คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #298 : ES or S : Seizensetsu
ถ้าฉันต้องสูญเสียทุกอย่าง
ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอไป
—วิลล์-อิลล์, ทีเค
‘ความรัก’ สำหรับคุโรดะ โคกิคือสิ่งจอมปลอม
เขาเติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดและน่าอิจฉาที่สุดเท่าที่ใครในโตเกียวบีจะมีได้ พ่อเป็นนักการเมืองชื่อดังที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคส่งเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งใหม่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่แม่ก็เป็นเจ้าของมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆ มากมาย จึงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกหากลูกชายคนเดียวจะถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเรื่องกิริยามารยาทหรือการศึกษาเล่าเรียนก็ล้วนดีเลิศไร้ที่ติ ใช้ชีวิตอย่างเป็นระเบียบแบบแผนอยู่ในกรอบที่พ่อแม่วางไว้ให้แม้ว่าพวกท่านจะไม่ค่อยมีเวลาให้ ช่วงเวลาที่ได้พร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหารในตอนกลางคืนคือการถามไถ่เรื่องผลการเรียนทั้งในและนอกห้อง ย้ำชัดให้เขามุ่งมั่นตั้งใจเพื่อที่จะได้สานต่อเจตนารมณ์ของผู้เป็นบิดา ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น กระนั้นเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาก็เชื่อสุดหัวใจว่ามันคือความรักจากผู้ให้กำเนิด
กระทั่งเด็กน้อยเติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่ม เริ่มระแคะระคายและได้ล่วงรู้ความลับเรื่องพี่ชายนอกสมรสเป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้สิบสี่ หากเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพ่อที่เขารักและเทิดทูนตลอดมาพังทลายลงไปในชั่วพริบตา นอกจากข้อความจริงที่ว่าพ่อของเขาไม่ได้ซื่อสัตย์กับแม่แค่คนเดียวแล้ว ชู้รักที่พ่อยังคงส่งเสียเลี้ยงดูจากที่โคกิเคยแอบตามไปดูก็ทั้งงดงามและอ่อนเยาว์กว่าแม่ของเขาอย่างเทียบไม่ติด เพราะอย่างนั้นหล่อนถึงได้ให้กำเนิดเทพบุตรออกมายังโลกใบนี้นี่เองสินะ เมกุโระ เร็นที่อายุมากกว่าเขาหกปีตัวสูง รูปร่างดี หน้าตาดี หัวก็คงจะดีด้วยจากการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าเหมือนกันกับพ่อ แต่ทั้งหมดเหล่านั้นยังไม่ทำให้โคกิรู้สึกเจ็บปวดใจได้มากเท่ากับการมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อตอนที่พูดคุยอยู่กับสองแม่ลูกบนโต๊ะอาหารของร้านอาหารจีนในซอกมุมหนึ่งของละแวกย่านเสื่อมโทรมที่ครอบครัวคุโรดะของเขาไม่มีทางจะมาเหยียบย่าง เสียงหัวเราะเริงร่าแสดงความสุขสันต์ที่ดังแว่วมาตามสายลมบาดลึกเข้าไปข้างในราวกับคมมีดที่กรีดเฉือน
นี่ต่างหากคือความรักที่แท้จริงจากผู้ให้กำเนิด
หัวใจที่เคยเปี่ยมไปด้วยความรักและความดีงามของโคกิเปลี่ยนไปเป็นด้านชา ลามมาถึงตัวตน แม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องชู้รักคนขับรถของแม่ที่น่าอดสูยิ่งกว่าในภายหลังก็ไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรได้อีก เขาสวมใส่หน้ากากเหมือนที่ทุกคนในครอบครัวต่างก็หยิบมันขึ้นมาทาบทับเมื่ออยู่ที่บ้าน กระทั่งในที่สุดมันก็แนบสนิทเข้ากับใบหน้าราวกับอวัยวะอีกชิ้นหนึ่ง
