ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #212 : The Glass Staircase: The Beginning

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 64


    The Glass Staircase
    Inspiration: Dreamcatcher – Fly High (MV, 2017) & The Glass Staircase (Video Game, 2019) & Color Out Of Space (Film, 2019)
    Playlist: HYDE – FAKE DIVINE














    .

    นาริมิเกลียดเด็กหนุ่มที่ชื่อเก็นตะ เป็นความเกลียดที่รุนแรงเข้มข้นกว่าความรู้สึกไหนๆ บนโลกใบนี้ที่เธอเคยได้ประสบ

    มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนับแต่แรกพบ แต่สั่งสมอยู่ข้างในอกมาเนิ่นนานวัน และนาริมิเองก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกอันแรงกล้านั้นผ่านสีหน้า ท่าที กระทั่งคำพูดห้วนกระชากหากสุดวิสัยเกินกว่าที่เธอจะทำเป็นเมินเฉยได้ ทุกอย่างยิ่งแย่เมื่อเธอถูกจับคู่ให้นั่งข้างเขาตามผลการเรียนเพื่อช่วยเหลือกันเมื่อขึ้นชั้นปีที่สอง จนเด็กสาวไม่อาจตั้งสมาธิกับการเรียนทั้งที่เคยมีคะแนนสอบอยู่ในระดับต้นๆ มาตลอดได้เลย

    เธอยังคงจดจำได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้นตอมาจากเหตุการณ์ไร้สาระที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างเช่นว่าการที่เธอได้เห็นเขาวางแผนแกล้งหลอกผีใส่เพื่อนในห้องเก็บอุปกรณ์ตอนคาบพละ แล้วหัวเราะเยาะเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาลนลานด้วยความชอบอกชอบใจ มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งจริงจังเหมือนอย่างที่เธอเคยเผชิญก่อนเข้าเรียนที่นี่ เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนหลังจากนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยดี แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นาริมิรู้สึกกับเก็นตะด้วยไม่ดี

    อันที่จริงเขามีใบหน้าหล่อเหลาดูดี อย่างที่ทำให้หัวใจของเธอพองโตได้ยิ่งในตอนที่ฉีกยิ้มกว้างๆ แต่บัดนี้เธอไม่อาจทนมองรอยยิ้มของเขาโดยไม่นึกหงุดหงิดขึ้นมาได้ หรือแม้แต่เสียงพูดที่เธอเคยคิดว่ามันน่าฟัง กระทั่งเสียงหัวเราะขบขันที่คอยสร้างบรรยากาศก็ยังกลายเป็นสิ่งแสลงหู ไม่มีทางที่ใครจะดูไม่ออกว่าเธอรู้สึกกับเด็กหนุ่มผู้นี้เช่นไร กระนั้นเก็นตะก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนแสร้งทำเป็นไม่รับรู้หรือว่าเข้าใจ ไม่สนใจถึงต่อให้คำถามหรือบทสนทนาต่างๆ ในห้องเรียนจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะถึงจุดหนึ่งเธอก็จำต้องยอมเปิดปากพูดอย่างเสียไม่ได้ทุกครั้งคราวไป และนาริมิก็ยิ่งกว่าแน่ใจว่าเขากำลังยั่วเย้า...ด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นเธอเป็นแบบนี้

     

    เหมือนกับตอนที่เธอบังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะแผ่วค่อยดังแว่วมาจากระเบียงทางเดิน ตอนที่เพิ่งกลับมาจากการช่วยงานอาจารย์ชิโอริที่ห้องสมุดตอนเย็นแล้วติดลมบนคุยเรื่องวรรณกรรมร่วมสมัยที่เธอกำลังให้ความสนใจกันเพลินไปหน่อย เลยเวลาเข้านอนแล้ว แต่ในเมื่อพวกเธอคือวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังคึกคักและรักที่จะแหกกฎ จึงมีทั้งกลุ่มเด็กชายหญิงที่แอบออกจากห้องนอนของตนเองเพื่อหาทำเรื่องบ้าบออะไรก็ตามแต่ในยามวิกาลกันอยู่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทของเธอยังเคยชวนแอบย่องออกไปดื่มเหล้าเล่นไพ่ที่หอนอนของพวกผู้ชายคนละปีกตึกเลย เช่นนั้นแล้วเรื่องจำพวกรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในโรงเรียนประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ต่างอะไรกัน เนื่องจากว่าทุกคนต้องมีรูมเมต จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องแอบออกมานัดพบเพื่อพลอดรักกันตามลำพังในมุมอับของอาคารเมื่อถึงยามวิกาลจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ อาจแม้แต่ตัวอาจารย์เองที่นาริมิแน่ใจว่าทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หากไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้น นาริมิก็ยังไม่เคยเห็นฉากแบบนั้นกับตาตัวเองเลยสักครั้ง แต่ด้วยวิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์ อีกทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนนักเรียนจำนวนไม่ถึงห้าสิบคนที่ต่างก็รู้จักหน้าค่าตากันหมด นาริมิที่ให้บังเอิญได้รู้เห็นเหตุการณ์จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เลยอดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองดูว่าชายหญิงสองคนนั้นคือใคร

