คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : the rain
jiang feng win
" มีมนุษย์ที่ไหนเสียใจไม่ได้ร้องไห้ไม่เป็นบ้างเอางี้ก่อน ปากบอกว่าไม่มีความรู้สึก
แต่ที่ไหลออกมานี่ก็คงไม่ใช่น้ำมูกหรอกใช่มั้ย "
(ความจริงมันควรเป็นซีนคำพูดสุดซึ้งของผู้อาวุโส แต่ไม่ค่ะ พี่ติดตลก)
抚琴问灵解忧
感受着你的温柔
怎奈时光匆匆不停留
/
" ทุกคนล้วนทิ้งฉันไปไม่เอ่ยคำร่ำลา"
,
เมฆามืดมนดั่งมีฝนชโลมไปทั่วพื้นที่เคยเป็นสีฟ้า เกลียวสายลมคลุ้มคลั่งพัดกรรโชกไปทั่วอาณาบริเวณ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาเยือนของลมพายุรุนแรง
เด็กสาวตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงเวลานั้น นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใสแจ๋วปรือขึ้นสบมองแก้วตาแสนสุขของผู้เป็นมารดา หยาดน้ำสีใสไหลรื้นรอบขอบตาแดงก่ำนั่น ดวงใจพองโตด้วยความสุขเมื่อลูกสาวตัวน้อยในครอบครัวของตนถือกำเนิดขึ้นมา
ในขณะเดียวกันในใจก็ช่างแสนขมขื่นเหลือเกิน
สองแขนโอบรอบร่างน้อยภายในห่อผ้าสีบริสุทธิ์
กำเนิดในตระกูล เจียง
โดยภรรยาที่เป็นเมียน้อยในตระกูล
/
ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าใดนักที่เฟิงอวิ๋นมักจะถูกคนอื่นเรียกว่าลูกเมียน้อยมาตั้งแต่เด็ก เธอเกิดมาจากอนุภรรยารองที่ถูกแต่งเข้ามาให้พ่อของเธอเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูล แต่เดิมทีการที่บุรุษจะมีภรรยาหลายคนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีการถือสิทธิระหว่างสตรีเพศขึ้นมา เรื่องพวกนี้จึงลดหลั่นกันไปตามเวลา กระนั้นก็ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง สำหรับตระกูลเจียงตระกูลเก่าแก่ที่ยังยึดถือในขนบธรรมเนียมเก่าแก่กันมารุ่นต่อรุ่น ทำให้บิดาเป็นฝ่ายที่รับมารดาของเธอเข้ามาอยู่ด้วยภายในตระกูล มีการเป็นอยู่ที่ดี ถึงจะไม่ได้รับการเชิดหน้าชูตานักเนื่องด้วยตำแหน่งที่เป็นอยู่ กระนั้นตัวของเฟิงอวิ๋นก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักในการมีชีวิต
เธอมีพี่ชายที่เกิดออกมาจากท้องแม่เดียวกันหนึ่งคน
นับว่าเธอเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัวใหญ่ที่เพิ่งเกิดออกมา และ เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวในตระกูลเจียงด้วยเช่นกัน
เฟิงอวิ๋นถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจจากคนเป็นแม่ เธอจำได้ดีถึงภาพในตอนนั้นที่ไม่ว่าเธอปริปากอยากได้อะไร อีกฝ่ายก็จะตามหามาให้เธอเล่น เพื่อไม่ให้เธอเหงา รู้สึกน้อยอกน้อยใจเมื่อคนเป็นบิดาไม่ได้สนใจเท่าที่ควร
คนไม่ได้รัก อย่างไรก็ไม่รัก
มารดาของเฟิงอวิ๋นแม้จะขึ้นชื่อว่ามีสามี แต่สถานภาพภายในก็เหมือนถูกทิ้งอยู่ดี ในเมื่อผู้เป็นพ่อไม่เคยใส่ใจแลสายตา อยู่ร่วมชายคาเดียวกันทว่าก็แค่เดินสวนผ่านกันไปคนละทางเท่านั้น กระทั่งหน้ากัน และ กันยังไม่มอง
ครั้นเมื่อร่วมโต๊ะอาหาร เฟิงอวิ๋นก็ยังนึก และ ตราตรึงกับมันได้ดี บรรยากาศความอึดอัดบนโต๊ะที่ทำให้แผ่นหลังของเธอเกร็งขึ้น สองภรรยานั่งขนาบข้างผู้เป็นสามี พี่ชายนั่งถัดมาจากมารดาของเธอ และตัวของเฟิงอวิ๋นก็นั่งอยู่ข้างพี่ชายอีกทีหนึ่ง เธอไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นที่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน ดวงตาใสแจ๋วที่ยังคงประกายไร้เดียงสาของเธอนั้นก้มลงมองจานเปล่าตรงหน้าของตัวเองนิ่ง
ครอบครัวที่ไหนเขาเป็นแบบนี้กัน
ต่างคนต่างก้มหน้าไม่สนใจกัน ใบหน้าเรียบตึงเต็มไปด้วยความเย็นชาของผู้เป็นบิดาที่มองมาบั่นทอนความรู้สึกพองฟูของเฟิงอวิ๋นไปเสียสิ้น เธอเคยคิดว่า ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาลอง อีกฝ่ายก็คงจะมีความเอ็นดูให้แก่เธอในฐานะบุตรสาวอยู่บ้าง อาจจะซักแค่เพียงเล็กน้อย
ทว่าสุดท้ายเธอก็ได้ประจักษ์แจ้งถึงความฝันไร้สาระของเธอ
จานเบื้องหน้าเธอว่างเปล่า เฟิงอวิ๋นเพียงคาดหวังจะได้เห็นคนเป็นพ่อคอยตักมันมาให้เธอได้กินจนอิ่มหนำ
ก่อนที่มันจะถูกทดแทนด้วยอาหารจากฝีมือของผู้เป็นพี่ชายที่ตักนำมาใส่ให้แทน
ดวงหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวเงยหน้าขึ้น สีหน้าเธอคงไม่ดีนักอีกฝ่ายถึงได้ขยับฝ่ามือที่ใหญ่กว่าเข้ามากอบกุมมือเล็กของเธอแน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปตามผิวเนื้อเย็นฉ่ำ แทรกซึมเข้าไปในดวงใจดวงเล็กทำให้เธอใจชื้นขึ้นมา
“ เสี่ยวอวิ๋น ไม่เป็นอะไรนะ ”
เจียงรุ่ยเหมียน ผู้เป็นพี่ชายว่าอย่างนั้น ออกแรงกอบกุมฝ่ามือของเธอแน่นขึ้นอีกซักนิด ราวจะย้ำเตือนว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอไม่หายไปไหน
เฟิงอวิ๋นส่ายหน้าเล็กน้อย
“ อื้อ ดีแล้ว รีบทานเถอะ วันนี้ไก่อร่อยมากเลยนะ ลองชิมดู เกอตักให้เราแล้ว ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบลงมองน่องไก่ชิ้นใหญ่บนจานตัวเองที่อีกฝ่ายตักมาให้ก่อนหน้า รอยยิ้มเล็กๆจุดขึ้นบนริมฝีปากอวบอิ่ม รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะปลอบใจเธอให้ไม่รู้สึกแย่
