ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 | THE GUARD ღ หัวใจเสี่ยงรัก ϟ

    ลำดับตอนที่ #4 : EP [3] คนที่ทำให้หัวใจสงบ ✓

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 64



     
       


    คิวไอวี่
    .
    .


    EP [3] ทุกความรู้สึกของฉันมันมีคุณเข้ามาข้องเกี่ยว

     



    บรรยากาศด้านนอกเรือนแก้วช่างสดใสแตกต่างจากด้านในที่ช่างมาคุอึมครึมไปด้วยรังสีกดข่มที่เหล่าลูกน้องคิดว่ามันน่าอึดอัดและอยากจะไปให้พ้นๆ จากตรงนี้แต่ติดที่ต้องทำหน้าที่จึงขยับไปไหนไม่ได้

    ทิมที่ยืนอยู่ไม่ไกลแต่ลังเลที่จะเดินเข้าไปรายงานเกี่ยวกับปัญหาหลายๆ อย่างของธุรกิจที่ร่างสูงจะต้องไปจัดการแทนคุณหนูเรือนแก้ว แต่เพราะขาที่ก้าวไม่ออกเพราะแรงกดดันจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน  และสาหตุที่ทำให้คุณคิวหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องที่คุณหนูสั่งให้สองโรเซ่กับลูซี่ไปทำทั้งๆ ที่ประกาศไว้แล้วว่าห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวแต่ก็ยังดื้อดึงจนได้  ฉะนั้นบรรยากาศขมุกขมัวนี้จึงตึงเครียดกดดันยิ่งกว่าวันอื่นๆ และไม่มีใครสามารถทำให้เบาบางลงได้

    “นายครับบริษัทและคาสิโนสาขาใหญ่เกิดปัญหาจะเข้าไปจัดการวันนี้เลยรึเปล่าครับพวกผมจะได้ไปเตรียมตัว”

    เมืองสิงห์เป็นคนเข้ามารายงานแทนทิมที่ยืนเหงื่อตกอยู่

    คิวหันไปมองคนสนิทแล้วพยักหน้า เขาเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่เอาเรื่องหงุดหงิดใจมาทำให้งานเสีย ก่อนจะหันไปสั่งทิมให้ไปส่งไอวี่แทน

    “จับตามองเธอให้ดี มีอะไรแปลกๆ ให้รายงานฉันทันที”

    “ครับ” ทิมตอบรับอย่างสั้นๆ อย่างรู้หน้าที่ของตนเอง ในวันนี้เขาจะต้องตามรับส่งคุณหนูไอวี่ คอยจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา ส่วนเมืองสิงห์จะต้องตามผู้เป็นนายไปแทน

    ผ่านไปห้านาทีหลังจากคิวและลูกน้องส่วนหนึ่งเดินออกไป คุณหนูของเรือนแก้วก็ปรากฏตัว ทิมน้อมทำความเคารพคุณหนูของตนถึงแม้ว่าตนเองจะอายุมากกว่าก็ตาม

    “ทำไมเหลือแค่นายล่ะ” ไอวี่ถามบอดี้การ์ดหนุ่ม เพราะคำสั่งที่ไอวี่สั่งคิวเอาไว้คือต้องไปมหาลัยพร้อมกับคิวทุกวันแต่ว่าทำไมเช้านี้ไม่เห็นแม้แต่เงาคนที่เธอให้รอ

     “คุณคิวไปจัดการปัญหาหลายๆ อย่างครับ ฉะนั้นวันนี้ผมกับคนอีกจำนวนหนึ่งจะคอยอารักขาคุณหนูครับ”

    ไอวี่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบที่แสนขัดใจ เธออยากจะอาละวาดให้ไอ้ท่อนไม้หน้านิ่งกลับมาแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะคิดได้ว่างานที่เขาไปจัดการก็คืองานของเธอที่เขารับผิดชอบแทน

    “ไม่ต้องเตรียมข้าวเช้าฉันจะไปมหาลัยเลย

    ไอวี่เดินนำออกไปเหล่าบอดี้การ์ดจึงคอยจัดทีมป้องกันตั้งแต่ประตูบ้านไปยังรถประจำตัว ทว่าคุณหนูเจ้าของเรือนแก้วยังไม่ทันได้ขึ้นรถก็มีใครบางคนมายืนขวางทางเสียก่อน คนๆ นั้นคือคุณ ผกามาศเมียของคุณดนัยลูกชายคนโตของไอศวรรย์

    ไอวี่กอดอกกรอกดวงตาไปมาเมื่อเห็นผกามาศพร้อมกับคนรับใช้อีกคนเดินเข้ามาหาเธอ

    “ซวยจริงๆ”

    “จะไปเรียนแล้วเหรอจ้ะหนูไอวี่” ผกามาศพูดออกมาคล้ายจะไถ่ถามหลานสาวเหมือนกับคนปรกติแต่ทว่าใบหน้ากับท่าทางนั้นกลับไม่ใช่คนที่จะมาส่งหลานสาวไปมหาลัยเลยแม้แต่น้อย

    ไอวี่แทบเบะปากให้แต่ดีหน่อยที่ควบคุมกล้ามเนื้อปากได้ทัน

    “รู้แล้วก็หลีกทาง” ไอวี่พูดโดยไม่สนว่าจะเป็นผู้ใหญ่หัวหงอกหรือหัวดำ เพราะไม่เคยเกรงกลัวและไว้หน้าใครก็ตามที่คิดร้ายกับเธอ

    “นี่แค่เจ็ดโมงครึ่งเองนะหลานรักจะรีบไปตาย..เอ้ยจะรีบไหนกันล่ะจ้ะป้าเป็นห่วงว่าหลานจะยังไม่กินข้าวเช้าก็เลยเอาของเหลือมาให้”

    ไอวี่เลิกคิ้วมองคนวอนโดนตบตั้งแต่เช้า สายตาเธอมองผกามาศเป็นขยะมูลฝอย “อยากจะอ้วกหลีกทาง!

