คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : EP [3] คนที่ทำให้หัวใจสงบ ✓
บรรยากาศด้านนอกเรือนแก้วช่างสดใสแตกต่างจากด้านในที่ช่างมาคุอึมครึมไปด้วยรังสีกดข่มที่เหล่าลูกน้องคิดว่ามันน่าอึดอัดและอยากจะไปให้พ้นๆ
จากตรงนี้แต่ติดที่ต้องทำหน้าที่จึงขยับไปไหนไม่ได้
ทิมที่ยืนอยู่ไม่ไกลแต่ลังเลที่จะเดินเข้าไปรายงานเกี่ยวกับปัญหาหลายๆ
อย่างของธุรกิจที่ร่างสูงจะต้องไปจัดการแทนคุณหนูเรือนแก้ว แต่เพราะขาที่ก้าวไม่ออกเพราะแรงกดดันจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
และสาหตุที่ทำให้คุณคิวหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องที่คุณหนูสั่งให้สองโรเซ่กับลูซี่ไปทำทั้งๆ
ที่ประกาศไว้แล้วว่าห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวแต่ก็ยังดื้อดึงจนได้ ฉะนั้นบรรยากาศขมุกขมัวนี้จึงตึงเครียดกดดันยิ่งกว่าวันอื่นๆ
และไม่มีใครสามารถทำให้เบาบางลงได้
“นายครับบริษัทและคาสิโนสาขาใหญ่เกิดปัญหาจะเข้าไปจัดการวันนี้เลยรึเปล่าครับพวกผมจะได้ไปเตรียมตัว”
เมืองสิงห์เป็นคนเข้ามารายงานแทนทิมที่ยืนเหงื่อตกอยู่
คิวหันไปมองคนสนิทแล้วพยักหน้า
เขาเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่เอาเรื่องหงุดหงิดใจมาทำให้งานเสีย ก่อนจะหันไปสั่งทิมให้ไปส่งไอวี่แทน
“จับตามองเธอให้ดี
มีอะไรแปลกๆ ให้รายงานฉันทันที”
“ครับ”
ทิมตอบรับอย่างสั้นๆ อย่างรู้หน้าที่ของตนเอง ในวันนี้เขาจะต้องตามรับส่งคุณหนูไอวี่
คอยจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา ส่วนเมืองสิงห์จะต้องตามผู้เป็นนายไปแทน
ผ่านไปห้านาทีหลังจากคิวและลูกน้องส่วนหนึ่งเดินออกไป
คุณหนูของเรือนแก้วก็ปรากฏตัว ทิมน้อมทำความเคารพคุณหนูของตนถึงแม้ว่าตนเองจะอายุมากกว่าก็ตาม
“ทำไมเหลือแค่นายล่ะ”
ไอวี่ถามบอดี้การ์ดหนุ่ม เพราะคำสั่งที่ไอวี่สั่งคิวเอาไว้คือต้องไปมหา’ลัยพร้อมกับคิวทุกวันแต่ว่าทำไมเช้านี้ไม่เห็นแม้แต่เงาคนที่เธอให้รอ
“คุณคิวไปจัดการปัญหาหลายๆ อย่างครับ ฉะนั้นวันนี้ผมกับคนอีกจำนวนหนึ่งจะคอยอารักขาคุณหนูครับ”
ไอวี่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบที่แสนขัดใจ
เธออยากจะอาละวาดให้ไอ้ท่อนไม้หน้านิ่งกลับมาแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะคิดได้ว่างานที่เขาไปจัดการก็คืองานของเธอที่เขารับผิดชอบแทน
“ไม่ต้องเตรียมข้าวเช้าฉันจะไปมหา’ลัยเลย”
ไอวี่เดินนำออกไปเหล่าบอดี้การ์ดจึงคอยจัดทีมป้องกันตั้งแต่ประตูบ้านไปยังรถประจำตัว
ทว่าคุณหนูเจ้าของเรือนแก้วยังไม่ทันได้ขึ้นรถก็มีใครบางคนมายืนขวางทางเสียก่อน คนๆ
นั้นคือคุณ ‘ผกามาศ’ เมียของคุณดนัยลูกชายคนโตของไอศวรรย์
ไอวี่กอดอกกรอกดวงตาไปมาเมื่อเห็นผกามาศพร้อมกับคนรับใช้อีกคนเดินเข้ามาหาเธอ
“ซวยจริงๆ”
“จะไปเรียนแล้วเหรอจ้ะหนูไอวี่”
ผกามาศพูดออกมาคล้ายจะไถ่ถามหลานสาวเหมือนกับคนปรกติแต่ทว่าใบหน้ากับท่าทางนั้นกลับไม่ใช่คนที่จะมาส่งหลานสาวไปมหา’ลัยเลยแม้แต่น้อย
ไอวี่แทบเบะปากให้แต่ดีหน่อยที่ควบคุมกล้ามเนื้อปากได้ทัน
“รู้แล้วก็หลีกทาง”
ไอวี่พูดโดยไม่สนว่าจะเป็นผู้ใหญ่หัวหงอกหรือหัวดำ เพราะไม่เคยเกรงกลัวและไว้หน้าใครก็ตามที่คิดร้ายกับเธอ
“นี่แค่เจ็ดโมงครึ่งเองนะหลานรักจะรีบไปตาย..เอ้ยจะรีบไหนกันล่ะจ้ะป้าเป็นห่วงว่าหลานจะยังไม่กินข้าวเช้าก็เลยเอาของเหลือมาให้”
ไอวี่เลิกคิ้วมองคนวอนโดนตบตั้งแต่เช้า
สายตาเธอมองผกามาศเป็นขยะมูลฝอย “อยากจะอ้วกหลีกทาง!”
