ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #39 : Hannibal 1

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 59



     

    บทที่ 1 มาเกียเกม

     

                นามของของโลกแห่งนี้ คือ ซินเนีย

                โลกที่มีเพียงอาณาจักรเดียว แผ่นดินผืนเดียว นามว่า เซนเรส โดยมีราชวงศ์ฟาร์วิลล์ปกครอง ว่ากันว่าปฐมกษัตริย์นั้นมีเชื้อสายของเทพเจ้า และเป็นผู้ที่ก่อตั้งอาณาจักรเซนเรส ซึ่งเชื้อสายของฟาร์วิลล์ทุกพระองค์จะอยู่ในอาณาเขตพระราชวังฟ์ลาเดลซึ่งตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของเซนเรส และกษัตริย์องปัจจุบันคือราชาบาสเตียน นิคาลซิส ฟาร์วิลล์

                แต่กระนั้นเซนเรสมันก็กว้างใหญ่และมีภูมิประเทศที่แตกต่างกัน เซนเรสจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเซนเรสตะวันออกและตะวันตก โดยที่เซนเรสตะวันตกนั้นจะเป็นดินแดนเหมืองแร่และชายทะเล และเซนเรสตะวันออกจะเป็นทุ่งหญ้าและป่าเขา แหล่งธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ภายหลังกษัตริย์บาสเตียนได้สถาปนาเมืองขึ้นมาสามเมือง

                ซาร์ดิส นครการค้าและเงินตรา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเซนเรส ติดมหาสมุทรทรานส์ควิล

                อิสราเนสดินแดนสีขาว ศูนย์รวมของนักบวชและคัมภีร์ตั้งแต่โบราณกาล ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเซนเรส

                และสุดท้ายคือ เอมราสเมืองแห่งการปกป้อง บ้านเกิดของเหล่าขุนนางและนักรบกว่าครึ่งของซินเรสล้วนมาจากที่แห่งนี้ทั้งสิ้น

                และ ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางเซนเรสตะวันออกระหว่างเซนเรสกับเอมราส เด็กทารกที่ถูกทิ้งไว้อย่างเป็นปริศนาแต่กระนั้นก็มีผู้ใจบุญเก็บมาเลี้ยงดั่งลูกในอุทร

                จนบัดนี้ เวลาก็ผ่านไปสิบหกปี....

                “เร็วๆสิวะ! อีกไม่ถึงชั่วโมงจะเริ่มแล้วนะเว้ย!!

                เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่คุ้นหูทำให้ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสั้นที่เป็นประกายซีดตรงปลายผมหันไปมอง คิ้วสีดำหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่เจ้าของเสียงซึ่งเป็นชายผิวเข้มที่กำลังนั่งจดโพยโดยที่มีชายวัยฉกรรจ์เกือบสิบคนรุมล้อมอยู่

                “ไงเฮียคาร์น”

                “อ้าว! เคลเมน!” คนที่อยู่กลางวงล้อมโบกมือทักทาย ใบหน้าหยาบกร้านนั่นยักคิ้วให้กับคนอ่อนวัยกว่าก่อนจะพูดแกมเสียงดัง “จะมาดูก็เร็วๆ!

                มือใหญ่นั่นผายไปที่กำแพงเบื้องหลังที่มีภาพขนาดใหญ่ฉายลางๆโดยอุปกรณ์ขนาดกลาง และกลางภาพนั้นก็มีตัวเลขสี่สิบนาทีเศษๆที่กำลังนับถอยหลัง เด็กหนุ่มหรี่นัยน์ตาสีทองของตัวเองลงแล้วถามต่อ

                “โอดิรัสกับเซนา? ผมคิดว่าเขาจะแข่งกันพรุ่งนี้ซะอีก”

                “เขาเพิ่งประกาศเลื่อนเมื่อคืน เหตุผลไม่รู้ แต่ก็ดีได้ดูเร็วขึ้น” คาร์นยิ้มออกมาคล้ายภูมิใจนำเสนอ “รอบสามแล้วด้วย ชนะรอบนี้ก็เข้ารอบชิง”

                เด็กหนุ่มมองตัวเลขที่ยังคงนับถอยหลังชั่วครู่ ก่อนจะถามต่อ “เฮียว่าใครจะชนะ”

