คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ช า น มึ น : ต อ น ที่ ส า ม
ต อ น ที่ ส า ม
“มีเรื่องอะไรจะบอกแม่มั้ย”
จู่ๆเย็นวันหนึ่งเมื่อกลับมาถึงบ้าน แบคฮยอนที่เพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็มีอันต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าแม่ต้อนรับเขาด้วยคำพูดที่ต้องการจะให้สารภาพอะไรบางอย่างออกมา ในหัวเขาตอนนี้กำลังประมวลความผิดของตัวเองว่ามันคือเรื่องไหนกันแน่ที่อยากจะให้สารภาพ อย่างเช่นเขาเอาถุงเท้าไปซักรวมกับเสื้อของแม่ หรือกางเกงในของเมื่อสามวันที่แล้วที่ตอนนี้ก็ยังซุกอยู่ในห้อง หรือจะเป็นหนังสือโป๊ของไอ้ทงเฮที่ดันลืมไว้ในกระเป๋าจนต้องยัดเก็บไว้ใต้เตียง หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่เขาแอบทำจานแตกไปหนึ่งใบเมื่ออาทิตย์ก่อน
โอ้โห ถามมาแบบนี้กูจะสารภาพเรื่องไหนก่อนดีล่ะ
“ระ...เรื่องอะไรล่ะแม่”
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน.....”
แม่เกริ่นนำไว้ให้แต่นั้นแล้วให้เขาได้คิดต่อเอง และตอนนี้สมองที่มีอยู่น้อยนิดก็กำลังประมวลหาเหตุการณ์ต้องห้ามที่เขาลงทำลงไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ดวงตาคู่น้อยเบิกกว้างขึ้นมาก่อนจะหันไปมองหน้าของคนที่กำลังทำหน้าเครียด
“แม่คือ.....”
“ทำไมไม่บอกแม่แบคฮยอน”
“เดี๋ยวก่อนสิ คือ......”
“เพราะแม่มันไม่ได้เรื่องเลยใช่มั้ยเลยไม่คิดจะบอกแม่”
“ไม่ใช่ซักหน่อย...แม่....”
แบคฮยอนครางออกมาเบาๆเมื่อผู้หญิงตรงหน้าคนที่เขาแคร์มากที่สุดในชีวิตกำลังทำสีหน้าผิดหวังและเจ็บปวด รีบโยนกระเป๋าเป้วางทิ้งไว้อีกเบาะก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆแล้วรีบกอดแม่เอาไว้ “แม่ฟังแบคนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรนะขอแบคอธิบายก่อน”
“........”
“เรื่องเมื่อวันนั้นมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น ชานยอลช่วยแบคไว้ได้ก่อน อีกอย่างตอนนี้ไอ้โรคจิตนั่นก็ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว ตำรวจจัดการเรื่องให้เราแล้ว”
“.......”
“แบคไม่อยากให้แม่คิดมาก”
พูดด้วยน้ำเสียงผะแผ่วที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผิด จนกระทั่งมือของแม่ยกขึ้นลูบศีรษะของเขาเท่านั้นแหละถึงได้น้ำตารื้นที่ทำให้แม่กังวลใจได้มากขนาดนี้ บางทีเขาควรจะเชื่อชานยอลไปซะตั้งแต่วันนั้น ยอมบอกแม่ไปดีกว่าปล่อยให้แม่มานั่งโทษตัวเองภายหลัง
“แบคขอโทษนะแม่”
“แม่ก็ขอโทษที่ดูแลแกไม่ดีนะแบคฮยอน”
“ไม่เลยๆ แม่เจ๋งมาก แบบเจ๋งโคตรๆอะ”
ค่อยๆดันร่างของคนที่ดูแลตัวเองมาเกือบจะยี่สิบปีออกให้ถอยห่างแล้วชูนิ้วโป้งเพื่อบ่งบอกถึงความสุดยอดหลายๆครั้งจนทำให้หัวเราะได้ แบคฮยอนยิ้มออกมาน้อยๆ “ไม่โทษตัวเองนะป้า”
“แกก็อย่าหาเรื่องให้มากนักซี่”
“มันมาเองอะ” แล้วก็โดนเขกหัวไปหนึ่งปั้กโทษฐานที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว
ปัดโธ่! ก็บอกว่ามันมาเองๆ
แล้วพอได้เวลา เสียงออดหน้าบ้านก็จะดังขึ้นทุกครั้งพร้อมกับการปรากฎตัวของผู้ชายตัวสูงที่หิ้วท้องมาฝากครัวที่นี่ เป็นแบคฮยอนอีกนั่นแหละที่ต้องเดินไปเปิดประตูให้ แต่คราวนี้ไม่ปล่อยให้เข้าไปในบ้านได้ง่ายเหมือนทุกที
“มีอะไร?”
“พี่ได้บอกเรื่องที่โดนโรคจิตตามเมื่อสองอาทิตย์ก่อนกับแม่ผมปะ”
“เปล่า”
“เอ๊า แล้วแม่รู้ได้ไงวะ” ถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความแปลกใจที่จู่ๆแม่ก็ดันรู้เรื่องขึ้นมาได้ก่อนจะขยับให้อีกคนได้เดินเข้ามาในบ้าน
“วันนี้เห็นรถตำรวจวิ่งผ่านมา แล้วก็เหมือนคุยอะไรกับแม่นายนิดหน่อย”
“.........”
“ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้”
คุณตำรวจทำหน้าที่ได้ดีมากเลยครับ
เป็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างไรเสียแบคฮยอนก็เคลียร์กับแม่ไปแล้ว แถมยังดีเสียอีกที่เขาหมดเรื่องที่ปิดบังแม่ไปหนึ่งเรื่อง
อืม....แบคฮยอนมีเรื่องที่ปิดบังแม่อีกเยอะแยะเลย
“น้ามีเรื่องจะขอให้ชานยอลช่วย”
ทันทีที่เข้ามาในบ้านแม่ก็เอ่ยปากขอร้องคนข้างบ้านที่ทำหน้ามึนๆ แบคฮยอนรีบปิดประตูก่อนจะเดินมานั่งข้างๆคนเป็นแม่แล้วหยิบหมอนอิงมาวางตักไว้ เหลือบมองหน้าคนที่กำลังทำหน้าเครียดสลับกับปาร์คชานยอลไปมา
“ครับ?”
“สัปดาห์หน้าน้าจะต้องไปดูงานต่างจังหวัดอาทิตย์นึง ถ้ายังไงจะฝากให้ชานยอลดูแลน้อง...”
“ป้า ผมดูแลตัวเองได้”
“แม่รู้น่า หมายถึงตอนกลางคืน แม่ไม่อยากให้แกอยู่คนเดียว ถ้าไม่ให้พี่เขามานอนด้วยก็ไปนอนกับพี่เขา ชานยอลลำบากมั้ยจ๊ะ?”