“สันดานเหมือนกับแม่ไม่มีผิดไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่”
ผกามาศมองเหยียดซึ่งไอวี่มองอย่างโกรธแค้นที่อีกฝ่ายมาว่ากระทบถึงมารดา
“ขืนแกยังพูดถึงแม่ฉันในทางไม่ดีอีกได้โดนตบแน่
ทำไม? รอยตบครั้งที่แล้วมันหายไปจากใบหน้าก็เลยอยากให้ฉันซ้ำให้ใช่มั๊ย!
มาสิฉันจะย้ำให้คราวนี้ไม่ใช่แค่รอยเดียวแน่แม่จะตบให้หน้าที่แกไปทำมาเป็นล้านเละจนหมอไม่แก้ให้เลยคอยดู!”
“กรี๊ดด! อินังนี่ อีเด็กไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!!”
“ก็ถ้าผู้ใหญ่มันน่าเคารพก็คงไม่มีใครเขาปีนเกลียวแบบนี้หรอก
นี่แสดงว่าผู้ใหญ่มันก็ไม่น่ามีอะไรให้เกรงใจไง..ถ้าหากไม่ตบก็หลีกเกะกะ!”
“นี่!!”
“ทิม”
ไอวี่เรียกบอดี้การ์ดให้เข้ามากันผกามาศออกไป เมื่อทิมกับการ์ดคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่ไอวี่ก็เดินเลี่ยงไปขึ้นรถ
“ระวังตัวเอาไว้เถอะอิเด็กบ้า! ปากดีแบบนี้ไม่ช้านักหรอก!”
“วันนี้ฉันไม่เข้าเรียน”
ไอวี่ไม่ได้ฟังเสียงที่ไล่หลังหันไปสั่งทิมที่ขับรถอยู่ก่อนจะมองวิวข้างทางอย่างเหม่อลอย
“จะไปไหนครับคุณหนู”
“ไปบ้านอุ่นไอรัก”
จบคำสั่งทิมก็จัดการขับรถไปยังจุดหมายทันที
ทิมขับรถพาคุณหนูของตนมาที่บ้านใหญ่หลังหนึ่งแถวๆ
ชานเมืองติดทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก
บ้านหลังนี้ชื่อว่า
‘บ้านอุ่นไอรัก’ ตัวบ้านใหญ่โตมีด้วยกันสองชั้น
บริเวณรอบด้านกว้างขวางมีพื้นที่ใช้งานเกือบร้อยไร่
ด้านหลังจะเป็นสวนต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบปี ด้านหน้าเป็นสวนสนามหญ้ายาวไปจนถึงชายหาดจึงทำให้บรรยากาศโดยรอบมีความรู้สึกผ่อนคลาย
ทิมจัดการเปิดประตูรถให้คุณหนูของตน
“รอแถวๆ
นี้ล่ะไม่ต้องเข้าไป” ไอวี่หันไปสั่งเพราะไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนเธอกับน้องชาย
“ไม่ได้ครับผมจะต้องอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา”
“มันจะอะไรนักหนา
นี่มันบ้านน้องชายฉันนะ”
“ผมต้องทำตามหน้าที่ครับ”
“งั้นให้ริต้าไปกับฉัน”
ทิมโค้งรับคำสั่ง เพราะริต้าเป็นบอดี้การ์ดหญิงที่มีฝีมือและอยู่ข้างกายคุณหนูคนนี้มานานทิมจึงไว้ใจในระดับหนึ่ง
ลับหลังร่างระหงทิมกดโทรศัพท์รายงานผู้เป็นนายอย่างเร่งรีบ
บอดี้การ์ดทุกคนมีกฎอยู่กฎนั้นก็คือทุกสิ่งรอบตัวคุณหนูไอวี่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามคุณคิวต้องรู้ทุกเรื่อง
ทิมจึงต้องรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับคุณหนูของตนให้คุณคิวทราบว่าเธอไม่ได้ไปเรียนและเป็นเพราะสาเหตุใด
“ครับ
อยู่บ้านคุณหนูไออุ่นครับ” ทิมจัดการรายงานผู้เป็นนาย ปลายสายไม่ได้สั่งอะไรมากมายนอกจากให้จับตาดูให้ดี
ღ
คิววางสายจากคนสนิทก่อนจะมองภาพด้านหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
ร่างกายที่แสนสะบักสะบอมเลือดท่วมตัวล้มกองอยู่ตรงหน้าก่อนจะเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตยกเหตุผลของการมีชีวิตให้ฟังคล้ายจะให้คิวใจอ่อน
ทว่านอกจากคิวจะไม่ใจอ่อนยังคิดว่ามันช่างน่ารำคาญสิ้นดี
“สิงห์”
พอเปรยเรียกคนสนิทลูกน้องก็เข้าใจเป็นอย่างดี สั่งลูกน้องต่ออีกทอดให้ลากขยะออกไปให้ไกลหูไกลตาเจ้านายของตน
“จัดการเรื่องบัญชีทั้งหมด
คัดรายชื่อคนโกงแล้วเอามาให้ฉันภายใน 20 นาที” เมืองสิงห์รับคำก่อนจะไปทำตามคำสั่ง
ระหว่างรอคิวหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วพ่นควันสีขาวออกมา
แล้วเอนหลังแนบพนักพิงเก้าอี้ มือล้วงหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดมองภาพภาพหนึ่ง
ภายในภาพนั้นคือภาพบุคคลหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่ด้วย ถึงจะรู้ว่าเสี่ยงรู้ว่าอันตรายแต่ก็ไม่วายจะเก็บเอาไว้ในที่ที่สามารภเห็นได้ง่าย
