คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กลรักอสุรา l บทที่๐๓ ตอน ดวงใจพี่ {อัพ100%}
ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันชอบเรื่องเล่าโบราณ...
ชอบฟังตำนาน
และชอบดูละครพื้นบ้านช่วงเช้าในวันเสาร์-อาทิตย์
ฉันชอบเสน่ห์ของกลิ่นวรรณกรรมทั่วไปและพงศาวดารเก่าๆ
จนแอบคิดไม่ได้ว่าหากมีโอกาสได้ลองใช้ชีวิตในแบบที่ตัวละครในวรรณคดีหรือวรรณกรรมเก่าเช่นนั้นบ้างจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะกับเรื่องของตำนานท้าวอสุเรนทร์ ที่ฉันเปิดอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายรอบด้วยความชอบและหลงใหลเนื้อหาและสิ่งที่ตัวละครในวรรณกรรมดังกล่าวกระทำ
ฉันชอบความซื่อสัตย์ของกุมภัณฑ์ที่มีต่อท้าวอสุเรนทร์ ชอบความกล้าหาญและดุดันของท้าวอสุเรนทร์ซึ่งสมเป็นเจ้าเมืองนครยักษ์
ชอบความอบอุ่นและใจเย็น อีกทั้งยังเป็นคนรักพี่รักน้องรักพวกพ้องของตนเองของท่านอสุราน้องชายท้าวอสุเรนทร์ ที่ชอบที่สุดก็คงเป็นความรักและความซื่อสัตย์ที่ท่านอสุรามีต่อคนรักของตนเอง
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าคนรักของน้องชายท้าวอสุเรนทร์จะชื่อว่า...
‘เจ้าจำพี่ได้แล้วรึแม่นิมมานรดี ?’
ใช่! ใช่แล้ว! นิมมานรดี !
‘ตัวเรานั้นมีนามว่า อสุรา พอจักคุ้นหูแม่ทับทิมบ้างหรือไม่?’ แต่แล้วท่ามกลางความมืดรอบตัว จู่ๆ ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งซึ่งดังแทรกผ่านมาให้ได้ยิน
ก่อนเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาวนวลราวกับหลุดมาจากละครพื้นบ้านหรือวรรณคดีสักเรื่อง
ชายแปลกหน้าคนเดียวกันกับที่บังเอิญพบเข้าหลังเกิดเรื่องแปลกๆ ในวัด...
ฉันยังจดจำใบหน้าคมคายดวงนั้นของเขาได้
นัยน์ตาเรียวคมหากแต่มองทุกอย่างตรงหน้าด้วยความอบอุ่นและใจดี
ดูเข้ากับเรือนผมสีดำสนิท คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากรูปกระจับ
และรูปร่างกำยำสมเป็นชายชาตรี
ใบหน้าคมคายของชายคนนั้นต้องตาจนเหมือนถูกสะกดให้จ้องมองอยู่แบบนั้น
ทว่า เพียงไม่นาน ใบหน้าหล่อเหล่าล้นด้วยเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าเหลือเชื่อนั่น
ก็เริ่มเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นภาพใบหน้าน่ากลัวและคมเขี้ยวเฉกเช่นเดียวกับยักษ์ในละคร ซึ่งนั่นมาพร้อมเสียงดุดันที่เอ่ยถาม
‘คราวนี้เจ้าจำพี่ได้หรือยังเล่า แม่ทับทิม ?’
ฟึ่บ!
“เฮือก!” ฉันเบิกตากว้าง สะดุ้งเฮือกตื่นจากภาพฝันร้ายซึ่งยังหลอนติดตาขึ้นด้วยความตกใจเคล้าเสียงหอบแผ่วๆ ที่ลอดผ่านริมฝีปาก
ทั่วใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ขณะที่หัวใจในเองยังคงเต้นผิดจังหวะด้วยความระทึกขวัญ จำต้องรีบกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอย่างนึกหวาดระแวง ก่อนพบว่าเวลานี้ ฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง ไม่ใช่วัดหรือสถานที่ที่เพิ่งพบกับเรื่องราวน่ากลัวอย่างที่คิดและรู้สึก...
เมื่อเป็นเช่นนั้น
ฉันจึงไม่รอช้ารีบขยับพาตัวเองลงจากเตียงนอน เพื่อตรงไปยังห้องน้ำใกล้ๆ ทันที โดยหวังว่าการได้ล้างหน้าหลังลืมตาตื่นจากภาพฝันร้าย
มันอาจจะช่วยทำให้สดชื่นมากขึ้นกว่านี้ก็ได้ ทั้งที่คิดเช่นนั้น ทว่า
กึก...