ประโยคสุดท้ายหันไปหาผู้ชายตาโตที่กำลังจะเดือดร้อนในไม่ช้า แบคฮยอนรีบชูนิ้วขึ้นทำไขว้กันเป็นกากบาทบอกให้อีกคนปฏิเสธไป แต่ทว่าปาร์คชานยอลก็ยังคงเป็นปาร์คชานยอล หมอนั่นไม่เคยทำอะไรที่จะถูกใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ลำบากครับ”
“แม่.....” แบคฮยอนร้องครวญครางแล้วเขย่าแขนเล็กๆนั่นไปมา ซึ่งนอกจากแม่จะไม่สนใจเขาแล้วยังเอื้อมมือไปวางไว้บนตักของชานยอล ย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้าไม่ได้บังคับนะชานยอล ถ้าลำบากใจบอกน้าได้เลยนะ”
“รบกวนพี่เขาเปล่าๆแม่....”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมจะช่วยดูให้”
“น้าขอบใจมากนะ ขอบใจจริงๆ”
โอ้โห....โอ้โห มีใครคิดจะฟังแบคฮยอนบ้างมั้ยตอบ
ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นแมลงวันบินผ่านไปมาอยู่ระหว่างสองคน ไม่มีใครฟังแบคฮยอนและไม่คิดที่จะสนใจด้วยซ้ำ สองคนนั้นทำสัญญาตกลงกันอย่างเงียบๆในขณะที่ร่างน้อยก็ทำหน้าง้ำกระทั่งแขนของคนเป็นแม่กอดเข้าที่คอเขานั่นแหละถึงได้กอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้น
“แม่เป็นห่วงแก เข้าใจไหม”
“ผมก็ผู้ชายป่าวว้า”
“ผู้ชายแล้วยังไง สมัยนี้จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็อันตรายหมดแหละ อยู่กันสองคนดีแล้วจะได้ช่วยดูแลกัน เอาล่ะ แม่ไปทำกับข้าวแล้ว”
ขยี้ศีรษะของลูกชายตัวเล็กแล้วจึงเดินหายเข้าไปในครัว นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่ได้เปิดให้แบคฮยอนสามารถเปิดฉากฉะอีกคนได้โดยไม่ต้องเกรงใจแม่ จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะเหวี่ยงแบบเต็มที่แต่พอเห็นหน้าซื่อๆมึนๆของอีกคนเขาเลยได้แต่ลดเสียงตัวเองลง
ความโหดจากตอนแรกมาเต็มสิบตอนนี้เหลือสามเลยนะครับแหม่...
“ปฏิเสธไปบ้างก็ได้พี่”
“ก็เรื่องนี้ฉันไม่ได้ลำบากอะไร”
“พี่ต้องมานอนบ้านผมนะ ไม่ลำบากอะไรล่ะ”
“แล้วใครว่าฉันจะนอนบ้านนี้?”
“...........”
“แบคฮยอนต่างหากล่ะที่ต้องมานอนบ้านฉัน”
------ GIDDY CHANYEOL ------
พอเช้าของอีกวันคุณชายบยอนวัยสิบเก้าปีก็ถูกลากกู่ลู่กู่ถังลงจากที่นอนเพื่อให้ตื่นมาทำข้าวเช้าและรีบออกไปกับคนข้างบ้านเพื่อชุดนักศึกษาในตอนสาย เป็นอีกวันหนึ่งที่แม่จะต้องออกไปทำงานเพื่อเคลียร์เอกสารในออฟฟิสให้เสร็จแล้วอาทิตย์หน้าถึงจะออกไปดูงานนอกสถานที่ที่จะต้องไปต่างจังหวัดจนต้องฝากเขาไว้กับคนข้างบ้านนั่นแหละ เพราะอย่างนั้นปาร์คชานยอลเลยอาสาที่จะเป็นธุระให้ในวันนี้
นี่ถ้าไม่บอกเขาจะคิดว่าปาร์คชานยอลเป็นญาติอีกฝั่งนึงแล้วนะเนี่ย
“ว้ายตาย! กำลังบ่นคิดถึงน้องชานยอลอยู่พอดีเลย ว่าไงจ๊ะพ่อรูปหล่อ มาซื้อเสื้อเพิ่มหรอจ๊ะ”
ทันทีที่เหยียบเข้ามาในร้าน เสียงทักทายของสาววัยกลางคนที่ดูจะเด็กกว่าแม่เขาไม่เท่าไหร่ก็แล่นมาก่อนที่ตัวจะมาถึงก่อนจะจับตามเนื้อตามตัวของคนตัวสูงที่เดินนำหน้าเข้ามา ปาร์คชานยอลไม่ตอบในทันทีแต่วาดแขนตัวเองไปทางด้านหลัง แตะเข้าที่เอวของคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างให้ขยับขึ้นหน้ามา ร่างน้อยสะดุ้งเมื่อจู่ๆอีกคนก็มาแตะเนื้อต้องตัวกันแต่สุดท้ายก็ต้องทำเฉยเมื่อพบว่าชานยอลยังคงทำสีหน้าเหมือนเคย
“เปล่า....นี่ต่างหาก”
“อ้อ น้องชายหรอ หน้าตาน่าเอ็นดูจัง”
เปลี่ยนเป้าหมายจากชายหนุ่มมาเป็นเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างกัน แบคฮยอนทำหน้าเหวอหน่อยๆเมื่อมือของสาวเจ้าเอื้อมมาหยิกแก้มเขาเบาๆ “ตกใจหรอ คิกๆ น่ารักจังเลยนะ”
“เดี๋ยวผมฝากวัดตัวด้วย”
“อ้าว แล้วชานยอลจะไปไหนซะล่ะ?”
“หาที่งีบแถวนี้แหละ เขาลองเสื้อแล้วเรียกผมด้วยนะ”
ว่าจบก็โบกมือแล้วเดินไปหามุมสงบทั้งสองคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันสองคนก็มองตามจนกระทั่งอีกคนเอนตัวลงที่บนโซฟา คุณน้าเจ้าของร้านจึงหันกลับมาให้ความสนใจเขาอีกครั้งนึงด้วยการส่งยิ้มหวานมาให้
“ใส่เสื้อเบอร์อะไรจ๊ะ?”
“ผม....ไม่แน่ใจ”
“งั้นเดี๋ยวน้าจัดการให้เอง”
เสร็จก็หยิบสายวัดที่คล้องคอออกมาแล้วสั่งให้เขายกแขนขึ้น แบคฮยอนทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะเหลือบมองไปยังคนที่ทำท่าเหมือนจะเข้าโลกส่วนตัวไปแล้ว ซึ่งเอาตามตรงเขาไม่คิดว่าปาร์คชานยอลจะพาออกมาเช้าขนาดนี้
“หน้าไม่เหมือนชานยอลเลยน้า”
“พอดี...เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะครับ”
“อ้อๆ ดีจังเลยมีเพื่อนบ้านหล่อขนาดนี้” ว่ายิ้มๆพลางขยับสายวัดลงต่ำพันรอบสะโพก คนมีเพื่อนบ้านหล่อเลยยิ้มแห้งๆ
หล่อแต่แปลก....มันยังดีใช่มั้ย?
“เดี๋ยวรอแป๊บนึงนะจ๊ะ” เมื่อวัดตัวเสร็จคุณน้าเจ้าของร้านก็บอกให้เขายืนรออยู่ตรงนี้ซักพักในขณะที่เจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในกองเสื้อผ้า รื้อๆค้นๆอยู่พักนึงแล้วหยิบเสื้อและกางเกงมาให้หนึ่งชุด แบคฮยอนรับมาแล้วคลี่ออกก่อนจะขมวดคิ้วนิดหน่อย
“ผมขอใหญ่กว่านี้ได้มั้ยครับ กางเกงด้วย”
“เอางั้นหรอ? น้าว่ามันก็กำลังดีน้า”
“ผมไม่ค่อยชอบใส่เสื้อตัวเล็กเท่าไหร่...”
“โอเค งั้นเดี๋ยวน้าดูให้” ริมฝีปากบางขยับเอ่ยขอบคุณแล้วคลี่เสื้อออกมาดูอีกครั้ง ขยับมันออกไปด้านหน้าแล้วขยับกลับมาทาบตัวพลางส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ ยังไงก็เล็กเกินไป เขาแอบมีพุงนิดๆด้วยล่ะ ใส่รัดๆก็แย่เลย
ที่มีพุงเพราะช่วงนี้แม่มีตังหรอกนะจะบอกให้
ที่ใช้คำว่าช่วงนี้เพราะเขาเองไม่ได้มีพุงตลอดนะเฮ้ย!