                “ถามโง่ๆ โอดิรัสอยู่แล้ว” ใบหน้ากร้านส่ายไปมาแบบไม่น่าถาม “ถึงครั้งนี้เซนาจะพัฒนาฝีมือและชนะรอบอื่นมาสบายๆ แต่โอดิรัสนั่นวิทยาลัยในตำนานนะเว้ย จะชนะข้าว่ามันเร็วไป ขนาดไอ้.... ชื่ออะไรวะที่แข่งเมื่อวาน”

                “ซาริเดีย” คนเด็กกว่าตอบให้ ซึ่งคาร์นก็พยักหน้า

                “นั่นแหละ ซาริเดียที่ว่าเก่งขึ้นกว่าปีที่แล้วมาตั้งเยอะยังแพ้รามัสหมดรูป”

                “ซีอัสได้สิทธิ์แข่งรอบสองเพราะเป็นแชมป์เก่า” คนอ่อนกว่าพูด แม้น้ำเสียงจะเรียบแต่ก็บอกได้เลยว่าตื่นเต้นมากแค่ไหน “แล้วก็ผ่านมาได้สบายเหมือนกัน ไม่ต้องถึงการประลองด้วย”

                “แต่เวลาแพ้รามัสกับโอดิรัสไอ้หนู” คาร์นแย้ง “สองทีมนั้นปิดม่านตั้งแต่สามสิบนาทีแรกในการแข่งชิงตราเพราะว่าเล่นคู่ต่อสู้จนสลบ”

                “มันไม่สำคัญว่าสลบไม่สลบหรอกครับ แค่ชนะมันก็เกินพอ เฮียไม่เคยได้ยินเหรอว่าไพ่ตายต้องเก็บไว้สุดท้ายน่ะ”

                “หึ ที่เอ็งพูดก็ถูก” คาร์นหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ “แต่เอ็งมันอยู่ทีมซีอัสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ เชื่อมากไม่ได้”

                มือใหญ่ตบป้าบไปที่แผ่นหลังคนอ่อนวัยกว่าเสียงดังจนคนถูกตบหน้าแทบทิ่ม แต่คาร์นก็พูดออกมาอย่างสะใจ “เอ็งเข้าไปปีนี้ก็ไปแสดงฝีมือเลยซี่ สัญญาว่าจะเก็บตั้งแต่เอ็งลงรายการแรก ข้าจะรอดูชื่อ ฮันนิบาล เคลเมน ในทีมมาเกียของซีอัส”

                “คงอีกนานล่ะเฮีย” ฮันนิบาลยิ้มขำ “อีกอย่างผมจะผ่านรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าสมมุติว่าผ่านจริงๆก็อาจจะไม่ได้อยู่ซีอัสก็ได้”

                “วางความหวังไว้สูงหน่อยสิวะไอ้นี่ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะอวยพรให้ทั้งคืนเลยเป็นไง” ชายผิวกร้านว่า “ถ้าติดข้าก็จะไม่ได้เห็นเอ็งไปทั้งปีเลยสินะยกเว้นในการแข่ง”

                 “ถ้าผมติดจริงเฮียก็ไม่เห็นผมจนกว่าจะจบปีหนึ่งอยู่ดี” คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้า “เฮียก็รู้ ปีหนึ่งก็แค่แข่งกันเองในโรงเรียน ต้องปีสองขึ้นไปถึงจะแข่งกับต่างโรงเรียนแล้วเฮียได้เห็น และผมก็ไม่มีอะไรพิเศษที่ดึงดูดด้วย เพราะควบคุมได้แค่การเคลื่อนไหวของวัตถุ อาจจะไม่ได้เล่นก็ได้”

                “มันก็ไม่แน่” คาร์นถองศอกใส่เบาๆ “ข้าได้ยินมา ว่าหนึ่งในผู้เล่นมาเกียปีสองของซีอัสเป็นพวกไร้สายธาตุ”

                “ไร้สายธาตุ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันที “เฮียไปได้ยินมาจากไหน ข่าวโคมลอยรึเปล่า? ผมไม่เคยได้ยินว่าพวกไร้สายธาตุจะลงมาเกียได้”

                “ไม่เว้ย เพื่อนข้าที่อยู่เมืองหลวงบอกมา” ชายผิวเข้มกอดอกเถียง “ไม่ได้เป็นผู้เล่นธรรมดา แต่เป็นระดับหัวหน้าทีม แล้วเอ็งคิดว่าเด็กนั่นจะพาทีมตัวเองมาเป็นทีมจริงของซีอัสได้ยังไงทั้งที่แข่งมาเกียสายธาตุต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

                “เขาอาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้” ฮันนิบาลว่า “แล้วเฮียรู้ชื่อไหม?”