    “สันดานเหมือนกับแม่ไม่มีผิดไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่” ผกามาศมองเหยียดซึ่งไอวี่มองอย่างโกรธแค้นที่อีกฝ่ายมาว่ากระทบถึงมารดา

    “ขืนแกยังพูดถึงแม่ฉันในทางไม่ดีอีกได้โดนตบแน่ ทำไม? รอยตบครั้งที่แล้วมันหายไปจากใบหน้าก็เลยอยากให้ฉันซ้ำให้ใช่มั๊ย! มาสิฉันจะย้ำให้คราวนี้ไม่ใช่แค่รอยเดียวแน่แม่จะตบให้หน้าที่แกไปทำมาเป็นล้านเละจนหมอไม่แก้ให้เลยคอยดู!

    “กรี๊ดด! อินังนี่ อีเด็กไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!!

    “ก็ถ้าผู้ใหญ่มันน่าเคารพก็คงไม่มีใครเขาปีนเกลียวแบบนี้หรอก นี่แสดงว่าผู้ใหญ่มันก็ไม่น่ามีอะไรให้เกรงใจไง..ถ้าหากไม่ตบก็หลีกเกะกะ!

    “นี่!!

    “ทิม” ไอวี่เรียกบอดี้การ์ดให้เข้ามากันผกามาศออกไป เมื่อทิมกับการ์ดคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่ไอวี่ก็เดินเลี่ยงไปขึ้นรถ

    “ระวังตัวเอาไว้เถอะอิเด็กบ้า! ปากดีแบบนี้ไม่ช้านักหรอก!”

    “วันนี้ฉันไม่เข้าเรียน” ไอวี่ไม่ได้ฟังเสียงที่ไล่หลังหันไปสั่งทิมที่ขับรถอยู่ก่อนจะมองวิวข้างทางอย่างเหม่อลอย

    “จะไปไหนครับคุณหนู”

    “ไปบ้านอุ่นไอรัก” จบคำสั่งทิมก็จัดการขับรถไปยังจุดหมายทันที

    ทิมขับรถพาคุณหนูของตนมาที่บ้านใหญ่หลังหนึ่งแถวๆ ชานเมืองติดทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก

    บ้านหลังนี้ชื่อว่า บ้านอุ่นไอรัก ตัวบ้านใหญ่โตมีด้วยกันสองชั้น บริเวณรอบด้านกว้างขวางมีพื้นที่ใช้งานเกือบร้อยไร่ ด้านหลังจะเป็นสวนต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบปี ด้านหน้าเป็นสวนสนามหญ้ายาวไปจนถึงชายหาดจึงทำให้บรรยากาศโดยรอบมีความรู้สึกผ่อนคลาย ทิมจัดการเปิดประตูรถให้คุณหนูของตน

    “รอแถวๆ นี้ล่ะไม่ต้องเข้าไป” ไอวี่หันไปสั่งเพราะไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนเธอกับน้องชาย

    “ไม่ได้ครับผมจะต้องอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา”  

    “มันจะอะไรนักหนา นี่มันบ้านน้องชายฉันนะ”

    “ผมต้องทำตามหน้าที่ครับ”

    “งั้นให้ริต้าไปกับฉัน” ทิมโค้งรับคำสั่ง เพราะริต้าเป็นบอดี้การ์ดหญิงที่มีฝีมือและอยู่ข้างกายคุณหนูคนนี้มานานทิมจึงไว้ใจในระดับหนึ่ง

    ลับหลังร่างระหงทิมกดโทรศัพท์รายงานผู้เป็นนายอย่างเร่งรีบ บอดี้การ์ดทุกคนมีกฎอยู่กฎนั้นก็คือทุกสิ่งรอบตัวคุณหนูไอวี่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามคุณคิวต้องรู้ทุกเรื่อง ทิมจึงต้องรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับคุณหนูของตนให้คุณคิวทราบว่าเธอไม่ได้ไปเรียนและเป็นเพราะสาเหตุใด

    “ครับ อยู่บ้านคุณหนูไออุ่นครับ” ทิมจัดการรายงานผู้เป็นนาย ปลายสายไม่ได้สั่งอะไรมากมายนอกจากให้จับตาดูให้ดี

    คิววางสายจากคนสนิทก่อนจะมองภาพด้านหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ร่างกายที่แสนสะบักสะบอมเลือดท่วมตัวล้มกองอยู่ตรงหน้าก่อนจะเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตยกเหตุผลของการมีชีวิตให้ฟังคล้ายจะให้คิวใจอ่อน ทว่านอกจากคิวจะไม่ใจอ่อนยังคิดว่ามันช่างน่ารำคาญสิ้นดี

    “สิงห์” พอเปรยเรียกคนสนิทลูกน้องก็เข้าใจเป็นอย่างดี สั่งลูกน้องต่ออีกทอดให้ลากขยะออกไปให้ไกลหูไกลตาเจ้านายของตน

    “จัดการเรื่องบัญชีทั้งหมด คัดรายชื่อคนโกงแล้วเอามาให้ฉันภายใน 20 นาที” เมืองสิงห์รับคำก่อนจะไปทำตามคำสั่ง

