหรือว่าคิดไม่ซื่อกับคำว่าเพื่อนหรือคำว่ากลุ่มเดียวกันอย่าคิดว่าจะไม่รู้แค่มองตาทุกอย่างก็กระจ่าง

     

    “อือ...” เช่นเดียวกันที่เวลานี้คนที่สติกำลังเลือนรางดังขัดขึ้น “ไม่ต้องห่วงพวกมึง”

     

    “ฟางมึงเมามากนะเว้ย”

     

    “ไม่ๆ คนๆ นี้กูรู้จัก”

     

    “อย่าโกหกนะฟาง” แล้วผู้ชายคนนั้นมันก็ขัดขึ้นพร้อมทั้งขมวดคิ้วใช้สายตาจ้องมายังฟางที่ซบอกผมอยู่ มันไม่พอใจหรอกแค่นี้ทำไมผมจะไม่รู้กัน “มั่วแล้วนะตอนนี้”

     

    “นี่พี่...อึก...ต้าไง”

     

    “ไปกับพวกกูเถอะฟาง”

     

    “ไม่ๆ ไอ้อุ่นบ้านกูใกล้เขา”

     

    “มึงเมาจริงๆ แหละเนี่ย”

     

    “อุ่นมึงฟังฟาง” แล้วเพื่อนผู้หญิงของฟางก็เอ่ยขัดขึ้นมา “อย่าหัวร้อน”

     

    “แต่มันเมา”

     

    “มันรู้ตัว”

     

    “รู้ตัวเหี้ยอะไรแทบเอาตัวไม่รอดขนาดนี้วะ”

     

    “มึงนั่นแหละที่กำลังเดือดร้อนทั้งที่อีฟางมันยังไม่คิดอะไรเลย รู้จักก็คือรู้จักอุ่น”

     

    เพื่อนฟางทั้งสองถกเถียงกัน

     

    “สนิทกันเหรอกับเพื่อนคนนี้”

     

    เป็นผมเองที่พูดขึ้นบ้างอีกทั้งก้มหน้ามองคนที่ซบอกตัวเองพร้อมอีกแขนหนึ่งก็ค่อนเคลื่อนโอบรอบเอวซุกเข้าฝ่ามือของผมจนสัมผัสกับโลหะแข็งเย็นเฉียบบนนิ้วนางข้างซ้าย ของแข็งโลหะอันนี้ไม่มองก็พอรู้ว่าทั้งลวดลายทรงมันแทบเหมือนเช่นเดียวกันกับของผมเลยยกเว้นขนาดที่เล็กกว่าเท่านั้น

     

    ใช่มันถูกสร้างไว้คู่กัน มันเป็นของกันและกันครับ

     

    นี่ไงฟาง ภรรยาของผมเองและเป็นเจ้าของร่วมกันกับแหวนที่ทั้งผมและเธอสวมใส่

     

    “เพื่อนกลุ่มเดียวกันค่ะ”

     

    “อืม”

     

    “พี่ต้า...”

     

    “ฟางมึงกลับกับพวกกูเลยมั้ย มึงไม่ไหวแล้วเดี๋ยวไปส่งเอง” แล้วก็มีฝ่ายสาระแนขึ้นมาอีกครั้งใช่ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองก็แทบควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน มันรู้สึกรำคาญไปหมดไม่ว่าไอ้นั่นจะใช้สายตามองหรือว่าพูดอะไรก็แล้วแต่อย่างเช่นตอนนี้ที่มันมองมือฟางที่ซุกเข้าจับมือผมอยู่ “พี่ก็ปล่อยเพื่อนผมเสียทีครับ”

     

    “ไม่ปล่อย!” แล้วคนที่บอกเพื่อนไปคือฟางเอง “วันนี้กูกลับ จะกลับกับพี่ต้าโว้ย”

     

    ชัดนะครับอยากพูดแบบนี้กระแทกหน้าไอ้นั่นแต่ทำได้แค่ส่งสายตาล้อไปแทน

     

    แค่นี้ก็ทำให้ไอ้นั่นแพ้ผมแล้วแหละว่าไหมครับ

     

    “…”

     

    “อีฟาง...”