    ใครคนหนึ่งที่นาริมิไม่เห็นใบหน้าคือเด็กสาวผมสีแดงยาว แต่แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังเธอก็รู้ได้ว่าคือชิกะ เด็กสาวที่สวยที่สุด รวยที่สุด และฉลาดที่สุดในโรงเรียน ทั้งยังเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มกว่าครึ่งค่อนโรงเรียน อย่างน้อยๆ นาริมิก็มั่นใจว่าทุกคนต้องเคยเก็บเอาหล่อนไปเพ้อฝันสักครั้งสองครั้ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นหล่อนที่ชอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทที่เป็นหญิงล้วนคบควงหรือว่ามีใจให้กับเด็กหนุ่มคนไหน จนนัยน์ตาซุกซนของนาริมิในทีแรกเบิกโพลงขึ้นจากความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป จากใบหน้าของใครอีกคนที่เธอมองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน เขาสบประสานสายตากับเธอผ่านแสงสลัวของเชิงเทียนที่วูบไหวอยู่ริมทางเดิน ไม่ใช่หลังจากที่ได้เห็นเธอแอบชะโงกใบหน้าออกมา แต่จดจ้องราวกับรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นเธอ นาริมิมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ เพราะริมฝีปากที่กำลังใช้มันประทับกับส่วนเดียวกันของชิกะซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นาริมิก็แน่ใจได้จากดวงตาที่ไม่ยอมละจากเธอว่าเขากำลังพึงพอใจ...ไม่ต่างจากที่เป็นมา

    มือของเธอกำแน่นเข้ากับกระโปรงนักเรียนจนแน่ใจว่ามันคงจะยับยู่ยี่ในตอนที่คลายออก ขณะที่เธอเองก็จ้องสบกับเขาโดยไม่เบือนหลบ ตลอดชั่วระยะเหล่านั้นก่อนที่เธอจะวิ่งหนีกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ความรู้สึกอันแรงกล้าบางอย่างก็พลันพุ่งสูงขึ้นที่ข้างในอก ก่อนที่หัวใจของเธอจะบิดเร้าจนแทบจะทนไม่ไหว

    เฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ยังฝังประทับอยู่อย่างแจ่มชัดในห้วงความคิดแม้ยามที่หลับตา กระทั่งในนิทรารมย์ที่เธอไม่อาจมองเห็นมันได้อีก เมื่อเก็นตะดันแผ่นหลังของเธอไปชิดติดกับกำแพงอิฐแล้วกดก้มลงมา สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือสัมผัสบนริมฝีปากที่เป็นของเธอ ไม่ใช่ชิกะ เธอยกท่อนแขนทั้งสองขึ้นคล้องรอบลำคอ ดึงรั้งร่างของเขาให้เข้ามาชิดใกล้จนไม่ต้องการช่องว่างอื่นใดนอกจากเสื้อผ้าที่ขวางกั้น ผิวกายของเธอร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกที่ว่าเธอต้องการมากกว่านั้น เป็นความปรารถนาที่รุนแรงเข้มข้นกว่าครั้งไหนๆ ต่อเด็กหนุ่มคนที่เธอเอาแต่เฝ้าผลักไสเขาไปให้ไกล นาริมิต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ตอนนี้ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องโลมเล้าเธอให้ถึงจุดนั้นจากลิ้นที่หยอกล้ออย่างชำนาญ และมือของเขาที่เค้นคลึงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตและกระโปรงเครื่องแบบ เพราะเธอถึงจุดที่คลั่งเพียงแค่ร่างกายที่เบียดเสียด

    เพราะมันคือความฝัน และเป็นหนึ่งในความฝันที่นาริมิตระหนักรู้ว่ามันคือความฝัน ถึงจะเป็นความรู้สึกที่สมจริงมากก็ตาม เธอจึงไม่กระดากอายที่จะขอให้เขา...ทำ

    แต่เขาจะเพียงหัวเราะออกมาอย่างยั่วเย้าและถือดี แบบที่นาริมิควรจะโกรธ เกลียด ไม่พอใจ หรือความรู้สึกในแง่ลบอื่นใดก็ตามแต่ที่เธอเคยมีต่อเขา ทว่าในครั้งครานี้มันกลับปลุกเร้าอะไรบางอย่าง เขาสอดปลายนิ้วเข้าไปด้วยจังหวะและจำนวนที่เพิ่มขึ้นจนนาริมิสะกดกลั้นเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอไม่ได้ เข่าของเธอคล้ายว่าจะทรุดจนทานน้ำหนักตัวเองไม่ไหว แต่เพราะมือทั้งสองที่เปลี่ยนมายึดไหล่แล้วเลื่อนลงมายังท่อนแขนของเขาอย่างแรงเลยทำให้ไม่ล้มลงไปเสียก่อน

    “ต้องการฉันแค่ไหนนาริมิ?”

