คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #295 : Katharsis
บางครั้ง ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสและพยากรณ์อากาศคาดการณ์เปอร์เซ็นต์ของความน่าจะเป็นของมวลอากาศต่ำระเรี่ยจนไม่มีใครได้ตระหนัก ทันนั้นเอง สายฝนก็จะสาดซัดลงมา กระหน่ำห่าฝนกอปรกับพายุคะนองรุนแรงอันเป็นอันตราย ตอนที่ก้อนเมฆยังลอยเอื่อยเฉื่อยเป็นสีขาวนวลฟ่องคือช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน ภายในห้องเรียนชั้นปี 2-2 ของโรงเรียนฟุโดก็ยังคงสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงที่จับกลุ่มพูดคุยกันออกรสเรื่องละครโทรทัศน์และรายการวาไรตี้เมื่อคืนวาน หรือจะเรื่องเกมออกใหม่ของกลุ่มเด็กนักเรียนชายที่เล็งปืนอากาศใส่กันสนุกสนาน บ้างก็ก้มหน้าก้มตาปั่นการบ้าน อ่านหนังสือ เล่นมือถือกันขะมักเขม้น เหตุการณ์ดำเนินไปเฉกเช่นปกติเหมือนกับทุกๆ วัน อาจกล่าวได้ว่าปกติมากเสียจนไม่มีใครคาดคิดว่าเสียงเลื่อนบานประตูสุดแสนธรรมดาสามัญในครานี้ จะเปรียบประดุจเมฆฝนตั้งเค้า ก่อนตามมาด้วยสุรเสียงกึกก้อง “ทุกคนถอยออกมาให้ห่างจากไอ้หมอนั่นเดี๋ยวนี้!” ดั่งสายฟ้าฟาดลงสู่ผืนโลกใบเล็กที่มีชื่อเรียกขานว่า ‘ห้องเรียน’
ต่างพากันสะดุ้งไหวจนตัวโยนด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว กระทั่งคนที่ครอบหูฟังก็ยังได้ยินทุกถ้อยประโยคของหนึ่งในนักกรีฑาประจำโรงเรียนได้อย่างแจ่มแจ้ง หากก็หาได้มีใครขยับเคลื่อนไหว สีหน้าของทุกคนฉายฉาดเพียงความงุนงงออกมา เช่นเดียวกับคนที่ถูกเอ่ยพาดพิงถึง ซึ่งนั่งประจำตำแหน่งเป็นศูนย์กลางเรื่องเกมคอนโซลอยู่ท่ามกลางพวกผู้ชายที่รายล้อม แต่ก่อนที่เขาหรือใครจะได้ทันเอ่ยปากถามไถ่ เด็กนักเรียนชายผู้ทำลายแสงอาทิตย์สดใสในยามเช้าก็ส่งเสียงตะโกนก้องตามมาอีกครั้ง เป็นการขยายความมุ่งตรงเข้าสู่ประเด็นที่ทั้งชัดเจนและเร็วรี่ พอๆ กับวงล้อมที่แตกฮือพาโต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจายหลังสิ้นสุดประโยคที่ว่า
“เมื่อวานฉันไปที่โรงพยาบาลประจำเขตมา ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วแม่ของมันไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่เป็นเอดส์ต่างหาก!”
ที่จะเรียกเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วทุกอณูพื้นที่ของห้องเรียนแห่งนี้ จากสีหน้าท่าทางที่แสดงความเคลือบแคลง หวาดระแวง อาจรวมถึงขยะแขยงเหมือนกับเจ้าตัวคนปล่อยข่าว ซึ่งรับกับสีหน้าที่แทบไม่ผิดความหมายเพี้ยนไปจากกัน ขณะจ้องสบสายตาที่แสดงความไม่เข้าใจของเพื่อนสนิทร่วมก๊วนเดียวกันคนนั้น จนเขาต้องผลุนผลันลุกขึ้นยืน ริมฝีปากขยับพร่ำคำแก้ตัว “เดี๋ยวสิ! ทุกคน ฟังฉันก่อน” ขณะฝีเท้าก็ก้าวตามไป ทว่านั่นกลับทำให้วงล้อมที่ห่างอยู่แล้วพากันถอยกรูดออกไปอีกจนเขาต้องชะงักรองเท้าหนังสีดำของตัวเองนิ่งงัน เฉกเช่นริมฝีปากที่หุบกลับลงไปพร้อมถ้อยคำที่กดกลืน
เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
จากที่เคยถูกรายล้อมด้วยเพื่อนพ้องตลอดเวลาตามประสาเด็กชายผู้เป็นที่รัก บัดนี้ กลับมีเพียงเขาที่ยืนโดดเดี่ยวลำพังใจกลางห้องเรียน ไม่ต่างอะไรจากพ่อมดไสยเวทย์ที่กำลังถูกล้อมด้วยชาวบ้านผู้ขลาดเขลา แม้อาจไม่ได้มีใครถือคบเพลิงในมือเพื่อแผดเผา แต่สีหน้าและวาจาของเพื่อนร่วมห้องที่พลิกเปลี่ยนราวถอดหน้ากากสวมใส่ ก็จุดกองไฟขึ้นข้างในใจที่ปวดหนึบของเขาอย่างช้าๆ คนที่กำลังปลุกระดมความเกลียดชังเขาให้แก่คนอื่นๆ คนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนร่วมชมรมกรีฑาของเขา คนที่เขาเคยยกให้ว่านิสัยดีที่สุดและไว้ใจได้มากที่สุดจากทั้งหมดยี่สิบหกคนในห้องเรียนนี้ หากโมงยามนี้ กลับยืนจ้องมองเขาด้วยสายตาเดียดฉันท์ ประหนึ่งว่ากำลังจ้องมองอะไรบางอย่างที่อาจไม่ได้ควรค่าต่อคำว่าเพื่อนมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป
“ถ้าแกบริสุทธิ์ใจจริง แกจะโกหกพวกเราทำไม!”
