ลำดับตอนที่ #38
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : lost butterfly
l and then the moon rises before I came from death. l
__________________________________________
APPLICATION
" ไม่ว่าจะยุคมืดหรือเมื่อใด ตราบเท่าที่เรายังละความโลภเหล่านั้นไปไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่าง..ก็ล้วนแต่ไม่แตกต่าง"
บทบาท : วีรสตรีธาตุลม
ชื่อ : สเตเซีย คิมเบอร์ / Stesia Kimber
ชื่อเรียก : เซีย / Sia
อายุ : 23 ปี
เพศ : หญิง
ประวัติ :
' once upon a time, she saw a little girl in the forest.
pure eyes, a white hair and softy's hand.
like an angel '
[ the fallen angel ]
อาณาจักรบริเรเนีย อาณาจักรแห่งหุบเขาสูง ในสถานที่แห่งนั้นปรากฏหมู่บ้านเล็กจ้อยอยู่กลางป่าเขา ว่ากันว่าสถานที่แห่งนั้นคือที่ที่เหล่ามนุษย์มาอยู่รวมกันเพื่อความอยู่รอด ออกล่า และใช้ชีวิต ท่ามกลางเหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้น พวกเขาถูกกักขังไว้ในวงล้อมไม่ให้ออกไปไหนได้เพื่อชีวิตของตนเอง
เป็นทั้งสถานที่ที่อันตรายที่สุด และปลอดภัยอย่างที่สุด
ทว่าในชีวิตที่ซ้ำซากและน่าหวาดหวั่นนั้น กลับมีบางสิ่งที่ทำให้เกิดความประหลาดใจ ช่วงเวลาหนึ่ง หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนผู้นำของหมู่บ้าน เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสัตว์ร้าย ร่อนเรรอนเรไปในป่าลึกที่อยู่ทางทิศเหนือจากหมู่บ้าน ก่อนจะพบเจอบางสิ่ง..ที่เปลี่ยนชีวิตตนไปตลอดกาล
เด็กสาวตัวน้อยผู้งดงามราวกับภาพวาด
น่าประหลาดนักที่จะพบเจอเด็กสาวในป่าลึกแสนอันตรายเช่นนี้เพียงลำพัง เด็กคนนั้นยืนมองเธออยู่ไกลๆ ไม่เข้ามา และไม่ขยับหนี ดวงตาสีพิสุทธิ์ไร้แวว อาจด้วยเพราะพิษของบาดแผล ทำให้ไม่สามารถฝืนทนเดินเข้าไปหาได้ หญิงสาวสลบไป สิ่งเดียวที่รับรู้ได้ก่อนสติดับวูบนั่นคือเสียงเพลงอันไพเราะจากใครสักคน..
เช้าวันรุ่ง เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่ปราศจากบาดแผล
ราวกับเป็นคำอวยพรของพระบิดาหรือบางสิ่งบางอย่าง ปาฏิหาริย์อันน่าเหลือเชื่อ หญิงสาวคิดถึงเจ้าของความงามดั่งภาพวาดนั้นเป็นผู้แรก บางทีอาจจะเป็นเด็กสาวคนนั้น..หลังจากกลับไปยังหมู่บ้านได้ เธอก็ออกตามหาเด็กสาวทันที
และเมื่อเดินลึกขึ้นไปในป่าทึบ ก็ได้พบเจอกับสถานที่แห่งหนึ่ง..คฤหาสน์หลังงามตั้งอย่างโดดเดี่ยวอยู่ใจกลางป่า และเด็กสาวคนนั้นก็กำลังทอดสายตามองเธอออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของตัวคฤหาสน์
"มาทำอะไร"
คำถามแรกหลุดออกมาจากริมฝีปากเล็กกระจับ เสียงที่ไพเราะจับจิต ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงขับขานบรรเลงไพเราะที่ได้ช่วยชีวิตตนไว้ คือเด็กสาวผู้นี้นั่นเอง และวินาทีนั้น ก็รู้สึกเหมือนพบเจอในสิ่งล้ำค่า ที่มากยิ่งกว่าสิ่งใดก็ตามที
หญิงสาวพยายามทำความรู้จักกับเด็กสาวคนนั้น แม้ว่า เธอจะดูเก็บตัว ไม่พูดไม่จาอะไรเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปท่าทีหมางเมินก็แผ่วจางลงไป หลังจากผ่านไปนับสามสิบราตรี ก็ได้ทราบว่าชื่อของเด็กคนนั้นคือ สเตเซีย
"สกุลล่ะ?"
"ไม่มี"
เด็กหญิงตอบ
"สเตเซีย..แค่สเตเซีย"
เป็นเรื่องที่น่าประหลาด ภายใจคฤหาสน์หลังงาม ด้วยเเพรพรรณหรูหรา อาหารน่ารับประทาน เด็กสาวบอบบางกลับอาศัยอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง..หรือความจริงแล้วอาจจะไม่?
แต่ท้ายสุดมันล้วนไม่สำคัญ เมื่อช่วงเวลาหลังจากนั้นราวกับว่าฝันอยู่กึ่งตื่น หญิงสาวมักแวะเวียนมาที่คฤหาสน์หลังใหญ่อยู่เสมอ คอยมาพูดคุย เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับเด็กสาวคนนั้นฟัง ท่าทีของเด็กน้อยยังคงเหมือนเดิม เว้นระยะห่างเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้ ดูระแวดระวังเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ แต่ก็สงบนิ่งไม่ต่างจากสายลมพร่ำเพราในคืนเหมันต์ฤดู
เธองดงาม แต่ก็ดูเจ็บปวด
เธอบริสุทธิ์ แต่ก็เเตกหักอยู่ภายใน
และเธอดูราวกับนางฟ้า..ที่ได้ร่วงหล่นลงมาจากสวรงสวรรค์อันเรืองรอง
- Diana Rosso -
ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าลึกทางทิศเหนือ เธออาศัยอยู่ที่นั่น
มันเป็นคฤหาสน์สีขาว ดูเก่าแก่และมีร่องรอยผุพังตามกาลเวลา สวนดอกไม้ปลูกรายล้อมคอยส่งกลิ่นหอม มีผ้าแพรพรรณสวยงามให้สวมใส่ อาหารแสนอร่อยที่ถูกปรุงแต่งอย่างดี เธอโตขึ้นมากับคนคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็มักจะต้องอยู่คนเดียวเสมอ
เขาคนนั้นมักหายไปจากคฤหาสน์ แรกเริ่มเดิมทีก็เพียงช่วงเช้าจวบจนเย็นย่ำ ทว่ายิ่งนานวัน จากหนึ่งวันก็เริ่มกลายเป็นหนึ่งสัปดาห์ และเเปรเปลี่ยนเป็นช่วงเดือน จนกระทั่งอายุได้สิบหก เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย..