ถือว่าก็ทำได้ดี
ในเมื่อความรู้สึกอึดอัดในตอนแรกเริ่มเจือจางลงไปกับรสอาหารที่คนเป็นพี่ชายคอยปรนนิบัติตักเข้ามาใส่จานเธอเสียจนพูน โดยไม่สนใจจานของตัวเองที่มีอยู่น้อยนิดจนทำให้เธอต้องตักกลับคืนไปให้อีกฝ่ายกลับบ้าง
แก้มกลมพองขึ้นกับอาหารคำโตในปาก สีแดงก่ำแต้มขึ้นบนผิวขาวนวลน่ามอง ปลายลิ้นดื่มด่ำรับรสชาติอาหารรสเลิศในจานอาหารอย่างเพลิดเพลิน
ที่อาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นมา ไม่ใช่เพราะด้วยฝีมือของคนครัว
หากแต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจที่เธอได้มาจาก ครอบครัว ที่แท้จริงของตัวเอง
/
ช่วงชีวิตของเธอเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
เฟิงอวิ๋นได้เปิดตามากขึ้นกับชีวิตในครานั้น จากคราวปกติที่เคยถูกขีดเส้นอยู่ภายในกรอบรั้วของบ้าน เธอไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนักกับคำว่าลูกเมียน้อยที่เหมือนแปะอยู่กลางหน้าผากของตน เพื่อนเพียงสองคนที่คอยอยู่เล่นกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก็คงเป็นมารดา และ พี่ชายเท่านั้น
กระทั่งถึงช่วงเวลาที่เฟิงอวิ๋นได้ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน สิบสามปีบริบูรณ์กับดวงตาของเธอที่เบิกกว้างขึ้น เป็นประกายระยิบระยับยามเมื่อเข้าสังคม
เพื่อนมากหน้าหลายตาเข้าหาเธอ
ได้เปิดปากพูดคุยสัพเพเหระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระ แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองสนใจ นั่นก็ยิ่งทำให้เฟิงอวิ๋นเปี่ยมสุขมากกว่าเดิม เธอกลายเป็นเด็กสาวที่กระตือรือร้น และ เจื้อยแจ้วเก่งที่สุดในชั้นเรียน ชีวิตเธอช่วงนั้นคงกล่าวได้ว่ามีความสุขมากเสียที่สุด
กระทั่ง
เด็กสาวได้ยินว่ามารดาของตัวเองล้มป่วยหนักผ่านโทรศัพท์เครื่องหรูที่สั่นครืดคราดในวันหนึ่งที่กำลังนั่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในห้องเรียน เสียงของผู้เจียงรุ่ยเหมียนร้อนรน เขาพยายามปลอบใจเธอที่เริ่มกระวนกระวายจนเรียนไม่รู้เรื่อง บทเรียนที่อาจารย์สอนมาไม่แม้แต่จะเข้าไปในหัวเธอที่ทุกครั้งมักจะตั้งใจเรียนอย่างกระตือรือร้น
เธอเองก็รู้ดีว่าเจียงรุ่ยเหมียนก็กำลังกระวนกระวายเช่นเดียวกับเธอ
แม้เขาจะพยายามควบคุมตัวเองได้ดีขนาดไหน สุดท้ายก็เป็นแค่เด็กตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งชีวิตเหมือนมีผู้เป็นมารดาเป็นโลกทั้งใบเช่นเดียวกับเธอ เคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ด้วยกัน เหตุไฉนถึงจะสงบใจไม่ได้เมื่อได้ยินข่าวแสนใจร้ายเช่นนั้น
ตกเย็นเธอรีบกวานข้าวของวิ่งกลับบ้านอย่างไม่สนใจใคร เสียงเรียกเอ่ยรั้งของเหล่าเพื่อนๆ ภายในห้องไม่ได้ฉุดรั้งตัวเธอไว้ได้ เฟิงอวิ๋นรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองกำลังกระเด้งกระดอนจะหลุดออกมาจากอก ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดจนเจ็บไปหมด เด็กสาววิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในบ้าน ถอดรองเท้าวางทิ้งระเกะระกะอย่างเสียท่าที สองเท้ารีบพาร่างของตนวิ่งผ่านลัดเลาะไปยังห้องนอนที่คุ้นเคยของเป็นแม่
บานประตูถูกเปิดออกเสียงดัง
ใบหน้าของเด็กสาวซีดเผือด เหนื่อยอ่อน
สิ่งที่เธอเห็นคือดวงหน้างามทว่าซีดเซียวของคนเป็นแม่ อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงสีสะอาด รอยยิ้มอบอุ่นยังคงถูกส่งผ่านมาคลายความร้อนใจของเธอลง
“ แม่คิดอยู่แล้วว่าลูกจะต้องวิ่งมาแบบนี้ ”
คนเป็นมารดาปิดปากหัวร่อเสียงใส แพขนตางอนยาวปิดลงทาบทับนัยน์ตาที่หยีเป็นเสี้ยวจันทร์โค้งอย่างสวยงามราวศิลปะชั้นเลิศจากฝีพู่กัน เฟิงอวิ๋นพาร่างของตัวเองขยับเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียงของเธอ รับรู้ถึงความร้อนผ่าวที่เอ่อล้นรอบขอบตาแดงก่ำของตน
โล่งใจ
ขณะเดียวกันก็หวั่นใจ
สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ความฝัน อีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรหนักไปดังที่เคยคิดจินตนาการไว้ในหัว
ทันทีที่ผู้เป็นมารดาเห็นบุตรสาวของตนร้องไห้ หล่อนก็เบิกตาโตอย่างตกใจ ขยับมือเรียวขาวซีดที่เริ่มผอมแห้งขึ้นมาเช็ดเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากดวงตาลูกกวางแสนสวยของผู้ที่เธอรักอย่างอ่อนโยน ฝ่ามืออีกข้างขยับกอบกุมมือเล็กที่สั่นระริกของเฟิงอวิ๋นเอาไว้ ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบวนปลอบประโลมเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาของตน
“ หนูกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป ”