โคกิได้รู้จักกับฮามานากะ เอมะ ตอนขึ้นชั้นไฮสคูล เธอเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ที่กลมกลืนไปกับเด็กนักเรียนอีกร้อยพันคนในสถาบัน ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่างทั้งรูปลักษณ์ นิสัยใจคอ ผลการเรียน อาจรวมไปถึงการใช้ชีวิต จนไม่เคยอยู่ในสายตาหรือว่าความสนใจของเขามาก่อน กระทั่งในเย็นวันกลางฤดูใบไม้ร่วงที่เขาอยู่ช่วยเธอที่เป็นเวรทำความสะอาดต่อหลังเลิกเรียน เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องก็เอ่ยปากพูดกับเขาเป็นประโยคแรกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบนิ่ง ที่โคกิเชื่อว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิดต่อเจตนาของการเสียดเย้ยภายในนั้นว่า
“ถ้านายไม่อยากทำก็บอกครูไปสิว่าไม่อยากทำ จะมาเสแสร้งอยู่ได้ทำไม”
“เอ๊ะ ทำไมคุณฮามานากะถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
เขาแกล้งทำเป็นส่งสีหน้าไร้เดียงสา หัวเราะกลบเกลื่อนคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่ข้างในใจกำลังร้อนเป็นไฟ
“ที่จริงนะ ให้ฉันทำเองคนเดียวดีกว่า ส่วนนายก็กลับบ้านหรือจะไปไหนก็ไปเถอะ บอกตามตรงว่าเห็นความเสแสร้งแกล้งทำเป็นนักเรียนดีเด่นของนายแล้วฉันสะเอียนจนอยากอ้วก ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรนายก็ไม่เคยแยแสคนอย่างฉันมาก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
หนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของโคกิหุบลงไปขณะจ้องสบกับเธอที่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งของกระดานดำโดยไม่มีฝ่ายไหนคิดจะเบือนหลบ เธอก็แค่ผู้หญิงกระจอกๆ กล้าดียังไงถึงมาว่าเขาแบบนั้น กล้าดียังไงถึงมองเขาด้วยสายตาดูแคลนแบบนั้น กล้าดียังไงถึงมาพูดเหมือนกับว่าตัวเองรู้ดีไปซะทุกอย่างทั้งที่เธอไม่รู้อะไรเลยสักนิด แล้วโดยที่ไม่รู้ตัว โคกิก็เดินไปตบหน้าเธอ
เขาไม่ได้ใส่เรี่ยวแรงลงไปทั้งหมดแม้ว่าจะไม่พอใจคนตรงหน้าแค่ไหน เพราะถึงยังไงเธอก็ยังเป็นผู้หญิง...ที่อ่อนแอมากเสียจนแค่เท่านี้ก็ทำให้ใบหน้าของเธอหันไปอีกทาง แก้มขาวของเธอขึ้นเป็นรอยแดงที่อาจไม่ได้ชัดเจน แต่เป็นของเหลวสีสดจากมุมริมฝีปากนั้นต่างหากที่ทำให้โคกิงันไป ก่อนที่เขาจะได้เข้าใจต่อความเข้มแข็ง หรือไม่ก็บ้าบิ่น ในตอนที่เอมะพุ่งตัวเข้ามาตบหน้าคืน โคกิแน่ใจว่าเธอใส่ลงไปสุดแรงแล้ว กระนั้นก็หาได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดนอกจากระคาย นั่นคงเป็นตัวกระตุ้นให้เธอยิ่งขุ่นเคืองใจจนต้องยกมือขึ้นตบหน้าเขาซ้ำๆ โดยที่โคกิไม่คิดจะโต้ตอบกลับไป และการที่เขายังยืนก้มหน้ามองเธอราวกับคนต้อยต่ำกว่าอยู่ได้ก็เป็นเหตุผลมากพอให้เธอผลักเขาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวให้ล้มลงไป เหมือนกับที่โคกิก็ไม่ทันได้ตั้งตัวกับร่างของเธอที่ตามลงมานั่งคร่อมเขาไว้และจูบเขา