    “มากกว่าทุกสิ่ง”

    เขาเร่งความเร็วขึ้นหลังคำตอบนั้น หากเธอก็ไม่อาจจะหวีดร้องออกมาจากความสุขสมแรกที่ได้รับ เมื่อเขาปิดกั้นมันด้วยริมฝีปากของตัวเอง กระนั้นนาริมิก็คาดหวังว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะแค่นี้ยังไม่พอ ความปรารถนาของเธอยังไม่ได้รับการเติมเต็มจากตัวตนของเขาที่ต้องการให้มันหลอมรวมไปกับเธอ

     

    ใบหน้า รอยยิ้ม ถ้อยคำ และเสียงหัวเราะของเก็นตะในวันนี้สร้างความแปลกประหลาดอย่างที่นาริมิไม่เคยรู้สึกมาก่อน แน่นอนว่าเธอเคยชอบเขาในแบบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรก่อนเหตุการณ์ในห้องเก็บอุปกรณ์ แต่บัดนี้ เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนทั่วร่างกายและหวังว่ามันจะไม่กลั่นกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนกับคนเป็นไข้ แม้นั่นอาจเป็นสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกในตอนที่นั่งข้างกันกับเขาและต้องพยายามข่มใจตัวเองที่ราวกับว่าจะระเบิดออกมา

     

     

    ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม ลมพัดแรง น่ากลัวว่าฝนจะตก ขณะนั้นนาริมิกำลังยืนเกาะราวที่โถงทางเดินซึ่งมองลงไปจะเห็นบริเวณส่วนหน้าโรงเรียนที่เบื้องล่างได้อยู่กับมาอง เพื่อนของเธอไม่ปิดบังข้ออ้างที่ว่าอยากเห็นเด็กหนุ่มที่แอบชอบอย่างเร็นเล่นฟุตบอลในสนาม และแม้ว่านาริมิจะเคยขุ่นข้องหมองใจเพราะหนึ่งในกลุ่มนั้นรวมถึงเก็นตะด้วย แต่ไม่ใช่กับวันนี้ที่เธอไม่อาจหักห้ามสายตาไม่ให้เฝ้ามองหาเขาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อไหร่ที่เขาเงยมองขึ้นมา ก็จะส่งยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เธอเคยคิดว่ารบกวนจิตใจมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว หลังจากมันทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวแรงมากจนน่ากลัวว่ามาองจะได้ยิน ถึงอาจไม่ผ่านใบหน้านิ่งเฉยที่นาริมิพยายามปั้นแต่งให้ดูเหมือนว่าระหว่างเธอกับเขายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ตามแต่ ขณะที่มาองก็ชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องของเร็น การสอบที่ใกล้จะมาถึง ครอบครัวที่จะพาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศตอนช่วงปิดภาคเรียน จนถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ นาริมิทำได้แค่เออออไปตามเรื่องเพราะจับใจความจากบทสนทนาของเพื่อนแทบไม่ได้เลย

    ก่อนเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่าจะบังเกิดจนทุกคนพากันส่งเสียงหวีดร้องออกมา หากไม่มีทางที่ใครจะได้ยินเสียงของกัน กระทั่งของตัวเอง ตามมาด้วยแสงสว่างวาบที่เจิดจ้ามากจนเปลือกตาของเธอปิดหลับลงไปโดยอัตโนมัติ

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าที่แสงสีขาวซึ่งวูบไหวจะเปลี่ยนเป็นเส้นสายเริงระบำของสีสันที่แปลกตาให้นาริมิได้ลืมมอง ดวงตากลมโตของเธอขยายกว้างขึ้นจากภาพเบื้องหน้ากับสีสันที่ไม่เคยได้พานพบเจอ อาบย้อมท้องฟ้าและป่าสีเขียวขจีที่อยู่เลยไกลออกไป มันไม่ใช่เฉดสีใดๆ ที่โลกใบนี้เคยมีมา ต่อให้จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษาหรือค้นคว้าเธอก็แน่ใจว่าไม่มีทางหาคำนิยามให้กับมันได้ นอกจากบอกได้แค่ว่ามันคือสีสันที่งดงามที่สุดเหนือกว่ากฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ อาจมาจากจักรวาลหรือมิติอื่นที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ ไม่มีสรรพเสียงอื่นใดรอบข้างราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งไปกับความพิศวงเช่นเดียวกับเธอ จนเมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น เรียกสติฉุดรั้งของทุกคนให้กลับคืนมา พร้อมกับร่างกายที่สะดุ้งไหว นัยน์ตาของเธอกะพริบปริบหลังจากนิ่งค้างอยู่นาน ทั้งเธอและมาองยังคงไม่มีใครปริปากพูดอะไรในตอนที่เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน ราวกับต้องการซึมซาบความรู้สึกก่อนหน้านั้นไว้กับตัวเองลำพังให้เนิ่นนานที่สุด

     