แต่เพราะรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านวลสวยทำให้คิวรู้สึกมีกำลังใจมีพลังที่จะใช้ชีวิตและเดินไปตามเป้าหมายได้โดยไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปได้อย่างมหัศจรรย์
ผ่านไปยี่สิบนาทีเมืองสิงห์ก็เดินถือแฟ้มจำนวนหนึ่งเข้ามาในห้องก่อนจะยื่นให้เจ้านายที่นั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ทำงานจากนั้นก็เดินมารอคำสั่งอยู่ด้านข้างห่างออกมาเล็กน้อย
เมืองสิงห์มองผู้เป็นนายหยิบจับแฟ้มบัญชีของคาสิโนกับบัญชีของคนโกงสลับกันไปมาแล้วขมวดคิ้วเคร่งขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นก็ใช้สายตาอันคมกริบมองมาที่เขา
“เดี๋ยวผมจะให้คนไปพาตัวพวกมันมาครับ”
เมืองสิงห์กล่าวอย่างรู้ใจจึงให้ลูกน้องคนอื่นไปพาตัวบุคคลที่อยู่ในรายชื่อมารวมตัวที่คาสิโนได้ทั้งหมด
และเมื่อนายใหญ่ของคาสิโนอย่างคุณคิวก้าวเท้าเข้ามาด้านในเหล่าผู้ที่กระทำความผิดก็เริ่มอยู่ไม่สุข
เมืองสิงห์มองเหล่าผู้ที่กล้าเข้ามาป่วนคาสิโนในเขตพื้นที่ดูแลของตระกูลหงส์ฤดีเกียร์ติกุลด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่ภายในใจก็แปลกใจไม่น้อยที่ยังมีพวกไร้สมองกล้าเข้ามาทำเรื่องต้องห้ามภายในคาสิโน
ใครๆ
ก็รู้ดีว่าที่นี่เป็นที่เลื่องลือในหลายๆ ด้าน หนึ่งในคำเลื่องลือนั้นก็คือกฎกติกาภายในคาสิโนที่ห้ามละเมิดเด็ดขาด
กฎกติกาที่ว่านั้นมีหลายข้อแต่ข้อที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ‘ห้ามโกง’ ดังนั้นคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะเล่นตุกติกใช้เล่ห์กลโกงเพราะถ้ามีคนคิดดีลองก็จะต้องถูกลงโทษตามแบบข้อตกลงที่ได้เซ็นสัญญาก่อนเข้าเล่น
ไม่เคยมีใครรู้ว่าบทลงโทษคนที่ทำผิดกฎในคาสิโนนั้นเป็นอย่างไร
เพราะไม่เคยมีใครรอดออกมาเล่าเลยแม้แต่คนเดียว..
ผ่านไปสองชั่วโมงเมืองสิงห์ยื่นผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆ
ที่เตรียมเอาไว้ให้กับเจ้านายของตนได้เช็ดทำความสะอาดคราบเลือดตามนิ้วมือ เพราะหลังจากเจ้านายจัดการกับคนที่กล้าทำผิดกฎโดยการซ้อมจนเกือบปางตายก็สั่งให้เหล่าลูกน้องหิ้วไปยังชั้นใต้ดินที่มีเอาไว้เพื่อดัดนิสัยคนพวกนี้
เมืองสิงห์เปลี่ยนเอาผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดกลับมาก่อนจะยื่นผ้าแห้งผืนใหม่ให้อีกครั้ง
“นายจะเข้าบริษัทเลยรึเปล่าครับ”
เมืองสิงห์ถาม
และเมื่อเห็นว่าเจ้านายพยักหน้าจึงสั่งให้ลูกน้องในทีมไปจัดเตรียมความเรียบร้อย
เมืองสิงห์จัดเตรียมรถและชุดให้เจ้านายใหม่
เพราะเปลี่ยนหน้าที่ฉากบังหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย
เมื่อเจ้านายเปลี่ยนชุดและขึ้นรถแล้วเมืองสิงห์ก็ประจำตำแหน่งพลขับให้อย่างอัตโนมัติ
พอมาถึงบริษัทเมืองสิงห์เปิดประตูรถให้เจ้านายและให้การ์ดจำนวนหนึ่งประกบเจ้านายเดินเข้าไปด้านในอย่างรู้หน้าที่
จึงทำให้เป็นที่สนใจแก่เหลาพนักงานพอสมควร
สายตาของพนักงานต่างมองด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
บ้างก็เคารพนับถือบ้างก็ซุบซิบนินทาบ้างก็เพ้อฝันในเรื่องต่างๆ นาๆ แต่ก็ไม่มีใครที่คิดดูถูกเลยสักคน
อาจเพราะรองประธานบริษัทคนนี้เป็นคนที่มีบรรยากาศรอบกายที่น่าเกรงขามน่านับถืออีกทั้งความรู้ความสามารถก็มากกว่าอายุจึงทำให้ผู้คนเคารพและให้ความยำเกรงกันเป็นอย่างมาก
คิวไม่ได้สนใจกับสิ่งอื่นๆ
มากนัก เดินรับคำทักทายของทุกคน ก่อนจะเดินเข้าห้องประธานไป
ห้องประธานบริษัทถูกแบ่งออกเป็นสามโซน
โซนแรกเป็นโต๊ะทำงานของประธานเจ้าของบริษัทที่แท้จริง โซนที่สองเป็นโต๊ะที่ใหญ่พอๆ