เป็นความตื่นตกใจในทีแรกของสิ่งที่โคกิก็เรียกได้ว่าเป็นจูบแรกในชีวิต แต่ก็แค่ครู่ขณะเดียวเท่านั้นจนเขาแทบไม่ทันได้รู้สึกถึงอะไร เมื่อสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นความเจ็บของริมฝีปากที่ถูกกัดอย่างแรงมาก จนเขาผลักเธอออกไป ยกหลังมือขึ้นปาดเพื่อจะได้มองเห็นรอยเลือดอยู่บนนั้น
“ทำอะไรไว้ก็ควรได้อย่างนั้นกลับไปไม่ใช่หรือไง?” เอมะเยาะหยัน
ขณะที่โคกิยกแขนเสื้อสูทขึ้นเช็ดปากและมองดูเธอด้วยความหงุดหงิด เอมะที่ไม่สนใจจะทำอะไรกับมันก็เพียงยันตัวเองลุกขึ้นยืน หากในวินาทีที่เธอแค่ใช้ลิ้นกวาดเลีย โคกิก็รู้สึกถึงบางอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน สิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจ สิ่งที่เกินกว่าเขาจะควบคุมได้ ทว่าบัดนี้มันกำลังควบคุมหัวใจที่เคยนิ่งสนิทให้กลับมาเต้นแรงได้อีกครั้งหลังจากเนิ่นนานมาแล้ว เขาอาจจะบ้าไปแล้วที่ปล่อยให้มันครอบงำการกระทำจนเข้าไปจับท่อนแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ กระแทกแผ่นหลังนั้นลงไปกับบอร์ดหน้าห้องเพื่อที่จะก้มลงไปลิ้มรสชาติของสนิมที่คลุ้งอยู่ในโพรงปากเมื่อเขาสอดลิ้นเข้าไปโดยไม่รั้งรอ ความเจ็บปวดที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายผลักไส บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงเมื่อบดขยี้ลงไป ราวกับว่าเขาโหยหาปรารถนามันมาตลอด
ใบหน้าของเอมะเป็นสีแดงก่ำยามหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปเมื่อเขาผละออกในที่สุด เช่นเดียวกับริมฝีปากบวมเจ่อที่เปรอะไปด้วยเลือด ซึ่งคงไม่ได้ต่างอะไรจากเขา นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โคกิได้มองเห็นความงดงามของเธอ
ฉับพลันนั้นเอง ความรู้สึกผิดก็ถั่งโถมเข้ามาเมื่อคิดว่าตัวเองได้ทำลายความงดงามนั้นลงไปเสียแล้ว เขาได้แต่ทิ้งตัวนั่งก้มหน้ากอดเข่าลงบนพื้น พร่ำคำขอโทษกับเธอด้วยเสียงที่แผ่วเบาหากก็ดังพอในห้องเรียนยามเย็นที่เงียบสงัดนี้
โคกิคิดว่าเธออาจจะตรงเข้ามาทำร้ายเขา หรือหนีกลับไปเลยโดยไม่มีวันญาติดีกันอีกตลอดชาติ เหมือนอย่างที่เธอกับเขาควรจะเป็น แต่ไม่ว่าจะอะไร มันย่อมต้องไม่ใช่อ้อมกอดที่โอบรับเขาเข้าไปอย่างแนบแน่นมากเสียจนโคกิสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่ไม่สงบของเธอ พร้อมกับคำพูดจากลมหายใจอุ่นร้อนที่รดรินอยู่ข้างลำคอของเขาว่า
“นายแบ่งปันความเจ็บปวดให้ฉัน แล้วฉันจะแบ่งปันความสุขให้นายเอง”
กับความรู้สึกที่โคกิเกือบเชื่อว่ามันคือความจริงแท้แรกในชีวิตที่เขาได้รับจากใคร
ก่อนที่จะได้เข้าใจว่าสุดท้ายมันก็แค่เรื่องจอมปลอมทั้งเพ
‘ความรัก’ สำหรับฮามานากะ เอมะคือการแบ่งปันที่เทียมเท่ากัน
ครอบครัวชนชั้นกลางที่มีกันสี่คนพ่อแม่ลูกต่างก็มอบทั้งความรักและความอบอุ่นให้กันอย่างล้นเหลือ แม้เอมะจะเป็นพี่สาวคนโตของน้องชายอายุน้อยกว่าสองปีอย่างเรโอะแต่ความรักที่ได้รับก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเมื่อพ่อกับแม่เผื่อแผ่มาให้เท่าๆ กัน ถ้าเอมะได้ชุดใหม่เรโอะก็ได้ด้วย ถ้าเรโอะได้ของเล่นใหม่เอมะก็ได้ด้วย เพราะอย่างนั้นถึงไม่มีความอิจฉาหรือน้อยเนื้อต่ำใจระหว่างพี่น้อง มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เอมะจำความได้