และก็คงเป็นตอนนั้นเองที่ได้พบกับหญิงสาวคนนั้น
ไดอาน่า รอสโซ
หล่อนบอกว่าหล่อนมาจากหมู่บ้านที่อยู่ทางใต้ลงไปอีก..ไม่ไกลมากนักจากที่นี่ เพราะเช่นนั้นเเล้วหลังาจากวันที่ได้รักษาบาดแผลบนร่างกายนั้นให้ไป หล่อนก็ดั้นด้นมาที่นี่อยู่ได้ทุกวี่วัน ประดับใบหน้าด้วยรอยยิ้มเหมือนคนโง่ สั่งสอนเรื่องต่างๆ ให้กับเธอที่อยู่ตัวคนเดียว พร้อมกับคอยช่วยดูแลราวกับห่วงใยกันเสียหนักหนา
มันเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา..จนกระทั่งในคืนวันหนึ่ง
ผู้ที่มาเยือนคฤหาสน์ของเธอ ไม่ใช่หญิงสาวผู้นั้นอีกต่อไปเเล้ว
เสียงของเปลวไฟปะทุอยู่ในความมืด เสียงกู่ร้องก้องคำราม หยาบคาย ป่าเถื่อน และดุร้ายดั่งสัตว์ป่า
ร่างเล็กของเด็กสาวเฝ้ามองจากภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ดวงตาสะท้อนภาพผู้คนมากมายไม่คุ้นตาที่ตะโกนกู่ร้องอยู่ด้านนอก คบเพลิงในมือลุกโชติช่วง เเละเริ่มเผาลามเลียสวนดอกไม้แสนสวย รวมถึงบ้านหลังงามของเธอไปทีละนิด ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลย เว้นเพียงแต่ต้องการบีบให้เธอออกไปด้านนอก
เสียงของสเตเซียนั้นเปรียบเสมือนปาฏิหาริย์
และคนเหล่านั้นก็ต้องการมัน
เด็กสาวหลบซ่อนอยู่ภายในห้องลับในคฤหาสน์ ไร้ซึ่งความตกใจใด ๆ
ดวงหน้าเรียบเฉย เคยชินเหลือเกินกับเหตุการณ์แบบนี้ เพียงรอเวลาให้มันผ่านพ้นไป..เมื่อรุ่งสางมาเยือน คนเหล่านี้ก็จะจากไปเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา และทุกอย่าง..ก็จะกลับไปเป็นเช่นเดิม
'ด้วยพลังนี้ ด้วยใบหน้าอันงดงาม มันจะเป็นที่ต้องการของทุกคน'
เขาคนนั้นเคยบอกกับเธอเอาไว้
เช่นนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแปลกใจ หากมนุษย์จะกลายเป็นสัตว์ร้าย เพื่อหมายช่วงชิงสิ่งที่ปรารถนาไป..สเตเซียนั้นเคยชิน เพราะผู้คนที่เคยมาที่นี่ ก็ล้วนเเต่เป็นเช่นนั้นไม่ได้ต่างจากคนจากหมู่บ้านเหล่านี้
เพียงแค่นึกแปลกใจ ว่าเหตุใดถึงรู้สึกเหมือนกับจะหายใจไม่ออก ในตอนที่คิดว่าคงเป็นไดอาน่าที่บอกเรื่องนี้กับคนอื่น
บางทีหล่อนคงขายข่าวของเธอให้กับคนพวกนี้รึเปล่า? พวกเขาไม่มีทางมาที่นี่ได้ถ้าไม่มีจุดประสงค์อยู่แต่แรก มันอันตรายเกินไป กับป่าลึกไร้เส้นทาง และเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมายพวกนี้
ก็อก ๆ
จู่ๆ สองหูก็ได้ยินเสียงเคาะลงบนผนัง เรียกตัวเธอที่หลบซ่อนอยู่ในห้องลับให้แนบใบหูติดชิดผนังร้อนผ่าว
"สเตเซีย"
นั่นคือเสียงของเขาคนนั้น..
"ไปกันเถอะเด็กน้อย"
ร่างเล็กรีบผุดลุกออกไปด้านนอก สเตเซียเห็นใบหน้าที่ไม่ได้พบเจอมานานหลายเดือน เขาคนนั้นที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว..รอยยิ้มแบบางส่งมอบให้กับเธอ เด็กหญิงไม่รอช้า รีบคว้ามือนั้นไว้เเล้วออกก้าวเดินไป ทิ้งคฤหาสน์เหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลังเมื่อได้พบที่พึ่งที่แสนสำคัญของตน
หากแต่..กลับมีบางอย่างค้างคาใจไม่หาย..
หญิงสาวคนนั้น..ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็นึกสงสัย..
ทำไมถึงได้ยิ้มอย่างโง่งม? ทำไมถึงมีความสุขนักเมื่อเธอยอมพูดคุยด้วย?
แล้วทำไม..ในตอนนี้เธอ..ถึงได้ดูโรยราไม่ต่างจากดอกไม้เหี่ยวเฉาเลยสักนิด
สเตเซียมองเห็นภาพของหญิงสาวคนนั้นผ่านทางระเบียงบนชั้นสอง มือเล็กกำฝ่ามือที่จับเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า หายใจติดขัดไปเสียหมด เมื่อได้พบว่าร่างของไดอาน่า ไรลีย์ เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายจากการถูกทรมาน ใกล้สิ้นลมอยู่เต็มทน ชั่วขณะหนึ่งนั้นดวงตาของเธอเหลือบขึ้นมา เรามองสบสายตากันผ่านควันเขม่าของเปลวเพลิงที่เผาไหม้
กระทั่งวันนี้ รอยยิ้มโง่งมนั่นก็ยังแย้มยิ้มออกมา
'ไว้เจอกัน'
ริมฝีปากหล่อนขยับพูดโดยไร้เสียง
นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ถูกฝากเอาไว้ ก่อนร่างทั้งร่างของไดอาน่าจะถูกโยนใส่เปลวไฟ
พร้อมกับตัวเธอที่ได้สายลมช่วยหอบพัดพาตนเเละเขาคนนั้นไปจากคฤหาสน์ที่กำลังเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน
สเตเซียหลบหนีออกมาจากคฤหาสน์หลังงามในป่าลึกได้สำเร็จ
ปลายเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปตามทาง เศษไม้เเละดินโคลนเเปดเปื้อน ชายกระโปรงหรูหราถูกเกี่ยวขาดรุ่ยร่ายสกปรกเปื้อนเนื้อตัวไปหมด ร่างของเธอและเขาคนนั้นหยุดอยู่ตรงชายป่า รุ่งอรุณมาเยือนเสียแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้หลบภาพในค่ค่ำคืนนั้นไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
มือของเด็กสาวสั่นระริกเกินกว่าจะห้าม
และกว่าจะรู้ตัว หยดน้ำตาก็ไหลอาบลงมาบนใบหน้า
บางทีนั่นอาจจะเรียกว่าความเจ็บปวด?