กันซึ่งเป็นที่นั่งของรองประธานนั่นก็คือคิว โซนที่สามจะเป็นพื้นที่โซฟารับแขก อีกทั้งตรงกำแพงมีประตูเชื่อมไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่งด้วย
คิวนั่งประจำที่ก่อนจะหยิบแฟ้มงานที่เลขาวางเรียงเอาไว้ขึ้นมาดู
สายตากวาดดูรายละเอียดและปัญหาของแต่ละแฟ้ม และเมื่ออ่านจบคิวสั่งเมืองสิงห์ให้เรียกเลขาและหัวหน้าแผนกทุกฝ่ายให้เข้าพบเป็นการส่วนตัวในทันที
โครงสร้างของบริษัทของ IV
Diamon and Jewelry ลำดับสำคัญคือประธาน > รองประธาน
> เลขา > หัวหน้าแผนก >
พนักงาน ถึงลำดับจะเป็นแบบนั้นแต่เหล่าพนักงานต่างรู้ดีว่าผู้ที่เป็นใหญ่และมีสิทธิ์ขาดในการบริหารงานคือรองประธานอย่างคุณคิวกรณ์
ที่มีความรู้ความสามารถนำพาสินค้าและบริษัทเข้าสู่ตลาดโลกจึงเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจด้านเพชรพลอยอย่างกว้างขวาง
รูปร่างหน้าตาและความสามารถดีไปเสียหมดแต่ติดอยู่ตรงที่การบริหารงานออกจะแปลกไปเสียหน่อยโดยเฉพาะการพูดคุยกับเหล่าพนักงาน
โดยปรกติคุณคิวกรณ์จะเข้าบริษัทอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง
แต่ละครั้งจะมีการประชุมหัวหน้าแผนกเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานโดยใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงจะพอหรือกับการประชุม แต่พนักงานก็คงตอบได้ในทันทีว่าหนึ่งชั่วโมงก็มากเกินพอที่จะอยู่ภายใต้ความกดดันของนักธุรกิจหนุ่มรุ่นเยาว์อย่างคุณคิวกรณ์
และเนื่องจากเวลาที่มีจำกัดเหล่าพนักงานจึงต้องเตรียมข้อมูลกันอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนถูกตำหนิจากรองประธานหนุ่มได้
ดังนั้นเมื่อรองประธานมีคำสั่งหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายเข้าพบจึงเร่งกันหยิบแฟ้มและเอกสารที่เตรียมเอาไว้เข้าพบกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องเสียเวลาเตรียมการ
“ปัญหามันคืออะไร?”
คิวข้ามการทักทายแล้วเข้าประเด็นเลย เขาได้อ่านปัญหามาผ่านๆ
แล้วแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะต้องรอฟังรายละเอียดลงลึกจากแต่ละคนก่อน
เหล่าหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายก็เริ่มรู้สึกเหงื่อตก
ถึงแม้จะพบเจอรองประธานบ่อยแต่ก็ไม่ชินกันเสียที ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นก็มีใครบางคนเป็นฝ่ายยกมือขอเริ่มรายงานก่อน
“ผมธิรัตน์จากฝ่ายครีเอทีฟดีไซน์
ปัญหาของแผนกคือภาพร่างแบบและคอนเซ็ปต์ของคอเลคชั่นล่าสุดโดนขโมยไป
ไม่แน่ใจว่าทางโจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์หรือทางบุคคล ผมจึงให้ทีมรักษาความปลอดภัยทางด้านข้อมูลตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าข้อมูลคอแล็คชั่นล่าสุดส่วนหนึ่งถูกส่งไปให้บริษัทคู่แข่ง
ส่วนข้อมูลอื่นๆ ถูกป้องกันด้วยรหัสจึงไม่สามารถเอาไปได้
และตอนนี้ผมก็กำลังตามหาคนกระทำผิดอยู่แต่ยังตามไม่ได้ครับ”
เป็นฝ่ายครีเอทที่เสนอปัญหาของตนเองก่อน
ยิ่งรองประธานไม่พูดสิ่งใดแต่บรรยากาศรอบๆ นั้นเริ่มกดดันทำให้ธิรัตน์ที่เป็นหัวหน้าแผนกเหงื่อผุดซึมเต็มกรอบหน้า
คิวรู้สึกว่าคิ้วตัวเองเริ่มกระตุกขึ้นมาในระดับหนึ่งก่อนจะยกมือให้ละปัญหานี้ไปฟังปัญหาต่อไปก่อนเพราะเดี๋ยวเขาจะสรุปในทีเดียว
“ผมธนกรจากฝ่ายมาเก็ตติ้งดูแลเรื่องบัญชีและการตลาด
ปัญหาที่พบคือตัวเลขงบประมาณปิดไม่สมดุลกันครับ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ผมกำลังตรวจสอบว่าปัญหามาจากแผนกไหน”
ธนกรเงียบไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อโดยที่ครั้งนี้จะพูดเสียงเบากว่าตอนแรกมากนัก
“มีอีกเรื่องครับ
เอ่อ..ช่วงนี้คุณไออุ่นเบิกเงินในส่วนของตัวเองออกไปหลายครั้ง..”