เขากลืนน้ำหลายเหนียวหนืดลงคอก่อนที่จะส่งน้ำเสียงแหบแห้งเบาหวิวไปว่า “แต่แม่ฉันไม่ได้...” ซึ่งไม่ใช่คำแก้ตัว หากเป็นข้อเท็จจริงที่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากรับฟังมัน เมื่ออีกฝ่ายตะโกนแทรกขึ้นมากลางปล้องด้วยน้ำเสียงขุ่นข้องระคนรำคาญใจ
“อะไร! แกจะสรรหาคำแก้ตัวอะไรอีก หรือจะโกหกทุกคนอีกเรื่องด้วยล่ะว่าแม่แกไม่เคย...”
“.....”
“ขายตัว”
หมัดของเขากำแน่น ถึงอย่างนั้นก็ยังทำใจเย็นด้วยการกดกลั้นอารมณ์ส่งเสียงเย็น “เรื่องที่แม่ของฉันเคยทำอะไรมาไม่ได้เกี่ยวด้วย” หากคู่กรณีกลับตะเบ็งเสียงใส่หลังสิ้นสุดคำพูดของเขาโดยไม่มีการข่มความรู้สึกที่ผุดพุ่งขึ้นมาเลยสักเศษเสี้ยว “แม่แกมันสำส่อน! แกมันลูกไอ้คนสำส่อน!” แล้วหันไปคว้าหยิบกล่องชอล์กปาใส่เขาจนเส้นผมและเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงสีขาวปลิววะว่อน มีเสียงฮือด้วยความตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจจะเข้าไปช่วยเหลือเลยแม้สักคนเดียว อดีตเพื่อนรักคนนั้นส่งรอยยิ้มเหยียดหยัน เชิดคอตั้ง รอคอยจังหวะที่เขาเงยหน้ากลับขึ้นมาหลังจากเบือนหลบกล่องชอล์กนั้นเพื่อจะเอ่ยคำพูดเกลียดชังใส่หน้าเขา
“แค่คิดว่าต้องอยู่ร่วมห้องกับไอ้ลูกคนสำส่อนก็ขยะแขยงพอแล้ว นี่ยังจะเป็นโรคน่าขยะแขยงอีก แกเองจะติดโรคจากแม่มาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แกกลัวล่ะสิว่าถ้าพูดความจริงไปแล้วจะถูกพวกเรารังเกียจ ก็แน่อยู่แล้ว ใครจะทนอยู่ร่วมกับไอ้ตัวเชื้อโรคน่ารังเกียจได้วะ!”
หมัดของเขากำแน่นขึ้นไปอีกจนคล้ายกับว่ากระดูกภายในจะแตกหักลงไปได้ทุกเมื่อ ไม่! เขาไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น! แม่ของเขาไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากแค่ติดเชื้อเอชไอวี มันไม่มีอะไรที่น่าวิตกหรือน่ารังเกียจเลย และเหตุผลที่ต้องปกปิดมันก็เพราะคำขอของแม่ แต่เมื่อได้มองดูสีหน้าของทุกคนแล้ว เขาก็รู้ดีว่าคงไม่มีประโยชน์ หัวหน้าห้องที่เขาเคยคบและมีความสัมพันธ์ด้วยช่วงระยะหนึ่งปล่อยโฮออกมาทันทีที่ระลึกถึงมันได้ น้ำตาของเธอปลุกปั่นเงาสีดำทะมึนให้ขยายใหญ่ขึ้น ท่ามกลางคำด่าทอ และข้าวของรอบตัวที่แต่ละคนพากันปาใส่เขาซึ่งได้แต่ยืนก้มหน้าเป็นเป้านิ่ง ไร้การตอบโต้ แม้ในตอนที่แปรงลบกระดานจะปาเข้าใส่หน้าเขาเต็มแรงด้วยเหลี่ยมมุมที่พอเหมาะพอเจาะ ตามมาด้วยของเหลวสีชาดที่หยาดซึมลงมากับฝุ่นชอล์กสีขาว เขายกมือขึ้นแตะเลือดที่ไหลลงมาบดบังวิสัยทัศน์ของนัยน์ตาข้างขวา ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น ทุกคนก็หยุดการกระทำของตนเองราวกับรู้ตัว หาใช่ความตระหนักในการกระทำแต่เป็นผลลัพธ์ของมัน สรรพเสียงกลับมาอยู่ในความเงียบสนิทจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ ทุกชีวิตต่างรีบถอยกรูกันไปกองที่มุมห้อง เมื่อเขาจะยกแขนเสื้อสูทขึ้นปาดรอยเลือดที่เขาคิดว่าน่าจะหมดจดแล้วค่อยๆ เดินออกไปจากห้องเรียน หลงเหลือกลิ่นไอความเงียบเข้มข้นที่ยังคงอวลอลอยู่