    คาบเรียนช่วงบ่ายมีอันต้องยกเลิกไปเมื่อเหล่าคณาจารย์เรียกประชุมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันอย่างเร่งด่วน นาริมิกับมาองเลยไปรวมกลุ่มกับพวกผู้หญิงในห้องโถงรวม ขณะที่พวกผู้ชายต่างพากันกระจัดกระจายออกไปในสนามเผื่อว่าอาจจะเจอเบาะแสอะไร นาริมิยอมรับว่ารู้สึกขุ่นข้องใจไม่น้อยที่ต้องทนเห็นใบหน้าสะสวยของชิกะ ซึ่งเรียกภาพของฉากที่ไม่ถูกไม่ควรเมื่อคืนให้หวนกลับมา และการที่หล่อนแย้มยิ้มให้เธอ ร่วมวงสนทนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ซาระพูดถึงกลุ่มพวกผู้ชายที่เล่นเตะบอลก่อนหน้านั้นในสนาม หล่อนก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจหรือพูดถึงชื่อของเก็นตะออกมาเลยแม้แต่น้อย การที่หล่อนทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้ข้างในใจของนาริมิร้อนเป็นไฟ ทั้งที่หล่อนก็หาได้ทำอะไรผิด และการที่เก็นตะจะคบหาหรืออาจแค่หลับนอนกับหล่อนตามประสาวัยรุ่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเก็นตะเลยแม้แต่นิดเดียว

    แต่การที่เขาพยายามยั่วเย้าเธอตลอดมา ก็ย่อมแปลว่าเขาสนใจเธอต่างหากไม่ใช่หรอกหรือ?

    นาริมิพยายามปัดความคิดในแง่ลบนั้นทิ้งไปด้วยการโพล่งขึ้นว่า “เอ...หรือว่าจะมีคนเรียกปีศาจมา?” เรียกทุกสายตาให้มองจ้องมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

    “ฉันเห็นในตำราแม่มดที่ห้องสมุดพูดถึงการเรียกปีศาจในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะว่าไปเมื่อวานก็เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดีเลยนี่นา”

    “โอ๊ยตายแล้ว! คนที่หมกมุ่นเรื่องนี้ก็มีแต่เธอนั่นแหละนาริมิ!” ซาระที่นั่งเป็นจุดศูนย์กลางอยู่บนโซฟาหัวเราะขบขัน ทั้งยังพูดจาดูถูกดูแคลนโดยไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย “ตำราแม่มดนั่นก็แค่เรื่องหลอกเด็ก เชื่อสิว่าถึงต่อให้ทำไปก็ไม่ได้ผลหรอก ทั้งคาถาเรียกปีศาจเอย ยาเสน่ห์เอย เหลวไหลทั้งนั้น ถ้าทำได้จริงอาจารย์คงจะเอามาวางให้นักเรียนหยิบยืมไปได้ง่ายๆ หรอก อีกอย่างนะ สีสันสวยๆ แบบนั้นจะเป็นฝีมือของปีศาจไปได้ยังไง ถ้าเป็นพระเจ้าก็ว่าไปอย่าง อ้อ! ถึงฉันจะไม่เชื่อเรื่องนั้นเหมือนกันก็เถอะนะ”

    “ปีศาจทั้งนั้นแหละที่เอาภาพลวงตามาล่อ!” นาริมิยอกย้อนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะซาระ คนที่เรียกปีศาจมาอาจใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโทโมเอะที่เธอไปแกล้งพูดให้เขาอายต่อหน้าไทกะก็ได้”

    คราวนี้ซาระไม่ปิดบังเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมาดังลั่นอีกต่อไป

    “อย่างแรกเลยนะ คนอย่างยัยโทโมเอะน่ะเหรอจะกล้าทำผิดกฎโรงเรียนแล้วแอบออกมาข้างนอกตอนดึกๆ ดื่นๆ ด้วยเรื่องแม่มดปีศาจงี่เง่าอะไรนั่น และอย่างที่สอง ฉันไม่ได้แกล้งพูดให้ยัยนั่นอายสักหน่อย ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงต่างหาก คิดดูสิ อายุตั้งขนาดนี้แล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่อีก มีใครเขาทำกันหรือไง?”

    “แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องพูดต่อหน้าคนที่เขาชอบสักหน่อย”