ดวงตาของคิวเริ่มเข้มขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แน่นอนว่าบุคคลนี้เขาแตะต้องไม่ได้เท่าไรนักเพราะอย่างไรเสียประธานของบริษัทนี้ก็คือไอวี่และไออุ่น
ทว่าคิวแน่ใจว่าไออุ่นไม่ได้เป็นคนเบิกเงินออกมาใช้เองอย่างแน่นอน
น่าจะมีเบื้องหลังที่มากกว่านี้ คิวพยักหน้าเข้าใจในปัญหาก่อนจะโบกมือให้คนต่อไปรายงานต่อในทันที
“ผมเชษฐ์จากแผนกรักษาความปลอดภัยครับ
คือช่วงนี้บริษัทเจอเรื่องแปลกๆ เยอะครับนาย อย่างเช่นรถของพนักงานโดนใครบางคนแปะกระดาษที่มีแต่คำขู่ไม่ก็ถูกปล่อยยางลมรถครับ
ทางทีมงานตรวจดูจากกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าเป็นพนักงานของร้านส่งอาหารเดลิเวอรี่ แต่พอผมส่งคนไปตรวจสอบทางร้านบอกว่าไม่มีพนักงานสองคนนี้เลยครับ”
เชษฐ์ยื่นภาพให้รองประธานดูเมืองสิงห์จึงเป็นฝ่ายไปรับมาให้คิว
คิ้วของคิวเริ่มกระตุกอีกครั้ง
การกระทำอย่างนี้มันคล้ายกับคนในโลกมืดทำ แต่ก็พอเข้าใจในจุดประสงค์หลักของคนร้ายบ้างแล้ว
“ยังมีอีก?”
คิวมองคนอีกสองแผนกที่ทำท่าจะพูด “ว่ามา”
“ดิฉันวิราภาจากฝ่ายบุคคลค่ะ
คือดิฉันตรวจสอบพนักงานแต่ละคนแล้วพบว่ามีคนจากฝ่ายผลิตลาออกไปสามคน
ซึ่งตอนนั้นดิฉันตรวจสอบแล้วว่าสาเหตุที่ออกคือปัญหาส่วนตัวจึงได้ยื่นเรื่องให้ท่านรองประธานอนุมัติจึงไม่ติดใจสงสัย
แต่ล่าสุดดิฉันเห็นว่าพวกเขาโพสต์ภาพตัวเองในบริษัทใหม่ที่เป็นบริษัทคู่แข่งของเราค่ะ”
เมื่อแต่ละคนแจ้งปัญหาให้กับคิวได้ฟังกันจนครบแล้ว
คิวจึงหันไปถามคุณวรรณีกับคุณทิวาที่เป็นเลขา “จดทันรึเปล่า”
“ทันค่ะคุณคิวกรณ์
เดี๋ยวดิฉันจะพิมพ์และปริ้นท์ข้อมูลและปัญหาของแต่ละแผนกให้นะคะ”
เป็นวรรณีที่ตอบขึ้นมาส่วนคุณทิวาจะประสานงานในส่วนอื่นๆ แทนเธอจะได้สะดวกและรวดเร็วต่อการทำงาน
ในความคิดวรรณีคุณคิวกรณ์ถือว่าอายุน้อยกว่าผู้บริหารคนอื่นๆ
ถึงรอบตัวจะดูเย็นชาเข้าถึงยากแต่เพราะบุคลิกที่แตกต่างจึงทำให้โดดเด่น
วรรณีไม่เคยดูถูกว่ารองประธานอายุน้อยคนนี้จะบริหารงานในบริษัทใหญ่โตนี้ไม่ได้เพราะผลงานที่ผ่านมาก็ตอกย้ำให้ได้เห็น
ถึงคราวนี้จะพบปัญหามากมายแต่เธอเชื่อว่ารองประธานหนุ่มคนนี้จะแก้ไขมันได้ เพราะใช่ว่าจะเคยมีปัญหาแบบนี้ครั้งแรกเสียเมื่อไร
และแน่นอนว่าปัญหาต่างๆ ถูกแก้ไขได้ในเวลาไม่ถึงสามวัน
วรรณีจัดการเอกสารที่ต้องทำภายในสามสิบนาที
หลังจากที่พิมพ์และปริ้นท์เสร็จเธอก็ตรวจสอบรายละเอียดอีกรอบ
เมื่อไม่พบข้อผิดพลาดเธอจึงเข้าพบรองประธานในทันที
คิวได้รับเอกสารสรุปการประชุมแบบไม่เป็นทางการจากเลขาก็คิดวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
เมื่อคิวเริ่มใช้ความคิดบรรยากาศรอบด้านจึงเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม
เงียบเสียจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศและลมหายใจของบอดี้การ์ดคนสนิท
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีเมืองสิงห์ออกมาจากห้องท่านประธานตรงไปที่โต๊ะของเลขา
เมืองสิงห์แจ้งให้คุณวรรณีตามหัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายเข้าพบเจ้านายอีกครั้งแล้วก็กลับเข้าไปอยู่ข้างกายเจ้านายต่อ
เวลาผ่านไปเพียงแค่ห้านาทีทุกคนก็รวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกับว่าเตรียมตัวที่จะเข้าไปฟังความเห็นของรองประธานอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมกันเมืองสิงห์จัดการแจกกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือของเจ้านายส่งไปให้แต่ละคน
เมื่อทุกคนได้กระดาษของตนเองก็เริ่มอ่านเนื้อความในทันที
สิ่งที่เขียนมาจะมีหนทางแก้ปัญหาและวิธีการรับมือ
ซึ่งรองประธานอย่างคิวกรณ์ก็ไม่ได้ป้อนข้อมูลให้อย่างเดียวแต่เขียนคำแนะนำและให้แต่ละฝ่ายได้คิดเองเสียด้วยซ้ำ
ทุกคนอ่านแล้วล้วนเห็นด้วยและยอมรับในมาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
“มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้เลย
แต่ถ้าตอนนี้ไม่มีแล้วตอนปฏิบัติมีปัญหาเพิ่มก็ส่งเรื่องมาทางเลขาของผมแล้วผมจะเข้ามาตรวจสอบอีกที”
หลังจากที่คิวพูดจบทุกคนก็รับทราบกันถ้วนหน้าแล้วทยอยออกไป
คิวสั่งกาแฟผ่านอินเตอร์คอมบนโต๊ะ เพียงไม่นานคุณทิวาเลขาอีกคนก็นำกาแฟพร้อมกับงานอีกหนึ่งส่วนมาวางไว้ให้แล้วออกไปโดยไม่อยู่รบกวน
คิวเอนหลังพิงเก้าอี้พักสายตาเพียงครู่หนึ่ง
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คิวต้องกังวลแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆ
ก็คืออีกด้านมากกว่า
เพราะเขาได้ยินว่าวันนี้มีคนของบ้านใหญ่ไปที่เรือนแก้ว..