วินาทีที่เท้าทั้งสองข้างพาย่างก้าวเข้าสู่พื้นที่ภายในห้องน้ำ
กระจกบานใหญ่บริเวณอ่างล้างหน้ากลับสะท้อนให้มองเห็นสิ่งที่ต่างไปจากที่คิด เพราะชุดที่สวมใส่อยู่ในเวลานี้กลับไม่ใช่ชุดอยู่บ้านหรือชุดนอนอย่างที่ควรเป็น แต่ดันเป็นชุดเดียวกับในฝัน
ที่บังเอิญพบเจอเหตุการณ์ประหลาดแสนน่ากลัวนั่นน่ะสิ
“บะ บ้าน่า!” ภาพของตัวฉันเองที่สะท้อนผ่านกระจกเงา
ทำเอาสติที่ไม่คืนสภาพดียิ่งพานแตกตื่นตื่นหนีหายเข้าไปใหญ่ ยิ่งทบทวน
ยิ่งครุ่นคิด
สิ่งที่แว่วเข้ามาก็ดูจะเป็นถ้อยคำโบราณของชายแปลกหน้าที่เหมือนเป็นเพียงภาพความฝันเท่านั้น
‘ดอกสร้อยทอง กลิ่นหอมหวานเฉกเช่นเนื้อตัวเจ้ายามนี้ หวนให้เราคำนึงถึง...การหวนคำนึงหาที่มีมากล้นดวงใจ
พาให้พี่มาพบเจ้าในยามนี้ แม่ทับทิม’ จนเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าภาพที่เห็นและติดอยู่ในความคิดเวลานี้
แท้จริงแล้วมันคือเรื่องประหลาดที่เคยเกิดขึ้นจริงหรือว่าเป็นเพียงแค่ภาพความฝันที่ฉันคิดไปเองกันแน่
แต่แล้วขณะที่ในหัวพยายามนึกทบทวนหาเหตุและผล
เพื่อแยกระหว่างความจริงและความฝันอยู่นั้นเอง จู่ๆ เสียงโทรทัศน์ในห้องรับรองก็ดังขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
(แย่เลยนะคะคุณ
เมื่อวานดันเกิดพายุเข้ากลางงานบวงสรวงเปิดกองถ่ายละครดวงหทัยยักษ์...งานนี้จะล่มหรือจะร่วง
ลองไปฟังสัมภาษณ์จากปากนักแสดงและผู้กำกับละครกันดีกว่าค่ะ !)
“อึก...” น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคอดังอึกใหญ่
ด้วยอาการหลอนที่มีอยู่ในหัวยามนี้ จึงยิ่งส่งผลให้ร่างกายทุกส่วนคล้ายกับเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นการขยับเท้าเพื่อปลีกตัวออกจากบริเวณอ่างล้างหน้า
หรือการกลอกตาเหลียวมองออกไปด้านนอกห้องน้ำ
(อาจเพราะเมื่อช่วงเช้ามีพายุพัดเข้ามาด้วยล่ะมั้งครับ
ฝนฟ้าก็เลยดูไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่
อย่าโทษเรื่องอาถรรพ์ดีกว่านะผมว่า...และนี่คือเสียงสัมภาษณ์ของคุณช้างผู้กำกับละครเรื่องนี้นะคะ
แต่จนถึงตอนนี้ทางเราก็ยังไม่เห็นนางเอกสาวออกมาให้การสัมภาษณ์ความรู้สึกใดกับเหตุการณ์ในครั้งนี้...)
แต่ด้วยเพราะเสียงของโทรทัศน์ที่อยู่ในห้องรับรองยังคงดังและพูดถึงข่าวในวันเปิดกล้องบวงสรวงไม่หยุด
แม้จะรู้สึกหลอนและขยาดที่จะพาตัวเองออกไปดูลาดเลาเท่าไหร่
แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันซึ่งเป็นเจ้าของบ้านก็คงต้องจำใจเดินออกไปอยู่ดี
ตึก... ตึก...