    ระหว่างรอคิวหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วพ่นควันสีขาวออกมา แล้วเอนหลังแนบพนักพิงเก้าอี้ มือล้วงหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดมองภาพภาพหนึ่ง ภายในภาพนั้นคือภาพบุคคลหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่ด้วย ถึงจะรู้ว่าเสี่ยงรู้ว่าอันตรายแต่ก็ไม่วายจะเก็บเอาไว้ในที่ที่สามารภเห็นได้ง่าย แต่เพราะรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านวลสวยทำให้คิวรู้สึกมีกำลังใจมีพลังที่จะใช้ชีวิตและเดินไปตามเป้าหมายได้โดยไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน

    เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปได้อย่างมหัศจรรย์

     

    ผ่านไปยี่สิบนาทีเมืองสิงห์ก็เดินถือแฟ้มจำนวนหนึ่งเข้ามาในห้องก่อนจะยื่นให้เจ้านายที่นั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ทำงานจากนั้นก็เดินมารอคำสั่งอยู่ด้านข้างห่างออกมาเล็กน้อย เมืองสิงห์มองผู้เป็นนายหยิบจับแฟ้มบัญชีของคาสิโนกับบัญชีของคนโกงสลับกันไปมาแล้วขมวดคิ้วเคร่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ใช้สายตาอันคมกริบมองมาที่เขา

    “เดี๋ยวผมจะให้คนไปพาตัวพวกมันมาครับ”

    เมืองสิงห์กล่าวอย่างรู้ใจจึงให้ลูกน้องคนอื่นไปพาตัวบุคคลที่อยู่ในรายชื่อมารวมตัวที่คาสิโนได้ทั้งหมด และเมื่อนายใหญ่ของคาสิโนอย่างคุณคิวก้าวเท้าเข้ามาด้านในเหล่าผู้ที่กระทำความผิดก็เริ่มอยู่ไม่สุข

    เมืองสิงห์มองเหล่าผู้ที่กล้าเข้ามาป่วนคาสิโนในเขตพื้นที่ดูแลของตระกูลหงส์ฤดีเกียร์ติกุลด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่ภายในใจก็แปลกใจไม่น้อยที่ยังมีพวกไร้สมองกล้าเข้ามาทำเรื่องต้องห้ามภายในคาสิโน

    ใครๆ ก็รู้ดีว่าที่นี่เป็นที่เลื่องลือในหลายๆ ด้าน หนึ่งในคำเลื่องลือนั้นก็คือกฎกติกาภายในคาสิโนที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด กฎกติกาที่ว่านั้นมีหลายข้อแต่ข้อที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ห้ามโกง ดังนั้นคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเล่นตุกติกใช้เล่ห์กลโกงเพราะถ้ามีคนคิดดีลองก็จะต้องถูกลงโทษตามแบบข้อตกลงที่ได้เซ็นสัญญาก่อนเข้าเล่น

    ไม่เคยมีใครรู้ว่าบทลงโทษคนที่ทำผิดกฎในคาสิโนนั้นเป็นอย่างไร

    เพราะไม่เคยมีใครรอดออกมาเล่าเลยแม้แต่คนเดียว..

    ผ่านไปสองชั่วโมงเมืองสิงห์ยื่นผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้กับเจ้านายของตนได้เช็ดทำความสะอาดคราบเลือดตามนิ้วมือ เพราะหลังจากเจ้านายจัดการกับคนที่กล้าทำผิดกฎโดยการซ้อมจนเกือบปางตายก็สั่งให้เหล่าลูกน้องหิ้วไปยังชั้นใต้ดินที่มีเอาไว้เพื่อดัดนิสัยคนพวกนี้ เมืองสิงห์เปลี่ยนเอาผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดกลับมาก่อนจะยื่นผ้าแห้งผืนใหม่ให้อีกครั้ง

    “นายจะเข้าบริษัทเลยรึเปล่าครับ”

    เมืองสิงห์ถาม และเมื่อเห็นว่าเจ้านายพยักหน้าจึงสั่งให้ลูกน้องในทีมไปจัดเตรียมความเรียบร้อย

    เมืองสิงห์จัดเตรียมรถและชุดให้เจ้านายใหม่ เพราะเปลี่ยนหน้าที่ฉากบังหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย เมื่อเจ้านายเปลี่ยนชุดและขึ้นรถแล้วเมืองสิงห์ก็ประจำตำแหน่งพลขับให้อย่างอัตโนมัติ พอมาถึงบริษัทเมืองสิงห์เปิดประตูรถให้เจ้านายและให้การ์ดจำนวนหนึ่งประกบเจ้านายเดินเข้าไปด้านในอย่างรู้หน้าที่ จึงทำให้เป็นที่สนใจแก่เหลาพนักงานพอสมควร

    สายตาของพนักงานต่างมองด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เคารพนับถือบ้างก็ซุบซิบนินทาบ้างก็เพ้อฝันในเรื่องต่างๆ นาๆ แต่ก็ไม่มีใครที่คิดดูถูกเลยสักคน อาจเพราะรองประธานบริษัทคนนี้เป็นคนที่มีบรรยากาศรอบกายที่น่าเกรงขามน่านับถืออีกทั้งความรู้ความสามารถก็มากกว่าอายุจึงทำให้ผู้คนเคารพและให้ความยำเกรงกันเป็นอย่างมาก 

    คิวไม่ได้สนใจกับสิ่งอื่นๆ มากนัก เดินรับคำทักทายของทุกคน ก่อนจะเดินเข้าห้องประธานไป