    หนนี้ซาระไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก นอกจากกรีดเสียงหัวเราะแหลมสูงออกมาไม่ได้หยุด เสียจนนาริมิเองก็ชักจะกรุ่นๆ แทนคนที่ถูกหัวเราะเยาะใส่ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มารับรู้ ซาระอาจเป็นคนโผงผาง ช่างคุย ไม่ใช่เพื่อนที่แย่อะไรสำหรับเธอและมาอง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ชอบโทโมเอะด้วยเหตุผลตื้นๆ แค่ว่า “เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดไปทั้งวัน” หากพวกเธอรู้ดีเลยว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์ของโทโมเอะที่ยากจะเทียบเคียงได้ต่างหาก หล่อนคนนั้นมีผมสีดำสนิทรับกับผิวขาวจัดอย่างกับหิมะ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ที่ก็น่าประหลาดอีกเหมือนกันว่าไม่มีผู้ชายคนใดในโรงเรียนนึกชอบพอหล่อน อาจเพราะรัศมีความอึมครึมที่แผ่กระจายออกมาเหมือนกับแม่มด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วโทโมเอะก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง นาริมิยังเคยเห็นหล่อนในห้องสมุดกำลังพูดถึงวรรณกรรมตะวันตกกับอาจารย์ชิโอริด้วยความกระตือรือร้นออกจะตายไป ขณะที่คิดเช่นนั้น มาองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ตัดสินใจชวนเธอไปที่สนามของโรงเรียนเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่านี้ให้ทำ นาริมิไม่ปฏิเสธคำชักชวนนั้น ไม่กล่าวคำลากับซาระด้วยตอนที่ลุกจากมา

     

    ไม่มีอุกกาบาตหรือสิ่งใดที่เป็นรูปธรรมอย่างที่คิดว่าจะเป็น ทั้งที่ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้นอย่างกับวันสิ้นโลก...ถ้ามีจริง ทั้งเธอและมาองต่างพากันบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายเพราะอยากเห็นอุกกาบาตของจริงกับตาตัวเองดูสักครั้ง ระหว่างที่แหงนมองท้องฟ้าพลางพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการเรียกปีศาจอย่างที่เธอให้ความเห็นในห้องโถงนั้นเอง เสียงเรียกชื่อของพวกเธอก็จะดังแว่วมาให้เด็กสาวทั้งสองหันขวับไปมอง

    “เร็น เก็นตะ ไคโตะ เจสซี่”

    ที่มาองก็สวนย้อนชื่อของเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่เข้ามารวมกลุ่มด้วยกลับคืนไปให้ครบครันเช่นกัน

    “น่ากลัวนะว่าไหม?” เจสซี่เป็นคนแรกที่เอ่ยถึงมัน “ทำให้ฉันนึกถึงวันสิ้นโลกเลย”

    “ขนลุกน่า” มาองไม่ปิดบังความกลัวในตอนที่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นลูบผ่านชุดเครื่องแบบแขนยาวของตัวเอง ให้ไคโตะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอื้อมมือไปบีบไหล่ของหล่อนพร้อมรอยยิ้มคล้ายกับการแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อปลอบประโลม

    “พูดถึงวันสิ้นโลก...” นาริมิพยายามไม่หันมองเก็นตะที่ยืนอยู่ถัดไปจากเร็น ซึ่งกำลังยืนกอดอกแหงนมองท้องฟ้าอยู่ข้างๆ เธอ “ฉันว่าเสียงที่ดังก่อนสีสันจะบังเกิดนั่นต่างหากที่เหมือนกับวันสิ้นโลก ทีแรกฉันนึกว่ามันคืออุกกาบาตซะอีก แต่ไม่ยักกะเห็นอะไรตกลงมาเลยสักอย่าง ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”

    “นั่นสินะ”

    มีแค่เร็นที่พึมพำเห็นด้วยโดยไม่หันมองเธอ เหมือนกับที่นาริมิเองก็ไม่ได้เงยมองเร็นเฉกเช่นกัน

    “มันอาจเป็นฟ้าผ่าก็ได้นะ” ไคโตะให้ความเห็น “ครั้งหนึ่งตอนยังเด็กฉันก็เคยได้ยินเสียงแบบนี้ ตอนนั้นฉันสะดุ้งตื่นแล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกมาเพราะนึกว่าบ้านถล่ม แต่พ่อกับแม่บอกว่าไม่ใช่ มันก็แค่ฟ้าผ่า”

    “เอเลี่ยนบุกโลกหรือเปล่า?” เจสซี่กล่าวเสริมอย่างติดตลก ซึ่งเรียกเสียงแผ่วค่อยของมาองออกมาได้ แม้จะหมายถึงเสียงแค่นหัวเราะด้วยความสมเพชก็ตามแต่ นาริมิรู้ดีว่ามาองไม่เคยชอบมุกตลกของเขาและเอาแต่บ่นว่าถึงความน่ารำคาญได้ไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ติดที่ว่าเจสซี่เป็นเพื่อนสนิทของเร็นที่แอบชอบแล้ว เชื่อเลยว่าหล่อนคงจะไม่ทนเก็บปากเก็บคำแบบนี้แน่

    “หรือบางที...” ในที่สุด เด็กหนุ่มคนที่ปิดปากเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น “เราอาจตายกันไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์นั่น มันอาจเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายทุกอย่างจนราบ รวดเร็วจนไม่ทันได้รู้สึกตัว แล้วตอนนี้เราทุกคนก็ติดอยู่ในนรก”

    “ทำไมนายถึงพูดว่านรก?” ไคโตะสวน “การที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่สวรรค์สำหรับนายเหรอ?”