เธอไม่สะกดกลั้นความอ่อนแอของตนอีกต่อไป หยาดน้ำตาพลั่งพรูออกมามากกว่าเมื่อก่อนหน้ายิ่งกว่าเขื่อนแตก สองแขนอ้าออกถลากอดร่างบอบบางของคนเป็นแม่ไว้แน่น ซุกใบหน้านุ่มนิ่มลงกับอกอุ่นๆของสตรีที่ตนรัก ฟังเสียงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เต้นตุบๆ เสียงแผ่วเบาเป็นจังหวะเป็นการย้ำกับตน
“ โธ่ เจ้าเด็กคนนี้ แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่มีไข้เล็กน้อย ก่อนหน้านี้คุณหมอก็มาตรวจอาการไปแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะคะ ”
หญิงสาวว่า ส่งมือลูบกลุ่มผมยาวสลวยนุ่มลื่นของคนเป็นลูกแผ่วเบา เรียวนิ้วยาวสางไล้ไปตามเส้นไหมสีน้ำตาลเข้ม บรรจงทะนุถนอมราวสิ่งล้ำค่าที่พึงรักษาไว้เนิ่นนาน ขณะที่แขนอีกข้างก็ตวัดกอดรอบเอวของเด็กน้อยกลับ
โยกเยกร่างนำพาเด็กน้อยที่ตระกองกอดตนอยู่หวนกลับไปถึงตอนเป็นเด็กในห่อผ้าอีกครา
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นหลับพริ้มอย่างเปี่ยมสุข แขนยังคงกอดร่างของผู้เป็นแม่ไว้แน่นหนาไม่ยอมปล่อย ถูกปลอบประโลมจนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เผลอไผลลืมตัวหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุขของตนหลังจากความเหนื่อยอ่อนที่วิ่งกลับมาอย่างเร่งรีบ
คนเป็นแม่เห็นดังนั้นก็เผลอหลุดหัวเราะแผ่วเบาด้วยความเอ็นดูเหลือแสน ค่อยๆ ขยับตัวพาร่างของลูกสาวล้มตัวนอนลงบนที่นอนนุ่มนิ่มข้างกายตน
ทอดสายตาอ่อนโยนจ้องมองดวงหน้าพริ้มเพลาที่ทันที่สัมผัสกับหมอนใบโตก็เอียงหน้าซุกไซร้ออดอ้อน
ในเสี้ยววินาทีถัดมารอยยิ้มที่เคยระบายอยู่เต็มดวงหน้านั้นก็สลายหายไปเหลือเพียงริมฝีปากที่เหยียดตรง ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยทอประกายเศร้าโศกเหลือคณา
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
/
เป็นดั่งที่คนเป็นแม่พูดไม่มีผิดเพี้ยน ไม่นานนักอาการของอีกฝ่ายก็ดีขึ้นมาทันตาเห็น พาให้ทั้งเจียงเฟิงอวิ๋น และ เจียงรุ่ยเหมียนต่างชื้นใจกันไปตามกัน
สองพี่น้องมีรอยยิ้มระบายความสุขเต็มใบหน้า ขณะที่พากันออกมาวิ่งเล่นในสวนหลังบ้านของตระกูลเจียง ปลายเท้าใต้รองเท้าผ้าใบสะอาดเอี่ยมวิ่งเหยียบไปบนผืนหญ้าเขียวขจี สองแขนกางออกรับสายลมเย็นที่พัดพามากระทบกับใบหน้า เสียงหัวเราะสองเสียงผสานกันก้องกังวาลทั่วบริเวณ
เมื่อเมียงมองดูแล้วก็คลับคล้ายคลับคลากับภาพแห่งความฝัน
สองเด็กน้อยวิ่งไล่จับกัน คนพี่ตะครุบเอวคนน้องไว้แน่นจนตัวของเธอนั้นลอยหวืออกจากพื้น รอยยิ้มกว้างฉายชัดเต็มใบหน้า มือของเด็กน้อยประกบลงบนแก้มสากของรุ่ยเหมียน ใบหน้าคมสันที่ได้เค้าโครงจากคนเป็นบิดามาหลายส่วนเริ่มฉายแววหล่อเหลาสมวัยขึ้นมาทีละนิด
“ อ๋า รุ่ยเหมียนเกอ จับหนูได้อีกแล้ว ”
สาวน้อยแกล้งทำแก้มพองลมยู่ปากไม่สบอารมณ์
“ ก็เสี่ยวอวิ๋นวิ่งช้าเองนี่นา ”
รุ่ยเหมียนหัวเราะเสียงเบาในลำคอ มือยกขึ้นยีกลุ่มผมนุ่มนิ่มของน้องสาวจนฟูฟ่องยิ่งทำให้เจ้าเด็กน้อยพองขนขู่ฟ่อราวแมวเหมียว
“ รุ่ยเหมียนเกอ! ผมหนูยุ่งไปหมดแล้วนะ ”
“ใช่ครับ ฟูมาก อย่างกะคุณสิงโตที่สวนสัตว์แหนะ ”
“ ไหนรุ่ยเหมียนเกอเคยบอกว่าหนูเป็นแมวเหมียว ทำไมถึงกลายเป็นคุณสิงโตไปได้กันล่ะ หนูไม่ได้ดุร้ายเหมือนกับคุณสิงโตซักหน่อย ”
“ ตอนนี้ไม่เหมือนแมวแล้ว เพราะว่าหัวเราฟูยังไงล่ะ ”
“ ก็รุ่ยเหมียนเกอเป็นคนทำอะ ”
สองพี่น้องเถียงกันไปมาไม่จริงจังนัก เสียงเจื้อยแจ้วดังไปทั่วพาทำให้ผู้ที่ผ่านมาเห็นอดยิ้มตามไปด้วยกับความอบอุ่นเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในความเยือกเย็นของสายสัมพันธ์ครอบครัวแห่งตระกูลเจียงไม่ได้ ไม่ว่าใครๆก็รู้กันดีว่าสองพี่น้องที่เกิดจากภรรยารองนั้นไม่ใช่ลูกรักของประมุขตระกูล กลับกันแทบจะเรียกได้ว่าแทบจะไม่เห็นหัวทั้งสองคนเป็นลูกเสียด้วยซ้ำ อาการที่แสดงออกมาก็มีแต่ท่าทีเย็นชาห่างเหินเสมือนกับไม่ใช่พ่อลูกกันและกัน
กระนั้นสองพี่น้องก็ยังโชคดี
โชคดีที่ยังมีผู้เป็นมารดาคอยมอบความรักไว้ให้อย่างไม่ขาดสาย
ทว่าก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าความรักที่มีนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
นั่นเป็นความคิดของเหล่าคนใช้ที่แอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ดวงตาของพวกเขาพลันปรากฎแววความเวทนายามจับจ้องไปทางเฟิงอวิ๋นและรุ่ยเหมียนโดยไม่ปิดบัง และ ยิ่งทวีความเศร้าโศกมากขึ้นเมื่อเห็นร่างของภรรยารองแห่งตระกูลเจียงเดินถือถาดผลไม้เข้ามาหาบุตรทั้งสองคนของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชุดเดรสสีขาวสะอาดตัวบางพริ้วไปตามสายลม แนบกับลำตัวของเธอที่เห็นความผอมผ่ายแทบติดกระดูกชัดเจนแม้ว่าเธอจะพยายามใส่เสื้อตัวโคร่งเพื่อปกปิดมัน
“ เด็กๆจ๊ะ ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว มาทานผลไม้เย็นๆกันก่อนเร็ว ”