ไม่นานนักคุณน้าเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมกับเสื้อและกางเกงไซส์ใหม่ มือเล็กเอื้อมไปรับมาไว้แล้วเดินเข้าที่ห้องลองเสื้อตามที่เจ้าของร้านชี้บอก
“น้องกำลังลองเสื้อแน่ะ บอกจะเอาเสื้อตัวใหญ่ ยังไงก็ดูเองแล้วกัน”
เมื่อส่งคนตัวเล็กเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้ว หญิงสาวที่อยู่ประจำร้านก็เดินมาสะกิดร่างสูงที่หลับงีบบนโซฟาไปได้แป๊บเดียว ปาร์คชานยอลค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วพยักหน้ารับ นั่งรอไม่นานมากแบคฮยอนก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทันทีที่เห็นร่างน้อยในชุดนักศึกษาคนที่นั่งอยู่ด้านนอกก็ขมวดคิ้วแน่น เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงแสลคสีดำนั่นไม่ได้พอดีตัวแม้แต่น้อย หลวมโพรกเสียจนคิดว่าเอาเสื้อของพ่อมาใส่ ไหล่ตกลงมาอยู่ด้านข้างแถมแขนเสื้อยังยาวเกินไปอีก แล้วยิ่งเห็นแบคฮยอนทำท่าพออกพอใจกับชุดตัวเองเขายิ่งขมวดคิ้วแน่น
“ไม่โอเค”
“หะ?”
“คิดว่าจะมาเต้นฮิพฮอบหรอ....ใหญ่เกินไปแล้ว”
“เฮ้ย มันโอเคนะพี่ ไม่โอเคตรงไหนวะ”
ดวงตาคู่เล็กก้มลงสำรวจสภาพตัวเองก่อนจะหมุนกลับไปส่องกระจก เอียงซ้ายเอียงขวาดูก็ยังคงพอใจกับชุดตัวเองเหมือนเดิม ร่างสูงเดินเข้ามาซ้อนทางด้านหลังก่อนจะจับเสื้ออีกคนบริเวณบ่าดึงขึ้นมา
“หนึ่ง...ไหล่ตก”
“เดี๋ยวนี้ใครๆเขาก็ใส่กันทั้งนั้นแหละน่า”
“สอง.....แขนยาวเกิน”
“ดะ...เดี๋ยวก็พับเอาไง” เริ่มตอบตะกุกตะกักเมื่อรู้สึกได้ว่าปาร์คชานยอลขยับเข้ามาชิดมากกว่าทุกที อีกคนจับที่ปลายของแขนเสื้อ ยกมันขึ้นมาเพื่อบอกว่ามันยาวขนาดไหน แบคฮยอนหดมือเข้าหาตัวก่อนจะขยับเบี่ยงหนีออกทำท่าคล้ายว่าจะหันกลับไปเถียง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่ตบลงมาบนสะโพกของเขาอย่างถือวิสาสะ
“แล้วก็สาม.....”
“......!”
“กางเกงหลวมโพรกไป มันไม่โอเค”
“.......”
“เข้าใจมั้ย?”
“ระ...รู้แล้ว”
แล้วก็เอามือออกจากสะโพกของเขาได้แล้วด้วย!
ร่างน้อยทำหน้าตื่นก่อนจะจ้องเข้าไปในกระจกเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย คนที่ลวนลามเขาโดยไม่รู้ตัวยังคงทำสีหน้าจริงจังเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าแถมยังจ้องเขากลับประหนึ่งว่าสิ่งที่แบคฮยอนกำลังทำมันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆเค้นเสียงออกมา
“มือ....”
“หือ?”
“มือพี่......”
“ทำไม?”
“ปล่อยมือพี่ออกจากสะโพกผมได้แล้ว”
โอ้โหยังจะกล้าถามว่าทำไม
มีผู้ชายดีๆที่ไหนมายืนจับสะโพกของคนอื่นไม่ยอมปล่อยบ้าง ตอบบบ!
ถึงตอนนั้นคนที่ยืนซ้อนหลังอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาในกระจกสลับกับมองมือของตัวเองที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม แบคฮยอนแยกเขี้ยวใส่ไปอีกทีเพื่อเร่งให้อีกคนรีบๆเอามือออกไป หากแต่ปาร์คชานยอลไม่เคยรีบและไม่สนใจอะไร มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังตบมันอีกสองสามครั้งแล้วขยำเบาๆ
อื้อหือ....! ทำแบบนี้ปล้ำกูเลยเถอะปล้ำกูเลย
“เห็นตัวเล็กแบบนี้ก็ซ่อนรูปเหมือนกันนะเนี่ย”
“ตลกแล้วๆ ซ่อนรูปอะไรพี่ซ่อนอะไร”
“ไขมันไง”
“..........”
“ตรงสะโพกนี่เยอะเลยนะ”
จะ...จับของคนอื่นแล้วยังจะกล้ามาวิจารณ์อีกนะไอ้มึน!
“ไปเปลี่ยนให้เล็กกว่านี้ แล้วออกมาให้ฉันดูใหม่”
และในที่สุดบยอนแบคฮยอนก็เป็นอิสระจากผู้ชายตัวร้าย เงยหน้ามองร่างสูงในกระจกอีกรอบก่อนจะรีบวิ่งไปหาคุณน้าเจ้าของร้านเมื่อชานยอลขยับเข้ามาใกล้อีกหนหนึ่ง แล้วจึงรีบวิ่งกลับเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่
เมื่อมีเวลาส่วนตัวแบคฮยอนก็ลอบมองใบหน้าตัวเองในกระจกก่อนจะพบว่ามันขึ้นเป็นริ้วสีแดงจางๆ เขาจะคิดเอาว่ามันเป็นเพราะช่วงนี้อากาศร้อนเกินไป ถึงแม้ว่าในร้านจะมีแอร์ก็ตาม เขากัดฟันตัวเองก่อนจะรูดกางเกงลงแล้วตบบริเวณที่โดนจับซ้ำๆจนสะโพกขึ้นแดงเป็นรอยมือ
โอ้ยยยย โอ้ยยยยยย!
ยืนนิ่งอยู่ในนั้นพักใหญ่เพราะเมื่อส่องกระจกดูแล้วก็พบว่าเสื้อผ้าที่กำลังใส่อยู่นี่มันดูพอดีตัวไปหมดเสียจนน่าอึดอัด มันไม่เหมือนกับชุดนักเรียนที่เคยใส่เลยซักนิด แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆมีใครบางคนเปิดม่านกั้นเข้ามา
“ยังไม่เสร็จหรอ?”
นี่ใกล้ล้ะ...
ใกล้จะได้หันไปต่อยหน้าปาร์คชานยอลละบอกตรงๆ
ค่อยๆหมุนตัวหันไปให้อีกคนเห็น เป็นอีกครั้งที่ถูกชานยอลมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเอามือวางลงบนเอวตัวเองแล้วบีบมันเบาๆ “พี่เห็นปะเนี่ยว่าผมมีพุงอะ เวลานั่งมันมีพุงเข้าใจป้ะ”
“.......”
“ก็บอกแล้วว่าน่าเกลียด” บ่นอุบอิบแล้วเอื้อมมือจะดึงผ้าม่านปิดเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมพูดอะไร ทว่าท่อนแขนของใครอีกคนกั้นมันเอาไว้ก่อน
“น่าเกลียดน้อยกว่าเมื่อกี้นิดนึง”
“......ห๊ะ?”
“เอาไซส์นี้แหละ น่าเกลียดน้อยที่สุดแล้ว เอากี่ชุด?”
“เสื้อห้า กางเกงสี่....”