     

    “ไม่ได้ฟาง”

     

    “ทำไมจะไม่ได้ไปกับพี่ต้าปลอดภัยมากพวกมึงไม่ต้องห่วงนะเพื่อน” ไม่รู้ว่าใครจะเอ่ยอะไรอีกแต่ฟางรั้งตัวให้ผมโอบอุ้มเธอเต็มๆ ก่อนชี้ไปทางออกจากร้าน “กลับบ้านกันค่ะ กลับบ้าน”

     

    ผมพายัยขี้เมามาถึงรถโดยใช้แรงเพิ่มมากกว่าเดิมซึ่งมาพร้อมกับอาการปวดประสาทอีกเท่าตัวเพราะฟางดื้อมากกว่าปกติหลายเท่าขนาดเปิดประตูรถกว้างเอาร่างเล็กยัดนั่งข้างคนขับฟางยังเอาขาทั้งสองข้างห้อยออกประตูไม่ยอมนั่งดีๆ ด้วยซ้ำอีกทั้งเธอยังเอาแต่กอดผมแน่น

     

    “ขอเช็ดอ้วกเธอก่อน ปล่อยก่อน” ปล่อยที่หมายความว่าปล่อยทั้งหมดแต่คงไม่เข้าสติของอีกฝ่ายในเมื่อยังมีมือดึงชายเสื้อผมอยู่เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกโยนทิ้งถังขยะแถวนั้นมือเล็กยอมปล่อยชายเสื้อเพียงแป๊บเดียวก็ฉุดดึงชายเสื้อกล้ามใหม่อีกครั้ง ผมเคลื่อนตัวเข้ามายืนนอกรถแต่ใกล้ร่างเล็กที่นั่งมองอยู่กระทั่งท้าวแขนทั้งสองข้างกับประตูรถ “ไหนพูดมา”

     

    เธอต้องการพูดกับผมในสภาพนี้แหละ

     

    เพราะอีกฝ่ายกำลังคิดมือผมจึงเอื้อมทิชชู่เปียกหน้ารถมาเช็ดลงใบหน้าที่เงยมองตัวเองเบาๆ ไม่ได้เปื้อนมากหรอกแต่ขนาดนี้ก็ขี้เหล่แล้วสำหรับยัยคนนี้

     

    “แรง เช็ดแรง”

     

    “เอาน้ำมั้ย?”

     

    “ค่ะ”

     

    แล้วก็เป็นผมอีกที่เอื้อมมือเข้าไปหน้าคอนโซนรถคว้าขวดน้ำขนาดเล็กมาเปิดฝาแล้วยื่นให้อีกฝ่ายได้ดื่มจากนั้นก็ยังเช็ดปากให้อีกครั้งหนึ่ง

     

    “ไหนเครียดเรื่องอะไรบอกพี่มา”

     

    “...”

     

    “ไม่เครียดเหรออย่าปิดบังครับ”

     

    “…”

     

    “บอกมาครับเดี๋ยวพี่จัดการให้”

     

    “เรื่องลูก”

     

    ลูก... โอเค

     

    “เรื่องมีว่า?”

     

    “พี่ต้ารู้มั้ย... อึก... พี่ชายตุลย์ขอฟางว่าอยากอยู่กับเต อยากสนิทกับเต อยากอยู่กับลูกเรา...”

     

    หมับ!

     

    แล้วฟางก็เงียบลงโดยที่ใบหน้าซบลงกับหน้าท้องของผมพร้อมทั้งแขนทั้งสองข้างกระชับกอดรอบเอวแน่นไปหมดรู้แล้วเธอร้องไห้ออกมาแล้ว ความเปียกชื้นเข้าแทรกลงเนื้อผ้าทำให้ร่างกายของผมสัมผัสกับความเปียกชื้นชุ่มไปหมดไม่นานเสียงสะอื้นก็ออกมาให้ได้ยิน

     

    เสียงสะอื้นที่เบามาก

     

    แต่มันโคตรดังเลยเมื่อผมได้ยิน

     

    “อย่าร้อง” ผมลูบศีรษะเธอพร้อมปลอบ “อย่าร้องได้มั้ย”

     

    “…”

     

    ไม่ได้สินะ

     

    ไม่ตอบแบบนี้ไม่ได้หรอก

     

    “ไม่ชอบใช่มั้ยครับ”

     

    “อือ... ไม่ชอบเลย”

     

    “โอเคเดี๋ยวพี่จัดการให้นะครับ”

     

    “รีบเลยนะอย่าให้เขามายุ่งกับลูกเรานะพี่ต้า”

     

    “ครับ เขาจะไม่เข้ามายุ่งกับลูกเราได้อีก”


     

     

    -----------------------------------------

    #ต้าตีฟาง

    **มีการเว้นวรรคตัวอักษรผิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×