ฝนห่าใหญ่กำลังจะมา
บางครั้งฉันก็รู้สึกว่างเปล่า จนคิดว่าถ้าทุกอย่างหายไปก็คงดี
พระเจ้าสูญสิ้นไปเนิ่นนานแล้วยามแขวนคอตัวเองที่อพาร์ตเมนต์โกโรโกโสในอาซากายะ
ขณะที่ฉันจูบเธอภายใต้หมู่ดาวที่งดงาม
ความทรงจำและความปรารถนาที่อยากจะตายของฉันก็หายไป
มันคือแสงสว่างแบบนั้นแหละ
บทนำ
เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เร่งรีบสวนทางกันในห้วงราตรีกาลบนห้าแยกชิบุยะที่พลุกพล่าน วุ่นวาย วกวน จนไม่มีช่องว่างให้กับความโดดเดี่ยว แต่เหตุใดเขาถึงได้กำลังรู้สึกเปลี่ยวเหงา ใบหน้าของพวกเขาต่างดูคุ้นเคย หากไม่ว่าจะพยายามเขม้นมองเพียงไรก็เห็นเพียงความเฉยชาและว่างเปล่า ไม่ต่างอะไรจากใบหน้าของหุ่นโชว์ไร้ชีวิตที่เขานึกขลาดกลัวอยู่เสมอ เป็นวินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักถึงความเงียบงันรอบกาย ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัดหวีดหวิวหรือลมหายใจส่งผ่าน เหมือนมีใครมาปิดโสตสดับของเขาให้มืดบอดมิอาจรับรู้ถึงสิ่งใดกระทั่งการมีอยู่ของตัวเอง เขาหลับตาลง แล้วจึงได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีลู่ลม เช่นเดียวกับความยะเยือกเย็นที่พัดโพยกระทบเนื้อหนังให้เขาเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพท้องถนนเหล่านั้นหายไป ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่ในป่ารกชัฏที่มืดหม่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขาก็เริ่มวิ่ง ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่ราวกับเปิดกว้างให้แก่เขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย จนเมื่อได้มองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านแมกไม้เข้ามา ฝีเท้าเปล่าเปลือยของเขาจึงชะลอลงจนหยุดนิ่งทันทีที่พ้นแนวป่าออกมาสู่ยอดผา เบื้องหน้าเขาคือแสงสีส้มเรืองรองของพระอาทิตย์ที่กำลังตระหง่านขึ้นสู่ท้องนภา ดั่งปฏิกิริยาเร่งเร้า แล้วเขาก็ออกวิ่งไปอีกครั้งโดยไม่หวาดกลัวต่อหุบเหวที่มองไม่เห็นเบื้องล่าง
หากก็มีมือขาวๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมาจับเขาไว้ก่อนที่ทั้งร่างจะร่วงหล่นลงไป เขามองไม่เห็นใบหน้าของเธอที่ค่อยๆ ถูกกลืนกินไปทีละน้อย ภาพสีสรรพ์หม่นหมองเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าจนเขาต้องหลับตาลง
เขาได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างใบหู
“ฉันจะอยู่กับเธอ”
จากนั้นก็เลือนหายไป
๑.