ถ้าเกิดการปะทะคารมกันเมื่อไร
เขารู้ได้ในทันทีว่าจะต้องมีคนไม่พอใจ หรือเอาแต่ใจทำอะไรโดยที่ไม่คิดแน่นอน
“ทางโน้นเป็นไง”
คิวถามเมืองสิงห์ก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม
“ทิมบอกว่าคุณหนูยังอยู่กับคุณไออุ่นครับ”
เมืองสิงห์รายงาน
ไม่ได้เหนือจากสิ่งที่คิดเอาไว้เท่าไร
เกิดเรื่องที่กระทบต่อจิตใจคุณหนูของเรือนแก้วก็มักจะไปที่แห่งนั้น
“คุณหนูยังบอกอีกว่าจะไม่กลับและจะรอให้คุณไปรับครับ”
“อืม”
คิวตอบรับพลางโบกมือให้อีกฝ่ายออกไป อาจจะเป็นความเหนื่อยอ่อนหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ภาพในความทรงจำฉายชัดขึ้นมาเขาจึงต้องการเวลาส่วนตัวเป็นอย่างมากในตอนนี้
‘น้องสวยไหม’
‘สวยครับ
น่ารักน่าเอ็นดู’
‘สัญญากับพ่อสิว่าจะดูแลน้องแทนพ่อ
ถ้าพ่อไม่อยู่หรือเป็นอะไรไปคิรัวร์ต้องดูแลน้องให้ดีนะ’
‘ครับผมสัญญาผมจะดูแลและปกป้องน้องเองครับ’
ในภาพความคิดเสียงเด็กผู้ชายตอบรับอย่างหนักแน่น
แน่นอนว่าเป็นคิวในวัยเด็ก และด้วยความที่มีเลือดที่สืบทอดมาจากบิดาผู้ให้กำเนิดเขาจึงมีความกล้าหาญเข้มแข็งและความอดทนต่อทุกสิ่ง
และอาจจะมากจนเกินไปจนทำให้เป็นคนเย็นชาและมีนิสัยเหมือนกับทุกวันนี้
แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าคิวยังมีหัวใจอยู่ก็คงจะเป็นรอยยิ้มของเด็ก
ผู้หญิงในความทรงจำ หรือรอยยิ้มของหญิงสาวในรูปถ่ายที่อยู่ในกระเป๋าของตนเองที่ยังคงตอกย้ำคำสัญญาที่ให้ต่อบิดาไม่จางหายไป
คำที่ว่า
‘เขาจะปกป้องไม่ว่าจะยังไงก็ตาม’ นั้นยังมีผลอยู่
และเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คิวยังคิดจะมีชีวิตอยู่ก็คือ..น้องสาวของเขา
ღ
รถสปอร์ตสีดำจอดเทียบลานฟุตบาทหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ห่างจากตัวเมืองไม่มากก่อนจะตามมาด้วยรถเก๋งสีดำอีกสามจอดต่อเรียงกัน
บุรุษชุดดำนับสิบรีบเข้ามาอารักขาเจ้าของรถสปอร์ตคันงามทันที
ประตูบ้านถูกเปิดด้วยคนสนิทอีกคนของคิว
เป็นทิมที่เดินออกมาต้อนรับเจ้านายของตนอย่างรู้หน้าที่ พอเจ้านายก้าวลงมาจากรถ ทิมกับเมืองสิงห์ก็ยืนเทียบคู่กันอย่างปรกติ
“คุณหนูมาที่นี่แต่เช้าจากนั้นก็เข้าไปด้านในอยู่กับคุณไออุ่นทั้งวันครับ
ข้าวเที่ยงก็รับน้อยกว่าปกติ คุณไออุ่นก็พยายามจะพูดบอกแล้วครับ แต่คุณหนูก็ไม่ยอมทาน”
ทิมรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เข้าช่วงบ่ายแล้วว่าคุณหนูเธอทำอะไรบ้าง
หากมีเวลามากกว่านี้คงจะรายงานแล้วว่าขยับไปตรงส่วนไหนเดินกี่ก้าวแล้วกระพริบตากี่ครั้ง
“ตอนนี้อยู่ไหน”
คิวถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนจะยื่นให้เมืองสิงห์
“คุณหนูอยู่ในสวนตรงหน้าชายหาดครับ
ส่วนคุณไออุ่นอบคุกกี้ให้คุณหนูในครัวครับ”
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาตามหญิงสาวแบบนี้
คิวจึงรู้ในทันทีว่าคุณหนูเรือนแก้วจะไปอยู่ส่วนไหนของบ้านอุ่นไอรัก
มันจะมีเพียงที่เดียวที่อีกฝ่ายชอบไปนั่งใช้ความคิดหรือต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียว
ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ
รายล้อมไปด้วยทะเลและสวนดอกไม้นานาพันธุ์และต้นไม้ใหญ่ที่เขียวขจี ท่ามกลางสิ่งสวยงามก็ยังมีใครบางคนนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้นอนตัวยาว
เหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่จับจ้องสิ่งใดจริงจังนัก
ไอวี่รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเข้ามาขัดขวางความเงียบที่เธอสร้าง
เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นคนที่ทิ้งเธอเอาไว้เมื่อเช้านี้ “นายเองเหรอ”