"ทำไม..ถึงต้องเป็นแบบนี้?" เด็กหญิงเอ่ยปากถาม มองสบเข้าไปในดวงตาของเขาคนนั้น วอนขอคำตอบเพื่อหวังว่าความทรมานในอกจะแผ่วซาลงไป หรืออย่างน้อยก็ช่วยทำลายความสับสนนี้ลงเสียที
เขาคนนั้นลูบมือลงบนกลุ่มผมของเธอ ส่งรอยยิ้มเวทนา ที่ไม่อาจลามไปถึงดวงตาได้
"เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์"
"......"
"มนุษย์ทุกคน..ล้วนมีปีศาจอยู่ในตัวอยู่เเล้ว"
ผ้าใบสีขาวเริ่มแปดเปื้อนอีกครั้ง แต่งแต้มไว้ด้วยสีสันของโลกใบนี้
เด็กสาวผู้เปรียบเปรยได้ดั่งนางฟ้า แตกหักและพังทลายลงทีละน้อย
หลงเหลือไว้แค่ความสงสัย ว่าเมื่อใดหนาความดำมืดเหล่านี้จะจบสิ้นลง?
- Stesia Kimber -
+
[ Letter from Ser.Kimber ]
"เขาคนนั้นมอบเด็กสาวตัวน้อยที่แสนวิเศษให้กับผม"
ภายในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงัด ไร้ซึ่งสุ่มเสียงใดหรือกระทั่งชีวิตชีวา
เธอคือผู้ที่เปรียบเสมือนกับเเสงจันทร์..ความงดงามนั้นทำหัวใจเริ่มกลับมาเต้นอีกครั้ง
เด็กสาวตัวน้อยผู้แปดเปื้อนดินโคลน ดวงตาไร้แวว..ช่างเปราะบางนัก
แม้ว่าจะไม่ใช่บุตรีที่แท้จริง ไม่มีกระทั่งสายเลือดหรือความสนิทชิดเชื้อใดๆ ก็ตาม
ฝ่ามือของเขาเอื้อมออกไปรับมือที่เล็กและอ่อนนุ่มนั้นเอาไว้
"ต่อไปนี้ผมจะดูแลเธอเอง"
กล่าวออกไปดั่งว่าได้ต้องมนตร์ ไม่สามารถละสายตาได้เลย
"ฝากด้วยนะ"
เขาคนนั้นกล่าวเเล้วส่งยิ้มให้ ดวงตาคู่นั้นฉาบไว้ด้วยความคาดหวัง
โอ้แน่นอน ไม่มีทางที่จะทำให้เทพธิดาตนนี้ได้รับบาดเจ็บ กระทั่งความโศกาก็จะมิให้มาแตะต้อง
และเพื่อให้เป็นเช่นนั้นเเล้วล่ะก็..จะเก็บเธอไว้ หวงแหนไว้ให้เหมือนกับสมบัติที่ล้ำค่า
ที่หอคอยสูงเเห่งนั้น วิวทิวทัศน์ที่เห็นเพียงนภากว้าง สถานที่ที่ไม่มีใครจะแตะต้อง
"นั่นแหละถึงจะเหมาะกับเธอ"
__TBC?__
ธาตุพลังมานา : ธาตุลม
ลักษณะนิสัย :
•S I L E N T
หญิงงามที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของมนต์สะกด เหมือนกับเเสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ ตัวตนของสเตเซีย คิมเบอร์ส่องสว่าง งดงาม และจับต้องสายตายิ่งกว่าผู้ใด ท่วงท่านั้นอ่อนหวานและอ่อนช้อย ดูนุ่มนวลเหมือนกลีบดอกไม้ผลิบานแย้มสวยที่สามารถสะกดสายตาผู้คนได้ ใบหน้ามักจะเรียบสนิทอยู่เสมอ ขับเร้าให้ดูราวกับว่าเป็นปูนปั้นประดิษฐ์จากฝีหัตถ์ของพระบิดา ความงามของเธอเป็นที่เลื่องลือ แต่เพราะดวงตาที่ไร้ชีวิต นั่นจึงไม่ต่างจากตุ๊กตาประดับที่มีเพียงแค่ความงดงามเท่านั้น
ไร้ซึ่งชีวิต คำที่สามารถเปรียบเปรยตัวตนได้อย่างหมดจด เธอคนนั้นเเสนเฉยชา เงียบสงบ ไร้ซึ่งความสนุกสนานหรือสีสันของการสรวลเราะ ราวกับว่าสเตเซียผู้นี้มิเคยจะรู้จักกับหัวเราะสนุกสนาน ไม่ว่าจะมีเรื่องตื่นเต้น ตลกขบขัน หรือกระทั่งความยินดี เธอก็ล้วนแต่ไม่นำพา สิ่งเดียวที่ดวงตาคู่นั้นจะฉายออกมามีเพียงแค่ภาพสะท้อน หาใช่จินตนาการเเต่งอย่างใด
ริมฝีปากของหล่อนปิดสนิทอยู่เสมอ มันไม่ได้ถูกเย็บไว้ หากเป็นเพราะอิสตรีผู้นี้ไม่คุ้นชินกับการสนทนาพาทีกับใครเลย นั่นจึงทำให้เธอไม่ยอมพูดกับใคร กระทั่งคนที่เห็นหน้าก็มานาน ก็ทำเพียงขานรับหรือกล่าวตอบสั้นๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
บรรยากาศรอบตัวของเธอเงียบสงบมาก ไม่ใช่ทั้งความผ่อนคลายหรืออึดอัด..มันว่างเปล่า..ใช่..ก็แค่ความว่างเปล่าที่ไม่อาจเข้าใจได้เท่านั้น
•A L O N E
ไร้สัมพันธไมตรีโดยสิ้นเชิง_ไม่สิ กล่าวแล้วต้องพูดว่า ไม่เคยแม้แต่จะคิดผูกพันกับใครเลยเสียมากกว่า คนเขาว่ากันว่าหญิงงามผู้นี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี เล่าลือไปทั่ว แต่กลับไม่มีใครจะพบเจอได้บ่อยนัก อย่างกับคำเล่าขานเป็นตำนานจากลมปากไม่มีผิด..บางทีว่าเพราะเซอร์คิมเบอร์หวงแหนบุตรีราวสมบัติทรัพย์ จึงมิยอมให้ได้พบเจอใครเลย ถึงทำให้อิสตรีท่านนี้ไร้เพื่อนขาดมิตรโดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่สหายเลย กระทั่งคนสนิทส่วนตัวยังไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ
เคยมีคนกล่าวว่า การจะให้สเตเซีย คิมเบอร์เข้าไปทำความรู้จักสนิทสนมกับผู้อื่นก่อนนั้น ถือว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่มีวันเด็ดขาดตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงหายใจอยู่ หรือคงเป็นเพราะความเคยชิน..ความคิดของหล่อน ก็มีเพียงแค่ว่า ถ้าไม่มีคนอยากเข้ามาผูกมิตร ก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายหามัน กล่าวว่ามิตรภาพไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจถึงเพียงนั้น สำหรับเธอ มันเป็นแค่สิ่งไม่จำเป็นเท่านั้น
มนุษย์ถึงจะเป็นสัตว์สังคม แต่สเตเซียไม่ใช่ ถ้าเป็นไปได้ เธอจะอยู่แต่ในพื้นที่ของเธอ ไม่ออกไปไหน ไม่คิดพบเจอคนใหม่ๆ ไม่อยากสนิทสนมหรือสร้างความรู้จักกับใคร สร้างโลกใบเล็กของตัวเองขึ้นมา แล้วกักขังตนไว้ก็เพียงพอเเล้ว
•O B E D I E N T
ว่าง่ายสอนง่าย ถึงจะดูไม่สนใคร แต่กับเป็นคนเอนอ่อนกว่าที่ใครคิด มักทำตามคำสั่งของคนอื่นโดยไม่คิดอะไรก่อนมากมาย ใครว่าอะไร ก็ว่าไปตามนั้น สเตเซียเป็นคนไม่ชอบคิด เธอชอบทำตามมากกว่าเป็นฝ่ายออกคำสั่งและนำร่อง ดังนั้นจึงเออๆ ออๆ รับฟังผู้อื่นไปเรื่อยเหมือนกับหุ่นกระบอก ที่รอให้คนมาชักใยเธอ ทว่าจู่ๆ วันหนึ่ง เจ้าหุ่นกระบอกนั้นกลับสะบัดเชือกทิ้ง เเล้วออกวิ่งหนีไปในทางของตนโดยไม่พูดจาอะไรเลยเสียอย่างนั้น
เอาแน่เอานอนไม่เคยได้ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย ไม่ใช่ว่าผีเข้าผีออก ก็แค่วันนี้ฟังพรุ่งนี้อาจจะไม่..อย่างที่บอกว่าสเตเซียเพียงไม่ชอบคิด ไม่ใช่จะบอกว่าคิดไม่เป็น หญิงสาวมักใช้เวลามากๆ ในการประมวลผลหรือตัดสินใจ ระหว่างนั้นก็จะปล่อยให้มันเลยตามเลยไปเสียก่อน จากนั้นพอตัดสินใจอะไรได้เเล้ว จึงจะลงมือทำอย่างเเน่วแน่ โดยไม่สนเลยว่ามันจะขัดเเย้งกับเรื่องที่ทำอยู่หรือไม่
ตัวตนของความย้อนแย้ง กรอบนอกเธอนั้นดูยโสเเละไม่แยแส การกระทำกลับกลายเป็นต้นอ่อนลู่ลม เอนอ่อนไปตามกระแสโดยไม่ปริปาก หากแต่จิตใจนั้นปรวนเปเสียยิ่งกว่าพายุหมุน และเมื่อเธอตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่มีทางเลยที่จะมีใครมาเปลี่ยนใจของเธอได้โดยง่าย
หากทว่าก็มีเพียงเขาคนนั้นเท่านั้นที่จะทำให้หญิงสาวผู้นี้กลับเปลี่ยนความคิด อ่อนน้อมยอมลงให้อย่างง่ายดาย โดยไม่หืออือเลยสักคำไม่ว่าจะเป็นอย่างไร..มีเพียงแค่เขาคนนั้น ชายที่เคยอยู่เคียงข้างกับเธอในวัยเยาว์ บุรุษคนนั้นเท่านั้น ที่ต่อให้เขาจะสั่งให้เธอไปตาย สเตเซียก็คงไม่คิดรีรอที่จะทำตามอย่างว่าง่ายเป็นแน่
เธอคงอยู่ได้เพราะเขา ชีวิตของเธอคือของเขา หากเขาอยากทำลายมัน ก็ย่อมได้ดั่งประสงค์เป็นแน่แท้
•S T R A N G E
ตัวตนของสเตเซียค่อนข้างจะไม่เหมือนกับใครเขา เรื่องปกติที่คนเขาทำกัน กลับไม่เห็นหญิงคนนี้พึงทำเสียเท่าใด เหมือนว่าการเป็นตัวของตัวเองจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหล่อน กล่าวว่าไม่นิยมในคำโกหกปดเท็จ หรือการเเสร้งทำก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอให้ความสนใจ สเตเซียโกหกไม่เป็น และยังไม่คิดจะทำอีกด้วย ใบหน้าหล่อนแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเสมอ แต่ว่าก็ว่าเถิด นอกจากความเรียบเฉยและครุ่นคิดสงสัยในบางครา ก็ไม่เห็นว่าจะเเสดงอะไรอื่นออกมาอีกเลยนี่
คาดเดาความคิดไม่ได้ เหมือนกับว่าระบบกลไกการตัดสินใจมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ อย่างถ้าหากเจอสะพานขาด คนอื่นจะคิดว่าเดินอ้อมไปเเล้วกัน แต่สเตเซียจะมองไปรอบๆ หาอะไรที่มาทดแทนสะพานนั้น เถาวัลย์? ท่อนไม้? ย่อมเป็นตัวเลือกเเสนเสี่ยงแต่ไม่มีทางพ้นไปจากสายตาเธอเป็นแน่
บางทีชีวิตคงมีมูลค่าน้อยกว่าที่ทราบไว้ สเตเซียมิใช่คนขี้กลัว ใต้ความเรียบเฉยนั่นกลับกลายเป็นว่าเธอกล้าหาญกว่าใครๆ หรือถ้าจะพูดให้ถูกยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือความบ้าที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ เธอทำได้ทุกอย่าง หากเธอคิดจะทำ หรือต่อให้ไม่สำเร็จ เธอก็ยังจะดั้นด้นทำต่อไป แล้วหาสักหนทางให้มันสำเร็จเองจนได้
ดื้อรั้น ทะเยอทะยาน และยึดติด เมื่อมีเป้าหมายอยู่ตรงหน้าเเล้ว สามสิ่งนี้ย่อมขาดไปไม่ได้สำหรับสเตเซีย คิมเบอร์