วันเวลาต่างก็เดินตรงไปข้างหน้าไม่มีหวนย้อนกลับ เฉกเช่นเดียวกับความผิดพลาดในชีวิตของเขา ความผิดพลาดที่เป็นมลทินติดตัวมาตั้งแต่เกิดโดยที่เขาไม่มีแม้แต่ทางเลือก ผ่านมาเกือบเดือนได้แล้วนับตั้งแต่ความลับของความผิดพลาดนั้นได้ถูกเปิดโปงต่อเหล่าสาธารณชน หากแม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำใจรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จากทุกคนที่เคยเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น ‘เพื่อนร่วมห้อง’ ไม่ใช่แค่เพียง ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่ร่วมใช้ห้องเรียนเดียวกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และสิ่งมีชีวิตที่ร่วมใช้ห้องเรียนเดียวกันก็หาได้หมายถึงเหล่าพวกมากลากไปเหล่านั้น เมื่อทุกคนในห้องปี 2-2 ต่างก็รู้ดีว่าหมายถึงเขา สิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อว่ามิจิเอดะ ชุนสุเกะ ขณะที่ปัจจุบันนั้นคือไอ้ตัวเชื้อโรคน่ารังเกียจ ที่ยังหาญกล้าโผล่หน้าสลอนมาโรงเรียนอยู่ได้ทุกวี่วัน
จากเด็กนักเรียนชายผู้เป็นที่รัก ทั้งหน้าตาดี มนุษยสัมพันธ์ดี นิสัยดี มีน้ำใจ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กีฬา หรือกิจกรรมก็รักษาสมดุลอยู่ในระดับแถวหน้าได้อย่างไม่คลอนแคลน จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบคนหนึ่งอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะขาดพ่อหรือฐานะทางการเงินจะไต่ระดับชั้นพีระมิดขึ้นมาได้เพียงนิดก็จวนเจียนจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ ไม่ใช่แค่ไม่มี...แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เพื่อนร่วมห้องคนใดจะหยิบยกเรื่องราวงี่เง่าพรรค์นั้นมาล้อเลียนหรืออาจแม้แต่พูดลับหลังกันให้สนุกปาก และความจริงก็คือทุกคนต่างก็พร้อมออกหน้าปกป้องเขากันอย่างเต็มที่ สรรเสริญเยินยอมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากพระเจ้าเดินดิน เพราะอย่างนั้นมันถึงเป็นเรื่องชวนหัวเสียเหลือเกิน เมื่อสาวกเหล่านั้นต่างโง่เขลาและนึกถึงแต่ตัวเองเกินกว่าจะรับฟังถ้อยวาจาหรือตระหนักถึงความเป็นจริง หูเบาเชื่อคำว่าร้ายจากสาวกคนสนิทข้างกายเขา คนที่มีอำนาจเทียบเคียงกับพระเจ้า ก่อนจะตอกตรึงพระเจ้าที่เชื่อสาวกผู้นั้นหมดใจกับไม้กางเขน และแห่เร่ป่าวร้องความชั่วร้ายในมโนนึกของตนใส่เหล่าสาวกที่พากันขว้างปาก้อนหินใส่ พร้อมสบถด่าทอพระเจ้าที่ลวงหลอกด้วยความโกรธแค้น จากนั้น สาวกคนสนิทก็ขึ้นมานั่งบัลลังก์แทนที่ด้วยรอยยิ้มเหยียดหยันต่อพระเจ้าผู้วายชนม์ ผู้ไม่อาจแม้แต่จะหลั่งน้ำตาเลือดน่ารังเกียจออกมาได้
ทีแรก เขาไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของสาวกผู้นั้น จนกระทั่งข่าวลือเรื่องของเขาและแม่แพร่สะพัดไปทั่วชมรมกรีฑา จากจุดสูงสุดร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุดแค่เพียงชั่วกะพริบตา มิใช่แค่เพียงบัลลังก์โอ่โถง หากสาวกผู้นั้นยังช่วงชิงความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของพระผู้เป็นเจ้าไปด้วย เมื่อชื่อของอิวาซากิ ไทโชจะได้แทนที่เขาขึ้นเป็นตัวจริงประจำโรงเรียนในการแข่งขันกรีฑาระดับจังหวัด วินาทีนั้นเอง ชุนสุเกะถึงได้เข้าใจทุกอย่าง
ความยุติธรรมไม่มีจริงฉันใด ความทัดเทียมกันก็ไม่มีจริงฉันนั้น ถึงจะเคยเป็นเพื่อนรักที่เสมือนดั่งพี่น้อง แต่การต้องถูกมองข้าม ถูกคนรอบข้างกดหัวเขาให้อยู่ใต้ร่มเงาของเขามาตลอด ได้ค่อยๆ กร่อนทำลายความดีงามภายในจิตใจที่เปราะบางนั้นไปทีละน้อย บางทีการถูกแย่งชิงสิ่งที่เปรียบดั่งความภาคภูมิใจอันเป็นศักดิ์ศรีเดียว จากอดีตแชมป์กรีฑาระดับจังหวัดมาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งกลับถูกลดระดับลงมาเป็นแค่ตัวสำรองในการแข่งขันประจำปีนี้ และเชือกเส้นสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวหน้ากากปกปิดตัวตนมุ่งร้ายนั้นก็ขาดผึง
ทันทีที่เลื่อนบานประตูเข้าไปในห้องเรียน ใบหน้าของเขาก็จะถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจังเหมือนเช่นทุกวัน มันได้กลายเป็นสูตรสำเร็จของการกลั่นแกล้งยามเช้าที่เขารู้ดี...และเตรียมใจยอมรับ จนกลายเป็นความชินชาต่อบาดแผลทางกายไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์น่าอดสูที่สุดในชีวิตของเขาวันนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้หรือพูดคุยกับเขาเหมือนปกติอีกต่อไป ถึงจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุก็หาใช่เสียทีเดียว ตราบเท่าที่สีหน้าขยะแขยงหรือหวาดกลัวพวกนั้นจะยังคงเสียดแทงมโนสำนึกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภายในห้องเรียนที่เคยสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้ากลับดำทะมึนเหมือนมีเมฆหมอกมาบดบัง ส่งบรรยากาศหนักอึ้งเข้มข้นลอยวนอย่างหน่วงหนักและน่าอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก จะมีก็แต่กลุ่มของไทโช หรือลงลึกไปกว่านั้นคือกลุ่มเพื่อนเคยสนิทของเขาที่ตั้งหน้าตั้งตาสรรหาวิธีกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทั้งเอาขยะมายัดในเก๊ะ เอาตะปูมาโรยรอบๆ โต๊ะและในล็อกเกอร์ ปาข้าวของใส่หน้า จิกกัดด่าทอพร้อมผสมโรงหัวเราะลั่นกันได้ไม่รู้เบื่อ อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องเดียวที่ชุนสุเกะยังไม่อาจเข้าใจ มิตรภาพลูกผู้ชายสามารถแตกหักกันได้ง่ายดายเพราะเรื่องแค่นี้เองหรือ?
