ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IRC project 2.0] Call of duty : GOAT จารชนคนเกรียนแบ๊ะ

    ลำดับตอนที่ #4 : Prologue 4 : Episode that the man arrives at the airport and take a train

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 57


    ยานบินเล็กใหญ่นับหมื่นสัญจรไปมาจากสนามบินแห่งนี้ เสียงผู้คนและเครื่องจักรดังปนกันอื้ออึงสับสนวุ่นวาย มีอาคารสูงเด่นอยู่ไม่ใกล้นัก อาคารสีขาวประดับประดาด้วยกระจกใสให้ความรู้สึกถึงศิลปะแบบโมเดิร์น โดมแก้วอันใหญ่ก่อให้เกิดมุมวิกฤตกับแสงอาทิตย์ยามเช้า ข้างๆ นั้นเป็นแท่งสีขาวสูง ด้านบนเป็นทรงกลมและกระจกใสคาดทรงกลมไว้ หากเพ่งมองจะเห็นผู้คนนั่งคร่ำเคร่ง นั่นคือศูนย์ควบคุมการบินที่จัดการเส้นทางการบินนับหมื่นต่อวัน ที่นี่คือสนามบิน เกรท ฮาดรอน แห่งเมืองหลวง

    มียานหนึ่งลงจอดอยู่ที่มุ่มหนึ่งของรันเวย์ หากเทียบดูแล้วมันจะดูวุ่นวายน้อยกว่าบริเวณอื่น ชายคนหนึ่งในเชิ้ตสีขาวก้าวลงมาจากยาน แสงอาทิตย์ส่องเผยให้เห็นใบหน้าของเขา เขาเป็นชายชาวเมโทรโปลิส สูง 176cm รูปร่างสมส่วน ผมสั้นดำสุภาพไม่รุงรังยกเว้นเสาอากาศชี้เด่สองข้างเหมือนเขาแพะ ดวงตาเล็กเรียวหางตาชี้ตรงดูเป็นกันเอง

    "นี่เธอไม่ได้จะมาด้วยหรอกหรอ ?" เขาหันกลับไปหายานและคุยกับอีกคนที่อยู่ในนั้น

    "นายไปหาลุงคนเดียวนะ เดี๋ยวฉันต้องไปเตรียมการปิดภารกิจของซาร่าห์ที่เขตสามนะ แล้วเจอกัน"

    "อะไรกัน ไม่เฟรนด์เลย โอเคบาย"

    "บ๊ายบาย" เธอยิ้มและโบกมือลา

    ประตูปิดลง ยานที่เพิ่งจะจอดลงได้ไม่นานลอยกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าอันวุ่นวายอีกครั้ง

    เขามุ่งฝ่าสายลมหน้าไปยังอาคารสีขาวโดยไปยังอุโมงค์ใสที่อยู่ด้านหน้า ด้านในมีแท่นเลื่อนคอยอำนวยความสะดวก ลมเย็นๆ ตีออกมาจากเครื่องปรับอากาศเขาก้าวขึ้นแท่นเลื่อนที่จะพาเขาเข้าไปสู่ด้านใน เบื้องนอกเป็นรันเวย์ที่ดูสับสนวุ่นวาย ยานบินสัญจรไปมาราวกับผึ้งงานที่บินไปมาจากรัง ยานบินเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยหลักการของการลอยตัวโดยควอนตัม นักวิทยาศาสตร์เมื่อหลายสิบปีก่อนได้คิดค้นการเคลือบสารตัวนำยิ่งยวดเอาไว้กับยานพาหนะ และใช้การขยายแรงปฏิกิริยาของสนามแม่เหล็กโลกเพื่อให้มันลอยขึ้นไปบนฟ้า

    เขาเห็นทิวทัศน์นั้นอยู่ไม่นานกระจกใสก็กลายเป็นกำแพงทึบ เขาก้าวลงจากแท่นเลื่อน เบื้องหน้าเป็นเครื่องตรวจคนเข้าเมืองแห่งนี้

    เขาเอามือซ้ายทาบกับเครื่อง ชิบที่ฝังอยู่ในข้อมือถูกตรวจจับได้ หน้าจอของมันกลายเป็นสีเขียว และเผยให้ถึงรายละเอียดส่วนตัวของเขา อันเข้าใจกันว่าเขาสามารถก้าวต่อไปเบื้องหน้าได้ เขามาถึงอาคารสนามบินแล้ว เสียงอื้ออึงกระตุ้นโสตสัมผัสของเขา เสียงฝีเท้านับพันคู่ เสียงพูดคุยจากผู้คนหนวกหูสับสน ภายในอาคารสว่างโล่งดูไม่อึดอัด เบื้องหน้ารายล้อมไปด้วยร้านอาหารและร้านค้ามากมาย ร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน หุ่นยนต์พาอาหารเช้าของพวกเขามาเสิร์ฟให้กับโต๊ะ เขาเดินตรงไปยังเคาท์เตอร์ของร้านใกล้ๆ

    "อเมริกาโนเย็นไม่ใส่ไซรับแก้วนึงครับ"