                “อาร์ชเชอร์” คาร์นตอบ “ถ้าข้าจำไม่ผิดเด็กนั่นสกุลอาร์ชเชอร์ แต่ข้าไม่รู้ชื่อ”

                เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะถามต่อ “แล้วผู้เล่นเดี่ยวปีสองของซีอัสล่ะ?”

                “ไทเรส” ครั้งนี้คนแก่กว่ายักคิ้วให้แล้วขยายความ “อาร์เลน ไทเรส ธาตุไฟ”

                “เฮียรู้ละเอียดเป็นบ้า” ฮันนิบาลยิ้มขำ ก่อนจะโค้งตัวให้นิดๆ “ผมไปก่อนนะเฮีย พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้ามืด จากหมู่บ้านโควเวอร์นี่ไปซีอัสม้ายังใช้เจ็ดชั่วโมง”

                “อ้าว แล้วเอ็งไม่ดูแข่งเรอะ?”

                “ไม่ล่ะ ไว้ผมไปถึงนั่นแล้วค่อยหาดูเอา ทั้งวีดิคและเทปการแข่งคงหาง่ายอยู่”

                “เออ ขอให้โชคดีนะเว้ย!

                ฮันนิบาลยิ้มรับกับคำอวยพรนั่นก่อนจะขอตัวออกมา ขายาวๆก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนไปตามทาง จนบ้านช่องเริ่มบางตาและถูกแทนที่ด้วยทุ่งเพาะปลูกตามฉบับชนบท แม้ที่นี่จะอยู่ใกล้กับเมืองซาร์ดิส

                และบ้านของเขา ก็อยู่สุดทุ่งพอดี

                เด็กหนุ่มเปิดประตูออกก่อนจะเดินตรงไปยังบันได ซึ่งจะผ่านห้องครัวและห้องนั่งเล่น ฮันนิบาลเหยียบไปบนบันไดไม้จนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นช่วงๆ เขายืดตัวไปเปิดตะเกียงที่แขวนอยู่กลางห้องใต้หลังคา แสงของมันบวกกับอาทิตย์อัสดงเพียงพอที่จะให้เห็นทั้งห้อง เตียงไม้ที่เคยใหญ่บัดนี้แค่เขาพลิกตัวสองครั้งก็ตกเตียงแล้ว หีบเสื้อผ้าปลายเตียงที่ฝาเปิดหายไป โต๊ะที่วางอยู่ใกล้หน้าต่าง และที่ดูใหม่ที่สุดในห้องโทรมๆนี้ คงเป็นชั้นวางหนังสือสามชั้นที่มีหนังสือเก่าใหม่รวมกันจนเต็มสองชั้นล่าง ส่วนชั้นบนสุดเป็นชั้นที่มีของวางเกือบเต็มแบบไม่เป็นระเบียบมาก และมีรูปที่เหมือนตัดมาแปะเต็มไปหมด ซึ่งเขาเก็บรวบรวมมาจากหลายๆที่ร่วมสองปี และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคงไม่เป็นตัวหนังสือพาดหัวข่าวใหญ่ๆที่เขาตัดมาพร้อมกับรูปขาวดำ

                ไม่คาดฝัน! ซีอัสปราชัยโอดิรัส คว้าชัยเป็นครั้งแรกในศึกมาเกียแห่งซินเนีย!’

                สิ่งที่เขาได้ผ่านไปเห็นวีดิคโดยบังเอิญ สิ่งที่ทำให้เขาหลงมันหัวปักหัวปำตั้งแต่เห็นครั้งแรก มันคือ มาเกีย

                กีฬาลูกบอลเวทขึ้นชื่อที่สุดของโลกเซนเรสแห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก และการละเล่นเถื่อนและดัดแปลงกฎก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปทุกที่ เพราะอุปกรณ์ที่ใช้ก็มีเพียงลานโล่งๆกับลูกบอลขนาดเล็กหนึ่งลูกเท่านั้น แต่ถ้าเป็นการเล่นแบบถูกต้องตามกฎจริงๆมันจะยุ่งยากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