สุรน้ำเสียงหวานหยุดชะงักการกระทำของเฟิงอวิ๋นและรุ่ยเหมียนที่เล่นกันโดยไม่สนสิ่งใดรอบข้างได้ถนัดตา สองพี่น้องพากันจ้ำอ้าวเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงบนเสื่อที่ถูกปูเอาไว้ ขนาบข้างคนเป็นแม่ทั้งซ้ายขวา
“ แม่คะ รุ่ยเหมียนเกอแกล้งหนู! ” เจ้าเด็กน้อยได้ทีสบโอกาสรีบชี้นิ้วฟ้องคนเป็นแม่ทันที หล่อนมองลูกสาวตัวเองหัวฟูฟ่องก็ปิดปากหัวเราะเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยโค้งหยีเป็นเสี้่ยวจันทร์โค้งอีกครั้งก่อนจะหันไปหาบุตรชายคนโตของตนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อ้าปากงับซีกวาเนื้อฉ่ำตุ้ยๆจนแก้มพอง เปิดปากดุอีกฝ่ายเบาๆ ไม่จริงจังนัก
“ เสี่ยวเหมียน ลูกก็อย่าไปแกล้งน้องสิคะ ”
“ ผมแกล้งน้องที่ไหนกัน เสี่ยวอวิ๋นขี้ฟ้อง ”
“ ก็รุ่ยเหมียนเกอแกล้งหนูนี่ ”
สองพี่น้องแห่งตระกูลเจียงเปิดปากเถียงกันอีกครั้งหนึ่งโดยไม่มีใครยอมใคร ครั้งนี้ศึกจบลงด้วยเสียงหัวเราะ จากสองเสียงกลายเป็นสามเสียง
ภาพของแม่ และ ลูกๆทั้งสองเด่นชัดบนสีเขียวขจีของทุ่งหญ้าสีเขียวโล่งเตี้ยน ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกปักษ์ทั้งสามจากแสงอันร้อนระอุจากดวงสุริยันยามกลางวัน
คนเป็นแม่ปิดปากหัวเราะคิก คอยห้ามปราม และ ป้อนผลไม้เนื้อฉ่ำเข้าปากเพื่อห้ามศึกขนาดย่อมของลูกทั้งสองคน
ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
บนท้องฟ้าสีคราม เมฆาล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง
ไม่อาจมีใครล่วงรู้
ว่าคราใดคลื่นลมเหนือนภาจะพัดพานำเกลียวพายุคลั่งเข้ามา
ย้อมเมฆาสีขาวให้มืดครึ้มลง
/
วันที่พายุเข้ามาถึง ล้อรถพยาบาลเคลื่อนที่ตามแรงขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงขูดไปบนพื้นทางเดิน ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวร้อนรน แพขนตากระพริบถี่ นัยน์ตาคู่งามสั่นระริก
มารดาของเธออยู่บนนั้น ในวันนี้อาการของเธอย่ำแย่มาตั้งแต่เช้า ย่ำมาจนถึงรุ่งบ่ายหญิงสาวก็ทรุดฮวบลงไปทรมาณอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด เพียงเท่านั้นเฟิงอวิ๋นก็แทบไร้สติรีบโทรเรียกรถพยาบาลมาพาสตรีผู้เป็นที่รักไปทันที
เด็กหญิงตัวน้อยนั่งซบผู้เป็นพี่อยู่หน้าห้องไอซีอยู่ สองฝ่ามือผสานกันเพื่อมอบความอบอุ่นคลายความทุรายในใจลง เธอหลับตาลงพริ้มด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน สติคล้ายจะหลุดลอยออกไปจากแอร์เย็นฉ่ำของทางโรงพยาบาลที่สาดลงมากระทบผิวขาว
ไม่นานนักนายแพทย์ก็เดินออกมาจากห้องตรวจ
สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ดีมากนัก
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ นัยน์ตาคมเข้มราวบรรลุสัจธรรมแห่งโลกจ้องมองผลตรวจในหน้ากระดาษ ก่อนเงยหน้ามองเด็กน้อยสองคนที่คนเป็นน้องสาวถูกผู้เป็นพี่ปลุกขึ้นมาฟังผลตรวจ เด็กสาวงัวเงียหมายจะยกมือเล็กขึ้นมาขยี้นัยน์ตาทั้งสองข้างของตน ทว่ารุ่ยเหมียนกลับจับมือคนน้องเอาไว้ไม่ให้ทำได้ดังใจ
เขารู้สึกเวทนาเด็กสองคนนี้ขึ้นมาในใจโดยพลัน
กระนั้นก็ยังทำใจแกร่ง บอกผลการตรวจที่ได้รับมาให้เหล่าเด็กน้อยทั้งสองคนรู้
และนั่นเป็นการทำลายโลกทั้งใบของทั้งสองคนลง
“ คุณหมิงฮวาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดขั้นที่สี่ ระยะนี้ยากต่อการที่จะรักษามาก เนื่องด้วยทางฝั่งคุณหมิงฮวานั้นอาการหนักมากแล้ว ทางเราจึงขอให้ญาติทั้งสองช่วยเตรียมใจด้วยนะครับ ”
ตัวของเฟิงอวิ๋นชาวาบ ดุจสายฟ้าฟาดลงมากลางหัวของเธอ ความรู้สึกพลันขยับเข้ามาจุกอัดแน่นเต็มในอกให้ไม่อาจบรรยายออก ก่อนมันจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตาหยดเล็กๆที่ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
ในยามนั้นเด็กสาวทรุดฮวบลงกับพื้น สองมือยกขึ้นมาปิดใบหน้าชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาไม่หยุดหย่อน ร้องไห้เสียงดังโยเยอย่างไม่อายใคร
ขณะที่ผู้เป็นพี่ชายโตพอจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ไม่ร่ำห่มร่ำไห้เสียงดังเหมือนน้องสาว กระนั้นนัยน์ตาของเขาก็ยังคงเปล่งประกายแสนเศร้าอยู่ดี
ท่ามกลางสายตาเวทนาสงสารของเหล่าแพทย์และพยาบาลที่เฝ้ามอง
/
ไม่นานนักมารดาของเธอก็เสียชีวิตลงตอนที่เธออายุได้สิบห้าปี หมิงฮวาไม่ต้องการยื้ออยู่ต่อ เธอตัดสินใจปล่อยตัวเองไปกับสายลมผะแผ่วที่พัดพาไป เฟิงอวิ๋น และ รุ่ยเหมียนเองก็ไม่ได้หักห้าม แม้จะเสียใจมากถึงเพียงไรกระนั้นก็ยังยอมพยักหน้ารับคำความต้องการของผู้เป็นมารดาอย่างท้ายที่สุด
งานศพของเธอไม่ได้ถูกจัดขึ้น มีเพียงแค่หลุมศพหลังคฤหาสน์สกุลเจียงที่สลักป้ายชื่อของเธอไว้อย่างสมเกียรติ
กระนั้นมันก็มีเพียงแค่สองพี่น้องที่มายืนเคารพมันในทุกวัน
ขณะที่ฝ่ายสามี หรือคนใช้คนอื่นไม่เคยจะโผล่หัวออกมาเลยซักครั้งเดียว
เฟิงอวิ๋นเข้าใจ
ไม่รักก็คือไม่รัก ต่อให้ตายไปอย่างไรสุดท้ายก็คือไม่รักอยู่ดี
สุดท้ายก็เลยต้องเลือกใช้วิธีจนตรอก บีบบังคับลูกสาวของตนให้เข้าไปเกาะขาบุรุษที่ร่ำรวยกว่า