    “สำหรับบางคนอาจไม่ใช่ก็ได้”

    นาริมอดไม่ได้ที่จะขยับใบหน้าหันไปยังทิศทางของผู้พูด แล้วเธอก็ได้สบสายตากับเก็นตะที่จดจ้องมองอยู่ก่อนแล้วและกำลังส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นเพียงมุมริมฝีปาก แต่ก็ทำให้นาริมิรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาเมื่อห้วงความคิดโบกโบยไปถึงเหตุการณ์ของเมื่อคืนวาน เธอรีบหันขวับกลับมา หากก็แทบจะตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาต่อจากนี้ไม่ได้เลย

     

     

    แม้จะล่วงดึกเข้าไปแล้ว นาริมิก็ยังคงยืนมองท้องฟ้าที่ปรากฏสีสันชัดเจนผ่านราตรีกาลจนไม่ทำให้ค่ำคืนมืดมิดอย่างที่ควรจะเป็นผ่านบานหน้าต่างในห้องของตัวเอง ตอนเย็นระหว่างที่เธอเดินกลับหอนอนคนเดียวเพราะมาองดูจะอยากใช้เวลากับเร็นที่ยังรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนทั้งสามของเขา ก็ให้บังเอิญเจอกับโทโมเอะที่เดินสวนกันบนระเบียงทางเดิน แล้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่ซาระพูดถึงขึ้นมา นาริมิเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากทักหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยม

    ทว่าเด็กสาวไม่ได้ต้องการมัน สีหน้าของหล่อนดูตื่นเต้นและผ่องใสกว่าที่นาริมิเคยได้เห็นมาตลอดสองปี

    “เมื่อวานฉันเรียกท่านมา! ฉันเรียกท่านมาด้วยการสังเวยเลือด! ท่านตอบรับคำขอของฉันแล้ว และท่านจะมามอบพลังให้กับผู้ถูกเลือก! ใช่แล้ว! และฉันคือผู้ถูกเลือก! ฉันจะได้เป็นพระเจ้า!

    “พูดอะไร...”

    นาริมิทันถามได้เพียงแค่นั้น ก่อนที่หล่อนจะกรีดเสียงหัวเราะร่าเหมือนกับคนเสียสติ แล้ววิ่งหนีหายไปโดยไม่ทันให้ได้ล่ำลา

    มันทำให้นาริมิว้าวุ่นกระวนกระวายจนไม่อาจนอนหลับได้ลง ถึงจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่คำกล่าวของเก็นตะที่ว่าพวกเธออาจตายไปแล้วเพราะเหตุการณ์ลึกลับนั้นและกำลังติดอยู่ในนรกก็จะแว่บผ่านเข้ามา และมันอาจเป็นนรกที่แท้จริงถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นเจ้าของเก็นตะได้

    เก็นตะ...นาริมิไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องของเขามากขนาดนี้ เธอไม่อยากนอนเพราะแม้แต่การนอนยังไม่ทำให้เธอได้เป็นเจ้าของเด็กชายผู้นั้น เธอต้องทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองเขาแม้จะแค่ชั่วขณะหนึ่งเหมือนอย่างที่ชิกะได้มันไป และการที่นาริมิจะบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรงกับคนที่ตั้งแง่มาตลอดก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินกว่าคนถือศักดิ์ศรีอย่างเธอจะกระทำ อีกครั้งที่เธอได้แต่พรูลมหายใจออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่ไม่อาจจะเอ่ยต่อ ยังพอมีเวลา เธอตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนให้สมองโล่งสักหน่อยก่อนที่จะถึงเวลาปิดไฟแล้วเข้านอน

    เป็นตอนนั้นเองที่เธอจะได้เจอกับชิกะซึ่งเอนหลังมองดูท้องฟ้าลำพังอยู่บนม้านั่งในสวน หะแรก นาริมิคิดว่าจะเดินเลยผ่านหล่อนไปเมื่อปกติก็ใช่ว่าจะสนิทสนมอะไรกัน แต่กลับเป็นหล่อนที่เอ่ยปากทักก่อน นาริมิจึงจำยอมต้องตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้

    และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เธอก็หลุดปากถามออกไปว่า

    “ไม่ได้อยู่กับเก็นตะเหรอ?”

    สีหน้าของชิกะไม่ได้ฉายฉาดความประหลาดใจออกมาเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของหล่อนทำให้นาริมิต้องพยายามกักเก็บความไม่พอใจอย่างแรงกล้าเอาไว้ข้างใน

    “ทำไมถึงได้ถามถึงผู้ชายคนที่เธอเกลียดนักหนาล่ะ นาริมิ?”

    “ก็แค่...”