หรือเพราะว่าลึกๆ ในใจ พวกนั้นต่างก็เกลียดชังในความสมบูรณ์แบบของเขาตลอดมากันแน่?
หากในวันนี้กลับต่างออกไป เมื่อชุนสุเกะรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลย้อยลงมา เพราะไม่รู้สึกถึงความข้นหนืดจึงแน่ใจว่าไม่ใช่เลือด แน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาจนถึงขั้นเลือดตกยางออกด้วย บางทีคงจะเป็นกล่องนม เขายกแขนเสื้อสูทขึ้นปาดใบหน้า และทันใด การโจมตีระลอกสอง สาม สี่ก็ตามมาอีกไม่มีให้พักหายใจ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีน้ำตาลและกลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งจนแม้แต่ตัวเองยังสะเอียน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ทุกคนในห้องก็เริ่มต้นด่าทอเขาสารพัดด้วยความโกรธขึ้งที่เหมือนจะถูกปลุกเร้าจากกลิ่นเหม็นเน่า พอๆ กับข้างในใจที่ฟอนเฟะของตนเอง
“ไม่มีใครเค้าต้อนรับแกแล้วยังเสนอหน้ามาโรงเรียนอยู่ได้! เป็นพวกโรคจิตชอบโดนทำร้ายหรือไงไอ้ตัวเชื้อโรค!”
“ตัวเชื้อโรคอย่างแกสมควรไปอยู่ในถังขยะโน่น ไป้!”
“ไปตายเลยดีกว่า!”
“ใช่ๆ! ไปตายซะไอ้ตัวเชื้อโรค!”
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะสำรอก อยากระเบิดความหงุดหงิดทั้งหมดที่ถูกกักเก็บออกมาด้วยการพังข้าวของ กระทืบ และละเลงเลือดหัวพวกแมลงสาปสกปรกที่อยู่ในห้องนี้ให้หมดทุกตัว แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลเดียวกับที่เขาต้องอดทนต่อการกลั่นแกล้งและมาโรงเรียนทุกวี่วัน ซึ่งกำลังรอคอยเขาอยู่ที่บ้านด้วยความคาดหวังต่อสมบัติล้ำค่าเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว เขาจึงได้แค่กำหมัดแน่นด้วยความอดกลั้นเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง ก่อนหมุนตัวออกจากห้องเรียนไปท่ามกลางคำพูดสาปส่งที่ยังคงดังไล่หลังตามมา
และชีวิตในนรกก็ยังคงดำเนินต่อไป
๒.
ทุกวันนี้ แทบไม่มีนักเรียนคนใดในฟุโดใช้เส้นทางมายังตึกเรียนเก่าอีกแล้ว หลังจากตึกใหม่ทางทิศตะวันตกแล้วเสร็จก่อนช่วงเปิดเทอมเลื่อนชั้นประจำปีการศึกษาก่อนนี้ อีกทั้งยังมีแปลงดอกไม้ที่ผอ.เก่าเพาะปลูกดอกกุหลาบทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ในช่วงระยะเดียวกันก่อนต้องย้ายไปประจำการไกลถึงซัปโปโร อาจฟังดูโหดร้าย หากไม่ใคร่จะมีผู้ใดระลึกถึงหล่อนมากนัก อาจกล่าวได้ว่าแปลงดอกไม้นี้มีคุณูปการมากกว่าการทำงานตลอดสามปีการศึกษาที่หล่อนได้เพาะเมล็ดพันธุ์ความมักใหญ่ใฝ่สูงในตัวเด็กนักเรียนเสียอีก มันเติบโตงอกงามราวเถาวัลย์เลื้อยลดคดเคี้ยวที่แพร่ขยายออกไปไม่รู้จบรู้สิ้น หากกุหลาบดอกงามกลับเหี่ยวเฉาด้วยไม่มีใครใส่ใจดูแลอย่างที่ให้คำมั่นแก่หล่อน จากสนามกีฬาและสวนสันทนาการขนาดย่อมที่คึกคักได้ตลอดทั้งวันแม้กระทั่งช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ทิ้งร้างยากจะมีใครย่างกราย เช่นเดียวกับตึกเก่าที่มีแค่ห้องสมุดกับห้องชมรมภาพยนตร์และชมรมวิจัยเรื่องลึกลับซึ่งยึดครองพื้นที่ชั้นสองและสามเอาไว้โดยไม่มีใครทัดทาน ไม่นานหลังจากนั้น ละแวกนี้จึงเริ่มมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเล่าขานผ่านปากต่อปาก บ้างเห็นเงาร่างบนตึกทั้งที่ไม่มีใคร หรือไม่ก็เจอผู้หญิงชุดแดงกับดอกกุหลาบในแปลงดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แน่นอนว่าชุนสุเกะไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นอยู่แล้ว เมื่อเห็นกันอยู่ทนโท่ว่าแปลงดอกไม้กลับมาออกดอกสวยสะพรั่งตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีก่อนโน้น แต่ในตอนนี้ เขาจะมีอารมณ์อื่นใดมากไปกว่าความโกรธขึ้งและเจ็บใจที่ตีรวนผสมกันจนยุ่งเหยิงได้อีก
ทำไม?