    ห้องประธานบริษัทถูกแบ่งออกเป็นสามโซน โซนแรกเป็นโต๊ะทำงานของประธานเจ้าของบริษัทที่แท้จริง โซนที่สองเป็นโต๊ะที่ใหญ่พอๆ กันซึ่งเป็นที่นั่งของรองประธานนั่นก็คือคิว โซนที่สามจะเป็นพื้นที่โซฟารับแขก อีกทั้งตรงกำแพงมีประตูเชื่อมไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่งด้วย

    คิวนั่งประจำที่ก่อนจะหยิบแฟ้มงานที่เลขาวางเรียงเอาไว้ขึ้นมาดู สายตากวาดดูรายละเอียดและปัญหาของแต่ละแฟ้ม และเมื่ออ่านจบคิวสั่งเมืองสิงห์ให้เรียกเลขาและหัวหน้าแผนกทุกฝ่ายให้เข้าพบเป็นการส่วนตัวในทันที

    โครงสร้างของบริษัทของ IV Diamon and Jewelry ลำดับสำคัญคือประธาน > รองประธาน > เลขา > หัวหน้าแผนก > พนักงาน ถึงลำดับจะเป็นแบบนั้นแต่เหล่าพนักงานต่างรู้ดีว่าผู้ที่เป็นใหญ่และมีสิทธิ์ขาดในการบริหารงานคือรองประธานอย่างคุณคิวกรณ์ ที่มีความรู้ความสามารถนำพาสินค้าและบริษัทเข้าสู่ตลาดโลกจึงเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจด้านเพชรพลอยอย่างกว้างขวาง รูปร่างหน้าตาและความสามารถดีไปเสียหมดแต่ติดอยู่ตรงที่การบริหารงานออกจะแปลกไปเสียหน่อยโดยเฉพาะการพูดคุยกับเหล่าพนักงาน

    โดยปรกติคุณคิวกรณ์จะเข้าบริษัทอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งจะมีการประชุมหัวหน้าแผนกเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานโดยใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงจะพอหรือกับการประชุม แต่พนักงานก็คงตอบได้ในทันทีว่าหนึ่งชั่วโมงก็มากเกินพอที่จะอยู่ภายใต้ความกดดันของนักธุรกิจหนุ่มรุ่นเยาว์อย่างคุณคิวกรณ์

    และเนื่องจากเวลาที่มีจำกัดเหล่าพนักงานจึงต้องเตรียมข้อมูลกันอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนถูกตำหนิจากรองประธานหนุ่มได้ ดังนั้นเมื่อรองประธานมีคำสั่งหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายเข้าพบจึงเร่งกันหยิบแฟ้มและเอกสารที่เตรียมเอาไว้เข้าพบกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องเสียเวลาเตรียมการ

    “ปัญหามันคืออะไร?” คิวข้ามการทักทายแล้วเข้าประเด็นเลย เขาได้อ่านปัญหามาผ่านๆ แล้วแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะต้องรอฟังรายละเอียดลงลึกจากแต่ละคนก่อน

    เหล่าหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายก็เริ่มรู้สึกเหงื่อตก ถึงแม้จะพบเจอรองประธานบ่อยแต่ก็ไม่ชินกันเสียที ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นก็มีใครบางคนเป็นฝ่ายยกมือขอเริ่มรายงานก่อน

    “ผมธิรัตน์จากฝ่ายครีเอทีฟดีไซน์ ปัญหาของแผนกคือภาพร่างแบบและคอนเซ็ปต์ของคอเลคชั่นล่าสุดโดนขโมยไป ไม่แน่ใจว่าทางโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์หรือทางบุคคล ผมจึงให้ทีมรักษาความปลอดภัยทางด้านข้อมูลตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าข้อมูลคอแล็คชั่นล่าสุดส่วนหนึ่งถูกส่งไปให้บริษัทคู่แข่ง ส่วนข้อมูลอื่นๆ ถูกป้องกันด้วยรหัสจึงไม่สามารถเอาไปได้ และตอนนี้ผมก็กำลังตามหาคนกระทำผิดอยู่แต่ยังตามไม่ได้ครับ”

    เป็นฝ่ายครีเอทที่เสนอปัญหาของตนเองก่อน ยิ่งรองประธานไม่พูดสิ่งใดแต่บรรยากาศรอบๆ นั้นเริ่มกดดันทำให้ธิรัตน์ที่เป็นหัวหน้าแผนกเหงื่อผุดซึมเต็มกรอบหน้า

    คิวรู้สึกว่าคิ้วตัวเองเริ่มกระตุกขึ้นมาในระดับหนึ่งก่อนจะยกมือให้ละปัญหานี้ไปฟังปัญหาต่อไปก่อนเพราะเดี๋ยวเขาจะสรุปในทีเดียว

    “ผมธนกรจากฝ่ายมาเก็ตติ้งดูแลเรื่องบัญชีและการตลาด ปัญหาที่พบคือตัวเลขงบประมาณปิดไม่สมดุลกันครับ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ผมกำลังตรวจสอบว่าปัญหามาจากแผนกไหน” ธนกรเงียบไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อโดยที่ครั้งนี้จะพูดเสียงเบากว่าตอนแรกมากนัก

    “มีอีกเรื่องครับ เอ่อ..ช่วงนี้คุณไออุ่นเบิกเงินในส่วนของตัวเองออกไปหลายครั้ง..”