“ทำไมไม่ไปเรียน”
“นึกว่าจะรู้เรื่องหมดแล้วซะอีก”
คิวมองร่างหญิงสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาด
เขาไม่ได้ตอบแต่กลับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อีกตัวแทน
“ถ้าจะด่าหรือทำโทษเอาไว้ทีหลังแล้วกัน
ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ฟัง”
เสียงที่แผ่วเบาทำเอาร่างสูงอยากจะถอนหายใจก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้องยกเครื่องดื่มและของว่างมา
“ไออุ่นล่ะ”
ไอวี่ถามเพราะไม่เห็นน้องชายของตนตั้งแต่บ่ายแล้ว
“อยู่ในครัว”
ไอวี่นิ่งคิดและไม่แปลกใจสักนิดที่น้องชายของเธออยู่ในครัวก่อนจะหันไปหาคิว
“..นี่ขอยืมมือนายหน่อยสิ”
คิวก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการยื่นมือไปตรงหน้า
ไอวี่ที่ไม่คิดว่าคิวจะฟังเธอง่ายๆ ก็จับมือแกร่งเอาไว้โดยไม่พูดอะไรอีก
เธอแค่อยากจับมือเขาเพียงเท่านั้น
มันอาจจะดูไร้สาระแต่สำหรับเธอนั้นมันคือสิ่งยืนยันว่าเธอยังมีเขาอยู่ข้างๆ
“นายว่าพ่อแม่ของฉันเป็นคนยังไง”
“ไม่รู้”
แน่นอนว่ามันไม่ได้ไร้น้ำใจหรือไร้เยื่อใย เพราะคิวก็พอจะรู้เรื่องต่างๆ
ของตระกูลหงส์ฤดีเกียร์ติกุลมาบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะเขาเพิ่งมาทำงานให้ครอบครัวนี้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นแต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องเพราะเขาจะผิดสังเกตได้
“นั่นสินายจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
คำพูดไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทำให้ไอวี่ลืมตามองผู้ชายที่นั่งข้างๆ มองมือหนาที่เธอจับอยู่อยู่โดยไม่พูดอะไร
“จริงหรือเปล่าที่ทิมบอกว่าเธอไม่กินข้าว”
ไอวี่หันไปมองทิมที่ถือถาดอาหารว่างอย่างแซนวิชกับน้ำชาอยู่
เธอรู้ว่าทุกสิ่งที่เธอทำทิมจะต้องรายงานคิวทั้งหมดอยู่แล้วแน่นอน
นี่เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของทุกคนโดยแท้จริง
เพราะทุกคนฟังคำสั่งคิวมากกว่าเธอเสียอีก
“ขี้ฟ้องกันจริงๆ”
ไอวี่ผละมือออกจากมือหนา เธอลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้ว่าจะต้องกินไอ้สิ่งที่ทิมถือมา
ไอวี่รับของที่ทิมนำมาให้และกินไปโดยไม่อิดออด
ไอวี่จะไม่กินของพวกนี้ก็ได้จะดื้อดึงเอาแต่ใจก็ได้แต่เธอก็ไม่ได้ทำ อาจเพราะสายตาคมนั้นจ้องมองอยู่เธอจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ใช่..เธอบอกแล้วว่าเธอไม่มีวันชนะคิวได้ มันเป็นจุดอ่อนของเธอที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี
“แล้วงานที่มีปัญหาจัดการเสร็จแล้วเหรอ”
ไอวี่ถามถึงเรื่องที่คิวออกไปจัดการเมื่อเช้านี้
เธอไม่คิดห่วงปัญหาพวกนั้นเพราะไว้ใจให้คิวเป็นคนจัดการแทน
ไอวี่เคยคิดว่าถ้าไม่มีคิวแล้วต้องบริหารบริษัทเองคงจะเจ๊งไปตั้งแต่วันแรกแล้วก็ได้
มันไม่แปลกที่เด็กมหา’ลัยอย่างเธอจะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือคิวเองต่างหาก
เธออยากจะรู้เสียจริงว่าคิวไปเอาความรู้หลักการบริหารมาจากที่ไหนถึงได้บริหารงานได้ดีมีประสิทธิภาพแบบนี้
“อืมเสร็จหมดแล้ว”
คิวตอบพลางขยับนิ้วเรียกเมืองสิงห์ให้เอาของที่ถืออยู่มาให้ สิ่งที่ถืออยู่คือซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อน
คิวรับมาแล้วยื่นให้กับไอวี่อีกที
ไอวี่รับซองเอกสารมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจเพราะหากเป็นเรื่องงานเธอไม่เคยจะต้องจัดการหรือตัดสินใจเองเพราะคิวมักจะจัดการแทนเ
“อะไรเหรอ”