                อันที่จริง มาเกียนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นการแข่งขันสามอย่าง และมีสมาชิกในทีมห้าคน ซึ่งการแข่งอย่างแรกก็คือการแข่งขันที่จะใช้ลูกสีใสขนาดประมาณฝ่ามือในสนามทางการที่จะมีผู้ควบคุมและดูแลพื้นที่สนาม และสมาชิกทั้งสองทีมก็จะลงสนามรวมทั้งหมดสิบคน ซึ่งจุดมุ่งหมายคือแย่งลูกมาเกียมาและต้องทำให้ลูกบอลนั้นเข้าฝั่งตัวเองให้ได้ ฝ่ายใดได้ห้าแต้มก่อนจะเป็นผู้ชนะ ในเวลาสามสิบนาที แม้เวลาจะหมดลงแต่ถ้าไม่มีฝ่ายใดทำแต้มได้ก็ถือว่าเสมอกัน

                การแข่งขันแบบที่สอง หรือรู้กันดีว่า ศึกชิงตรา คือการแข่งขันที่จะไม่มีการใช้เวทย์มนตร์ใดๆ ผู้แข่งขันสามคนต่อทีม ซึ่งก่อนลงแข่งจะต้องดื่มน้ำยากักพลังเวทในตัวเสียก่อนเพื่อป้องกันการโกง กติกาก็ไม่มีอะไรมาก หนึ่งในสามคนนั้นจะรับหน้าที่เป็น ตราซึ่งตรานั้นจะเป็นผู้เดียวที่ได้สิทธิ์ถืออาวุธที่แม้จะมีความคมแต่จะไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต และอาวุธนั้นจะมีการสุ่มหลังจากที่สุ่มเลือกตราและลงสนามเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการที่จะชนะเกมนี้ได้ คือทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้ ตรายอมจำนนหรือไม่สามารถสู้ต่อได้ ขอเพียงแค่อาวุธหลุดมือและเข้าควบคุมตัวได้ก็คือจบ แต่ในขณะเดียวกันการเข้าประชิดตัวคนที่เป็นตรานั้นยากมาก เพราะตรามีสิทธิ์ที่จะป้องกันและหลบหลีก หนำซ้ำถ้าตราบังเอิญได้อาวุธระยะไกลอย่างธนู ก็มีสิทธิ์ที่จะโจมตีผู้เล่นชิงตราฝ่ายตรงข้ามได้ เวลาการเล่นทั้งหมดหกสิบนาที ซึ่งถ้าหมดเวลาโดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะ ทั้งตราและผู้ชิงตราก็จะหมดสิทธิ์เคลื่อนไหวจากน้ำยาที่ดื่มเข้าไปในตอนแรก

                ถ้าหากว่าทั้งสองทีมยังไม่มีฝ่ายใดทำแต้มได้เลย หรือว่าชนะกันคนละครั้ง ก็จะมาตัดสินกันที่ครั้งสุดท้าย การประลองใช้ได้ทั้งอาวุธและเวทมนตร์ทุกอย่างโดยไม่ผิดกฎ ผู้เล่นสามคนที่ลงในศึกชิงตราจะหมดสิทธิ์การแข่งขันนี้ เป็นการประลองเดี่ยวที่หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้แข่งศึกชิงตราจะเป็น นักรบ ขณะที่อีกคนจะมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนหรือ ตัวสำรองซึ่งมีหน้าที่เพียงแค่ป้องกันหรือเยียวยาคนฝ่ายตัวเองหรือโจมตีฝ่ายตรงข้ามทุกๆสี่นาที ซึ่งเป็นเพียงแค่เวทบทสั้นๆที่ใช้เวลาร่ายไม่เกินสามวินาทีอย่างสร้างเกราะชั่วขณะหรือเวทระยะไกลแค่บทเดียวเท่านั้น การประลองนี้จะไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้หรือหมดสติปางตายไม่สามารถสู้ต่อได้เท่านั้น

                มันเป็นการแข่งขันที่ใช้เวลาวันเดียว แต่ถ้าในกรณีที่มาเกียและศึกชิงตราไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ การประลองก็จะมีขึ้นในวันถัดไป มันเป็นเกมกีฬาที่ขึ้นชื่อที่สุดของซินเนีย ทุกๆปีวิทยาลัยทั่วซินเนียจะเฟ้นคัดทีมที่ดีที่สุดและส่งแข่ง โดยที่แข่งรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นที่หนึ่งในสามวิทยาลัยในตำนานซึ่งจะผลัดเวียนกันทุกๆปี