    เครื่องดื่มสีดำไหลลงสู่แก้วพลาสติคที่มีน้ำแข็งอยู่ เขาวางมือลงบนเครื่องอ่านเหมือนกับที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วจึงใช้มือนั้นยื่นไปรับแก้วจากพนักงาน

    จริงๆ หน้าที่นี้ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาทำก็ได้ แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างงานและรายได้ให้กับผู้คนที่ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานได้พอจะมีที่ทางทำกิน บางหน่วยงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้มนุษย์ก็ต้องจ้างมนุษย์มาทำเช่นกัน

    เขาถือแก้วกาแฟมุ่งหน้าต่อไปยังชั้นใต้ดินที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟ ผู้คนยังคงเดินผ่านไปผ่านมาวุ่นวายเช่นเคยเพราะสถานีรถไฟที่นี่คือต้นสาย จุดหมายของเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง เกือบสุดรถไฟสายหลักของเมืองเลยทีเดียว เขาเดินผ่านประตูเข้าสู่บริเวณชานชาลา ชายหญิงมากมายต่างง่วนอยู่กับหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายออกมาจากมือซ้ายของพวกเขา บ้างก็อ่านข่าว บ้างก็ใช้มือขวาตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์สนทนา ที่ขอบของพื้นชานชาลามีลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากพื้นเป็นสัญญาณกว่าอย่าเข้าใกล้ทางรถไฟ

    เขายืนจิบกาแฟอีกสักพักจนหมดแก้ว รถไฟก็เข้าสู่สถานีพอดี รถไฟสายหลักของเมืองใช้ระบบแมกเลฟ (Magnetic Levitating) ซึ่งวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง เขาเดินไปยังถังขยะที่อยู่ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่และโยนแก้วกาแฟทิ้งไป ถังขยะที่นี่มีระบบแยกขยะอัตโนมัติ ส่วนที่ย่อยไม่ได้จะถูกส่งผ่านท่อใต้ดินไปยังโรงไฟฟ้าจากสิ่งปฏิกูลเพื่อนำไปสร้างพลังงานหล่อเลี้ยงเมืองต่อไป

    แสงสีแดงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสบายตา สัญญาณเสียงประกาศว่ารถได้เทียบสู่ชานชาลาแล้ว ประตูอัตโนมัติได้เปิดออก เขาหันกลับมาเพื่อก้าวขึ้นสู่รถไฟพร้อมกับหามุมๆ หนึ่งบนรถเพื่อยืนพิง มีผู้คนเดินเข้ามาบนรถไฟมากมาย บ้างก็จับจองที่นั่งทั้งสองข้างของตัวรถ บ้างก็หามุมสงบๆ เช่นเดียวกับเขา คนสุดท้ายที่ขึ้นมาบนรถเท่าที่เขาสังเกตคือคุณยายสูงอายุคนหนึ่งบนรถเข็น มีหุ่นยนต์หนึ่งตัวพารถเข็นเข้ามาในรถไฟ หนึ่งมนุษย์และหนึ่งหุ่นยนต์พูดคุยกันโดยราวกับเป็นยายหลานกัน

    สิ้นเสียงสัญญาณเตือนประตูรถก็ปิดลง รถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลา เขาสัมผัสได้ถึงความเร่งที่พาเขาไปสู่ด้านหลัง รถไฟขบวนนี้ขับเคลื่อนด้วยความนุ่มนวลผิดกับความเร็วมาก เมื่อถึงความเร็วคงที่ก็จะมีเพียงทิวทัศน์ภายนอกที่เลื่อนไปเท่านั้นที่บ่งบอกให้คนในรถได้รู้กว่ารถไฟคันนี้กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า

    สิ่งที่เห็นจากหน้าต่างภายนอกเปลี่ยนจากแสงไฟในอุโมงค์เปลี่ยนกลายเป็นภาพของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดเมฆที่มากมาย รถมากมายที่ขนาดเล็กกว่าที่ใช้ในสนามบินสัญจรไปมาทั้งบนท้องฟ้าและบนพื้นฐานคับคั่งมากขึ้นทุกๆ วินาทีที่รถไฟแล่นไป

    รถไฟได้ลดความเร็วลงจอดสู่สถานีหนึ่ง

    "สถานีไคสแควร์ สถานีไคสแควร์" เสียงประกาศดังขึ้น

    ที่นี่ยังไม่ถึงที่หมายของเขา เขามองออกไปยังชานชาลาด้านนอกทะลุผ่านแผ่นหลังของผู้คนที่เดินออกไปจากสถานี ที่นี่ประดับประดาด้วยการตกแต่งภายในที่หรูหรากว่าสถานีที่เขาจากมามาก กำแพงสีขาวแวววาวดั่งไข่มุก กระจกที่อยู่ไกลๆ เผยให้เห็นจตุรัสปูด้วยกระเบื้องสีส้มอ่อนตัดกับสีเขียวของต้นไม้ดูสบายตา จตุรัสนั้นคงเป็นที่มาของชื่อสถานีนี้ มองข้ามจตุรัสไปฝั่งตรงข้ามถนนจะเห็นอาคารสูงเสียดฟ้าอีกตึกหนึ่ง เป็นตึกที่ดูดีไซน์เก่าแก่ สร้างจากหินอ่อนสีน้ำตาลอ่อนปนขาว ผิดกับตึกอื่นๆที่เขาเคยเห็น ตึกนี้คือศูนย์รวมของความรู้ที่สืบทอดกันมาของประวัติศาสตร์เมโทรโปลิส หอสมุดอเล็กซานเดรีย ที่แห่งนี้ยังมีอีกสามอาคารที่เขายังมองไม่เห็น นั่นคืออาคารรัฐสภา ศาล และตลาดหลักทรัพย์

    เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นอีกครั้ง และประตูรถก็ปิดลง รถไฟได้แล่นออกจากสถานีอีกครั้ง

    เขาเริ่มเบื่อ เขาจึงชูมือซ้ายขึ้นแล้วตลบกลับมาแบไปแนบกับหน้าอก หน้าจอโฮโลแกรมถูกฉายขึ้นมาจากข้อมือซ้ายของเขา เขาใช้นิ้วชี้และกลางของมือขวาเลื่อนจอโฮโลแกรมไปเรื่อยๆ

    "[News] สิ้นสุดแล้ว ! กว่าห้าร้อยปีของสนธิสัญญาสงบศึกกับแฟนตาเซีย อ่านต่อ >>"

    เขาสลับหน้าจอไปทันที เพราะเขาเองก็พอเดาได้ เพราะเพิ่งจะฆ่าเพื่อนร่วมอาชีพที่อยู่ฝั่งนั้นไปหมาดๆ

    "[History] สารคดีอัตชีวประวัติของท่านบ๊อบโอเวอร์โหลด"

    "[News] พายุเฮอร์ริเคนอายกินส์พัดทำลายเมืองในประเทศเพื่อนบ้านพังยับ!"

    "[Ads] รับสอนพิเศษ ป.5-ม.6 ทุกวิชาโดยนิสิตวิศวฯ และเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ 087-598-2828 ปรึกษาได้ไม่แพงจ๊ะ (Keaw)"

    "[Review] ร้านอาหารสไตล์แดนอาทิตย์อุทัย 'Kinkaze'"

    เขาสะดุดตากับหัวข้อนี้เป็นพิเศษ เพราะชื่อของร้านนี้เท่าที่เขาขุดลิ้นชักความทรงจำในหัวออกมาเหมือนจะเป็นร้านของคนรู้จักเขาคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกันในภารกิจเมื่อสามปีก่อน

    "อืม... ร้านของเจ๊มิคังสินะ ไว้ว่างๆ ไปหาบ้างดีกว่า" เขาพูดอยู่ในใจ

    เขาเลื่อนจอโฮโลแกรมไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายอยู่นับสิบนาที หลายสถานีผ่านไป ทิวทัศน์ด้านนอกเริ่มเปลี่ยนไปจากตึกสูงเสียดฟ้า เป็นลักษณะของบ้านเรือนที่หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ การจราจรบนท้องถนนยังคับคั่งอยู่เหมือนเดิม แต่ยานบินลดลงอย่างเห็นได้ชัด ท้องฟ้าจากสีฟ้าสดเริ่มมีควันเมฆสีเทาหม่นลอยขึ้นมาอยู่ไกลๆ เขาสังเกตไปในตัวขบวนรถ ผู้โดยสารที่เคยแน่นขนัดก็เริ่มเบาบางลง ในตู้ที่เขาอยู่เหลือเพียงสามสี่คนเท่านั้น

    "สถานีปลายทาง เดอะเกรย์วอลล์ สถานีปลายทาง เดอะเกรย์วอลล์"

    รถไฟเริ่มลดความเร็วลงและเข้าจอดสู่สถานีที่เป็นจุดหมายของเขา ด้านนอกสถานีไปเป็นบ้านเรือนจำนวนมากที่สร้างต่อๆ ซ้อนๆ กันขึ้นสูงเปรียบดั่งกำแพงสีเทาสูงใหญ่เกือบจะเทียมเมฆ ที่นี่เป็นจุดที่อัตราประชากรแทบจะหนาแน่นที่สุด 'บนดิน' ในเขตศูนย์

    เขาเดินลงออกมาจากสถานี เพื่อมองหาลิฟท์ที่อยู่อีกฟากของถนน บริเวณนี้รถติดมากเขาจึงข้ามถนนโดยที่ไม่ต้องรอสัญญาณไฟใดๆ ทั้งนั้น เขาเดินไปกดปุ่มข้างๆ กับประตูที่อยู่เบื้องหน้า เขาก้าวเข้าไปในประตูที่เปิดออกและกดปุ่ม B-2 ที่แสดงตามจำนวนชั้น ตัวเลขข้างหลังนั้นมีต่อเนื่องไปถึงหมายเลข 50

    เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก ยินดีต้อนรับสู่ใต้พรมแห่งความศิวิไลซ์ รังหมาป่า

    "Wolf's Lair"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×