พวกนั้นมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคุณค่าในชีวิตคนอื่นกัน?
ชุนสุเกะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ระเบิดโทสะใส่ใครก็ตามที่เดินสวนมา ตลอดระยะทางจากตึกใหม่จนถึงตึกเก่า ทั้งสายตาที่เพ่งจ้องและเสียงหัวเราะซุบซิบน่ารำคาญนั่น กว่าจะพ้นสภาพอันน่าอดสูมาสู่ความปลอดโปร่งของบรรยากาศที่สงบเงียบ ขณะเดินตัดผ่านแปลงดอกไม้เพื่อจะขึ้นไปล้างตัวในห้องน้ำที่ตึกเก่า ที่อย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เจอไอ้พวกหน้าโง่อย่างเพื่อนร่วมห้องสองและพวกชมรมกรีฑาที่ความรู้รอบตัวต่ำเตี้ยยิ่งกว่าเขาในวัยประถมศึกษามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวห้องสมุด ก็เห็นๆ กันอยู่ พวกนั้นจะไปรู้อะไรในตำรา นอกจากสันดานการรังแกผู้อื่นเยี่ยงเดรัจฉาน
เขาไม่สนใจว่าแรงดันน้ำจะพาให้ตนเองเปียกปอนไปทั้งตัวเพียงใด เมื่อนิ้วที่สั่นเทาปลดกระดุมสูทเม็ดสุดท้ายออก เขาก็ขว้างมันลงไปในซิงค์น้ำจนชุ่มโชก มือทั้งสองข้างกำวางไว้ตรงขอบอ่างแน่น ทั้งที่สายน้ำฉ่ำเย็น หากทว่าขอบตาของเขากลับร้อนผ่าว และทันทีที่ก้มหน้าลงไป หยดน้ำใสก็ไหลรื้นพร้อมๆ กับเสียงสะอื้นไห้ที่เขาอดทนมาตลอดทั้งเดือนจนสุดจะไหวกลั้น หาใช่เพราะความเสียใจที่เขาไม่มีให้แก่คำจอมปลอมที่แสนสวยหรูอย่าง ‘มิตรภาพ’ อีกต่อไป แต่คือความเจ็บแค้นใจต่อโลกใบนี้ — โลกใบสกปรกโสมมที่ไม่ต่างอะไรกับขุมนรกแผดเผา — หลายต่อหลายครั้งที่หยิบใบมีดขึ้นมาส่องสะท้อนข้อมือไล้แสงจันทร์ในยามค่ำคืน แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าแม่ที่นอนอยู่บนฟูกข้างกันนั้นทีไร ผู้เป็นลูกชายก็ได้แต่กล้ำกลืน สำนึกชั่วดีย้ำเตือนว่าเขาจะทอดทิ้งแม่ที่ยอมเสียสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อให้เขาได้เติบใหญ่มาจนกระทั่งบัดนี้ได้อย่างไร แต่เพราะมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า และเขาก็เป็นเพียงนามเยินยอของพระองค์ที่ไม่ได้มีจิตใจบริสุทธิ์พอจะอภัยบาปให้แก่มนุษย์ผู้โง่เขลา จุดสิ้นสุดความอดทนของเขาใกล้จะระเบิดเต็มที
สติฉุดรั้งของเขาหลุดลอยไปพร้อมกับหยดเลือดที่ไหลอาบลงบนหมัดข้างขวากับกระจกที่ร้าวแตก ก่อนเศษซากของมันจะร่วงหล่นในตอนที่เขาย้ำลงไป ณ จุดเดิมอีกครั้ง เศษแก้วส่องสะท้อนวาววับเรียกสัมปชัญญะไม่เต็มร้อยจากดินแดนอันไกลโพ้นที่อาจมีชื่อว่าขุมนรกให้หวนคืน ใบหน้าอ่อนโยนของแม่ถูกแทนที่ด้วยไอ้พวกสารเลวที่หัวเราะเยาะใส่หน้าเขา เสียงหัวเราะน่าทุเรศเหล่านั้นกรีดแทงจนอยากจะจบมันไปให้พ้นๆ มือของเขาสั่นเทาไร้ความมั่นคง ซึ่งก็หาได้มีความขลาดกลัวเว้นแต่ลังเลใจ เขาอยากอยู่กับแม่ แต่ไม่อาจอดทนกับนรกบนดินนี้ได้อีกแล้ว ระยะห่างระหว่างข้อมือกับเศษแก้วเหลือเพียงหน่วยมิลลิเมตร และตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเล็กๆ สดับแทรกเสียงเย้ยเยาะเหล่านั้น
“นายจะยอมแพ้ไม่ได้นะ”
ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงตะโกนก้องหรือแผ่วผิน เพียงราบเรียบทว่าแฝงด้วยความสั่นเครือที่เขาจับจดได้
ภายใต้ม่านน้ำตาและหยดน้ำปนเปที่มัวพร่า เขาได้มองเห็นร่างของหญิงสาวตัวสูงเจ้าของเรือนผมยาวสีดำสนิทที่กำลังจับจ้องมองเขามาจากตรงหน้าประตู