ว่าจบก็เดินไปบอกคุณน้าเจ้าของร้านในขณะที่บยอนแบคฮยอนก็ค่อยๆเอื้อมมือไปปิดม่านพลางประมวลคำพูดเมื่อซักครู่ ตกลงว่าไซส์นี้มันดีกว่าเมื่อซักครู่หรือไม่
ทำไมฟังๆแล้วมีแต่คำว่าน่าเกลียดวะ
แบคฮยอนถอดเสื้อผ้าคืนคุณเจ้าของร้านที่ตอนนี้เริ่มจะยุ่งๆ มีลูกจ้างออกมาสองสามคนเพื่อต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ร่างเล็กขยับตัวออกมานั่งบนโซฟาอยู่ข้างๆปาร์คชานยอลที่ผล็อยหลับไปอีกรอบ หลังจากที่นั่งมาได้ซักพักเขาถึงได้รู้ว่าทำไมอีกคนถึงต้องลากออกมาตั้งแต่เช้า
พอช้าแล้วคนมันจะเยอะนี่เอง
ใช้เวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จทั้งหมด แบคฮยอนรับถุงมาจากคุณน้าเจ้าของร้าน โค้งศีรษะขอบคุณซ้ำๆแล้วก็โดนหยิกแก้มไปเสียหนึ่งทีด้วยความเอ็นดูหลังจากนั้นคุณน้าก็กลับไปยุ่งอีกครั้ง ขาเล็กจึงก้าวย่ำไปหยุดอยู่หน้าคนตัวยาวที่ยังคงนอนอยู่บนโซฟาทั้งๆที่ในร้านเสียก็ค่อนข้างจอแจ แต่ชานยอลกลับนอนได้โดยไม่มีท่าทีรำคาญใจเลยซักนิด
เขายืนอยู่แบบนั้นโดยไม่คิดจะปลุกอีกคน พยายามมองหามุมน่าเกลียดของอีกฝ่ายแล้วเอามือถือถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วก็มีอันต้องหงุดหงิดเมื่อหามุมที่ว่านั่นไม่เจอ จะเจอก็แต่หูกางๆที่มันผิดปกติแต่ดูเหมือนจะรับกับใบหน้าหล่อๆนั่นชดเชยกันได้แบบพอดี พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะยัดโทรศัพท์เก็บลงไปที่เดิมพลางก้มหน้าลงไปใกล้พลางย่นจมูกใส่
“..........”
“..........!”
จู่ๆดวงตาคู่โตก็ลืมขึ้นมา จนถึงตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าเสน่ห์แท้จริงของปาร์คชานยอลนั้นอยู่ที่ดวงตา ความหล่อที่ว่าร้ายแล้วเสน่ห์ของดวงตานั้นดูเหมือนจะมากกว่า ใบหน้าหวานเกิดอากการร้อนเห่ออีกครั้งเมื่อสบตาเข้าอย่างจังเมื่อครู่ ร่างเล็กกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่ก็ตอนนี้
โง่ที่ดันเสือกก้มหน้าลงไปใกล้นั่นแหละ
เมื่อสติกลับคืนมา หลุดพ้นจากเสน่ห์ตรงหน้าแบคฮยอนจึงหยัดกายตรงแล้วกระแอมไอเบาๆ ยกถุงในมือขึ้นมาเปะปะไปทั่วแล้วค่อยพูด “เสร็จ...เสร็จหมดแล้ว”
“หื่น....”
“ห๊ะ?”
“บยอนแบคฮยอนคนหื่น”
ไอ้คนมึนทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากร้านไป ในขณะที่แบคฮยอนก็เบิกตากว้างอ้าปากค้างกับสิ่งที่อีกคนพูด
กะ...ก็แค่จ้องหน้า นี่คิดว่าเขาจูบปากหรือไง!?
โอ๊ยตายยยยยยยย!!
------ GIDDY CHANYEOL ------
ยัง....มันยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ
สารถีจำเป็นไม่ได้ขับรถกลับบ้านทันที แต่จอดแวะห้างสรรพสินค้าพาเข้าไปหาอะไรกิน และตลอดทางแบคฮยอนสัมผัสได้ว่าปาร์คชานยอล....ไม่ยอมคุยกับเขา
ความจริงแล้วมันก็เงยบแบบนี้แหละ แต่จะมีคุยบ้างเป็นบางคำ แต่นี่ไม่มีเลย ถามคำเดียวว่าหิวข้าวไหมหลังจากนั้นก็เลี้ยวเข้าห้างโดยที่ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม
เดี๋ยวนะเดี๋ยว.....
ร่างสูงเดินนำหน้าเขาไปสองก้าวทั้งที่ปกติแล้วจะเดินข้างๆไม่ก็เดินตามหลัง แบคฮยอนขมวดคิ้วแน่นอยากจะคว้าอีกคนมาเคลียร์กันให้ชัดไปเลยว่าเขาไม่ได้ทำอะไรบ้าบอแบบที่อีกคนคิดแน่นอน หากแต่ตอนนี้คนยังเยอะเกินไป
และในที่สุดก็จบลงที่ร้านอาหารเกาหลีที่คนไม่เยอะมากนัก เมื่อสั่งอาหารเสร็จแบคฮยอนก็หันไปจ้องหน้าอีกคนที่ตอนนี้กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น มือเล็กเอื้อมมือไปกดมันลง
“คุยกันก่อนพี่”
“(' ' )..........”
“เป็นไรเนี่ย”
“......( ' ')”
“ทำไมถึงบอกว่าผมหื่น”
ในที่สุดก็อ้อมค้อมต่อไปไม่ไหวเพราะปาร์คชานยอลเอาแต่หันมองซ้ายขวา พอเข้าประเด็นตรงๆอีกคนก็หันมาจ้องหน้าแต่พอจ้องไปได้หน่อยก็หลบสายตาเขาไปอีกครั้ง
“ในร้านนั่น ไม่มีอะไร โอเคปะ?”
“(' ' )......”
“ผมก็แค่มองหน้าพี่อะ มองอย่างเดียวเข้าใจปะ”
“...(//' ') แล้วมองทำไม”
กูถึงกับสตั๊นเลยทีเดียว
แน่ะ..แน่ะ มีการหน้าแดงอีก มึงจะเขินอะไรนักหนาครับตอบ!
โดนอีกคนย้อนถามแถมยังทำหน้าเขินประหนึ่งว่าตัวเองเป็นสาวน้อยที่โดนช่วงชิงจูบแรกก็ไม่ปาน แบคฮยอนผ่อนลมหายใจออกมาน้อยๆพยายามจะอธิบายเหตุผลให้อีกคนฟัง
“ผมกำลังคิดว่าจะปลุกพี่ด้วยวิธีไหนดี”
“(' '//).....แล้วทำไมต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ด้วย”
“แล้วพี่จะเขินอะไรผมนักหนาวะเนี่ย”
มือเล็กยกขึ้นขยี้ศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่านี่คือปาร์คชานยอลคนเดียวกับที่เคยไปนัดบอดกับสาวจนนางตามติดมาถึงที่บ้าน ถ้าพวกนั้นไม่ได้ผิดปกติชอบคนแบบนี้ก็แสดงว่ายังไม่ได้เห็นด้านประหลาดของเด็กวิดวะคนนี้แน่ๆ นี่เขาก็แค่จ้องหน้านิดหน่อยดันมาทำสะดีดสะดิ้งตกใจเหมือนกับโดนอะไรมากกว่านั้นอย่างนั้นแหละ
“.........”
“.........”
“(//' '//)”
“พี่เข้าใจว่าผมทำอะไรพี่ดีกว่า พูดมาตรงๆเลยจะได้เคลียร์กันตรงนี้” หลังจากที่เขาพูดไปแบบนั้น ปาร์คชานยอลก็เม้มปากไปชั่วครู่ ไม่นานนักอีกคนก็พูดออกมาเสียงเบา
“....ส”
“ห๊ะ?”
“คิสสึ”
โอ้โห...เพิ่งจะรู้ว่านอกจากจะแปลกแล้วยังเป็นคนขี้มโนสัดๆด้วย
มือเล็กตบลงบนหน้าผากตัวเองแป๊ะใหญ่ แรงจนกระทั่งคนที่กำลังนั่งเขินหันมามอง ดวงตาคู่โตนั่นเหมือนจะฉายแววความไม่เข้าใจนิดหน่อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพลางยกมือไม้ขึ้นประกอบให้ชานยอลเห็นด้วยว่าเรื่องที่คิดนั้นผิดมหันต์
“เพราะงั้นพี่เลยเขินผมมาจนถึงตอนนี้?”