•S U S P I C I O U S
สงสัยเเละใคร่รู้ไปเสียหมดกับทุกเรื่องที่ไม่รู้จัก เว้นเพียงอย่างเดียวคือคนแปลกหน้า สเตเซียใช้ชีวิตในโลกใบเล็กๆ อยู่เสมอ วัยเยาว์คือคฤหาสน์ในป่าลึก เมื่อเติบโตเเบ่งบานก็อาศัยอยู่ในหอคอยงาช้างของเจ้าหญิง เติบโตมาท่ามกลางความงดงามสมบูรณ์แบบ แต่กลับเต็มไปด้วยกรอบและโซ่ที่ล่ามเอาไว้จนดวงตาแทบไม่ได้รับรู้สิ่งใดเลยบนโลกนี้
เมื่อมองไปที่บางสิ่ง ก็เกิดเป็นความสงสัยว่าคือสิ่งใด? เมื่อเห็นคนทำเรื่องไม่คุ้นเคย ก็เกิดเป็นความอึดอัดอยากรู้คุกรุ่นภายในอก ตัวเธอนั้นช่างสงสัยเหมือนเด็กน้อยสามขวบปี แต่กลับปิดปากเงียบเอาไว้ตลอดเวลา เป็นคนขี้สงสัยแต่กลับไม่ใช่คนช่างซักถาม มักใช้ดวงตาจดจ้องสังเกตวิเคราะห์เอาเองเสียมากกว่า แต่ก็เพราะเเสดงออกจนเกินไป คนรอบตัวถึงได้รู้ว่านั่นน่ะ กำลังสงสัยอยู่อย่างไรล่ะ เเล้วท้ายสุดแล้วก็จะได้รับคำตอบจากพวกเขามาเองในที่สุดอยู่ดี
และก็เพราะเช่นนั้นแหละถึงได้เคยชิน คิดไปเองเสียว่าถ้าไม่เข้าใจอะไร รออีกเดี๋ยวก็คงจะได้เข้าใจเองอยู่ดี และก็เพราะเช่นนั้นอีกล่ะหนา เมื่อไม่ได้รู้ ถึงได้อึดอัดทรมานเสียไม่มี
•C A N' T U N D E R S T A N D
ไม่ทราบรู้ในความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ ความรัก ความปรารถนา ความโลภ กระทั่งความโกรธ มันเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่สเตเซียจะทำความเข้าใจได้ ตัวตนของเธอกลวงโบ๋ ความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้อยู่ภายในตัวเลยสักนิด หรืออย่างน้อยที่สุด เธอก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตนเองรู้สึกเช่นนั้น
ใช้ตรรกะมากกว่าความรู้สึก ใช้เหตุผลที่ควรจะเป็นมากกว่าอารมณ์ หลายครั้งต่อหลายครั้ง ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงอยากได้อยากมีมากมายขนาดนั้น ดวงตาของสเตเซียเห็นความดำมืดขมุกขมัวในใจมนุษย์มามากมาย แต่จนเเล้วจนรอด ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเสียที ว่าอะไรกันที่ทำให้มนุษย์กลับกลายเป็นปิศาจไปได้
สีดำภายในจิตใจมันไม่ใช่สีที่ดำสนิท แต่มันเป็นสีที่เละเทะ ถูกผสมผสานด้วยสีสันอันมากมายจนกลายเป็นก้อนมัวหมองที่ทับซ้อนด้วยอารมณ์มากมาย สำหรับสเตเซีย นั่นจึงเป็นเรื่องที่จะไม่สามารถเข้าใจได้ เช่นนั้นเธอจึงไม่มีความเห็นใจในยามที่เห็นน้ำตาไหลอาบใบหน้าใครสักคน เธอไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร ในตอนที่ใครสักคนสาปแช่งเธอ หรือมาขอร้องอ้อนวอนอะไรสักอย่างต่อหน้าเธอ ด้วยสภาพที่น่าสังเวชสิ้นดี
เธอเติบโตมากับความว่างเปล่า ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งที่ไร้ชีวิต จิตใจของเธอถึงได้กลวงโบ๋และมีเพียงความไม่เข้าใจ เช่นนั้นเเล้ว มนุษย์ถึงได้เป็นสิ่งที่น่าพิศวงที่สุด รวมถึงสกปรกที่สุดสำหรับหญิงสาวผู้นี้อย่างไรล่ะ
•H A T E
"เพราะสัมผัสพวกนั้นมันน่าขยะเเขยง"
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะที่ใด เมื่อมองไปยังมนุษย์เหล่านั้น ก็จะเห็นเพียงความสกปรก น้อยเหลือเกินที่จะเห็นผืนผ้าใบสีขาว..และไม่นานนัก ผ้าใบที่ว่าก็จะถูกอาบย้อมด้วยสีตะกอนมัว หรือถูกเผาทำลายสิ้นไปอยู่ดี สเตเซียใช้ชีวิบนโลกด้วยการเผชิญกับความเลวทรามของมนุษย์ เธอโดดเดี่ยว แต่เมื่อคนแปลกหน้าก้าวเข้ามาในพื้นที่ของเธอ สิ่งที่พวกเขาเเสดงให้ได้เห็น ก็มีแค่ความกระหายกับความปรารถนาโสโครกเท่านั้น
สเตเซียเกลียดชังในแววตาเหล่านั้น คำกู่ร้องสาปแช่ง หรือกระทั่งสัมผัสสกปรกที่ถูกแตะต้อง ก็ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ชวนอาเจียน อย่าสัมผัสเธอ เพราะเธอไม่ต้องการ และเธอเกลียดมันสิ้นดี
อ้อมกอด จุมพิต และฝ่ามืออันอบอุ่น สำหรับเธอแล้วหากเป็นคนพวกนี้ก็ไม่ต้องการ ต่อให้หนาวเหน็บเพียงลำพัง ก็ขอเเข็งตายในปราการหิมะพวกนั้นเท่านั้น จะมีก็แต่คนที่ทำให้ยอมรับ คนที่สามารถเปิดเผยให้ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วผืนผ้าใบสีขาวนั้นยังมีอยู่เท่านั้น หรือไม่ก็คงเป็นใครสักคนที่ปรารถนาจะปกป้องเธอ ได้เทียบเท่ากับที่เขาคนนั้นทำมา ที่จะสามารถใช้แสงเยียวยาของพวกเขา ดับความเกลียดชังในสัมผัสพวกนั้นลงไปได้