    แต่ไม่ทันชิกะที่พูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่ได้สนใจใคร่อยากฟังคำตอบแต่แรกว่า “เธอคิดไหมว่าบางทีการมองดูมัน” ที่นาริมิรู้ดีว่าหมายถึงอะไร “นานๆ เข้า อาจทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง”

    “เหรอ? แล้วตอนนี้เธอเป็นตัวของตัวเองไหมล่ะ?” คำพูดกระแนะกระแหนหลุดออกไปไวกว่าที่เธอจะเรียกคืนกลับมาได้ทัน ทั้งอย่างนั้นหล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะถือสาในตอนที่หัวเราะน้อยๆ มองดูคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแค่ครู่สั้นๆ ลุกพรวดพราดขึ้นแล้วทำท่าว่าจะเดินจากไปโดยไม่ใส่ใจแม้แต่จะบอกลา หากเป็นชิกะที่ร้องเรียกชื่อเธอเพื่อหยุดฝีก้าวที่กำลังจะพ้นผ่านหล่อนไปเหมือนเมื่อขามา ในตอนที่นาริมิข่มใจหันกลับไปหาหล่อน ใบหน้าและริมฝีปากที่เคยสดใสจนถึงก่อนหน้ากลับไม่หลงเหลือวี่แววของการล้อเล่นอีกต่อไป เมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา

    “อย่าไว้ใจเก็นตะ”

    แววตาที่ว่างเปล่าซึ่งจดจ้องมองมาของหล่อนจะทำให้นาริมิรู้สึกพรั่นพรึงเสียจนต้องวิ่งหนีจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง












    2021年05月21日
    _______________
    ★ รอจ่อคิวเอาลงตั้งนานแล้วแต่เพราะรอภาพคอมมิชเลยไม่ได้เอาลงสักที (ซึ่งโชคดีมากเพราะถ้ามาก่อนมึงเอาโมริตอนเจ็ดมาลง พระเอกจะเป็นเจสซี่ ฮ่าฮ่า) กับผลงานจากคุณแองเจิ้ลจัง นางฟ้าคนดีคู่โคคุโบะที่จะขยายสาขามาเกาะกะโหลกของกูเอง เพราะกูทนไม่ไหวแล้วกับสีทับเส้นที่สวยมาก สวยจัง มาพร้อมกับคอนเซปต์บ่อใบบัวและท้องฟ้าสีไอติมวอลล์ (ดูความน้ำกระเพื่อมในสระและแสงวิบวับกระแทกตานั่นสิ) เล่าหน่อยว่ากูคิดบรีฟไม่ออกขอแค่นางเอกกับท้องฟ้า ตอนแรกเค้าร่างมาให้กูสองแบบคือบ่อใบบัวกับทุ่งแสงตะวัน แล้วกูก็บร๊ะ! สวยทั้งคู่ แต่บ่อใบบัวสวยกว่าเลยต้องตัดใจ ถึงไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องก็ไม่ต้องสนจ้า ฟีลภาพพินอัพในแมกกาซีนรายสัปดาห์สวยๆ นะจ๊ะ
    ★ มาฟังที่มาก่อน คือตอนแรกกูตั้งใจจะเปิดโปรเจกต์แบบยิ่งใหญ่อลังการให้ผู้ชายทั้งสี่คนในแก๊ง (ซึ่งเป็นเซ็ตนี้แต่แรกแล้วแค่สลับตำแหน่งกัน) แต่สุดท้ายก็นึกได้ว่าถ้าแต่งเรื่องของคนอื่นอีกก็ต้องมาบรรยายฉากซ้ำๆ ซากๆ เลยหมดไฟจะแต่ง ตัดจบเหลือแค่คู่เดียวพอ วะ คนจริง! พระเอกแรกสุดก็คือไคโตะ ถึงได้เป็นบทพระเอกนิสัยไม่ดีไง แต่สุดท้ายแต่งไปแล้วไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่อง เลยยกพล็อตนี้ให้มึงดีกว่า ชอบไม่ชอบก็เอาไปเถอะ กูยัดเยียดให้เอง (ว่าไปอึนฮาเป็นนางเอกฟิคที่แต่งจากมัพเพ็ตคอมโบอีกแล้วเหรอวะ แต่ไม่ไหว กูเศร้ากับข่าวจีเฟรนด์มาก วงที่คอนเซปต์ดีมาตลอด แต่จะต้องลากันจริงๆ เหรอ U_U) พระเอกตอนแรกคือเจสซี่จริง แต่เพราะโมริตอนเจ็ดที่กูรำคาญความตอแหลอวยเว่อร์ของมึงเลยเปลี่ยนเป็นน้องเก็นเก็นในวินาทีสุดท้าย เอาซี่! อาเบะจังเป็นคนเฬวในฟิคมึงฉันใด น้องเก็นเก็นก็ไม่รอดเงื้อมมือกูฉันนั้น!
    ★ แรงบันดาลใจแรกสุดมาจากเอ็มวีดรีมแคชเชอร์ ปราสาทก็แบบในเอ็มวี โดยที่จะเป็นลูปฝันร้ายของนางเอกแต่ละคน แล้วช่วงนั้นกูนึกครึ้มใจอะไรไม่รู้เปิดดูเกมบันไดนี่ซ้ำๆ ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบมากเลยได้ไอเดียโรงเรียนประจำมา ไม่ได้ก็อปมึงนะ ส่วนที่ตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นลูปนั่นกูก็ไม่ได้ก็อปมาจากฟิคมึงนะ แต่คิดถึง Fear Itself: The Circle (ที่จนถึงตอนนี้เราก็ยังนั่งหาคำตอบไม่ได้ว่าแม่มดมันจะเข้าลูปเองทำไมวะ อีบ้า) ส่วนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเพราะอยากได้อะไรที่เป็นรูปธรรมว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ว่าพลังนี้จะมาจากที่โทโมเอะเรียกจริงๆ หรือเปล่าน้า ไม่บอก (เพราะที่จริงกูคนแต่งก็ไม่รู้) แต่ที่รู้แน่ๆ คือที่จริงกูแต่งเรื่องนี้ก่อนมึงลงเรื่องดูมอีกแต่จบไม่ลงเลยไม่ได้ลงสักที กูว่ามันจะบังเอิญเกินไปละนะอิจุงอิเหี้ยอิควาย หนังมีเป็นล้านยังเสือกมีแรงบันดาลใจเดียวกับกู ในช่วงเวลาเดียวกับกู เก่งนักเหรอ!
    ★ อย่างที่บอกว่าตอนแรกจะมีสี่คู่แต่ที่จริงก็ยังไม่มีพล็อตหรอก ถึงอย่างนั้นก็จะเล่าพล็อตอีกคู่ที่คิดออกนิดเดียวให้ฟัง คู่ของมาองก็คือไคโตะ ไคโตะชอบมาองถึงจะรู้ว่ามาองชอบเร็น เพราะอย่างนั้นตอนสุดท้ายที่คลั่งก็เลยไล่ตามมาองไป ไม่ว่าจะลูปไหนมาองก็จะต้องตาย และไคโตะก็จะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ โอ๊ยแค่เขียนสองบรรทัดยังชอบ แต่ไม่มีไฟจะแต่ง จ้างมึงคอมมิชได้บ่นิ ส่วนคู่จริงๆ ของเร็นที่กูคิดไว้คือซาระ แต่ของเจสซี่ไม่ใช่ชิกะนะ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วเพราะไม่แต่งแล้วจ้า และขณะที่มึงฟังเพลงป๋าสมัยลาร์ค ตัดมาที่กูคือมันต้องร็อคแบบนี้สิวะ ฟีลเกมการ์ตูนกันไป อยากบอกว่ากูรักเพลงนี้มากกก ที่จริงมีแพลนจะเอาไปลงเรื่องอื่นแต่พอฟังไปฟังมาก็แบบไม่ได้ว่ะ ต้องมาที่นี่แหละ! ส่วนชื่อเรื่องเกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องไหมก็บอกเลยว่าไม่ แค่กูชอบชื่อเกมนี้มากเลยเอามาตั้งชั่วคราว จากนั้นมันก็อยู่ยั้งยืนยาวมาจนถึงบัดนี้ สวัสดี
    ★ และเรื่องนี้แหละหนุ่มที่กูหาทางลงให้ไม่ได้ 55555 อิเหี้ย แต่งมายาวนานมากก็ยังนึกตอนจบไม่ออก แต่ก็ไม่อยากทิ้งเพราะนานๆ ทีจะแต่งได้ยาวขนาดนี้ แถมไอเดียก็โอ้โห เริ่ดจังวะตัวกู เพราะฉะนั้นก็อย่างที่เราตกลงกันไว้คือมึงเอาไปแต่งต่อได้เลยนะเพื่อน ถือว่ากูจ้างคอมมิชให้มึงมาแต่งตอนจบ ครอสโอเวอร์เหมือนซีรีส์ดีซี ไปหาตอนจบที่ซีรีส์อื่นเอา คือกูรู้แหละว่ามันต้องมีพล็อตที่มึงขัดใจ ถ้าอยากเทอะไรก็เทเลย จะเอาไปแต่งต่อแบบไหนก็ได้ จะไม่ใช่ลูป ไม่ใช่แม่มด หักเป็นแนวอื่นหรือเพิ่มฉากเอโระแบบจัดเต็ม (อันนี้ไม่ต้องบอกมึงก็คงทำอยู่แล้ว) อะไรก็แล้วแต่มึงเลยจ้า คนอื่นไม่ต้องออกแล้วก็ได้ ลาก่อนมาอง แต่กูขออย่างเดียว ขออนุญาตสปอยล์เลยว่ากูใช้เพลงนี้เพราะคิดมาตลอดว่าตอนจบพระเอกต้องเป็นพระเจ้าปลอม! เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไม่ได้ ละที่จริงกูก็คิดมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วว่าเก็นตะมีศักยภาพพอจะเป็น false god ได้ แต่ต่อให้มึงจะคิดไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร กูคิดเองได้ และกูเชื่อว่ามึงจะแต่งตอนจบออกมาได้ดีกว่าตอนต้นทั้งเรื่องของกู เหอะ! (สรุปมึงไม่แต่งเพราะไม่ชอบ)

    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×