กระทั่งเธออายุได้สิบสอง โดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่มีการทุ่มเถียง ไม่มีความเฉยชา ไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลกไปจากเดิม แต่พ่อกับแม่ก็หย่ากัน นอกจากข้าวของพ่อยังหอบน้องชายออกจากบ้านไปไกลห่างจากชีวิตของเอมะที่ทำอะไรไม่ได้ตลอดกาล ขณะที่แม่เองก็ไม่แม้แต่จะปริปากพูดถึงเรื่องของพ่อหรือน้องชายราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตมาตั้งแต่แรก
เอมะเริ่มต้นใช้นามสกุลฮามานากะของแม่...แม่ที่เริ่มแต่งหน้าแต่งตาและอยู่ไม่ติดบ้านอย่างกับการปลดแอกจากชีวิตของแม่บ้านที่ได้แต่ปรนนิบัติครอบครัว ถึงจะยังคงส่งเสียเลี้ยงดูเรื่องค่าเล่าเรียนให้เธอ แต่ไม่ได้รวมถึงค่ากินอยู่ที่บางวันก็ต้องอดมื้อกินมื้อ โชคดีที่มีครูประจำชั้นคอยช่วยเหลืออยู่ พอขึ้นชั้นมัธยม หล่อนก็ใจดีช่วยหางานพิเศษให้ ชีวิตของเอมะจึงไม่ได้แร้นแค้นเกินไปนัก
แต่ไม่ใช่กับแม่เธอที่หอบร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวกลับมาที่บ้านในเย็นวันหนึ่ง โดยไม่บอกกล่าวถึงที่มาแม้เอมะจะแน่ใจว่าเป็นเพราะผู้ชายแล้วเริ่มต้นทุบตีเธอโดยไม่มีเหตุผล ครั้นเมื่อพอใจแล้วแม่ก็ส่งยิ้มมาให้ บอกว่าเธอเป็นเด็กดีและดีใจแค่ไหนที่มีเธอเป็นลูก เอมะที่ไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดของแม่ได้จึงตัดสินใจว่าจะโอบรับความเจ็บปวดที่แม่แบ่งปันมาให้ เพื่อบรรเทาความบอบช้ำและแทนที่มันด้วยความสุขให้ผู้เป็นที่รักเอง
รักครั้งแรกของเอมะคือเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมห้องตอนขึ้นชั้นไฮสคูลที่ชื่อคุโรดะ โคกิ
เธอตกหลุมรักแค่เพียงใบหน้าของเขาที่ได้เห็นจากตอนที่โชคดีได้ยืนเข้าแถวในวันปฐมนิเทศข้างๆ กัน และเขาก็หันมาส่งยิ้มให้ในตอนที่เหลียวมองไปรอบๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หากความคิดที่จะเอ่ยปากทักทายเขาหลังจบพิธีก็แทบเป็นไปไม่ได้เมื่อเพื่อนร่วมห้องทั้งชายหญิงต่างก็แห่แหนกันเข้ามารุมล้อมเขาไม่ได้ว่างเว้น เอมะฟังเรื่องซุบซิบที่เล่าถึงประวัติของเขาจนหมดเปลือกระหว่างทางเดินไปยังห้องเรียน ลูกชายนักการเมือง หัวกะทิทั้งด้านการเรียนและกีฬา เรียกได้ว่าเป็นเอซในทุกทาง เท่านั้นเอมะก็เข้าใจว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะได้เป็นเพื่อน — ไม่ต้องวาดหวังไปถึงคนรัก — กับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบมากขนาดนี้
แต่ความรักไม่ใช่สิ่งที่จะเลือนหายไปได้ง่ายดายขนาดนั้นแค่เพราะคำว่าเป็นไปไม่ได้ เอมะยังคงไม่อาจหักห้ามตัวเองไม่ให้ลอบมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูจากที่นั่งด้านหลังสุดตรงกลางห้องของตัวเอง การได้เห็นเขาพูดคุยหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่กับเพื่อนๆ หรือพวกผู้หญิงที่พยายามเข้าหาแม้เขาจะไม่ได้ดูสนใจใครเป็นพิเศษค่อยๆ สร้างรูโหว่ข้างในใจของเอมะ ความรักที่เคยมีให้แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคงไม่เข้าใจ จนเมื่อวันหนึ่งที่คุโรดะเดินชนไหล่เธอระหว่างสวนทางกันที่ห้องพักครู ไม่ใช่คำขอโทษที่เอมะได้รับแต่เป็นสีหน้าเย็นชา อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดในเศษเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น แต่ก็ยิ่งใหญ่มากพอให้เอมะได้เข้าใจถึงความรู้สึกที่มีต่อคุโรดะซึ่งหมางเมินเธอที่อยู่คนละระดับกับเขา