•R E S P E C T
ผู้ที่เคารพต่อทั้งผืนดิน แผ่นฟ้า หรือวิญญา และเถ้ากระดูกในกองเพลิง หญิงสาวผู้นี้เคารพในธรรมชาติ กล่าวว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากธรรมชาติ และพวกมันล้วนจบลงด้วยการหวนคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อนของเธอก็คือสายลม และสายลมก็คือธรรมชาติ หญิงสาวเคยเอ่ยรำพึงไว้ว่า ที่เธอใช้สายลมได้อย่างอิสระเช่นนี้ มันเป็นเพราะเธอรับรู้ได้ถึงมานาที่แฝงเอาไว้ในธรรมชาติเหล่านั้น รวมถึงสัมผัสมันได้ดียิ่งกว่าใคร ๆ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร สเตเซีย คิมเบอร์ ก็ยังคงถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะในท้ายที่สุดอยู่ดี
หญิงผู้นี้ไม่ใส่ใจในเรื่องของวัยอาวุโส อาจจะไม่ได้กดใส่หรือปืนเกลียว ทว่าก็ไม่ได้เคารพเป็นดั่งเทพหรือถึงขนาดจะเถียงจะขัดอะไรไม่ได้ (แม้ว่าปกติเธอจะไม่ทำอยู่เเล้วก็เถอะ..) ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกันเอง ผู้ที่สเตเซียเคารพ นั่นคือคนตาย
"ผู้ที่ตายแล้วย่อมกลับคืนสู่ผืนดิน กลับกลายเป็นศูนย์และนับเริ่มตั้งต้นใหม่ด้วยสีขาว"
ไม่ว่าเมื่อมีชีวิตจะเป็นเช่นไร เเปดเปื้อนแค่ไหน หรือโศกาเพียงใด เมื่อตายเเล้วก็ล้วนแต่กลับกลายเป็นศูนย์ ความเชื่อของหญิงสาวคือเช่นนั้น สเตเซียเชื่อว่าการจะปลดสิ้นทุกสิ่งได้อย่างแท้จริงนั่นคือความตาย เพราะตั้งแต่เกิดมา สเตเซียมักเฝ้ามองผู้คนอยู่ห่างๆ เสมอ เฝ้ามองว่า พวกเขาจะสลัดทิ้งความละโมบ ความโกรธ ความรักและโศกเหล่านั้นไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเคยทำได้ เว้นก็เพียงแต่ คนตาย
ดังนั้นเมื่อใฝ่หาในความเมตตาอารีจากเธอ หญิงสาวก็จะมอบมัจจุราชให้ท่านด้วยรอยจุมพิตที่ฝังไว้บนวิญญาณ ความทรมานไม่ใช่สิ่งที่สเตเซียใฝ่หา เช่นนั้นเเล้วเมื่อต้องลงมือ จึงเบ็ดเสร็จในคราเดียว ตัดสิ้นเส้นชะตาของเขา ด้วยการลงมือเพียงแค่ครั้งเดียวจนถึงแก่กรรมเพียงแค่นั้น
•A N N O Y E D
เสียงที่ไพเราะจนเกินไป ประสารทการได้ยินที่เป็นเลิศจนเกินไป ทุกอย่างมากเกินเสียจนน่ารำคาญ อีกสาเหตุที่ทำให้เห็นเธอหลบไปอยู่คนเดียวเพียงลำพัง ปิดปากเงียบ ไม่ขยับเขยื้อนตัว ทำเพียงแค่นั่งนิ่งเเล้วจดจ้องธรรมชาติเบื้องหน้า ก็เพราะความสามารถเกินมนุษย์ของสเตเซียนั่นแหละที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
เสียงของเธอไพเราะมาก มันเหมือนกับปาฎิหาริย์ เยียวยาและรักษา เพียงได้ฟังก็มีกำลังวังชา กระทั่งแผลกรีดบาดพกช้ำยังหายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ เปรียบเปรยตัวนางให้เป็นดั่งเทพธิดาเสียเข้าไปใหญ่
หากทว่า สเตเซียกลับนึกชิงชังในเสียงและประสารทการรับฟังที่ดีมากจนเกินเหตุนี้เสียไม่มี เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำร้ายชีวิตเธอ เพราะเเบบนั้นถ้ามีโอกาสที่จะละทิ้งมันไปได้ เธอก็คงจะทำโดยไม่ลังเลเลยทีเดียว
สำหรับผู้คนหรือสัตว์น้อย ไม่ค่อยจะสามารถทำให้สเตเซียรำคาญได้เว้นเเต่จะช่างพูดหรือเอาแต่ทำเสียงดังตลอดเวลา ดังนั้นเเล้วถึงแม้เธอจะไม่พูดด้วย หรือส่งสายตาไร้อารมณ์ใส่คุณตลอดเวลา ก็ไม่ต้องไปคิดว่าเธอเกลียด ต่อให้เดินไปนั่งใกล้ๆ ขอแค่ไม่เเตะเนื้อต้องตัวเธอ สเตเซียก็ไม่ทำอะไรไปมากกว่าเมินคุณหรอก
•H E A L I N G
เสียงของเธอสามารถบำบัดรักษาได้ทุกความเจ็บปวดป่วยไข้ เเละสเตเซียก็ไม่เคยหวงแหนมันกับใคร ใต้ความไม่แยแสนั้น คือระบบความคิดที่ว่าถ้ามันจะพามาแต่ความชิบหาย ก็ขอให้เสียงนี้สร้างสิ่งดีๆ ได้บ้างก็แล้วกัน เช่นนั้นเมื่อเจอคนบาดเจ็บใกล้ตาย ก็มักจะเผลอตัวใช้บทขับขานเพื่อรักษาเยียวยาพวกเขาให้หายดีเสียตลอดศก
เสียดายว่าเเม้จะพยายามใช้มันเพื่อนช่วยเหลือ แต่ถ้าถูกเผยตัวหรือรู้เห็นก็จะไม่ยอมใช้มันโดยง่าย ไม่เพียงแค่ทำให้รู้สึกเกร็ง มันยังทำให้ตื่นกลัวจนนิ้วมือแข็งแกร่ง สั่นระริกไปทั้งร่างจนไม่สามารถขับขานบทเพลงอะไรได้เลย มันทำให้เธอกลัว..กลัวว่าพวกเขาจะนึกละโมภ กลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายตนด้วยเพราะเสียงอันไพเราะนี้