ท่ามกลางเสียงโทรทัศน์ซึ่งถูกเปิดไวเสียงดัง ในช่วงเวลานั้นยังมีเสียงฝีเท้าและลมหายใจของตัวเองดังแทรกให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับเสียงหัวใจที่เริ่มเต้นแรงอย่างนึกลุ้นระทึกในขณะนี้
และเพื่อความปลอดภัย หากว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงนั้นมาจากฝีมือของโจรผู้ร้ายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเหมือนในความฝันอย่างที่คิด
ไม้เบสบอลอลูมิเนียมขนาดเหมาะมือจึงถูกฉันคว้าติดมือออกมาด้วย
ตึก... ตึก... ตึก…
ยิ่งเท้าสองข้างเดินก้าวมุ่งออกไปยังห้องรับรองมากเท่าไหร่
เสียงของโทรทัศน์ที่ดังอยู่ตลอดเวลาก็ยิ่งพาให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
จนกระทั่งฉันพาตัวเองมาหยุดอยู่บริเวณโถงทางผ่านประตูระหว่างห้อง
ครู่หนึ่งที่เท้าทั้งสองข้างหยุดลงเพื่อตั้งหลัก
และทำเพียงชะโงกหน้า ใช้สายตากวาดมองความเรียบร้อยด้านนอกเพื่อดูลาดเลา
ก่อนพบว่าภายในห้องรับรองยามนี้นั้นว่างเปล่าอีกทั้งยังไร้ซึ่งวี่แววของใคร
มีเพียงแค่โทรทัศน์เครื่องเก่าเท่านั้นซึ่งยังคงส่งเสียงดังไปทั่วห้องไม่ยอมหยุด
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นแบบนั้น
นั่นเลยทำให้ฉันรีบเอี้ยวตัวกลับมายืนอิงแอบแนบสนิทกับผนังกำแพงบ้านอย่างนึกโล่งใจ
ที่อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้โทรทัศน์เกิดเสียงนั้นไม่ได้มาจากคนนอกหรือขโมยเหมือนอย่างที่คิด
ทว่า ยังไม่ทันรู้สึกโล่งใจได้อย่างที่ควร
ร่างกายทุกส่วนกลับเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ เสียงของนักข่าวจากโทรทัศน์ถูกเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยแทรกดังขึ้น
“แม่หญิง...เจ้าได้ยินเราเอ่ยถ้อยบ้างหรือไม่?”
(ทำให้เรื่องราวในพิธีบวงสรวงเมื่อช่วงวานนี้กลายเป็นที่พูดถึงกันในโลกโซเชียลว่าแท้จริงแล้วนี่คืออาถรรพ์หรือเรื่องบังเอิญกันแน่...)
“ดั่งที่เรากล่าว เรื่องนั้นหาใช่เรื่องบังเอิญหรืออาถรรพ์ไม่...” เสียงที่ว่านั้น คือเสียงของผู้ชาย ฟังดูละมุนละไมและใจเย็น
ซ้ำยังคุ้นหูมากเสียจนอดไม่ได้ที่จะแอบชะโงกหน้ามองกลับเข้าไปภายในห้องรับรองอีกครั้ง
โดยคราวนี้ บริเวณหน้าโทรทัศน์คือเป้าหมายแรกที่สายตาพยายามชำเลืองมองหา
“เราต้องขออภัยแทนพี่ชายเราด้วยที่เกรี้ยวกราดพังทำลายงานฉลองที่เตรียมให้จนพังไม่เป็นท่า…พวกเจ้าจักให้อภัยพี่ชายเราได้หรือไม่?”
(ส่วนตัวดิฉันคิดว่าอาถรรพ์อาจจะมีส่วนนะคะ
เพราะการเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาใช้อ้างอิงนั้นก็ควรมีผู้รู้ทางด้านนี้ชี้แนะด้วยเหมือนกัน...) ทั้งที่ตอนแรกที่กวาดตามองนั้น
ภายในห้องรับรองก็ดูเงียบสงบและเป็นปกติดี
หากแต่ในคราวนี้สิ่งที่ตามองเห็นหลังปรายตามองกลับต่างออกไป
“เหวย! หูเจ้าดับหรืออย่างไร ถึงฟังมิรู้ความ!”
เมื่อหน้าโทรทัศน์เครื่องเก่าที่ตอนแรกไม่ปรากฏวี่แววของใคร เวลานี้กำลังปรากฏร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่พลางใช้ชี้นิ้วต่อว่านักข่าวสาวในจอแก้ว
“โปรดจงสดับฟังถ้อยเราสักครู่หนึ่งเถิด หากเจ้าเอ่ยแทรกเช่นนี้
จักฟังความอันใดเข้าใจได้เช่นไร?”