เธอคนนั้นเดินเข้ามาวางหอบเสื้อผ้าที่ถือมาด้วยลงบนขอบอ่างแรก ก่อนจะเดินเลยไปเอื้อมหมุนปิดก๊อกน้ำจนทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน และตัวเธอที่ถูกสายน้ำกระเซ็นสาดอีกเล็กน้อย จากนั้นก็กระทำในสิ่งที่เรียกความตระหนกจากชุนสุเกะที่รู้สึกตัวเต็มร้อยในที่สุดจนผงะห่าง หากก็ไม่ทันมือบางที่พันผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อสูทลงบนมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลและหยดเลือด
มือของเธอกำลังเปื้อนเลือดที่เป็นของเขา
“จะตายไม่ได้นะ”
นับเป็นครั้งแรกจากเหตุการณ์วันนั้น ที่มีใครสักคนในขุมนรกนี้ได้มอบความเมตตาให้แก่เขา
และเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุย จ้องตา และสัมผัสความอบอุ่นจากเด็กผู้หญิงที่เป็นเจ้าของโต๊ะถัดจากเขาไปหนึ่งที่นั่งคนนั้น คนที่เพิ่งจะย้ายมาช่วงขึ้นปีที่สอง คนที่ไม่มีเพื่อนสนิทเลยในห้อง คนที่มักจะหนีหายไปเมื่อถึงเวลาพักคนเดียว ทำอะไรเองคนเดียว คนที่ทุกคนเอาไปล้อเลียนกันว่านางแม่มดลับหลังกันให้สนุกปาก คือคนที่ชุนสุเกะไม่เคยสนใจใคร่อยากรู้จักมากไปกว่าเพื่อนร่วมห้องที่หายใจร่วมชั้นบรรยากาศเดียวกัน คนที่เขาอาจไม่เคยว่าร้ายแต่ก็ไม่เคยปกป้องอะไรคนนั้น กลับเป็นคนเดียวที่กำลังเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจให้แก่เขาโดยไม่แสดงความรังเกียจอะไรเลยในตอนนี้
“ห้ามตายเด็ดขาด”
เขาได้มองเห็นแสงสว่าง
“คุณมิจิเอดะ” ซึ่งอ่อนโยนที่สุดในชีวิต
ยามาดะ นานาเสะ
คือชื่อของเธอ
เธอก็คือเธอนั่นแหละ
คนที่รักตัวเองที่มี
“คนที่ฉันรักมากกว่าตัวเอง”
ตอนนี้ฉันพูดได้แล้ว
ว่าฉันรักตัวเองในตอนนี้ที่
“รักเธอมากกว่าตัวเอง"
บทนำ
ยามาดะ นานาเสะสำหรับเด็กห้องปี 2-2 แห่งโรงเรียนฟุโดคือนางแม่มดที่ไม่มีมนุษย์คนใดอยากเข้าใกล้ ทว่าสำหรับเด็กห้องปี 1-2 แห่งโรงเรียนมัธยม A แล้ว ครั้งหนึ่ง ยามาดะ นานาเสะก็เคยเป็นเด็กหญิงธรรมดาสามัญ ผู้เคยมีเพื่อนรายล้อม และสามารถหัวเราะได้เป็นปกติ เรื่องพรรค์นี้อาจคล้ายลมปากที่เรียกความชอบธรรมให้แก่เจ้าตัวซึ่งบัดนี้ได้ถูกเกลียดชัง แต่ถ้าเราบอกว่ามันมาจากปากเหล่าพยานทั้งหลายในเหตุการณ์ก็คงจะฟังน่าเชื่อถือมากกว่า อย่างนั้นแล้ว มันตั้งแต่เมื่อไหร่ และอย่างไร ที่เหรียญถูกพลิกเปลี่ยนด้านจากหน้าเผยหลังเช่นทุกวันนี้
ทุกคนในเหตุการณ์ยังจำได้ดี
นิทานเรื่องนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ บทที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้อาจอยู่ในช่วงต้นหรือกลางหนังสือเล่มหนาหนัก กับเรื่องราวของเด็กสาวผู้ถูกเหล่าโฉมงามรุมกลั่นแกล้งเพราะเป็นที่หมายปองของเจ้าชาย จากการพูดจาถากถาง ทำลายข้าวของ ก็เริ่มบานปลายเป็นการทำร้ายร่างกาย หาได้มีใครยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือเด็กสาวผู้นั้น ไม่แม้แต่เด็กหญิงหรือชายคนที่ต่างเคยบอกว่าเป็นเพื่อนรักกันนักหนาเลยแม้แต่คนเดียว คนธรรมดาที่เฝ้ามองเหตุการณ์จากระยะไกลมาโดยตลอดรู้สึกสงสารและเวทนาเด็กสาวจับใจ จึงคาบข่าวเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษา และเมื่อชื่อของคนธรรมดาถูกป่าวประกาศหน้าชั้นในชั่วโมงโฮมรูม พร้อมกับการพูดคุยในหัวข้อการกลั่นแกล้งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในโรงเรียน เป้าหมายของทุกคนก็เปลี่ยนมายังคนปากสว่างนั้นอย่างพร้อมเพรียง