เฟิงอวิ๋นได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาจากคนเป็นพี่ชาย อีกฝ่ายคิดว่าเธอโตพอที่จะรับรู้มันได้แล้ว ความลับไม่มีในโลก เช่นเดียวกับการปกปิด ยิ่งเมื่อมารู้ทีหลังก็ยิ่งทวีความรู้สึกย่ำแย่มากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะบอกมันกับเธอ
ในยามรักเฟิงอวิ๋นโกรธเคือง โกรธเคืองทุกสรรพสิ่งรอบข้าง โกรธทั้งญาติฝั่งแม่ โกรธทั้งบิดา โกรธทั้งพี่ชาย
กระทั่งเมื่อถูกเตือนสติก็ทำให้เธอนั้นได้รู้ว่าความจริงแล้ว ความผิดนั้นมันเริ่มต้นมาจากครอบครัวฝั่งมารดาที่เริ่มต้นกดดันบีบบังคับหมิงฮวา บิดาของเธอไม่ผิดที่ไม่ได้รัก แต่เธอก็ยังอดเคืองอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดีว่าปากบอกไม่ได้รัก แต่ก็ยังเสกให้เธอกับพี่ชายลืมตาออกมาดูโลกได้อยู่ดี มันก็ดูเป็นผู้ชายที่กลับกลอกอยู่เหมือนกัน ภรรยาหลวงของเขาก็ไม่ได้ผิดที่จะโกรธเคืองมารดาของเธอ
ชีวิตของเด็กสาวกับพี่ชายพึ่งพากันเองอยู่อย่างนั้น คอยเลี้ยงดูคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนกันเท่าที่ทำได้ กลายเป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีเพียงสองคน
หลังจากที่แม่เสียชีวิตไป อีกฝ่ายก็เหมือนกลายเป็นโลกทั้งใบขนาดใหญ่ของเธอ
เธอมักยิ้มกว้างได้ยามที่อยู่กับรุ่ยเหมียน มักหัวเราะได้อย่างมีความสุขตอนที่ได้เล่นกับรุ่ยเหมียน ทุกสัมผัสที่อบอุ่นก็มักจะเป็นรุ่ยเหมียนที่ทำให้เธอรู้สึกถึงมันอยู่เสมอ
ก่อนที่ความอบอุ่นนั้นจะถูกพรากหายไปอีกครั้ง
/
พี่ชายของเธอถูกบังคับเข้าไปทำงานในธุรกิจของคนเป็นพ่อต่อ ด้วยอายุที่เข้าวัยที่เหมาะสมกับการเข้าฝึกฝนทำงาน
กระนั้นเฟิงอวิ๋นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายคนโตสุดที่เป็นลูกของมารดาหลวงกับไม่ถูกบังคับเฉกเช่นพี่ชายเธอ ใครๆ ก็รู้กันดีว่างานของตระกูลของคนเป็นพ่อเธอมันไม่ได้ใสสะอาด เบื้องลึกเบื้องหลังที่ถึงแม้เธอจะไม่เคยสัมผัสแต่ก็รู้มาจากการที่มารดาเคยเล่าไว้ให้ฟังครั้นเมื่อยังเคยมีลมหายใจว่าที่ตระกูลของมารดาส่งหมิงฮวาให้มาเกาะแข้งเกาะขาบิดาของเฟิงอวิ๋นก็เพราะอำนาจของตระกูลของเขา เด็กสาวจำวันนั้นได้ดี เป็นครั้งแรกที่เธอได้อ้าปากคุยกับผู้เป็นพ่อ เฟิงอวิ๋นบุกเข้าไปในห้องทำงานของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดสนใจมารยาท เสียงโต้แย้งของผู้เป็นพี่ชาย เสียงด่าทอของเหล่าคนใช้คนที่เกี่ยวข้องดังไม่เข้าหู เกี่ยงโต้แย้งกับความไม่เป็นธรรมดังกล่าวที่พี่ชายของเธอไม่สมควรได้รับเพียงคนเดียว
ใบหน้าของเด็กสาวทมึนทึง ดวงตาเปี่ยมโรจน์ด้วยความคุกกรุ่นเต็มที่ จดจ้องไปยังใบหน้าภูมิฐานที่สืบทอดส่งมาแก่เธอ และ พี่ชายอย่างละครึ่ง
“ คุณไม่ควรที่จะทำอย่างนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อพี่ชายของฉัน ใครๆก็รู้ว่าคนที่เป็นลูกชายคนโตควรมีสิทธิ์ที่จะได้รับอำนาจในการสืบทอดดูแลงานต่อจากคุณ ไม่ใช่ลูกชายคนรอง หรือ ลูกชายที่มาจากเมียน้อย ”
เธอไม่คิดจะเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อ ไม่คิดจะแทนตัวเองว่าหนู หรือว่าลูกแบบที่เด็กทั่วไปควรจะทำ สำหรับเธอ อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าที่มีสายเลือดเดียววนเวียนกันไปในร่าง
สิ้นคำพูดเธอ เขาทำเพียงนิ่งเฉย นัยน์ตาคมกริบราวกับหลุมดำมืดนั้นไม่ปรากฎแววตาใดให้เธอได้อ่านออกจดจ้องมาที่เธอเช่นกัน ดวงตาสองคู่จ้องประสานกัน เฝ้ามองลึกลงไปราวกับจะฉีกกระชากความเป็นจริงของกันและกันออกมา
ภายในห้องทำงานของคุณพ่อที่เธอบุกเข้ามานั้นเงียบสนิท หากมีเพียงใครซักคนหายใจเสียงดังขึ้นมาก็คงจะได้ยินได้อย่างไม่ยาก
ชั่วครู่เธอเห็นเขาหลุบตาลงต่ำ
จ้องมองเอกสารสีขาวที่ยังไร้รอยขีดเขียนจากปลายปากกาบนโต๊ะทำงานของตน
เฟิงอวิ๋นแอบรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะมีหวัง เมื่อเธอมองเห็นแววตาความลังเลสักเล็กน้อยของเขา
ทว่าทุกอย่างก็จบสิ้นลง หลังจากคำกล่าวถัดมา
“ ถ้าเธอจะเอาเวลามาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้กับฉัน เอาเวลาไปตั้งใจเรียนซะ ออกไปได้แล้ว ”
เธอแค่นเสียงหัวเราะเหอะ สะบัดกายเดินออกมาจากห้องทำงานคร่ำครึของผู้เป็นพ่อโดยไม่เสียเวลาหันไปมอง
รับรู้ถึงความเป็นจริงที่ไม่เป็นธรรมในหัวใจของตน
ไม่รักก็คือไม่รัก
ต่อให้ไม่ว่าจะเป็นแม่ หรือว่าลูก ตราบใดที่ไม่รัก สุดท้ายก็ไม่รักอยู่ดี
สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็เป็นได้แค่โล่กำบังอันตรายให้แก่ครอบครัวที่แท้จริงของเขา
/
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น เท่าที่เธอพอจะจำได้อาจจะซักสี่ปี พอให้เธออายุเข้าช่วงสิบแปดปี เด็กสาวก็ได้แยกกันกับพี่ชาย เธอจำสีหน้า แววตา ท่าทางทุกอย่างของเขาได้ดี
มันแสดงออกได้ถึงความเจ็บปวด
เธอเองก็เจ็บปวด