เอมะเกลียดคุโรดะนับตัังแต่วินาทีนั้น
เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้สะอิดสะเอียนที่เขาตอบรับคำขอจากครูประจำชั้นให้อยู่ช่วยเธอทำเวรด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงแข็งขัน ทำเป็นพูดจาดีกับเธอเหมือนเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งทั้งที่เขาไม่ได้มองเธอเป็นแบบนั้นด้วยซ้ำ อย่างกับลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรไว้ หรือเพราะเรื่องของเธอมันไร้ค่าจนไม่ควรค่าให้ต้องจดจำ แล้วถือดีอะไรถึงได้มาตบหน้าเธอ แค่เพราะโดนพูดจี้ใจดำเข้าหน่อยหรือไง ไหนจะการกระทำและสายตาที่มองมาเหมือนกับว่าเธอต่ำต้อยกว่าเป็นนักหนา งั้นก็ลองลิ้มรสชาติของการถูกคนต้อยต่ำกว่าทำร้ายคืนหน่อยเป็นไง
มันเป็นความหยามเหยียดในทีแรก ก่อนกลายเป็นความตื่นตกใจจากจูบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เอมะจะคาดหวังจากคนอย่างเขา ทว่าก่อนวินาทีที่หัวสมองของเอมะจะกลายเป็นขาวโพลน เธอก็ได้เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่คุโรดะมอบให้อย่างชัดเจนแจ่มชัด ณ วินาทีนั้น
ความเจ็บปวดที่เอมะเชื่อว่าสามารถบรรเทาให้ได้ ไม่ว่ากับแม่หรือกับคนที่เธอรักยามได้เห็นตัวตนที่แท้จริงนั้น สถานะที่โรงเรียนของเธอกับคุโรดะก็ยังคงเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เมื่อพ้นจากรั้วโรงเรียนมา พวกเขาก็กลับกอดจูบเพื่อแบ่งปันความสุขให้แก่กัน จนมาถึงจุดที่หันหลังกลับไม่ได้อีกแล้วหลังจากคำพูดของเธอที่ว่า “จากนี้ฉันจะรักแค่คุโรดะคนเดียวไปจนตาย”
ครั้งแรกของเธอและเขายังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าครบถ้วนแม้ว่าจะหลุดลุ่ยเพราะเอมะไม่ต้องการเปิดเผยร่องรอยบาดแผลฟกช้ำข้างใต้นั้นให้เขาเห็น แม้ว่าจะมีแค่แสงไฟสลัวในเลิฟโฮเต็ลราคาถูกก็ตาม คุโรดะไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำถามทั้งหมดทั้งมวลเพราะริมฝีปากที่ถูกประกบปิด เป็นอีกครั้งที่เอมะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เขามอบให้ อาจมากกว่าครั้งไหนๆ หรือจากสิ่งใดจนเธอรู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกสลาย ทว่ามันก็เป็นความรู้สึกที่เอมะยินดีโอบรับเพียงได้โอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขน รับรู้ถึงลมหายใจและเสียงหัวใจอันแนบแน่นยามได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมถึงคำที่เขาเอ่ยออกมาหลังจากจูบซับน้ำตาที่รินไหลของเธอและริมฝีปากที่เนิ่นนานว่า “ฉันรักเอมะนะ” เธอก็ได้เข้าใจถึงความรักอันลึกซึ้งของเขาที่พร้อมมอบทุกสิ่งให้อย่างถ่องแท้
เมื่อเธอลืมตาตื่น
สีสันใดก็งดงามทั้งนั้น
—วิลล์-อิลล์, ทีเค
_______________
ความคิดเห็น