แล้วนานาเสะจึงได้เข้าใจ
ไม่ใช่แค่ปัญหาในโรงเรียน แต่ยังที่บ้านซึ่งเธอไม่สามารถหันหน้าปรึกษาใครได้อีก นับตั้งแต่สูญเสียผู้ให้กำเนิดไปจากการฆ่าตัวตายเพราะปัญหารุมเร้าก่อนเปิดเทอมใหม่ ญาติๆ ต่างพากันผลักภาระด้วยไม่มีใครอยากรับเลี้ยงเธอ เหมือนกับคนที่ไม่มีใครต้องการ กระทั่งน้องชายของแม่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนจะเป็นคนเสนอตัวเข้าช่วยเหลือทั้งที่มีสายเลือดร่วมกันเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น หากก็ไม่มีใครทัดทาน แม้ต่างรังเกียจเดียดฉันท์ลูกชู้ที่ได้เคยสร้างความร้าวฉานจนน่าหัวร่อ วินาทีที่เธอสิ้นหวังกับสายสัมพันธ์ เขาคนนั้นก็ได้เข้ามาจุดแสงสว่างซึ่งส่องนำทางในวันที่มืดหม่นที่สุดในชีวิตที่ไร้ค่า ก่อนที่สุดเธอจะได้ตระหนักถึงข้อความจริง พร้อมกับแสงสว่างที่วูบดับลงไปเพียงชั่วกะพริบตา โลกใบเดียวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตโดดเดี่ยวมีแค่เธอกับเพื่อนๆ ในห้องปี 1-2 คนที่ต้องการเธอเสมอ คนที่จะคอยอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะอย่างไร นานาเสะแน่ใจว่าเทพนิยายแสนสุขเรื่องนี้จะคงอยู่เรื่อยไปตราบชั่วนิรันดร์
เธอไม่คิดเลยว่ามันจะจบลงแบบเดิมๆ กับการเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
ทุกๆ วันเปรียบดั่งนรกบนดิน ความหวังดีของเธอกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทิ่มแทงรอยแผลทั้งกายและใจ แม้แต่เด็กคนนั้นก็ยังกลายมาเป็นหนึ่งในคนรังแกเธออย่างทารุณราวกับการชำระแค้น เธอโง่เองที่คิดว่ามิตรภาพเป็นสิ่งแข็งแกร่งขนาดนั้น นานาเสะเริ่มเขียนจดหมายกล่าวโทษผู้คน ทั้งพร่ำพรรณนาถึงชีวิตน่าทุเรศของตัวเองแสนยาวเหยียดจนเหมือนกับเรียงความที่ติดกันเป็นพรืด มันคือข้อความสุดท้าย คือจดหมายลาตายก่อนเธอจะตามมารดาผู้เป็นที่รักไป ไม่ว่าจะสวรรค์หรือนรก ก็คงจะดีกว่านรกที่เธอได้เผชิญและสร้างรอยแผลเป็นบนข้อมือข้างซ้ายเพื่อเป็นการระบายความคับแค้นตลอดมา แต่เมื่อทุกอย่างหลั่งรินท่วมท้นผ่านตัวอักษรนับพัน ฉับพลันความคิดของเธอก็แจ่มจรัส
เหตุการณ์สิ้นสุดลงในเช้าวันศุกร์ที่โต๊ะเก้าอี้ของเธอถูกโยนทิ้งออกนอกหน้าต่าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะบาดหูเหล่านั้น นางิสะทิ้งกระเป๋านักเรียนของตัวเองลงบนพื้น ก่อนตรงเข้าไปโยนโต๊ะและเก้าอี้ของเด็กหญิงที่นั่งริมหน้าต่างข้างหน้าเธอออกไปเช่นเดียวกัน ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด เมื่อเธอโยนมันออกไปอีกตัว สองตัว ก่อนที่ใครจะได้สติและคว้าบ่าของเธอไว้ ไวทายาดพอที่มือบางจะหยิบมีดพับในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมากรีดไปที่ใบหน้า เลือดสีแดงฉานบนหน้าเด็กชายคนนั้นไหลรินอาบแก้ม เด็กผู้หญิงส่งเสียงกรีดร้องและทุกคนต่างรีบพากันถอยกรูดออกห่างจากเธอ
บันทึกตลอดหนึ่งปีกับสิ่งมีชีวิตโง่เง่าในโรงเรียนมัธยม A จบลงแค่นั้น
ในเมื่อไม่มีใครต้องการเธออีกต่อไปแล้ว
ก็แล้วอย่างนั้นเธอจะต้องการพวกเขาไปเพื่ออะไร?
_______________
ความคิดเห็น