“เขินไร...ไม่ได้เขิน”
“แก้มแดงอยู่อะ”
“....แดงอะไร ไม่มี” ไม่ว่าเปล่ายังเอามือปิดแก้มตัวเอง
อื้อหือ....จริงๆแล้วก็อยากจะขำ ผู้ชายตัวใหญ่ๆมานั่งปิดนงปิดหน้าเขินไปเขินมา แต่นี่ต้นเหตุมันเกิดจากเขานี่ไงมันเลยทำให้ขำไม่ออก
“ไม่ได้ทำอะไรแน่นะ” หลังจากเงียบไปพักหนึ่งปาร์คชานยอลก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความไม่มั่นใจ แถมยังมีการเอามือลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆอย่างลืมตัว เห็นแบบนั้นแบคฮยอนเลยพยักหน้าหงึกหงักยืนยันคำพูดนั่นด้วยการพูดย้ำอีกที
“แน่ดิพี่ ทำไมถึงคิดอะไรแบบนี้ได้วะ”
ร่างน้อยบ่นงึมงำพลางจินตนาการไปถึงตอนที่แอบมองใบหน้าอีกคน แม้มันจะรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยแต่สาบานได้เขาไม่มีความคิดที่อยากจะจูบอะไรแบบนั้นเลย นี่พอพูดย้ำเข้ามากๆก็กลายเป็นว่าเขาจะเริ่มหน้าแดงเองแล้วนะ
“ไม่มีก็ไม่มี.....”
“.........”
“ไม่มีจริงๆนะ(' ' )”
“เออ!!”
------ GIDDY CHANYEOL ------
50%
[วันนี้แม่กลับดึกหน่อยนะ]
“งานยังไม่เสร็จอีกหรอป้า”
[อื้อ ก็ดึกๆอะแหละ ขึ้นนอนไปก่อนก็ได้...ไม่สิ ไปอยู่กับพี่ชานยอลเขาก่อนไป]
“อะไรเล่า ไปรบกวนเขาอีกละ วันนี้เขาก็พาไปซื้อเสื้อผ้าแล้วนา”
[อืม.....นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นก็ล็อคประตูบ้านให้สนิท แล้วขึ้นข้างบนได้เลยนะ]
“ค้าบบบบ” ลากเสียงยาวก่อนจะกดวางสายเมื่อเสียงของแม่เริ่มแผ่วลงไป แบคฮยอนมองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงครึ่งแล้วจึงหยิบกุญแจบ้านเดินไปล็อคประตูรั้วใหญ่ เห็นข้างบ้านมีรถคันที่ดูไม่ค่อยคุ้นมาจอดไว้อีกคันก็คิดว่าผู้ชายตัวสูงขี้มโนที่วันนี้ไม่เดินมาเคาะประตูบ้านอย่างเคยก็คงเป็นเพราะว่ามีแขกมาที่บ้าน
“นี่คนข้างบ้าน ทานข้าวกันมั้ย?”
และก่อนที่ร่างเล็กจะมุดหนีกลับเข้าไปในที่ของตัวเอง เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนที่ดังมาจากข้างบ้านก็ร้องเรียกแบคฮยอนเอาไว้ คนตัวน้อยขยับตัวออกมายืนเมื่อเห็นใครอีกคนกำลังกวักมือเรียกก็รีบโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“มาๆมากินข้าวกัน”
“อะ....เอ้อ ขอบคุณมากครับ แต่....”
“แต่อะไรเล่า แม่ยังไม่กลับมาไม่ใช่หรอ มาทานข้าวกันมา”
เพราะได้ยินแบบนั้นเลยไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด เดินไปเปิดประตูรั้วอีกครั้งเพื่อจะไปยังข้างบ้านที่มีผู้ใหญ่ท่าทางใจดียืนรออยู่ ร่างน้อยโค้งตัวอีกทีแล้วค้อมตัวเดินตามหลังคนแก่กว่าเข้าบ้าน พบว่าปาร์คชานยอลเพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นบน
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกลู่ไปกับใบหน้าในขณะที่บนต้นคอก็มีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้บนนั้น ท่าทางสบายๆหลังจากอาบน้ำทำเอาคนมาเยือนต้องเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเพราะเหมือนว่าตัวเองจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของชานยอลเข้า เจ้าตัวดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรใดๆออกมา
มันก็เป็นปาร์คชานยอลสไตล์นั่นแหละ
“เรียกมากินไม่ใช่อะไรหรอก ลุงเผลอทำเยอะแยะเลยกลัวจะกินกันไม่หมด”
“งั้น...ฝากท้องด้วยนะครับ”
พอเห็นเจ้าของบ้านนั่งลงบนเก้าอี้แบคฮยอนจึงนั่งตามก่อนที่มื้อเย็นจะเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย พ่อของปาร์คชานยอลเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาผิดกับคนลูกที่เหมือนติดจะเงียบ เดาเอาว่าเพราะเป็นแบบนี้ชานยอลเลยชอบที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่า
“ชานยอลตักนั่นให้พ่อหน่อย”
“อื้อ”
“เอานี่ด้วย”
“อือ”
“ตักให้แบคฮยอนด้วยสิ”
“มะ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมตักเองดีกว่า”
รีบบอกปฏิเสธชายวัยกลางคนที่กำลังอ้อนลูกชายตัวเอง ซึ่งชานยอลก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากตักกับข้าวให้คนเป็นพ่อ ถึงแม้ว่ามันจะแปลกๆนิดหน่อยแต่เอาเป็นว่ามันเป็นภาพน่ารักๆที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นก็แล้วกัน
“ขอนั่นหน่อย”
“......พ่อกินที่อยู่ในจานนั่นให้หมดก่อนเหอะ”
ไม่มีการตามใจอีกต่อไปเมื่อเห็นว่าจานข้าวของคนที่แก่กว่าเกือบสามสิบปีพูนไปด้วยกับข้าวที่เจ้าตัวร้องเรียกอยากจะกินแต่เพราะไม่ยอมกินเลยเป็นเหตุให้มันล้น พ่อของปาร์คชานยอลฉีกยิ้มกว้างก่อนจะลงมือทานข้าวของตัวเอง
“เมื่อไหร่ชานยอลจะกลับบ้าน”
“นี่ก็บ้านไง”
“พ่อหมายถึงบ้านที่มีสวน สวนที่ชานยอลชอบวิ่งตอนเด็กๆ”
“..........”
“..แถมยังชอบจูงมือพ่อให้ไปวิ่งด้วยกันด้วย”
“..........”
“เมื่อก่อนชานยอลออกจะขี้อ้อนมากกว่านี้แท้ๆ...”
“...........”
“มีเพื่อนบ้านน่ารักก็ไม่กลับเลยนะ”
คนน่ารักที่กำลังขำเพราะคุณลุงข้างบ้านเล่าเอาซะจนเห็นภาพในจินตนาการว่าชานยอลตัวเล็กๆกำลังวิ่งในสวนหัวเราะคิกคักมีอันต้องชะงักกึกก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานข้าวในขณะที่ร่างสูงก็เงยหน้าจากชามข้าวมาสบตาเขา แบคฮยอนเลยเผลอทำหน้าเบ้ใส่ไปที
“ผมก็ไม่กลับแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“กลับบ้านบ้างซี่”
“ฮึ”
“ไม่คิดถึงพ่อหรอ”
“.....อายคนข้างบ้านบ้างเถอะ”
“ถือว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็ได้ ตามสบายเลยครับ” แอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางไปไม่เป็นของปาร์คชานยอล ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหัวเราะซักหน่อยแต่ติดว่านั่นเป็นการเสียมารยาทอย่างแรงเขาเลยไม่ทำปล่อยให้พ่อลูกกระเง้ากระงอดกันไป
นั่งๆไปก็มีแรงสะกิดจากปลายเท้าส่งมายังหน้าแข้ง แบคฮยอนเลยเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพบว่าคุณพ่อของชานยอลกำลังจ้องหน้าลูกชายตัวเอง พอร่างกายแข็งแรงนั่นขยับอีกทีมันก็มาพร้อมกับแรงสะกิดที่หน้าแข้งของเขา
“คือ....คุณลุงครับ....”