และถ้าให้เลือกทอดทิ้งชีวิต กับตกลงสู่หลุมบ่อของความกลัวนั้น เธอก็คงเลือกข้อแรกโดยไม่ลังเล
สเตเซียไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ทั้งผู้สวดภาวนา หรือหญิงสาวมากคุณธรรม สำหรับเธอ ก็เพียงแค่กระทำเพราะต้องทำเพื่อบางสิ่งเท่านั้น..ชีวิตของเธอทอดทิ้งไปได้หากว่ามันเป็นความปรารถนาของเธอเอง แต่การทอดทิ้งชีวิตเพื่อผู้อื่นทั่วไป มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวเธอเลยสักนิด
จงอย่าเฝ้าคิดว่าเธอคือผู้ที่ดี เพราะท้ายสุดเเล้ว สเตเซีย คิมเบอร์ ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง
สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ :
}} ชอบ
♠ เสียงเปียโน ; ไพเราะมาก
♠ พระจันทร์ ; อาจเพราะมันสวยงามที่สุดเเล้ว?
♠ ความว่างเปล่า ; มันสงบ ไร้สุ่มเสียง และไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวที่จะถูกทำร้าย
♠ ภาพวาด ; เธอชอบชื่นชมในศิลปะอันงดงามเหล่านั้น
♠ red spider lily ; ดอกไม้สีแดงที่เป็นตัวแทนของสวรงสวรรค์และความตาย..ว่ากันว่ามันมีความหมายถึง การกลับมาพบกันใหม่ (red spider lily คือ ดอกฮิกันบานะ (ดอกไม้คนตาย) หรือดอกมังจูชาเกะ (ดอกไม้สวรรค์) ในประเทศญี่ปุ่น)
ไม่ชอบ {{
♠ สัมผัส ; เพราะมันสกปรก
♠ เสียงดัง ๆ ; เสียงที่ดังเกินทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะแตกอยู่เสมอ
♠ เสียงของตน ; เธอเกลียดที่มันนำพาความเจ็บปวดมาให้กับเธอ
♠ ช่วงเวลากลางคืน ; นอกจากพระจันทร์แล้วก็ไม่ชอบสิ่งใดอีก รู้สึกว่ามันจืดชืดไปเสียหมด
ลักษณะภายนอกคร่าวๆ : ความงามที่ราวกับถูกสะกด ภาพวาดสีขาวอันเจิดจรัสท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด ตัวตนของ สเตเซีย คิมเบอร์ ถูกเปรียบเปรยไว้เช่นนั้น รูปร่างดูผอมบางชุดหรูหราประดับประดา สวมใส่เครื่องประดับสวยงามมากมาย ผิวขาวนวลดุจน้ำนม รับไปกับเส้นผมสีเงินยวงตัดสั้นระต้นคอ ดวงตาคู่นั้นดูพิสุทธิ์สะอาดเกลี้ยงเกลา เหมือนกับอัญมณีในทุกประการ รวมถึงความเป็นประกายที่ไร้ชีวิตชีวา ดูราวกับบุคคลที่ไม่อาธรณ์ต่อชีวิตใดเลย เครื่องหน้าของเธอนั้นสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง และริมฝีปากที่แต่งแต้มไว้ด้วยสีชาดเพียงหนึ่งเดียว ก็แสนดึงดูดเสียจนไม่อาจละสายตาออกได้โดยง่าย ( 160 cm. l 43 kg. )
*ร่างกายมีโครงสร้างที่ค่อนข้างประหลาด ดูผอมบาง แต่กลับทนทานจนน่าประหลาด บาดแผลบนตัวสมานได้ไวกว่าคนทั่วไปด้วยเหตุผลบางอย่าง*
ความสามารถพิเศษ :
♠ บทขับขาน ; เสียงเพลงของเธอนั้นราวกับเป็นยาวิเศษ มันเยียวยาความเหนื่อยล้า และทำหายให้ป่วยไข้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
♠ การรับฟัง ; หูของเธอดีกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว สามารถได้ยินเสียงจากระยะไกล และแยกแยะประเภทเสียงได้อย่างแม่นยำ
♠ กระเเสลม ; ควบคุมได้ราวกับเป็นแขนขา ยามสงบเย็นสบายคอยเยียวยา หากยามเกรี้ยวกราดกลับพังราบทุกสิ่งยิ่งกว่าพายุ
♠ เกราะ ; เกราะสายลมนั้นเเข็งแกร่งมาก มันเกิดจากการหมุนตัวของมานาที่เกิดเป็นกระแสลมกราดเกรี้ยวขึ้นรอบตัวผู้เป็นนาย ทุกสิ่งที่โรมรันเข้าใส่หมายทำร้าย จะถูกกระแสลมอันดุร้ายเหล่านั้นฉีกกระชากขาดวิ่นไม่มีเหลือ
♠ ปีก ; สายลมสามารถพัดพาร่างกายของเธอให้ลอยไปได้ดั่งใจ ราวกับว่าบนแผ่นหลังนั้นได้มีปีกงอกออกมาไม่ปาน
จุดอ่อนของพลัง :
♠ ระยะเวลา ; ความมหาศาลของพลังสวนทางกับร่างกายที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับศึกยืดเยื้อทุกกรณี
♠ รัศมีพลัง ; โดยรวมเเล้วมีสเกลการโจมตีที่ค่อนข้างกว้าง จะควบคุมได้ยากเมื่อต้องสู้กันในระยะใกล้
♠ พลังชีวิต ; การรักษาด้วยบทขับขาน คือการเเบ่งเอาพลังชีวิตในตัวให้กับผู้อื่นเพื่อเยียวยา ถ้าฝืนมากเกินไป ก็มีแต่จะเป็นการบั่นทอนความพร้อมของร่างกายตนเท่านั้น
อาวุธที่ใช้ :