ไอวี่ถามคิวแต่อีกฝ่ายไม่ตอบจึงรับมาถือเอาไว้โดยยังไม่เปิดดู
“เรื่องที่คุณหนูให้โลเซ่กับลูซี่ไปสืบไงครับ”
เมืองสิงห์เป็นคนไขข้อข้องใจให้ ซึ่งไอวี่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งเงียบไป
“นายรู้เหรอ”
ไอวี่รู้สึกหวั่นใจเพราะคิวเคยบอกเอาไว้แล้วว่าอย่ายุ่งกับคนรอบๆ ตัวเขา แต่ไอวี่ยังดื้อรั้นใช้ให้คนไปตามสืบจนได้
“แค่ข้อมูลคงไม่เป็นไรแต่อย่ามากกว่านั้น”
ไอวี่ยิ้มเล็กน้อย
ภายในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายตีรวนไปหมด รู้สึกดีที่คิวไม่โกรธที่เธอขัดคำสั่ง
รู้สึกอิจฉาที่คิวปกป้องผู้หญิงคนนั้น รู้สึกหน่วงในอกที่เขาไม่คิดอะไรเกินเลยไปกว่าเจ้านายลูกน้อง
ไอวี่คิดว่าคิวรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงแต่อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ตอบรับความรู้สึกเธอก็เท่านั้น
“ทำไมนายทำตาบอดอยู่ได้
ไม่รู้เหรอว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”
คิวเงียบพลันโบกมือให้ลูกน้องถอยออกไปเพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัว
“กฎข้อที่สามของคนที่ต้องดูแลเธอคือห้ามมีความคิดเกินเลยกว่าเจ้านายลูกน้อง
ถ้าผิดกฎเมื่อไรทุกอย่างจะเป็นโมฆะฉันต้องยกหน้าที่นี้ให้กับคนอื่นแทน
เธอแน่ใจหรือเปล่าที่จะให้ฉันทำแบบนั้น?”
ไอวี่เงียบไปเมื่อได้ยินที่คิวพูด
เธอรู้เรื่องกฎสำหรับบอดี้การ์ดดี แต่เธอไม่คิดว่ากฎข้อนี้จะเป็นปัญหากับเธอเข้าสักวัน
ความจริงเธอยอมรับโดยไม่เต็มใจกับการขีดเส้นแบ่งระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่คิวปฏิบัติกับเธอ
คิวไม่ได้แสดงออกว่าชื่นชอบหรือมองเธอในแง่หญิงสาวเลยแม้แต่น้อยกลับกันเขาคอยกันเธอออกห่างจากพื้นที่ส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ
ไอวี่ยอมรับว่าเธอชอบคิวอยู่ฝ่ายเดียว
ฉะนั้นเธอจึงยอมและไม่ก้าวข้ามเส้นแบ่งที่เขาสร้างก็เพราะไม่อยากสูญเสียอีกฝ่ายไป
แน่นอนว่าเขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันเธอจึงได้แต่คอยตามหึงหวงอยู่ห่างๆ อย่างไม่มีสิทธิ์อยู่อย่างทุกวันนี้
อยู่ใกล้ๆ
แต่ไม่สามารถจับต้องหรือครอบครองได้..ทรมานจริงๆ
หลังจากนั้นทุกสิ่งก็หยุดนิ่งอยู่ที่ประโยคของคิว
ไอวี่นั่งจับมือคิวอยู่แบบนั้นจนผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง และเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเธอกลับมาเป็นปรกติคิวจึงบอกให้เธอกลับบ้าน
ไอวี่เข้าไปคุยกับน้องชายของตนเองอีกเล็กน้อยจนไออุ่นเองก็เดินมาส่งไอวี่กับคิวที่รถด้วย
“ฝากดูแลด้วยนะครับ”
ไออุ่นที่กอดเอวพี่สาวแล้วพูดกับคิวที่ยืนห่างไปไม่ไกล
เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดหนุ่มโค้งรับคำจึงหันไปพูดกับพี่สาวของตัวเอง “พี่ก็อย่าทำให้คุณคิวกับทุกคนลำบากอีกนะครับ”
“ลำบากอะไรก็แค่มาหาน้องชายก็เท่านั้นเอง”
ไอวี่ยิ้มออกมาก่อนจะกอดลาน้องชายเพียงคนเดียวก่อนจะกล่าวลากัน
ไอวี่ก็ขึ้นรถที่มีทิมเป็นคนขับ
เพราะเธอรู้ว่าถึงจะดื้อรั้นอยากกลับกับคิวก็ทำไม่ได้เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่เธอสามารถควบคุมเขาได้
ขบวนรถของไอวี่เคลื่อนตัวออกจากตัวบ้านอุ่นไอรัก
โดยมีรถเก๋งนำก่อนสองคันซึ่งเป็นรถของเหล่าบอดี้การ์ดส่วนตัวของไอวี่
ต่อมาก็รถของไอวี่เองที่มีทิมเป็นคนขับตามด้วยรถของคิวและรถของเมืองสิงห์กับบอดี้การ์ดส่วนหนึ่งขับเรียงตามกันมา
เหตุการณ์ทุกอย่างดูราบรื่นดีทว่าในห้ากิโลเมตรก่อนเข้าตัวเมืองก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสียก่อน
ปัง!
ปัง! ปัง! เอี๊ยดด!
ความคิดเห็น