                ราฮัส โอดิรัส และซีอัส

                สามวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเซนเรสเบื้องหลังเทือกเขาเออร์ฟาน เป็นสามวิทยาลัยในตำนานที่เข้ายากที่สุดในโลก เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากมายล้นฟ้า แต่ถ้าไม่ได้รับการยอมรับ ก็จะไม่มีวันหาเส้นทางไปยังวิทยาลัยนั้นเจอ และอาจจะต้องหลงอยู่ในป่าเบื้องหน้าเทือกเขาเออร์ฟานอยู่ร่วมปี

                เทือกเขาเออร์ฟานจึงได้ถูกเรียกว่า เทือกเขาแห่งปริศนาและปัญญา เพราะสามวิทยาลัยนี้เป็นที่ๆสร้างบุคลากรมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้นำเมืองสามเมือง รวมถึงราชวงศ์ฟาร์วิลล์ผู้ปกครองเซนเรสนั้นล้วนจบมาจากหนึ่งในสามวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งสิ้น

                ฮันนิบาลมองไปยังซองจดหมายสีขาวสะอาดที่วางอยู่บนโต๊ะ ทุกๆปีเด็กรุ่นสิบหกทั่วซินเนียจะได้รับจดหมายนี้จากทางราชการ มันคือจดหมายที่จะเชิญให้ไปที่จุดรวมตัวที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าป่าดำ เพื่อที่จะได้เข้าไปทดสอบว่ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าไปเรียนที่วิทยาลัยในตำนานหรือไม่ นับเป็นโอกาสอันดี เพราะเด็กทุกชนชั้นสามารถเข้าร่วมได้อย่างเท่าเทียม

                แกร๊ก

                เสียงเปิดประตูจากเบื้องล่างทำให้เด็กหนุ่มวางซองจดหมายในมือ ก่อนจะรีบวิ่งลงไปทันทีจนบันไดไม้ส่งเสียงแบบน่ากลัวว่าจะพังลงมา และนั่นทำให้หญิงร่างอวบผู้มาใหม่ซึ่งหอบตะกร้าสานขนาดกลางมานั้นดุ

                “แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งลงบันได”

                “โธ่แม่ครับ” ฮันนิบาลยิ้มกว้างแล้วเดินไปแย่งตะกร้าสมุนไพรจากมารดาตนมาถือเอง “พรุ่งนี้ผมก็ต้องออกเดินทางแล้ว แม่ก็หยวนๆให้ผมหน่อยละกัน”

                หญิงวัยกลางคนบีบจมูกเด็กหนุ่มอย่างมันเขี้ยว “ถ้ามันพังก่อนไปลูกก็ไม่ต้องไปแต่มาช่วยแม่ซ่อมบันไดแทนก็แล้วกัน”

                “แม่จะให้ผมทิ้งโอกาสนี้จริงๆน่ะเหรอ?” คนเป็นลูกถามเสียงอ่อย

                “ก็ไปเรียนที่อื่นแทนสามที่นั้นสิ” เธอยังพูดแบบไม่เดือดร้อนจนคนเป็นลูกโวยวายเธอจึงหัวเราะออกมา “รู้แล้วๆ แม่ก็อยากให้ลูกติดอยู่แล้วแหละ”

                “ถ้าผมติด....” ดวงตาสีทองมองร่างของคนตรงหน้า ซึ่งเธอก็คงรู้ว่าเขาคิดอะไรจึงลูบศีรษะเบาๆอย่างเอ็นดูและรักใคร่

                “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทดแทนบุญคุณอะไรทั้งนั้น อีกอย่างแม่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว และลูกไปปีหน้าก็กลับมาแล้วนี่ ถ้าคิดถึงแม่ก็เขียนจดหมายมาก็ได้”

                ใช่ ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนที่เก็บเด็กห้าขวบที่ถูกทิ้งอย่างเขามาและเลี้ยงดูดั่งลูกแท้ๆจนเขาเติบใหญ่ถึงทุกวันนี้ ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร นอกจากความรู้เรื่องสมุนไพรที่ดีกว่าคนอื่นๆ ซาร่า เคลเมนก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆที่ทำงานหนักเพื่อส่งเขาเรียนเท่านั้น