จากตรงนี้แม้จะมองเห็นเพียงแผ่นหลัง
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งยังติดหูติดตาได้อย่างไม่รู้ลืมก็คงไม่พ้นเครื่องทรงยักษ์ที่ชายคนดังกล่าวสวมใส่ติดกาย
เครื่องทรงยักษ์ซึ่งมีโทนสีสะอาดตาดูแตกต่างไปจากเครื่องทรงยักษ์ในโรงละครที่เคยเห็น
ภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็น
ทำฉันนึกถึงภาพเหตุการณ์ประหลาดสุดพิศวง
โดยเฉพาะกับคำพูดซึ่งยังคงติดตรึงให้จดจำมาถึงตอนนี้
‘ตัวเรานั้นมีนามว่า อสุรา พอจักคุ้นหูแม่ทับทิมบ้างหรือไม่?’ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ทันทีที่นึกถึงคำพูดในความฝันเช่นนั้นได้
สายตาที่เคยมองจ้องแผ่นหลังของชายตัวสูงในห้องรับรองจึงมีอันต้องเลื่อนมองไปยังชั้นวางหนังสือมุมห้อง
ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาฉันได้ไม่ต่างจากการปรากฏตัวของชายแปลกหน้าภายในห้องรับรองในเวลานี้
ดูเหมือนจะเป็นรูปปั้นองค์ยักษ์ท่านอสุราบนหลังชั้นวางหนังสือที่ฉันเช่ามาบูชานั่นแหละ
เพราะไม่ว่าจะรูปแบบหรือสีสันของเครื่องแต่งกายระหว่างชายแปลกหน้ากับรูปปั้นองค์ยักษ์สำหรับบูชา
ทุกอย่างก็ดูตรงกันไปเสียหมด ที่บ้าก็คือ ฉันดันนึกถึงคำถามแปลกๆ
คำถามหนึ่งขึ้นได้
‘แม่ทับทิมเรียกหาเราทุกวี่วัน
เหตุใดจึงไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเราเล่า?’ จนอดคิดแปลกๆ ไม่ได้ว่า
บางทีผู้ชายที่กำลังปรากฏตัวอยู่ภายในห้องรับรองตอนนี้นั้น
อาจจะเป็นยักษ์จากปูนปั้นที่ฉันบูชาอยู่!
มะ ไม่จริงหรอก
เรื่องแบบนั้นจะไปเกิดขึ้นจริงได้ไงกันล่ะ...
จริงสิ...หรือว่านี่จะเป็นฝันซ้อนฝัน!? ใช่! ฉันต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ!
ตื่นสินังทับทิม หยุดฝันเรื่องน่ากลัวแบบนี้ได้แล้ว!
“ตื่นแล้วรึ แม่ทับทิม...”
“เฮือก!” ขณะในหัวกำลังตบตีกันด้วยความสับสนและตกใจท่ามกลางเสียงโฆษณาในโทรทัศน์
จู่ๆ กลับมีอีกเสียงเอ่ยแทรกขึ้นในภวังค์ พลอยให้ทุกความคิดที่เคยมีหยุดลงโดยฉับพลัน
เช่นเดียวกับสายตาที่รีบเลื่อนกลับไปมองยังต้นเสียง
ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อผู้ชายที่เคยยืนหันหลังอยู่หน้าโทรทัศน์นั้น
ยามนี้กำลังเหลียวมองกลับมายังจุดที่ฉันใช้ยืนซ่อนตัวอยู่
มิหนำซ้ำไม่ว่าจะแววตาหรือองค์ประกอบบนใบหน้า ทุกสิ่งตรงหน้าล้วนแล้วแต่บอกให้รู้และตอกย้ำฉันให้แน่ใจเข้าไปอีก
ว่าเขาคือผู้ชายคนเดียวกันผู้ชายในภาพเหตุการณ์ประหลาดเสมือนฝันนั่นจริงๆ
ฟึ่บ!
ฉันรีบเอี้ยวตัวกลับมาหลบหลังผนังกำแพงอีกครั้ง พลางใช้มือตบหน้าตัวเองดังแปะๆ
เพื่อตั้งสติและพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันซ้อนฝันบ้าๆ นี่เสียที ทว่า
“เฮือก!” เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีตามความรู้สึก
ฉันก็ต้องสะดุ้งเฮือกไปทั้งกาย เมื่อจู่ๆ
ผู้ชายซึ่งเคยยืนอยู่หน้าโทรทัศน์ภายในห้องรับรอง ได้ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าไร้ราวกับใช้เวทมนต์พร้อมคำถาม
“เหตุใดจึงหลบหน้าพี่เช่นนี้เล่า แม่ทับทิม…”
ร่างกายทุกส่วนคล้ายกับถูกคำถามดังกล่าวแช่แข็งให้ยืนค้างไว้ในท่าเดิมหลังถูกพบตัว
สายตายังคงมองเห็นภาพใบหน้าคมคายกับรอยยิ้มยิ้มละมุนละไมของชายแปลกหน้าคนเดิม
แต่ไม่ใช่กับความคิดที่เอาแต่ร้องเร่งพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากเรื่องพิศวงนี่เสียที
และทางเดียวที่จะทำให้ฉันตื่นจากฝันบ้าๆ
นี่ได้ก็คงมีแค่วิธีนั้นเพียงวิธีเดียว นั่นคือการบรรจงใช้มือตบลงที่แก้มของตัวเองแรงๆ
เพื่อให้รู้สึกตัว
เพียะ!