    ดวงตาของคิวเริ่มเข้มขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าบุคคลนี้เขาแตะต้องไม่ได้เท่าไรนักเพราะอย่างไรเสียประธานของบริษัทนี้ก็คือไอวี่และไออุ่น ทว่าคิวแน่ใจว่าไออุ่นไม่ได้เป็นคนเบิกเงินออกมาใช้เองอย่างแน่นอน น่าจะมีเบื้องหลังที่มากกว่านี้ คิวพยักหน้าเข้าใจในปัญหาก่อนจะโบกมือให้คนต่อไปรายงานต่อในทันที

    “ผมเชษฐ์จากแผนกรักษาความปลอดภัยครับ คือช่วงนี้บริษัทเจอเรื่องแปลกๆ เยอะครับนาย อย่างเช่นรถของพนักงานโดนใครบางคนแปะกระดาษที่มีแต่คำขู่ไม่ก็ถูกปล่อยยางลมรถครับ ทางทีมงานตรวจดูจากกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าเป็นพนักงานของร้านส่งอาหารเดลิเวอรี่ แต่พอผมส่งคนไปตรวจสอบทางร้านบอกว่าไม่มีพนักงานสองคนนี้เลยครับ”

    เชษฐ์ยื่นภาพให้รองประธานดูเมืองสิงห์จึงเป็นฝ่ายไปรับมาให้คิว

    คิ้วของคิวเริ่มกระตุกอีกครั้ง การกระทำอย่างนี้มันคล้ายกับคนในโลกมืดทำ แต่ก็พอเข้าใจในจุดประสงค์หลักของคนร้ายบ้างแล้ว

    “ยังมีอีก?” คิวมองคนอีกสองแผนกที่ทำท่าจะพูด “ว่ามา”

    “ดิฉันวิราภาจากฝ่ายบุคคลค่ะ คือดิฉันตรวจสอบพนักงานแต่ละคนแล้วพบว่ามีคนจากฝ่ายผลิตลาออกไปสามคน ซึ่งตอนนั้นดิฉันตรวจสอบแล้วว่าสาเหตุที่ออกคือปัญหาส่วนตัวจึงได้ยื่นเรื่องให้ท่านรองประธานอนุมัติจึงไม่ติดใจสงสัย แต่ล่าสุดดิฉันเห็นว่าพวกเขาโพสต์ภาพตัวเองในบริษัทใหม่ที่เป็นบริษัทคู่แข่งของเราค่ะ”

    เมื่อแต่ละคนแจ้งปัญหาให้กับคิวได้ฟังกันจนครบแล้ว คิวจึงหันไปถามคุณวรรณีกับคุณทิวาที่เป็นเลขา “จดทันรึเปล่า”

    “ทันค่ะคุณคิวกรณ์ เดี๋ยวดิฉันจะพิมพ์และปริ้นท์ข้อมูลและปัญหาของแต่ละแผนกให้นะคะ” เป็นวรรณีที่ตอบขึ้นมาส่วนคุณทิวาจะประสานงานในส่วนอื่นๆ แทนเธอจะได้สะดวกและรวดเร็วต่อการทำงาน

    ในความคิดวรรณีคุณคิวกรณ์ถือว่าอายุน้อยกว่าผู้บริหารคนอื่นๆ ถึงรอบตัวจะดูเย็นชาเข้าถึงยากแต่เพราะบุคลิกที่แตกต่างจึงทำให้โดดเด่น

    วรรณีไม่เคยดูถูกว่ารองประธานอายุน้อยคนนี้จะบริหารงานในบริษัทใหญ่โตนี้ไม่ได้เพราะผลงานที่ผ่านมาก็ตอกย้ำให้ได้เห็น ถึงคราวนี้จะพบปัญหามากมายแต่เธอเชื่อว่ารองประธานหนุ่มคนนี้จะแก้ไขมันได้ เพราะใช่ว่าจะเคยมีปัญหาแบบนี้ครั้งแรกเสียเมื่อไร และแน่นอนว่าปัญหาต่างๆ ถูกแก้ไขได้ในเวลาไม่ถึงสามวัน  

    วรรณีจัดการเอกสารที่ต้องทำภายในสามสิบนาที หลังจากที่พิมพ์และปริ้นท์เสร็จเธอก็ตรวจสอบรายละเอียดอีกรอบ เมื่อไม่พบข้อผิดพลาดเธอจึงเข้าพบรองประธานในทันที

    คิวได้รับเอกสารสรุปการประชุมแบบไม่เป็นทางการจากเลขาก็คิดวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อคิวเริ่มใช้ความคิดบรรยากาศรอบด้านจึงเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม เงียบเสียจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศและลมหายใจของบอดี้การ์ดคนสนิท

    ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีเมืองสิงห์ออกมาจากห้องท่านประธานตรงไปที่โต๊ะของเลขา เมืองสิงห์แจ้งให้คุณวรรณีตามหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายเข้าพบเจ้านายอีกครั้งแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ข้างกายเจ้านายต่อ

    เวลาผ่านไปเพียงแค่ห้านาทีทุกคนก็รวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกับว่าเตรียมตัวที่จะเข้าไปฟังความเห็นของรองประธานอยู่ก่อนแล้ว

    เมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมกันเมืองสิงห์จัดการแจกกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือของเจ้านายส่งไปให้แต่ละคน เมื่อทุกคนได้กระดาษของตนเองก็เริ่มอ่านเนื้อความในทันที