                “แต่ถ้าผมติดขึ้นมาก็ใช่ว่าจะฟรีทุกอย่างนะแม่” ฮันนิบาลยังคงแย้งอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย มันอาจจะคิดไกลเกินไปแต่ก็ใช่ว่าเขาไม่มีโอกาสติด ในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนของสามวิทยาลัยในตำนานนั้นยังเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ว่าใช้อะไรเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าเขาฟลุคติดแล้วมันจะเป็นอย่างไร แม้ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะฟรีแต่ก็ใช่ว่าจะฟรีเสียทุกอย่าง ของฟรีไม่มีในโลก แล้วเขาจะทำอย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น

                “เมื่อสามปีก่อนเห็นว่ามีคนพเนจรผ่านการคัดเลือก” ซาร่าเปรย “เพราะงั้นถ้าลูกติดก็ไม่ต้องห่วงอะไรหรอก มันจะมีทางของมันเองนั่นแหละ”

                แต่เมื่อยังเห็นว่าฮันนิบาลยังคงดูกังวลจนน่ารำคาญแทน เธอจึงฟาดหลังมือเข้าไปตรงระหว่างคิ้วด้วยแรงไม่เบานักแต่ก็ไม่ได้หนักอะไร เด็กหนุ่มยกมือลูบตรงที่ถูกฟาดอย่างงงๆแล้วก็แทบชะงักเมื่อเห็นรังสีอาฆาตจากมารดาที่ไม่ได้ร่วมสายเลือด และนั่นทำให้คนเป็นลูกยกสองมือยอมแพ้ทันที

                “ครับๆ ฟ้าจะเป็นคนขีดเส้นทาง แต่เราเป็นคนเลือก ถ้าข้างบนนั่นให้ผมติดผมก็เลือกที่จะเข้าเรียนอยู่แล้ว และผมอยากจะบอกฟ้าที่แม่ย้ำนักย้ำหนานั่น ว่าถ้าสมมุติเขาขีดให้ผมติดจริงๆขอให้ขีดไปที่ซีอัส”

                “แม่ว่าเขาได้ยินนะ” ซาร่าหัวเราะพร้อมยิ้มอย่างพอใจที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจำคำสอนที่เธอบอกได้ ก่อนที่ดวงตาส้มอ่อนจะทอประกายอ่อนโยนและอาทร “จำคำแม่ไว้นะ เราเป็นคนเลือกเส้นทางของเรา แม้ว่าชะตาชีวิตจะกำหนดให้เราทำอะไร แต่เส้นทางทุกอย่าง มันไม่เคยมีทางเดียว”

                คิ้วสีดำขมวดกับคำที่เหมือนจะแฝงอะไรนั่น ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้เขารู้สึกทั้งดีและแย่ไปพร้อมๆกัน

                “ไปเก็บผักหลังบ้าน วันนี้มากินฉลองกันดีกว่า” แววตานั้นก็หายไปถูกแทนที่ด้วยคำสั่งและประกายหยอกเย้าตามเดิมอย่างที่เห็นมาจนชินตา ซาร่าโบกมือไล่ก่อนจะย้ำ “เร็วๆ วันนี้แม่จะทำเมนูใหม่ให้กิน”

                “เมนูใหม่เหรอ?!” ฮันนิบาลเบิกตากว้างก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านไปเก็บผักตามคำสั่ง อาหารฝีมือซาร่านั้นอร่อยทุกอย่างแม้ว่าวัตถุดิบจะพื้นๆ และเธอมักจะทำเมนูใหม่ๆที่เขาไม่เคยเห็นมาให้กินอยู่บ่อยครั้ง นั่นมันทำให้เขาลืมเรื่องเครียดๆก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท

                แต่ถ้าเขาหันกลับมามองสักนิด ก็คงเห็น ว่าซาร่าที่ควรจะหายเข้าไปในครัว กลับยืนมองแผ่นหลังของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ห่วงใย ดูสิ้นหวังแต่ก็ไม่ได้ไร้ซึ่งความหวังเสียทีเดียว

                “มันเกินกำลังของแม่แล้ว ฮันนิบาล....”

                สายลมอ่อนๆปลิวไสว ซาร่าประสานมือใต้ริมฝีปากพึมพำคำสั้นๆ น่าประหลาดที่ภายในฝ่ามือนั้นทอแสงสว่างอ่อนๆออกมา พร้อมกับคำภาวนาที่แผ่วเบาไปกับสายลม

                “ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองเด็กคนนั้นด้วย”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×