“แม่ทับทิม!” เสียงกระทบระหว่างฝ่ามือแก้ม
ดังขึ้นพร้อมเพียงกับเสียงร้องตกอกตกใจของชายตรงหน้า การที่เป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งส่งผลให้ฉันเพิ่มน้ำหนักมือยามตบกระทบใส่แก้มให้หนักหน่วงเข้าไป
ขณะทำตาแข็งจดจ้องทุกอิริยาบถของชายตรงหน้า
เพียะ! เพียะ!
ชายตัวใหญ่ไม่ใช่แสดงสีหน้าตกอกตกใจแต่เพียงเท่านั้น
แต่น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเดียวกัน
และเมื่อเห็นว่าฉันคงไม่หยุดมือเป็นแน่ เขาจึงถือวิสาสะพุ่งรวบมือฉันซึ่งกำลังตบหน้าตัวเองให้หยุดลงโดยทันทีจนพลอยให้ไม้เบสบอลในมือร่วงลงไปกองกับพื้น
อีกทั้งยังลั่นวาจาร้องขอ แม้ว่าเขากำลังยื้อแรงมือของฉันไว้ได้สำเร็จแล้วก็ตาม
“หยุดเถิดแม่ทับทิม ทำเช่นนี้มิระบมหรอกรึ?”
ฉันไม่ได้ตอบอะไร เหมือนว่าการเผชิญหน้ากับเขาเวลานี้มีเพียงกายหยาบเท่านั้นที่ยังคงอยู่
ไม่ใช่กับกายละเอียดที่เตลิดเปิดเปิงออกไปไกลแสนไกล
และแม้จะเป็นแบบนั้นแต่ฉันก็ยังรู้สึกและมองเห็นทุกอย่าง
ไม่ว่าจะอาการเจ็บแปล๊บบนสองแก้ม
ไม่เว้นแม้แต่สีหน้าหมดห่วงที่คนตรงหน้าแสดงให้เห็น เช่นเดียวกับหูซึ่งยังคงได้ยิน
“นิ่งเถิดแม่ทับทิม อย่าเพิ่งเสียขวัญไปไย เรามิได้มาร้ายโปรดฟังถ้อยเราเสียหน่อย…”
ชายแปลกหน้าแสดงเจตจำนงของตนเองตามอย่างวาจาที่กล่าวไว้ เขายอมปล่อยมือที่รวบข้อมือฉันออกไปหลังว่าจบ ราวกับต้องการให้ผู้ถูกกระทำมั่นใจว่าเขาไม่ได้ต้องการทำร้าย ขณะปากยังคงกล่าวสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของฉันออกมาไม่หยุด
“พี่เพียงปรารถนาจักพบหน้าแม่ทับทิมอีกสักครา หมายเจรจาให้เข้าใจเท่านั้นเอง”
ไม่แน่ใจว่า ขณะหูรับฟังนั้น หัวใจฉันมันได้หยุดเต้นไปแล้วหรือยัง…
“พี่เฝ้ารอจักได้พบน้องมาเนินนานร่วมหลายหมื่นชั่วยาม เหตุใดแม่ทับทิมจึงมิคิดเอ่ยถ้อยต่อกันดีๆ เสียหน่อยเล่า ?” อาจเพราะเขาไม่ได้แสดงทีท่ามาดร้ายหรือรูปลักษณ์น่ากลัวใส่ หลังฟังสิ่งที่คนตรงหน้ากล่าวจบ ปากจึงเผลอขยับตอบโต้เขากลับไปบ้าง
ในลักษณะอย่างกล้าๆ กลัวๆ…
“หนะ นี่ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม ?” ทั้งที่ฉันรู้หวาดหวั่นจนแทบจะขาดใจ หากแต่คนฟังนั้น กลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาคลี่ยิ้มทันที เมื่อได้รับถ้อยคำโต้กลับพร้อมกันนั้นก็ให้คำตอบ
“หากการพบกันของเราเป็นเหมือนนิมิตฝันของแม่ทับทิม พี่เองก็เห็นดีเห็นงามเช่นนั้นมิต่างกัน” คำพูดของเขาฟังดูกำกวม ถึงอย่างนั้นกริยาและน้ำเสียงอบอุ่น ใจเย็นซึ่งค่อนข้างเป็นการเองที่อีกฝ่ายใช้ มันก็เริ่มทำให้ฉันคลายอาการหวาดหวั่นลงมาได้บ้าง
“คะ คุณเป็นใครกันแน่…” และพอได้เอ่ยคำถามแรก คำถามที่สอง สาม สี่จึงเริ่มตามเรื่อยๆ อย่างน้ำไหล “ปะ เป็นยักษ์จริงๆ น่ะเหรอ? ละ แล้วทำไมถึงมาปรากฏตัวให้ฉันเห็นล่ะ!?”