    สิ่งที่เขียนมาจะมีหนทางแก้ปัญหาและวิธีการรับมือ ซึ่งรองประธานอย่างคิวกรณ์ก็ไม่ได้ป้อนข้อมูลให้อย่างเดียวแต่เขียนคำแนะนำและให้แต่ละฝ่ายได้คิดเองเสียด้วยซ้ำ ทุกคนอ่านแล้วล้วนเห็นด้วยและยอมรับในมาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

    “มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้เลย แต่ถ้าตอนนี้ไม่มีแล้วตอนปฏิบัติมีปัญหาเพิ่มก็ส่งเรื่องมาทางเลขาของผมแล้วผมจะเข้ามาตรวจสอบอีกที”

    หลังจากที่คิวพูดจบทุกคนก็รับทราบกันถ้วนหน้าแล้วทยอยออกไป คิวสั่งกาแฟผ่านอินเตอร์คอมบนโต๊ะ เพียงไม่นานคุณทิวาเลขาอีกคนก็นำกาแฟพร้อมกับงานอีกหนึ่งส่วนมาวางไว้ให้แล้วออกไปโดยไม่อยู่รบกวน

    คิวเอนหลังพิงเก้าอี้พักสายตาเพียงครู่หนึ่ง ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คิวต้องกังวลแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็คืออีกด้านมากกว่า

    เพราะเขาได้ยินว่าวันนี้มีคนของบ้านใหญ่ไปที่เรือนแก้ว..

    ถ้าเกิดการปะทะคารมกันเมื่อไร เขารู้ได้ในทันทีว่าจะต้องมีคนไม่พอใจ หรือเอาแต่ใจทำอะไรโดยที่ไม่คิดแน่นอน

    “ทางโน้นเป็นไง” คิวถามเมืองสิงห์ก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม

    “ทิมบอกว่าคุณหนูยังอยู่กับคุณไออุ่นครับ” เมืองสิงห์รายงาน

    ไม่ได้เหนือจากสิ่งที่คิดเอาไว้เท่าไร เกิดเรื่องที่กระทบต่อจิตใจคุณหนูของเรือนแก้วก็มักจะไปที่แห่งนั้น

    “คุณหนูยังบอกอีกว่าจะไม่กลับและจะรอให้คุณไปรับครับ”

    “อืม” คิวตอบรับพลางโบกมือให้อีกฝ่ายออกไป อาจจะเป็นความเหนื่อยอ่อนหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ภาพในความทรงจำฉายชัดขึ้นมาเขาจึงต้องการเวลาส่วนตัวเป็นอย่างมากในตอนนี้

    น้องสวยไหม

    สวยครับ น่ารักน่าเอ็นดู

    สัญญากับพ่อสิว่าจะดูแลน้องแทนพ่อ ถ้าพ่อไม่อยู่หรือเป็นอะไรไปคิรัวร์ต้องดูแลน้องให้ดีนะ

    ครับผมสัญญาผมจะดูแลและปกป้องน้องเองครับ

    ในภาพความคิดเสียงเด็กผู้ชายตอบรับอย่างหนักแน่น แน่นอนว่าเป็นคิวในวัยเด็ก และด้วยความที่มีเลือดที่สืบทอดมาจากบิดาผู้ให้กำเนิดเขาจึงมีความกล้าหาญเข้มแข็งและความอดทนต่อทุกสิ่ง และอาจจะมากจนเกินไปจนทำให้เป็นคนเย็นชาและมีนิสัยเหมือนกับทุกวันนี้

    แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าคิวยังมีหัวใจอยู่ก็คงจะเป็นรอยยิ้มของเด็ก ผู้หญิงในความทรงจำ หรือรอยยิ้มของหญิงสาวในรูปถ่ายที่อยู่ในกระเป๋าของตนเองที่ยังคงตอกย้ำคำสัญญาที่ให้ต่อบิดาไม่จางหายไป

    คำที่ว่า เขาจะปกป้องไม่ว่าจะยังไงก็ตามนั้นยังมีผลอยู่ และเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คิวยังคิดจะมีชีวิตอยู่ก็คือ..น้องสาวของเขา

    รถสปอร์ตสีดำจอดเทียบลานฟุตบาทหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ห่างจากตัวเมืองไม่มากก่อนจะตามมาด้วยรถเก๋งสีดำอีกสามจอดต่อเรียงกัน บุรุษชุดดำนับสิบรีบเข้ามาอารักขาเจ้าของรถสปอร์ตคันงามทันที

    ประตูบ้านถูกเปิดด้วยคนสนิทอีกคนของคิว เป็นทิมที่เดินออกมาต้อนรับเจ้านายของตนอย่างรู้หน้าที่ พอเจ้านายก้าวลงมาจากรถ ทิมกับเมืองสิงห์ก็ยืนเทียบคู่กันอย่างปรกติ

    “คุณหนูมาที่นี่แต่เช้าจากนั้นก็เข้าไปด้านในอยู่กับคุณไออุ่นทั้งวันครับ ข้าวเที่ยงก็รับน้อยกว่าปกติ คุณไออุ่นก็พยายามจะพูดบอกแล้วครับ แต่คุณหนูก็ไม่ยอมทาน”

    ทิมรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เข้าช่วงบ่ายแล้วว่าคุณหนูเธอทำอะไรบ้าง หากมีเวลามากกว่านี้คงจะรายงานแล้วว่าขยับไปตรงส่วนไหนเดินกี่ก้าวแล้วกระพริบตากี่ครั้ง

    “ตอนนี้อยู่ไหน” คิวถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนจะยื่นให้เมืองสิงห์

    “คุณหนูอยู่ในสวนตรงหน้าชายหาดครับ ส่วนคุณไออุ่นอบคุกกี้ให้คุณหนูในครัวครับ”

    เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาตามหญิงสาวแบบนี้ คิวจึงรู้ในทันทีว่าคุณหนูเรือนแก้วจะไปอยู่ส่วนไหนของบ้านอุ่นไอรัก มันจะมีเพียงที่เดียวที่อีกฝ่ายชอบไปนั่งใช้ความคิดหรือต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียว

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยทะเลและสวนดอกไม้นานาพันธุ์และต้นไม้ใหญ่ที่เขียวขจี ท่ามกลางสิ่งสวยงามก็ยังมีใครบางคนนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้นอนตัวยาว เหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่จับจ้องสิ่งใดจริงจังนัก

    ไอวี่รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเข้ามาขัดขวางความเงียบที่เธอสร้าง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นคนที่ทิ้งเธอเอาไว้เมื่อเช้านี้ “นายเองเหรอ”

    “ทำไมไม่ไปเรียน”

    “นึกว่าจะรู้เรื่องหมดแล้วซะอีก”

    คิวมองร่างหญิงสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาด เขาไม่ได้ตอบแต่กลับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อีกตัวแทน

    “ถ้าจะด่าหรือทำโทษเอาไว้ทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ฟัง”

    เสียงที่แผ่วเบาทำเอาร่างสูงอยากจะถอนหายใจก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้องยกเครื่องดื่มและของว่างมา

    “ไออุ่นล่ะ” ไอวี่ถามเพราะไม่เห็นน้องชายของตนตั้งแต่บ่ายแล้ว

    “อยู่ในครัว”

    ไอวี่นิ่งคิดและไม่แปลกใจสักนิดที่น้องชายของเธออยู่ในครัวก่อนจะหันไปหาคิว

    “..นี่ขอยืมมือนายหน่อยสิ”

    คิวก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการยื่นมือไปตรงหน้า ไอวี่ที่ไม่คิดว่าคิวจะฟังเธอง่ายๆ ก็จับมือแกร่งเอาไว้โดยไม่พูดอะไรอีก

    เธอแค่อยากจับมือเขาเพียงเท่านั้น มันอาจจะดูไร้สาระแต่สำหรับเธอนั้นมันคือสิ่งยืนยันว่าเธอยังมีเขาอยู่ข้างๆ

    “นายว่าพ่อแม่ของฉันเป็นคนยังไง”  

    “ไม่รู้” แน่นอนว่ามันไม่ได้ไร้น้ำใจหรือไร้เยื่อใย เพราะคิวก็พอจะรู้เรื่องต่างๆ ของตระกูลหงส์ฤดีเกียร์ติกุลมาบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะเขาเพิ่งมาทำงานให้ครอบครัวนี้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นแต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องเพราะเขาจะผิดสังเกตได้

    “นั่นสินายจะรู้ได้ยังไงล่ะ” คำพูดไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทำให้ไอวี่ลืมตามองผู้ชายที่นั่งข้างๆ มองมือหนาที่เธอจับอยู่อยู่โดยไม่พูดอะไร

    “จริงหรือเปล่าที่ทิมบอกว่าเธอไม่กินข้าว”

    ไอวี่หันไปมองทิมที่ถือถาดอาหารว่างอย่างแซนวิชกับน้ำชาอยู่ เธอรู้ว่าทุกสิ่งที่เธอทำทิมจะต้องรายงานคิวทั้งหมดอยู่แล้วแน่นอน

    นี่เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของทุกคนโดยแท้จริง เพราะทุกคนฟังคำสั่งคิวมากกว่าเธอเสียอีก

    “ขี้ฟ้องกันจริงๆ” ไอวี่ผละมือออกจากมือหนา เธอลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้ว่าจะต้องกินไอ้สิ่งที่ทิมถือมา

    ไอวี่รับของที่ทิมนำมาให้และกินไปโดยไม่อิดออด ไอวี่จะไม่กินของพวกนี้ก็ได้จะดื้อดึงเอาแต่ใจก็ได้แต่เธอก็ไม่ได้ทำ อาจเพราะสายตาคมนั้นจ้องมองอยู่เธอจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ใช่..เธอบอกแล้วว่าเธอไม่มีวันชนะคิวได้ มันเป็นจุดอ่อนของเธอที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี

    “แล้วงานที่มีปัญหาจัดการเสร็จแล้วเหรอ”

    ไอวี่ถามถึงเรื่องที่คิวออกไปจัดการเมื่อเช้านี้ เธอไม่คิดห่วงปัญหาพวกนั้นเพราะไว้ใจให้คิวเป็นคนจัดการแทน

    ไอวี่เคยคิดว่าถ้าไม่มีคิวแล้วต้องบริหารบริษัทเองคงจะเจ๊งไปตั้งแต่วันแรกแล้วก็ได้ มันไม่แปลกที่เด็กมหาลัยอย่างเธอจะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือคิวเองต่างหาก

    เธออยากจะรู้เสียจริงว่าคิวไปเอาความรู้หลักการบริหารมาจากที่ไหนถึงได้บริหารงานได้ดีมีประสิทธิภาพแบบนี้

    “อืมเสร็จหมดแล้ว” คิวตอบพลางขยับนิ้วเรียกเมืองสิงห์ให้เอาของที่ถืออยู่มาให้ สิ่งที่ถืออยู่คือซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อน คิวรับมาแล้วยื่นให้กับไอวี่อีกที

    ไอวี่รับซองเอกสารมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจเพราะหากเป็นเรื่องงานเธอไม่เคยจะต้องจัดการหรือตัดสินใจเองเพราะคิวมักจะจัดการแทนเ