“หืม?” ไม่ได้ขานรับเปล่าๆแถมยังเตะซ้ำ แบคฮยอนยิ้มแหยออกมา
“ที่คุณลุงกำลังเตะ....ขาผมเองครับ”
“อ้าวหรอ! ก็ว่าสิ โทษทีนะแบคฮยอน”
ทำหน้าตกใจก่อนจะรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แบคฮยอนเลยต้องรีบโบกมือพลางค้อมตัวลงน้อยๆเผื่อบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แน่นอนว่าพอหันไปมองอีกคนที่นั่งกินข้าวบนโต๊ะเดียวกัน เจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่
บอกตรงๆนะ แบคฮยอนตั้งตัวไม่ทันกับรอยยิ้มของปาร์คชานยอลทุกทีเลย
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จก็โดนไล่ให้ออกจากครัวมานั่งอยู่บนโซฟา ระหว่างนั้นก็แอบสำรวจบ้านไปด้วย ของไม่ได้มีอะไรมากมายนักอาจจะเพราะปาร์คชานยอลอยู่ตัวคนเดียวผิดกับบ้านเขาที่ตอนนี้มันเริ่มจะรกหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน
มีกรอบรูปประปรายติดตามผนังบ้านและเขาไม่คิดว่าชานยอลจะเป็นคนนำมันมาติดเองนอกเสียจากเป็นฝีมือของคนที่กำลังยืนล้างจานอย่างอารมณ์ดีในครัว แบคฮยอนหมุนตัวมองด้วยความสนใจเมื่อพบกรอบรูปขนาดพอเหมาะตั้งอยู่ข้างๆกับโทรศัพท์บ้าน ในนั้นแบ่งออกเป็นสี่กรอบย่อยๆ เป็นของเจ้าของบ้านตั้งแต่แบเบาะยันมัธยมปลาย ริมฝีปากบางขยับเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อเห็นเจ้าแว่นตัวอ้วนกลมกำลังอุ้มสัตว์เลี้ยงไว้ในแขน
โอ๊ยแม่งโคตรจี้อะ
“......ขำอะไร”
“นี่รูปพี่ตอนเด็กจริงดิ”
หันไปถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่เพื่อความมั่นใจ นิ้วเรียวจิ้มลงบนรูปที่สองบนขวามือแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมานิดหน่อย ไม่วายโดนมือใหญ่ๆนั่นดันศีรษะให้ขยับออกจากกรอบรูปนั่นเล็กน้อย
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“มาไกลเหมือนกันนะ ถามจริงๆ ได้ไปทำอะไรเพิ่มบ้างปะ”
ประโยคสุดท้ายก็เบิกตาคู่เล็กกว้างขึ้นกว่าปกติแล้วขยับกายเข้าไปกระซิบถามคนตัวสูงเสือนจริงจังกับคำถาม เป็นท่าทางที่ดูแล้วค่อนข้างกวนประสาทไม่ใช่น้อย ปาร์คชานยอลเหลือบมองเด็กข้างบ้านที่ทำท่าแก่นเซี้ยวเอาแต่ล้อรูปเมื่อสมัยประถมของเขาแบบนั้น นิ้วยาวขยับจับเข้าที่จมูกตัวเองแล้วบิดไปมาเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหานั่น
“โหยยยยย เจ๋งว่ะ”
“แล้วของนายล่ะ?” ไม่ว่าเปล่าแถมยังเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกคน ขยับโยกไปมาน่ากลัวว่าถ้าหากเป็นของที่ทำมาจริงๆแบคฮยอนคงได้กลับไปทำใหม่ คนถูกแกล้งรีบร้องโวยวายแล้วปัดมือใหญ่นั่นออก
“ทำมาหลายตังนะพี่! จับมั่วซั่ว”
“นี่ทำแล้ว?”
“เอออออ”
“ถ้าทำแล้วยังเป็นแบบนี้....อย่าทำเลย”
ผมนี่ลุกขึ้นยืนเลย....
คนตัวเล็กเหยียดริมฝีปากออกแล้วส่งเสียงออกมาเบาๆก่อนจะวางกรอบรูปนั่นลงไปที่เดิม ร่างน้อยหยัดตัวลุกขึ้นยืนหมายมั่นว่าจะกลับบ้านแต่อีกคนกลับคว้าข้อมือเขาไว้และนั่นทำให้แบคฮยอนเผลอสะบัดออกด้วยความตกใจ ใจดวงน้อยกระตุกเมื่อสฝรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นี้อนที่มือเพียงชั่ววูบบ หันกลับไปเห็นคนข้างบ้านทำหน้าตกใจก็ตั้งใจจะแก้ตัว แต่ชานยอลกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“โกรธหรอ....”
“เฮ้ยเปล่า.....”
“นายโกรธ......”
“ไม่ใช่พี่...พอดีคือ....”
“โกรธ.....” นี่ถ้าไม่เกรงใจจะตบหน้าผากของอีกคนเสียหนึ่งทีแล้วบอกให้ฟังกันก่อนนะบอกเลย
นี่ยังเกรงใจหรอกนะ...เห็นว่าเป็นพี่หรอกจะบอกให้
“ผมตกใจเฉยๆพี่....แบบไม่ชินอะ”
“........”
“ไม่ได้โกรธ โอเคนะ” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาขยับใบหน้าของตัวเองเลื่อนให้ตรงกับของอีกฝ่าย คนข้างบ้านเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามย้ำ แบคฮยอนเลยจำต้องส่ายศีรษะตัวเอง
“ไม่ได้เป็นไรเลยพี่”
“งั้นก็อยู่นี่ก่อน”
“หือ?”
“ก็แม่นายยังไม่กลับมา อยู่นี่ก่อนก็ได้”
“แต่......”
“ส่วนเรื่องจับมือ.....”
หมับ
“ถ้าไม่ชิน....ก็ค่อยๆทำให้มันชินแล้วกันนะ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น และยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไปมือใหญ่ก็ถือวิสาสะเข้ากุมนิ้วเรียวของอีกคนเอาไว้ ร่างน้อยไม่สะดุ้งตกใจเหมือนทุกทีแต่กลับค่อยๆเบิกตากว้าง เป็นอาการตกใจแบบไม่กระโตกกระตาก เขาหันกลับไปมองปาร์คชานยอลผู้ชายหน้ามึนที่นอกจากจะไม่คิดว่าการจับมือชาวบ้านมันแปลกแล้ว เจ้าตัวยังค่อยๆเผยรอยยิ้มที่มักจะทำให้หัวใจของแบคฮยอนเต้นแปลกทุกครั้งที่ได้เห็นอีกด้วย
ปาร์คชานยอลนี่มัน......
นี่มันมึนจริงๆเลยให้ตายสิ
------ GIDDY CHANYEOL ------
เมื่อาทิตย์ก่อนรุ่นพี่โจควอนบอกว่าจะเริ่มกิจกรรมห้องเชียร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เพราะย้ำและกำชับนักหนาว่าห้ามสาย แบคฮยอนเลยรีบออกมาแต่เช้าสวมเครื่องแบบนักศึกษาที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสองวันก่อนให้ถูกต้องตามระเบียบแล้ววิ่งคาบขนมปังออกจากบ้านด้วยท่าทางร้อนรนเมื่อพบว่านี่เป็นเวลาเจ็ดโมง ซึ่งเวลานัดของพี่คือแปดโมงเช้า แน่นอนว่ามันมีเวลาอีกชั่วโมงเดียวและแบคฮยอนเองก็กลัวว่ามันจะไม่ทัน
ก็เมื่อเช้าดันยืนอยู่หน้ากระจกนานไปหน่อยเพราะไม่มั่นใจกับชุดใหม่ที่จะต้องใส่ แม่ก็เอ่ยปากชมอยู่นะแต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นกังวล เลยกลายเป็นว่าเขากำลังจะสายในกิจกรรมห้องเชียร์วันแรก และมันกลายเป็นความบังเอิญอีกครั้งเมื่อพบว่าปาร์คชานยอลเองก็กำลังจะขึ้นรถของตัวเอง ดวงตาคู่นั้นจ้องมาทางเขาพลางกวักมือเรียก
“ไปเร็ว”
ณ จุดนี่แล้วไม่เกรงใจแล้ว แบคฮยอนกำลังจะสายแล้วเนี่ย
ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่บนรถก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า มือเล็กรีบยัดขนมปังแผ่นเข้าปากให้หมดพลางจิ้มนมกล้วยในกล่อง ใช้เวลาดูดสองสามทีก็หมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็ใส่เนตไทค์ที่หยิบใส่กระเป๋ามาให้เรียบร้อย
“ดูรีบๆนะ”
“เข้าห้องเชียร์อะพี่ เขาบอกห้ามสาย”
“ห้องเชียร์?”