“ดั่งที่เคยเอ่ยถ้อยไปเมื่อหลายเพลาก่อน อันตัวพี่นั้นคือยักษ์ อนุชาเพียงตนเดียวของท้าวยักษ์ในแดนสรวง นามว่าอสุรา…” เขาบอกและสามารถทำให้ฉันสะดุ้งได้ในคราวเดียวกัน ด้วยปลายนิ้วที่เขาถือวิสาสะใช้ไกล่เกลี่ยทัดปรอยผมยุ่งๆ ที่ปรกลงบนหน้าให้อย่างเบามือ “เราได้เสียงเรียกของแม่ทับทิม รับรู้ถึงจิตตั้งมั่นที่แม่ทับทิมมีต่อเรา ก้องดังไกลไปแดนสรวง หลังสงครามสรวงยุติลงไปหลายร้อยชั่วยาม…”
“…” เขากำลังพูดบางอย่างซึ่งฟังดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่ฉันจะโอนเอนไปตามน้ำคำ แต่ขณะเดียวกัน น้ำเสียงที่เขาใช้กลับเป็นตัวบอกได้ชั้นดี ว่าทุกวจีที่ลอดผ่านริมฝีปากนั้นล้วนแล้วแต่น่าจะเป็นความจริง อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกของผู้พูด
“พี่เฝ้ารอคอยคืนและวันให้เคลื่อนผ่านไปด้วยความห่วงหา หวังได้พบ ยลหน้าคราตาแม่ทับทิมสักครั้งให้สมดั่งคำนึกหา เพราะเหตุนี้ ยามนี้พี่จึงอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าแม่ทับทิมยังไงเล่า…”
“ละ แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ...พะ เพราะเสียงของฉันงั้นเหรอ!?”
“หาใช่เพราะเสียงของแม่ทับทิมแต่เพียงประการเดียวเสียที่ไหน…” เขาส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ลดปลายนิ้วซึ่งยังคงวนเวียนแถวแก้มฉันลงเลย “แต่เป็นเพราะพี่เชื่อมั่นในเรื่องบุพเพสันนิวาส และคำร้องขอของตนเอง ในยามที่ดวงใจสิ้นลมต่างหาก”
ดวงใจสิ้นลมงั้นเหรอ…
หากว่าเขาคือท่านอสุรา น้องชายของท้าวอสุเรนทร์ในตำนานเก่าเล่มนั้นจริงๆ ดวงใจสิ้นลมที่เขาหมายถึงนั่น ก็คงจะหมายถึงแม่หญิงนิมมานรดีงั้นเหรอ?
“ละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ คนรักของคุณตาย มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
“เหตุใดจักมิเกี่ยวกันเล่าแม่ทับทิม” เขาขัด “ในเมื่อช่วงหลายหมื่นยามที่พ้นผ่าน พี่วอนขอต่อลมฟ้าอยู่ทุกกาลเวลา ว่าขอให้ได้พบเจอดวงใจที่อีกสักครามาโดยตลอด…”
ขอให้ได้เจอคนรักงั้นเหรอ!?