♠ มีดสั้น ; ในความจริงแล้วเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับการต่อสู้ระยะใกล้ เเต่เมื่อกอปรรวมกับสายลมของเธอเเล้ว มันจึงกลายเป็นอาวุธระยะไกลที่สามารถเคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างอิสระ พร้อมจะเฉือดเฉือนทุกชีวิตในระยะรัศมีรอบตัวเธอให้สิ้นใจตายได้โดยง่าย จากความแหลมคมของมัน แต่นอกจากนี้ ทักษะการใช้มีดสั้นของสเตเซียก็จัดได้ว่าเป็นเลิศเช่นกัน
♠ ธนู ; ไม่บ่อยนักที่จะเห็นสเตเซียหยิบธนูออกมาใช้ เป็นอาวุธเด็ดขาดและมีความแม่นยำสูง เมื่อใช้ ก็จะเล็งไปที่ศีรษะหรือหัวใจ หมายปลิดชีพในครั้งเดียวเท่านั้น ปลายธนูอาบไว้ด้วยพิษร้าย ที่หากไม่ตายจากการโจมตีในครั้งแรก ก็คงต้องสิ้นใจหลังจากนั้นด้วยความทรมานทุรนทุรายอย่างสาหัสเป็นแน่
เพิ่มเติมและอื่นๆ :
♠ อาศัยอยู่ในคฤหาสน์จนกระทั่งอายุสิบหก หลังจากคืนวันนั้น เธอก็ได้ไปอาศัยอยู่กับชนชั้นสูงท่านหนึ่งที่ได้รับการฝากฝังจากเขาคนนั้น บุรุษท่านนี้เป็นเจ้าของนามสกุลที่เธอใช้อยู่ในปัจจุบัน ฐานะศักดิ์ของเธอคือบุตรสาวบุญธรรมของเขา
♠ ปัจจุบันหนีออกมาจากหอคอยที่เซอร์คิมเบอร์จัดหามาให้ เพียงเพราะได้ยินข่าวลือว่าสามารถขายเสียงตนทิ้งไปได้เท่านั้น
♠ เป็นศิลปะการต่อสู้ มันไม่มีชื่อเรียกชัดเจน แต่มองดูเเล้วอ่อนช้อย และรวดเร็วดุดันไม่ต่างจากสายลม
♠ สเตเซียสวมต่างหูเพชรประดับไว้เสมอ เธอบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ได้มาจากเขาคนนั้น
♠ ทักษะเวทมนตร์ของสเตเซียเป็นเลิศ ว่ากันว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง
♠ เสียงของเธอไพเราะมาก ไม่ว่าใครก็ล้วนดั่งต้องมนตร์สะกดเมื่อได้รับฟัง
♠ คำพูดคำจานั้นกล่าวได้ว่าเป็นภาษาที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดี มีความสุภาพ หากแต่ไร้หางเสียง และไม่ส่อความขลาด
♠ จะไม่ยอมถอดถุงมือออกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
♠ เหตุผลที่เกลียดการสัมผัส เพราะซึมซับมาจากการที่เห็นด้านเลวร้ายของมนุษย์ในตอนเด็กๆ ไปมาก จนทำให้ในปัจจุบัน สายตาที่มองพวกเขานั้นเเทบจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อคิดสัมผัสทีไร ก็ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าแตะต้องเอาเสียเลย
♠ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอไม่เคยเอ่ยถึงชื่อของคนๆ นั้นที่คอยดูเเลเธอมา หรือกระทั่งบอกถึงการมีตัวตนของอีกฝ่ายมาก่อนก็ไม่เคยเลยสักครั้ง..
______________________________________________
O T H E R P R O F I L E
______________________________________________
Diana Rosso [24 yrs]
Status :: Dead
[ หญิงสาวจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรบริเรเนีย ครั้งหนึ่งเคยถูกสเตเซียช่วยชีวิตเอาไว้ตอนที่ได้รับบาดเจ็บจากอสูรกาย หลังจากนั้นจึงคอยเเวะเวียนไปดูแลเด็กสาวที่คฤหาสน์อยู่เสมอ จนกระทั่งชาวบ้านรู้เรื่องเกี่ยวกับสเตเซีย จึงได้ลอบตามไปและทำร้ายเธอจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนหญิงสาวจะจบชีวิตลงในกองเพลิง เมื่อถูกเผาไปพร้อมกับคฤหาสน์หลังงามในความทรงจำแห่งนั้น ]
Leonard Kimber [31 yrs]
Status :: Alive
[ พ่อบุญธรรมของสเตเซีย รับเลี้ยงเด็กสาวคนนั้นมาในตอนที่เธออายุสิบหก เขาเป็นเศรษฐีหนุ่มที่ร่ำรวยเป็นอย่างมากในบริเรเนีย และว่ากันว่าชายผู้นี้หวงแหนบุตรีบุญธรรมยิ่งกว่าอะไรดี บางที อาจจะมากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตนเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นเมื่อได้รู้ว่าบุตรสาวหายไป เขาก็คลั่งเสียจนเเทบบ้าเลยล่ะ ]
????
Status :: ??
[ ชายปริศนาผู้ที่คอยเลี้ยงดูสเตเซียมาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาสร้างคฤหาสน์หลังงาม ปลูกสวนดอกไม้ มอบอาหารและเสื้อผ้าหรูหราให้กับเธอ บุรุษผู้นี้มักหายไปจากชีวิตของหญิงสาวอยู่เสมอ หากแต่เมื่อเกิดอันตรายขึ้นกับเธอ เขาก็จะปรากฎตัวขึ้น เเละช่วยเหลือสเตเซียไว้ได้อยู่ดี กล่าวกันว่าสำหรับชายคนนี้ เเม้ว่าจะไม่เคยอยู่เคียงข้าง แต่เขาก็จะเป็นคนสุดท้ายนโลกใบนี้ที่จะทอดทิ้งเธอ ]
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น