“อื้อ ของพี่ไม่มีอ่อ?
“มี แต่ยังไม่เริ่ม ทำไมเภสัชรีบจังวะ”
สารถีจำเป็นบ่นพึมพำเบาๆแบคฮยอนเองก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้คนข้างบ้านแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาเหือนกันกับเขาเพียงแต่ไม่ใส่เนคไทค์แถมแขนเสื้อยังพับขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนพอสมควร กางเกงที่ควรจะเป็นกางเกงแสลคกลับเป็นเดฟดำจนเด็กปีหนึ่งขมวดคิ้วงง
“ถามจริง พี่คิดจะแต่งตัวให้ถูกระเบียบบ้างปะ”
เพราะคำถามนั้นทำให้คนที่กำลังขับรถละสายตาจากท้องถนนหันมองเด็กหน้ายุ่งที่กำลังมองตัวเอง ดวงตาคู่เล็กนั่นกวาดมองตั้งแต่บนลงล่าง แถมยังออกแนวตำหนิเขานิดๆอีกด้วย ปาร์คชานยอลยักไหล่น้อยๆ
“ขึ้นปีสองเดี๋ยวก็รู้”
แบคฮยอนเผลอเบะปากออกด้วยความหมั่นไส้
วันนี้เป็นวันศุกร์รถเลยค่อนข้างติด ร่างน้อยรีบกระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณคนข้างบ้านที่มีน้ำใจมาส่งเขาถึงที่ เมื่อชะเง้อคอมองเข้าไปในตึกก็พบว่าเพื่อนๆกำลังนั่งกันอยู่แล้ว แถมบรรยากาศยังปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดอีกต่างหาก
พอรู้ว่าตัวเองสายทั้งๆที่ยังไม่แปดโมง เจ้าตัวก็ใส่ตีนหมาเร่งสปีดวิ่งเข้าไปด้านในตึกพลางโค้งตัวน้อยๆ พอเห็นว่าเพื่อนนั่งกันเป็นแถวก็เริ่มมองหาที่นั่งของตัวเอง
“สำหรับน้องที่มาใหม่ แถวตอนลึกคือเรียงตามเลขตั้งแต่หนึ่งถึงสิบสามจากซ้ายไปขวา ส่วนแถวหน้ากระดานคือตัวอักษรเอถึงเอ็น รีบหาที่นั่งแล้วนั่งเลยครับน้อง”
เป็นรุ่นพี่ที่ดูไม่คุ้นตายืนทำหน้าโหดอยู่แถวหน้า แบคฮยอนเลยรีบกวาดสายตาก่อนจะพบว่าที่นั่งของตัวเองอยู่แถวรองสุดท้ายแหวกว่ายผู้คนเข้าไปที่แถวที่เจ็ดก่อนจะค่อยๆนั่งแหมะลงตรงนั้น
“นักศึกษาหญิง รวบผมให้เรียบร้อยหนังยางต้องเป็นสีดำติดกระดุมคอห้ามสวมเครื่องประดับทั้งสร้อยคอต่างหูนาฬิกาถอดออกให้หมดค่ะ”
“สำหรับนักศึกษาชาย ติดกระดุมแขนเสื้อให้ครบ เนคไทค์ด้านหลังห้ามเลยปกเสื้อออกมา สำรวจตัวเองด่วนครับ”
ประหนึ่งว่าเป็นการฝึกอะไรซักอย่าง แบคฮยอนรีบสำรวจตัวเองแล้วเหลือบมองเพื่อนที่นั่งถัดไป เป็นนักศึกษาหญิงที่กำลังติดกระดุมคอตัวเองอยู่ ถัดไปจากนั้นคืออีทงเฮที่กำลังติดกระดุมแขนเสื้อ มันหันมาส่งยิ้มให้เขาเพียงแว้บหนึ่งแล้วจึงกลับไปนั่งนิ่งๆเหมือนเคย
“เนคไทค์นายเลยออกมา”
“อะ...ช่วยหน่อยได้มั้ย”
เพื่อนผู้หญิงด้านหลังสะกิดเบาๆเป็นแบบนั้นแบคฮยอนเลยเอ่ยขอความช่วยเหลือ ซึ่งสาวเจ้าก็ทำให้แต่โดยดี ใช้เวลาจัดการตรงนี้ประมาณสิบห้านาทีก่อนที่รุ่นพี่จะสั่งให้เดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อมาถึงยังห้องประชุมขนาดเล็กที่นั่งเหมือนกับที่นั่งในโรงภาพยนตร์ ยิ่งด้านหลังก็จะยิ่งสูงขึ้นเพื่อให้สามารถมองเห็นด้านหน้ากันได้ทั่วถึง ทุกคนต่างก็นั่งประจำที่ ด้านหลังห้องมีรุ่นพี่ประมาณสิบคนยินเรียงกันเป็นหน้ากระดาน หน้าตาดูเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบ น่าอึดอัดยิ่งกว่าตอนแบคฮยอนถูกแม่บังคับให้นั่งสมาธิตอนเด็กๆเสียอีก
ในตอนนี้มีเพียงแต่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังอยู่ พี่ประธานเชียร์เดินเข้ามาในห้อง เป็นผู้หญิงตัวสูงหากแต่ผอมบางดูน่าทะนุถนอม ใบหน้าน่ารักนั่นเรียบตึงไม่นานนักจึงเอ่ยปากต้อนรับเข้าสู่ห้องเชียร์อย่างเป็นทางการ
สมุดเล่มเล็กๆถูกแจกขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อใช้จดการบ้านที่รองประธานเชียร์จะสั่ง และจดกฎระเบียบเกี่ยวกับห้องเชียร์ลงไปบนนั้น หญิงสาวร่างบางในกระโปรงสอบยาวเอามือไขว้หลังพลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"หลังจากนี้พี่จะเชิญพี่สต๊าฟเพลงเข้ามา ขอให้น้องๆตั้งใจเรียนรู้จากพี่สต๊าฟเพลงด้วยค่ะ"
ถึงตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาน้อยๆ แล้วมองรุ่นพี่ปีสองที่เคยเต้นสันทนาการใส่กันตอนนี้กลับแต่งกายเรียบร้อยอีกทั้งยังทำหน้าขรึมอีกต่างหาก
ให้ตายสิ นี่มันน่าอึดอัดสุดๆไปเลย
------ GIDDY CHANYEOL ------
"น้ำ....กูขอน้ำ" อีทงเฮ
"ขอความสดใสจงสถิตย์แด่กู...." โอเซฮุน
".........." บยอนแบคฮยอน
หลังจากเลิกกิจกรรมห้องเชียร์ในเวลาเที่ยงตรง สามเกลอเอ้อเหรอประจำคณะเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งก็เดินอ่อนระโหยโรยแรงลงมาจากตึก เวลาสี่ชั่วโมงในห้องเชียร์เหมือนจะสูบวิญญาณออกไปจนหมด ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนโต๊ะม้าหินหน้าตึก แบคฮยอนหยิบขวดน้ำส่งให้ไอ้เตี้ยล่ำที่กำลังทำหน้าเหมือนจะขาดน้ำตายเสียตรงนั้น
"เหมือนแม่งมีแรงอาฆาตแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ น่ากลัวสัดๆ จ้องแบบถ้าทะลุตับกูได้ทำไปแล้ว"
บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะนึกไปถึงรุ่นพี่สิบคนที่เอาแต่ยืนเงียบๆอยู่ด้านหลังจากแต่งแผ่ความน่าอึดอัดไปได้ทั่วห้องประชุมที่รองรับคนเกือบสองร้อยคนได้อย่างทั่วถึง อีทงเฮที่กำลังดื่มน้ำถึงกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
"ใช่ปะ โอ้โห ถ้ามีเสียงลอดออกมานิดเดียวถ้ามีดาบคงถือเข้ามาฟันคอขาด"
"พรุ่งนี้จะพีคกว่านี้ปะวะ"
คนตัวขาวเอาศอกขึ้นมาตั้งบนโต๊ะก่อนจะหันไปมองอีทงเฮด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนตัวเล็กสุดในกลุ่มได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำถามนั้น
"เท่าที่กูได้ยินพี่เขาพูดมา....แต่ละวันมันจะพีคขึ้นเรื่อยๆ"
"โอยเหยดเข้ แค่นี้กูก็เหมือนจะตายอยู่แล้ว"
คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มครวญครางออกมาแล้วทำหน้าหงุดหงิด และก่อนที่จะได้บ่นอะไรไปมากกว่านี้เสียงแหลมๆของรุ่นพี่ที่อัดใส่ไว้ในโทรโข่งก็ดังขึ้นมา "น้องๆอย่าลืมไปรับขนมเทคจากพี่นะค้าาา น้องๆอย่าลืมไปเอาขนมเทคน้าาาาา"
ได้ยินแบบนั้นคนที่กำลังหิวโหยทั้งสามก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่รุ่นพี่แถวนั้นจะบอกว่าให้ไปหยิบขนมที่ตะกร้าของตัวเอง ซึ่งจะมีชื่อแปะไว้อยู่ แบคฮยอนบอกให้อีกสองคนเดินไปก่อนเมื่อพบว่าโทรศัพท์ของตัวเองกำลังสั่น
[แบคฮยอน แม่ไปแล้วนะ]
"ห้ะ เดี๋ยว ไปไหนอะไรยังไง"
[ที่บอกว่าจะไปต่างจังหวัด....]