“สุดท้ายแล้วพี่ก็ได้…ดั่งที่เฝ้าร้องขอ…” นี่น่าจะเป็นหนที่ล้านแล้ว ที่เขาทำฉันสะดุ้งเฮือกไปทั้งตัวแบบไม่ทันให้เตรียมตัว ด้วยฝ่ามือที่เขาถือโอกาสบรรจงสัมผัสลงบนแก้มอย่างเต็มมือด้วยความนุ่มนวล “ได้ยินเสียงหวานของดวงใจ เสียงเดียวจากเมืองมนุษย์ดังมาไกลถึงนครยักษ์”
Rrrrr Rrrrrrr
ยังไม่ทันได้ปะติดปะต่อสิ่งที่ชายตรงหน้าบอก จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงดังแทรกขึ้นกลางบทสนทนา พานให้เจ้าของมืออุ่นข้างแก้มสะดุ้งเฮือกอย่างคนตกอกตกใจ ก่อนทำเรื่องเหลือเชื่อให้เห็นเป็นขวัญตาอีกครั้งด้วยการอันตรธานตัวหายไปจากพื้นที่บริเวณนั้นมันเสียดื้อๆ
แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ซ้ำยังอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความจริงและความฝัน หากแต่เมื่อบริเวณโดยรอบปลอดโปร่ง ไร้วี่แววของสิ่งอัศจรรย์ให้รู้สึก ร่างกายซึ่งคล้ายกับถูกแช่แข็งไปชั่วขณะก็เริ่มกลับมาขยับได้มากขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังทำปฏิกิริยากับเสียงเรียกเข้าที่ดังต่อเนื่องไม่หยุดโดยการก้าวเท้าเล็กๆ พาตัวเองหลบหนีไปยังต้นเหตุของเสียงโทรศัพท์อีกด้วย
เพราะเวลานี้...หากมีใครสักคนคอยพูดคุยด้วย มันน่าจะดีกว่าการต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเร้นลับแบบนี้คนเดียวแน่ๆ
“ฮะ ฮัลโหล…ทะ ทับทิมพูดค่ะ” ทันทีที่กดรับ ฉันก็รีบกรอกสายผ่านหูโทรศัพท์ทันที แม้น้ำเสียงที่ใช้ ยังไม่คลายอาการหวาดหวั่นและตกใจได้เท่าที่ควรก็ตาม
[สวัสดีจ๊ะทับทิม…] แต่แล้วความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็มีอันลดหย่อนลง แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย เมื่อเสียงที่ดังตอบกลับมาฟังไม่คุ้ยนัก เช่นเดียวกับเบอร์ที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอ ทว่า ความรู้สึกดังกล่าวก็เกิดขึ้นไม่นานนักหรอก เมื่อปลายสายกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยตัวเอง [นี่เจ๊เอง กรองขวัญผู้จัดการของเมรีน่ะจ่ะ จำได้หรือเปล่า ?]
“คะ คุณกรองขวัญหรือคะ !?”
[ใช่จ๊ะ ว่าแต่ทับทิมไปทำอะไรมา ทำไมเสียงฟังดูไม่ค่อยดีเลย] และเพียงไม่นานเมื่อสติฟื้นคืนกลับมาเพราะคำแนะนำตัวผ่านสายของคุณกรองขวัญ ฉันซึ่งเป็นพวกบ้างานก็เริ่มคืนสู่โหมดปกติ
“ปะ เปล่าค่ะ!” แม้ว่าสิ่งที่ให้คำตอบไปนั้นจะเป็นเรื่องหลอกลวงก็ตามที “แล้วนี่คุณกรองขวัญเอาเบอร์ทับทิมมาจากไหนคะ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าถึงต้องโทรมาเองแบบนี้”
และพอโหมดตื่นตัวกับงานถูกเปิดสวิตซ์ คำถามมากมายก็พรั่งพรูผ่านสายไม่หยุด ก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจของผู้ฟัง
[ใจเย็นๆ นะจ๊ะ ค่อยๆ พูดก็ได้ ไม่ต้องรีบ…] และนั่นคงเป็นคำตอบของปลายสาย [พอดีเจ๊ไม่รู้ว่าร้านเช่าชุดที่ทับทิมเช่ามาอยู่ที่ไหนน่ะจ่ะ เลยว่าจะวานให้หนูเข้ามาเอาชุดไปคืนร้านให้ทีหน่อยน่ะ]
“ดะ ได้สิคะ…”
[ดีเลย…ถ้างั้นเดี๋ยวช่วงบ่ายโมงครึ่ง ทับทิมเข้ามาหาเจ๊ที่คอนโดฯ นะ เดี๋ยวเจ๊ส่งโลเคชั่นไปให้] แต่พอเริ่มพูดคุยผ่านสายกับคุณกรองขวัญมากขึ้น อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องชุดนางรำที่ฉันเป็นคนเอาไปให้ในวันบวงสรวงเปิดกล้องด้วยแล้ว วูบหนึ่งที่ในหัวก็ดันนึกถึงหน้าชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
‘หากการพบกันของเราเป็นเหมือนนิมิตฝันของแม่ทับทิม พี่เองก็เห็นดีเห็นงามเช่นนั้นมิต่างกัน’ รวมถึงเสียงที่เขาใช้พูดกับฉันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน จนปากเผลอขยับถามเรื่องไม่เป็นเรื่องผ่านสายโทรศัพท์อย่างลืมตัว
“คุณกรองขวัญคะ…ตอนนี้ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหมคะ ?”