เราทั้งสองคนต่างไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องเจออะไรกันอีก เรื่องร้าย อุปสรรคต่างๆนาๆ มากขนาดไหน ไม่มีใครมีทางรับรู้ชะตาชีวิตที่ฟ้าเป็นคนลิขิตเอาไว้ให้
เฟิงอวิ๋นกับรุ่ยเหมียนผูกพันธ์กันมาตั้งแต่เด็ก ๆ การจากลาครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทั้งสองคน
ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาที่มีอยู่จ้องมองกันแน่นิ่ง ยามนั้นบรรยากาศเงียบสงบ แลดูผ่อนคลาย สายลมแผ่วเบาพัดคลอเคลียกรอบหน้าและร่างกายของเธอจนรู้สึกเย็นฉ่ำ ทว่าหัวใจของเฟิงอวิ๋นกับหนักอึ้ง
เธอรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นเข้ามาในจิตใจของเธอ
จิตใต้สำนึกของเด็กสาวมันกู่ร้องบอกว่า อย่าปล่อยให้เขาไป
ความเงียบของพี่ชายและเด็กสาวถูกทำลายลงโดยเฟิงอวิ๋น “ ไม่ไปไม่ได้หรอ ”
เธอกลั้นใจอ้าปากเอ่ยคำถามที่คิดว่าคงเป็นคำถามที่โง่ที่สุดในชีวิต ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของเธอไหววูบ มันไม่หนักแน่น และ มั่นใจเหมือนก่อนหน้า
ฝ่ามือขยับรั้งชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ กำมันแน่นจนเสื้อสีดำของอีกฝ่ายยับยูยี่คาฝ่ามือ
รุ่ยเหมียนรู้ดีอยู่แก่ใจเกี่ยวกับความต้องการที่จะปกป้องบุตรชายคนโตที่รักยิ่งของเขาทำได้เพียงแค่คลี่ยิ้มเบาบาง สายตาที่ทอดลงมองน้องสาวนั้นช่างอ่อนโยน ราวกับย้อนกลับไปมองเห็นเธอเป็นน้องสาวตัวเล็กตัวน้อยของตนอีกคราหนึ่ง
วางฝ่ามือหยาบกร้านจากการตรากตรำทำงานหนักลูบบนกลุ่มผมนุ่มสลวยที่ต่อไปเขาจะไม่มีสิทธิ์สัมผัสมันอีกแล้วตลอดชีวิต
“ ดูแลตัวเองให้ดี ”
เป็นคำพูดที่ช่างใจร้ายต่อคนฟังเหลือเกิน เด็กสาวปิดเปลือกตาลงแน่น พยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำสีใสที่เริ่มรื้นหน่วงรอบขอบตาของตนอย่างสุดกลั้น ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นช้าลงเป็นจังหวะบีบรัด แล่นริ้วความเจ็บร้าวกระจายไปทั่วทั้งทรวงอก
คำถามโง่งมถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง
มีเพียงแค่ความมืดที่เฟิงอวิ๋นเห็นในครรลองเมื่อเปลือกตาถูกปิดลงมาทาบทับทัศนียภาพทั้งหมด มือของเธอกำเสื้อของอีกฝ่ายแน่น ข้อนิ้วขึ้นเป็นข้อขาวด้วยความหวาดกลัวสุดหัวใจในอก
เพราะปิดตาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนเศร้าของคนเป็นพี่
และมันดีแล้ว
ดีที่สุดแล้วที่เฟิงอวิ๋นจะไม่ได้เห็นการจากลาที่มันเป็นไปตลอดกาล
รุ่ยเหมียนหัวเราะเสียงเบาในลำคอ ข่มกลืนก้อนสะอื้นทั้งหมดลงคอของตัวเองไป ทำตัวราวกับเป็นพี่ชายผู้แข็งแกร่ง และ ภูมิฐานของน้องเสมอมา ทั้งๆ ที่ในอกของเขากำลังรวนสั่นไหวไม่ต่างกัน
กระนั้นก็ยังเลือกตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ “ แน่นอน ด้วยคำกล่าวว่าเราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง ”
“ อื้อ ”
“ พี่ไปก่อนนะ ”
ดวงตาคมเหลือบมองรถตู้สีดำที่เคลื่อนตัวมาจอดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ เขาหันกลับไปบอกลากับน้องสาวของตนเป็นครั้งสุดท้าย
เฟิงอวิ๋นไม่ส่งเสียงตอบกลับ มีเพียงแค่หัวกลมที่ผงกตอบรับเบาๆ เท่านั้นเป็นคำตอบ การตอบรับที่น่ารักนั่นทำให้เด็กหนุ่มที่ย่างเข้าสู่วัยชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มเบาๆ ในลำคออย่างเปี่ยมสุข
ฝ่ามือแกร่งค่อยๆ เลื่อนลงไปแกะมือของน้องสาวออกจากเสื้อตัวเองช้าๆ
เฟิงอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย ความรู้สึกเสียใจจนแทบอยากจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสๆตีตื้นขึ้นอีกรอบเมื่อฝ่ามือว่างเปล่า มีเพียงสัมผัสของสายลมแผ่วเบาที่ลอดมาตามช่องของปลายนิ้ว
รอบกายของเธอเต็มไปด้วยความเงียบสงบ เฟิงอวิ๋นใช้เวลาสักพักอยู่กับตัวเองก่อนที่นัยน์ตากลมจะปรือขึ้นมา
และพบเพียงความว่างเปล่าที่เบื้องหน้า
หัวใจของเด็กสาวราวกับแตกสลาย ไม่มีเงาคนที่คอยยิ้ม คอยดูแล คอยปกป้องของเธออีกต่อไปแล้ว เบื้องหน้าของเธอหลงเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
ร่างน้อย ๆ ของเด็กสาวทรุดลงกับพื้น
ฝ่ามือเล็กถูกยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตน ขณะที่หยาดน้ำสีใสกำลังพรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้นอย่างไม่สิ้นสุด เสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะปลดปล่อยตัวตนดังก้องออกมาทั่วบริเวณ
เป็นครั้งหนึ่งที่เด็กสาวคนหนึ่งแตกสลาย
ใครว่ากันว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องที่เสียใจ
ในเมื่อรู้กันอยู่แก่ใจว่าการจากลาครั้งนี้มันคือการจากลาที่แสนไกล และ จากไปในตลอดกาล
/
เฟิงอวิ๋นเติบโตขึ้นมาเพียงคนเดียวในตระกูลเจียง สภาพแวดล้อมที่ไร้คนคอยเคียงข้างนั้นสั่งสมให้เธอแปรเปลี่ยนตัวเองให้เข้มแข็งมากขึ้น ไม่ร้องไห้กับอะไรง่ายๆ ไม่ไหวหวั่นไปกับเรื่องอะไรเล็กๆ กลายเป็นหญิงสาวผู้แข็งกร้าว และ ทระนงในตน
ความเงียบสำหรับเธอกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และตัวเฟิงอวิ๋นเองก็เปลี่ยนตนกลายเป็นความเงียบงันเช่นเดียวกัน
หลังจากที่พี่ชายของตนจากลาไป เด็กสาวสดใสคนนั้นที่เคยพูดจาเจื้อยแจ้วก็กลายเป็นเด็กสาวผู้เงียบสงบ ใบหน้าเรียบนิ่งราวรูปปั้นประติมากรรมชั้นเลิศนั้นไม่ขยับแม้แต่รอยยิ้ม เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังของเธอก็เลือนหายไปด้วย น้อยครั้งนักที่คนรอบข้างที่แม้จะอยู่กับเธอมานานจะได้ยินเธอพูดซักที
โลกทั้งใบของเธอมันก็เป็นสีเทาดีๆ นี่เอง
เธอเติบโตขึ้นทั้งอย่างนั้น โตขึ้นมาท่ามกลางหัวใจที่แตกสลายเป็นริ้วๆ ไม่มีชิ้นดี
สายสัมพันธ์กับครอบครัวของหญิงสาวขาดสะบั้นลงเป็นกลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่นานมานี้เธอได้รับการติดต่อมาจากบิดาของตระกูลผู้เป็นแม่
เธอไม่เคยได้ยินหมิงฮวาเล่าเรื่องบิดาของตนให้เธอฟังเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเหมือนบุคคลที่ถูกเลือนหายไปในหมอกหนา ไม่มีใครล่วงรู้ถึงตัวตน เฟิงอวิ๋นไม่เคยรู้จักคุณตาคนนี้มาก่อน อีกฝ่ายเขียนจดหมายสีขาวเรียบๆ ส่งมาให้เธอว่าจะเข้ามาหา และ พาตัวเธอออกไปอยู่ในตระกูลด้วยกัน
แม้เฟิงอวิ๋นจะไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร ดี หรือ ไม่ดี ไม่รู้รูปลักษณ์หน้าตาว่าเป็นอย่างไร
กระนั้นเธอก็รู้สึกดีที่จะได้โผบินออกจากกรงขังสีทองนี้เสียซักที
/
คุณตาของเธอมาจริง ๆ ภายหลังจากการตอบกลับของเธอไม่กี่วัน อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มรูปร่างภูมิฐานในชุดเครื่องแบบสีดำสนิท ใบหน้าคมสันดูดุดันราวกับสัตว์ป่าแผ่กลิ่นอายให้ใครต่อใครไม่กล้าเข้าไปใกล้ ยิ่งประกอบกับเคราสีขาวจางๆ ก็ยิ่งทำให้เขาดูดุดันมากขึ้นไปกว่าเก่า
เขาประกาศกร้าวว่าจะพาเธอออกจากตระกูลเจียง
โดยที่เฟิงอวิ๋นเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการเก็บข้าวของทุกอย่างเดินออกมา ไม่สนใจฟังเสียงคำทัดทานใด
กระเป๋าลากถูกลากครูดไปตามทางที่ว่างเปล่า ก่อนที่มันจะถูกบดบังด้วยร่างของผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายทำเพียงแค่หลุบสายตาลงมามองเธอนิ่งๆ เช่นเดียวกับเธอที่จดจ้องอีกฝ่ายกลับไปด้วยแววตานิ่งเฉยเช่นกัน
ชั่วครู่เขาก็วางฝ่ามือลงบนหัวของเธอแล้วลูบมันแผ่วเบา
เธอไม่ได้ปฎิเสธสัมผัสดังกล่าว หญิงสาวทำเพียงนิ่งให้บุพการีทำอย่างไม่โต้แย้ง ในใจไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการกระทำดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ระหว่างที่เธออยู่ด้วยแข้งขาของตัวเองมันทำให้เธอรับรู้อะไรหลายเรื่องมา แท้จริงแล้วบิดาเธอเป็นจิ้งจอกเฒ่าหวงหน้าตาดีๆ นี่เอง เขามักปรุงแต่งภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดีต่อหน้าคนอื่นๆ อยู่เสมอ
ใครต่อใครจึงมักมองเขาเป็นชายหนุ่มผู้ภูมิฐาน
ชีวิตของหญิงสาวคู่ชีวิตของเขาช่างน่าอิจฉา เฟิงอวิ๋นอยากจะแค่นเสียงหัวเราะเสียงดังออกมา ผู้ชายแสนดีที่ไหนจะปล่อยให้ภรรยาและลูกชายของตัวเองตายได้ลงคอ
ความจริงแล้วเขามันก็จิ้งจอกตลบแตลงดีๆนี่เอง
เธอรอจนเขาผละฝ่ามือออกจึงหันหลังเดินจากไป สองขาหยุดลงที่หน้าบานประตูหลังใหญ่ที่เธอเคยเห็นมันเปิดกว้างต้อนรับเธอ มารดา และพี่ชายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น ทั้งๆที่ความจริงมันก็เป็นกรงขังอันใหญ่ยักษ์ดีๆนี่เอง หัวเราะกับความฝันที่โง่เง่าของตัวเองเบาๆ
เธอหลุบสายตาลงมองกระเป๋าเล็กที่บรรจุอุปกรณ์จุกจิกของตนไว้ ใช้มือรูดซิปมันออกเพื่อหยิบกรรไกรคมกริบออกมา เส้นผมสีน้ำตาลสลวยที่ถูกไว้ยาวจรดบั้นเอวถูกหญิงสาวตัดสะบั้นมันขาดฉับ คลื่นผมยาวทิ้งตัวหล่นลงบนพื้นหน้าประตูเป็นกองใหญ่
เธอไม่ได้ปฎิเสธสัมผัสบนหัวดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รังเกียจหรือเกลียดชังมัน
สิ้นสุดทุกอย่างลงเสียทีที่หน้าบานประตูขนาดใหญ่นี้
เฟิงอวิ๋นทิ้งความอัปยศลงที่หน้าบานประตู ก่อนหันกายของตนจากไปด้วยเส้นผมที่สั้นจรดปลายหูเท่านั้นอย่างไม่นึกเสียดาย ที่มารดาและพี่ชายของเธอต่างเฝ้าทะนุถนอมมันมาเสมอมา
ต่อให้บิดาของเธอจะเห็นหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะใส่ใจ
ให้ทุกคนที่เห็นเล่าลือกันไปเสียเองเถิดว่าบุตรสาวที่รู้ว่ารักเส้นผมของตัวเองมา ยังยอมที่จะตัดขาดมันลงเมื่ออีกฝ่ายขยับมือลงมาสัมผัสมัน
/
หลังจากนั้นก็กล่าวได้ว่าคุณภาพชีวิตของเฟิงอวิ๋นดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ถึงแม้ว่าปกติแล้วเธอจะไม่ได้อะไรกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะเธอเองก็เข้มแข็งยืนหยัดด้วยแขนขาตัวเองจนไม่ต้องการข้ารับใช้มาคอยปรนนับัติเรื่องต่างๆ แล้ว