"เอ้า ไหนว่าอาทิตย์หน้า ทำไมไปไวจัง"
[นายใหญ่โทรมาเลื่อน ถ้ายังไงก็อย่าลืมที่แม่บอกนะ]
"หือ? เรื่องไรป้า?"
[ที่แกต้องไปนอนบ้านพี่ชานยอลไง เอาล่ะ แม่ไม่ยอมให้แกนอนคนเดียวหรอกนะแบคฮยอน คืนนี้แม่จะโทรไปเช็ค ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน เจอดีแน่]
ชิบหายแล้วไง...
------ GIDDY CHANYEOL ------
ซ่า.....าาาา
ฝนห่าใหญ่เทโครมลงมาหลังจากที่แบคฮยอนเดินเข้ามาในบ้านได้ไม่ถึงนาที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะปิดประตูเพื่อกันไม่ให้ฝนสาด จัดการเปิดไฟในบ้านที่มืดเพราะฟ้าครึ้มก่อนจะพบอาหารแห้งอย่างปลากระป๋องและมาม่าสองแพคพร้อมโพสอิสที่แปะอยู่บนนั้น
'มีของสดอยู่ในตู้เย็นด้วย อยู่บ้านเขาก็ช่วยทำกับข้าวให้กินนะเข้าใจมั้ย
แม่'
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นโน้ตสั้นๆอันนั้น แล้วเดินไปเปิดดูตู้เย็นที่มีของสดมากกว่าปกติ เอาตามตรงแล้วเขาไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ปาร์คชานยอลจะต้องรับคำว่าจะช่วยดูแลเขาให้เลย แบคฮยอนคิดว่าตอนนี้ตัวเองก็โตในระดับนึงแล้วที่สามารถผ่านเรื่องหนักหนาของครอบครัวมาได้
แม่อาจจะรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวต้องเป็นแบบนี้
ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยจนน่าใจหาย สถิติการหย่าสูงขึ้นเมื่อผู้หญิงสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ และแม่ของเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่คิดจะใช้ชีวิตอยู่กับพ่ออีกต่อไป
ก่อนหน้านั้นเขายอมรับว่าตัวเองต่อต้านการหย่า หลายครั้งที่แม่ถามและขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการหย่า แบคฮยอนจะเงียบและเปลี่ยนเรื่องพูดทุกครั้ง เขาไม่อยากจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขอร้องให้แม่อยู่กับพ่อทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสถานการณ์มันเลวร้ายมากขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกให้แม่ทำตามใจตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้วเรื่องมันก็ลงเอยแบบนี้ แบคฮยอนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเข้มแข็งทำตัวเป็นลูกชายที่ดีบอกกับแม่ว่าสิ่งที่ทำมันดีที่สุดแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องที่บ้านก็อดน้ำตารื้นไม่ได้ มือเล็กยกขึ้นปาดลวกๆก่อนจะปิดประตูตู้เย็นแล้วขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เสียงฟ้าร้องสลับกับเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาทำเอาเขาเริ่มหงุดหงิด เรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นมันมาพร้อมกับฝนเสมอไม่รู้ทำไม
วันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันเสียงดัง ก็เป็นวันที่ฝนตก
วันที่เขาหนีออกจากบ้านเพราะทนไม่ไหว นั่นก็ฝนตก
วันที่เซ็นใบหย่า ฝนก็ตก
ฝนเฮงซวยเอ๊ย
รู้ดีว่าโทษฟ้าโทษฝนก็ไม่ช่วยอะไร แต่เขาก็อดโมโหไม่ได้
ครืดดดดด ครืดดดดดดดด ครืดดดดดดดดด
โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือกำลังสั่นอย่างหนัก ขยับกายเล็กชะโงกหน้าไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเบอร์แปลก ยืนลังเลอยู่ครู่นึงแล้วจึงตัดสินใจกดรับสาย "ฮัลโหล"
[อยู่หน้าบ้าน]
"ครับ?" ปลายสายว่ามาแบบนั้นแบคฮยอนเลยเปิดผ้าม่านมองลงไปก่อนจะพลว่ารถคันสวยของคนข้างบ้านมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านเขา มือเล็กดึงโทรศัพท์ออกจากหูมองเบอร์นั่นอีกทีแล้วเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
"ชะ...ชานยอล?"
[อื้ออ ฝนตกออกมารับหน่อย เข้าบ้านไม่ได้]
แล้วทำไมไม่เข้าบ้านตัวเองไปล่ะครับพี่....
ผมอยากจะถามจริงๆเลยนะครับแหม่
แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นออกไปนอกจากรับคำแล้วรีบวิ่งลงไปที่ชั้นล่าง เปิดประตูบ้านออกมาพร้อมกับร่มพับที่คว้าออกมาจากกระเป๋าเมื่อซักครู่ดีว่าฝนซาลงไปหน่อยแต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี
ก๊อกๆ
เคาะที่กระจกรถของอีกคนที่ไม่ยอมลงมาแบคฮยอนขยับร่มออกไปด้านหน้านิดหน่อยเพื่อรับปาร์คชานยอลจนตัวเองเปียกนิดหน่อยเพราะร่มเองก็ไม่ได้คันใหญ่อะไรมากมายนัก ร่างสูงเปิดประตูออกมาแล้วรีบปิดก่อนจะเอาร่มไปถือเอาไว้เอง แขนยาวนั่นเอื้อมมาโอบบ่าของเขาอย่างรวดเร็วพลางออกแรงรั้งจนต้นแขนเล็กกระแทกเบาๆเข้าที่แผงอกกว้าง
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
ใบหน้าหวานที่เจ้าตัวมักจะหงุดหงิดเวลาส่องกระจกค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองอีกคน และก่อนที่จะได้หลุดปากถามอะไรออกไปร่างสูงนั่นก็พาเดินเร็วๆเข้าไปในตัวบ้าน
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
ให้ตายสิ เสียงหัวใจที่กำลังดังขนาดนี้ มันของใครกันแน่วะเนี่ย
------ GIDDY CHANYEOL ------
100%
สวัสดีเอวี่บอดี้ อิ้อิ้
อยากกินก๋วยเตี๋ยวลุยสวน
#ชานมึน
ความคิดเห็น