    “อะไรเหรอ” ไอวี่ถามคิวแต่อีกฝ่ายไม่ตอบจึงรับมาถือเอาไว้โดยยังไม่เปิดดู

    “เรื่องที่คุณหนูให้โลเซ่กับลูซี่ไปสืบไงครับ” เมืองสิงห์เป็นคนไขข้อข้องใจให้ ซึ่งไอวี่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งเงียบไป

    “นายรู้เหรอ” ไอวี่รู้สึกหวั่นใจเพราะคิวเคยบอกเอาไว้แล้วว่าอย่ายุ่งกับคนรอบๆ ตัวเขา แต่ไอวี่ยังดื้อรั้นใช้ให้คนไปตามสืบจนได้

    “แค่ข้อมูลคงไม่เป็นไรแต่อย่ามากกว่านั้น”  

    ไอวี่ยิ้มเล็กน้อย ภายในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายตีรวนไปหมด รู้สึกดีที่คิวไม่โกรธที่เธอขัดคำสั่ง รู้สึกอิจฉาที่คิวปกป้องผู้หญิงคนนั้น รู้สึกหน่วงในอกที่เขาไม่คิดอะไรเกินเลยไปกว่าเจ้านายลูกน้อง

    ไอวี่คิดว่าคิวรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงแต่อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ตอบรับความรู้สึกเธอก็เท่านั้น

    “ทำไมนายทำตาบอดอยู่ได้ ไม่รู้เหรอว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”

    คิวเงียบพลันโบกมือให้ลูกน้องถอยออกไปเพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัว

    “กฎข้อที่สามของคนที่ต้องดูแลเธอคือห้ามมีความคิดเกินเลยกว่าเจ้านายลูกน้อง ถ้าผิดกฎเมื่อไรทุกอย่างจะเป็นโมฆะฉันต้องยกหน้าที่นี้ให้กับคนอื่นแทน เธอแน่ใจหรือเปล่าที่จะให้ฉันทำแบบนั้น?”

    ไอวี่เงียบไปเมื่อได้ยินที่คิวพูด เธอรู้เรื่องกฎสำหรับบอดี้การ์ดดี แต่เธอไม่คิดว่ากฎข้อนี้จะเป็นปัญหากับเธอเข้าสักวัน

    ความจริงเธอยอมรับโดยไม่เต็มใจกับการขีดเส้นแบ่งระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่คิวปฏิบัติกับเธอ คิวไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชอบหรือมองเธอในแง่หญิงสาวเลยแม้แต่น้อยกลับกันเขาคอยกันเธอออกห่างจากพื้นที่ส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ

    ไอวี่ยอมรับว่าเธอชอบคิวอยู่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นเธอจึงยอมและไม่ก้าวข้ามเส้นแบ่งที่เขาสร้างก็เพราะไม่อยากสูญเสียอีกฝ่ายไป แน่นอนว่าเขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันเธอจึงได้แต่คอยตามหึงหวงอยู่ห่างๆ อย่างไม่มีสิทธิ์อยู่อย่างทุกวันนี้

    อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่สามารถจับต้องหรือครอบครองได้..ทรมานจริงๆ

    หลังจากนั้นทุกสิ่งก็หยุดนิ่งอยู่ที่ประโยคของคิว ไอวี่นั่งจับมือคิวอยู่แบบนั้นจนผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง และเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเธอกลับมาเป็นปรกติคิวจึงบอกให้เธอกลับบ้าน ไอวี่เข้าไปคุยกับน้องชายของตนเองอีกเล็กน้อยจนไออุ่นเองก็เดินมาส่งไอวี่กับคิวที่รถด้วย

    “ฝากดูแลด้วยนะครับ” ไออุ่นที่กอดเอวพี่สาวแล้วพูดกับคิวที่ยืนห่างไปไม่ไกล เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดหนุ่มโค้งรับคำจึงหันไปพูดกับพี่สาวของตัวเอง “พี่ก็อย่าทำให้คุณคิวกับทุกคนลำบากอีกนะครับ”

    “ลำบากอะไรก็แค่มาหาน้องชายก็เท่านั้นเอง” ไอวี่ยิ้มออกมาก่อนจะกอดลาน้องชายเพียงคนเดียวก่อนจะกล่าวลากัน

    ไอวี่ก็ขึ้นรถที่มีทิมเป็นคนขับ เพราะเธอรู้ว่าถึงจะดื้อรั้นอยากกลับกับคิวก็ทำไม่ได้เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่เธอสามารถควบคุมเขาได้

    ขบวนรถของไอวี่เคลื่อนตัวออกจากตัวบ้านอุ่นไอรัก โดยมีรถเก๋งนำก่อนสองคันซึ่งเป็นรถของเหล่าบอดี้การ์ดส่วนตัวของไอวี่ ต่อมาก็รถของไอวี่เองที่มีทิมเป็นคนขับตามด้วยรถของคิวและรถของเมืองสิงห์กับบอดี้การ์ดส่วนหนึ่งขับเรียงตามกันมา เหตุการณ์ทุกอย่างดูราบรื่นดีทว่าในห้ากิโลเมตรก่อนเข้าตัวเมืองก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสียก่อน

    ปัง! ปัง! ปัง! เอี๊ยดด! 

     

    Talk

    พี่คิวคนที่ครบเครื่องในคนเดียว

    ป๊าดดด ตัวหนาบรรทัดสุดท้ายคืออะไร!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×