[จ๊ะ!? ทับทิมว่ายังไงนะ?] กว่าจะรู้ว่าฉันกำลังพูดเรื่องแปลกๆ ออกไป ก็คงเป้นตอนที่ถูกคุรกรองขวัญถามกลับมานั่นแหละ
“ปะ เปล่าค่ะ มะ…ไม่มีอะไร”
[มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ บอกเจ๊ได้นะ]
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉะ ฉันคงแค่ละเมอต่อจากสิ่งที่ฝันน่ะค่ะ” ฉันพยายามแก้ตัวและเบี่ยงประเด็นคำถาม เพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องน่าเหลือเชื่อที่คล้ายกับภาพฝันนั่นให้รู้สึกหวาดหวั่นและปวดอีก ทว่า ปลายก็ไม่วายที่จะส่งเสียงแซว
[แปลว่าต้องฝันดีแน่ๆ เลย ฝันว่าเจอคนรักหรือจ๊ะ?]
คนรักงั้นเหรอ…
‘เหตุใดจักมิเกี่ยวกันเล่าแม่ทับทิม ในเมื่อช่วงหลายหมื่นยามที่พ้นผ่าน พี่วอนขอต่อลมฟ้าอยู่ทุกกาลเวลา ว่าขอให้ได้พบเจอดวงใจที่อีกสักครามาโดยตลอด...สุดท้ายแล้วพี่ก็ได้ดั่งที่เฝ้าร้องขอ…ได้ยินเสียงหวานของดวงใจ เสียงเดียวจากเมืองมนุษย์ดังมาไกลถึงนครยักษ์’ มะ ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเด็ดขาด
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันว่า ฉันฝันร้ายมากกว่า”
[เอาน่าๆ ฝันร้ายเขาว่าจะกลายเป็นดีนะจ๊ะ…เดี๋ยวเจ๊ต้องไปช่วยเมรีแต่งตัวก่อน ยังไงวันนี้ตอนบ่ายอย่าลืมเข้ามาเอาชุดนางรำไปคืนด้วยนะ]
“ได้ค่ะ” สิ้นเสียงรับคำ เสียงเดียวที่อยู่พูดคุยกับฉันให้คลายอาการหวาดกลัวก็วางสายไป และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับความเงียบภายในบ้านตัวเอง
ทั้งที่จะไม่คิดถึงเรื่องน่ากลัวอะไรพรรค์นั้นแล้วแท้ๆ แต่พอความเงียบปกคลุมไปทั่วทุกอาณาบริเวณภายในบ้าน ภาพทุกภาพที่อยู่เหนือธรรมชาติและการคาดเดาก็ค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม โดยเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาที่ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของอสูรอย่างช้าพร้อมเสียงถาม
‘คราวนี้เจ้าจำพี่ได้หรือยังเล่า แม่ทับทิม?’ จำต้องกระโจนตัวกลับขึ้นไปอยู่บนเตียงและใช้ผ้าห่มผืนหนาห่มคลุมอำพรางตัวไว้อย่างไร้ทางเลือกด้วยอาการสั่นเทาราวกับคนเสียสติ
นี่มันเวรกรรมอะไรกันนะ...
ทั้งที่เกิดและเติบโตอยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งยี่สิบกว่าปี ทำไมฉันต้องมากลัวบ้านตัวเองในปีที่อายุครบยี่สิบห้าแบบนี้ด้วย!!
Talk1 ใครน้อออออออ
Talk2 พออัพมาถึงตรงนี้รู้สึกได้เลยว่าระหว่างท่านอสุรากับท้าวอสุเรนทร์เวลาเจอกับตัวนางเอกนี่ต่างกันอย่างลิบลับ 55555
Talk2 ก่อนคู่นี้จะคุยกันรู้เรื่อง ทับทิมอาจจะเป็นบ้าไปก่อนก็เป็นได้ 55555
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น