เธอได้รับรู้เรื่องราวอีกมากมายหลังจากได้สนทนากับคนเป็นตาของตน เขาเพิ่งรู้เรื่องครอบครัวของเธอไม่นาน ตอนแรกเขาตัดขาดจากหมิงฮวาผู้เป็นมารดาของเธอด้วยความโกรธขึ้งที่เธอหลงรักไอ้จิ้งจอกหน้าโง่ (คุณตาเรียกบิดาของเธอ) อีกทั้งผู้เป็นภรรยาของเขายังหลงระเริงในอำนาจจนกล้าที่จะส่งบุตรสาวของตัวเองไปไว้ในกรงทองนั่นด้วยน้ำมือตัวเองอีก หลังจากที่ได้ข่าวว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของตัวเองเสียชีวิต คุณยายก็ร้องห่มร้องไห้ทานข้าวทานปลาไม่ได้ไปหลายวัน
บิดาของเธอไม่นานมานี้เขาก็ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยหนีหัวซุกหัวซุน เมื่องานที่เคยอยู่บนเส้นคงวาอยู่ดีๆ ก็ดันไปขัดขาผู้มีอิทธิพลใหญ่โตคนหนึ่งเข้าให้ไม่พอใจทำให้โดนตามล่าหัวอย่างหนักหน่วง ภรรยาหลวงที่เคยอยู่อย่างรักใคร่ก็สะบัดทิ้งอย่างไม่สนใจ หอบเอาลูกน้อยหอบเอาสมบัติหนีไปที่อื่น
เฟิงอวิ๋นแน่นิ่งฟังคำบอกเล่าของจากปากของคุณตาของตน
ทุกคนต่างได้รับผลกรรมของตัวเอง
กระนั้นก็มีบุคคลหนึ่งที่เธออยากรู้มากที่สุด
หญิงสาวเอ่ยปากถามถึงผู้เป็นพี่ชาย คำตอบที่ได้รับกลับมาก็ทำให้ดวงใจที่เคยคาดหวังไว้ของเด็กสาวแฟ่บลง
เฟิงอวิ๋นคลี่ยิ้มบางบนใบหน้า หลุบสายตาลงมองฝ่ามือขาวที่หยาบกร้านของตัวเอง
“ หลุมศพของเขาถูกฝังอยู่ข้างหมิงฮวา ”
เธอเอนแผ่นหลังหนักอึ้งพิงบนพนักโซฟาตัวนุ่ม ไม่กล้าขยับสายตาขึ้นเพราะกลัวว่าหยดน้ำเล็กๆที่มันกำลังจะปรากฎขึ้นมาอีกครั้งนานนับรอบปีจะหลั่งไหลออกมาอีก
เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น กลั้นใจที่จะเอ่ยถามประโยคหนึ่งที่ค้างคาใจเธอตลอดมา “ เขามีความสุขใช่มั้ย ”
“ อืม ตอนที่ฉันไปเจอตอนนั้น เขาถามถึงเธอ ฉันเลยบอกว่าเธอสบายดี ฉันกำลังจะไปรับเธอมาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะพาเข้าไปส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็หลับไปบนเตียงพยาบาล แล้วก็ยิ้มอยู่ตลอดเลย ”
“ ก็เหมือนคุณแม่นั่นแหละ ”
“ พวกเขาทั้งสองคนเหมือนกัน คงดีใจที่เธอสบายดี ”
คุณตาของเธอว่าอย่างนั้น เขาทอดสายตาคมคร้ามราวผ่านโลกมานานมาที่เธอด้วยแววตาอ่อนโยน
ชายหนุ่มรู้สึกผิดเสมอที่ไม่เคยดูแลลูกสาวของตน จวบจนวาระสุดท้ายยามที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งลูกชายของเธอเขาก็ยังช่วยเหลือไว้ไม่ได้ เหลือก็เพียงแต่
หลานสาวคนสุดท้าย
เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายชราตัดสินใจให้คำมั่นสัญญาสลักในใจของตนอย่างเงียบงัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะดูแลปกป้องเธอให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทดแทนความผิดที่ไม่เคยแก้ไขมันต่อหน้าบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา
มันเป็นเหมือนตราบาปที่สลักลงกลางใจของนายพลยศสูงที่ไม่ว่าใครต่อใครก็ก้มหัวเคารพเขา
เขาทำได้ทุกอย่าง แต่แค่รักษาบุตรสาวคนเดียวไว้ยังทำไม่ได้
คุณตาของเธอนิ่งเงียบไป เรียกสายตาของเฟิงอวิ๋นให้ขยับขึ้นไปมอง ก่อนที่หญิงสาวจะพบเจอชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งกำลังก้มหน้าหลุบตามองหน้าตักของตัวเอง เรือนกายใหญ่ของเขายังคงองอาจ และ แข็งแกร่งเสมอมา ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าเขาอ่อนแอก็คงจะเป็นหยดน้ำเล็กๆที่หยดลงมาเปรอะกางเกงของเขาเป็นหยดๆนั่นแหละ
เธอไม่ได้พูดอะไรเป็นการปลอบใจเขา
หญิงสาวรู้ดี เธอผ่านมันมากับตัวเอง บาดแผลในใจคนเราไม่เท่ากัน เราเอาเรื่องราวของตัวเองไปเป็นบรรทัดฐานที่จะปลอบใจคนอื่นก็คงไม่ได้ เขาอาจจะเจอมาเบากว่าเรา หรือว่าหนักกว่าเราก็ไม่อาจจะรู้
ฝ่ามือเรียวเคลื่อนไปกอบกุมอุ้งมือหนาของอีกฝ่ายไว้ สอดประสานปลายนิ้วเข้าหาอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น
ชายชราที่ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือเงยหน้าขึ้นจดจ้องหลานสาวของตนที่ขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเธอนั้นเรียบนิ่งราวไร้อารมณ์ แต่กระนั้นดวงตากลับทอประกายความอ่อนโยนที่มากกว่าใคร
ชั่วครู่เขาราวเห็นภาพของบุตรสาวของตนซ้อนทับกับหลานสาวของตน
พลันก็ต้องแค่นหัวเราะเบาๆ แล้วกระชับมือกอบกุมมือเล็กเปราะบางนั้นเอาไว้
ไม่ว่าจะลูกชาย หรือว่า ลูกสาว ต่างก็คล้ายเธอกันหมดจริงๆ
/
เพราะไม่อยากอ่อนแอจึงต้องฝึกฝน
เฟิงอวิ๋นเป็นคนขอร้องคุณตาว่าเธอไม่อยากอ่อนแอไปมากกว่านี้แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเธอเช่นนั้น เลือดชายชาตินักสู้ในใจของชายชราก็แล่นพรวดพราด
เธอได้ฝึกซ้อมจริง ๆ แม้ว่าจะเป็นในฐานะกระสอบทรายให้กับคุณตาที่รักยิ่งของเธอที่ไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อยจนเธอแทบจะนอนเดี้ยงไปเป็นทุกอาทิตย์ในการฝึก ศิลปะการต่อสู้ทางฝั่งจีนถูกยัดสั่งสอนมาให้เธอแทบจะทุกขนาน ก่อนที่จะพบว่าเธอไปได้ดีในขนานมวยจีนทำให้คุณตาของเธอหันมาเพ่งเล็งด้านนี้มากเป็นพิเศษ
ข้ารับใช้หลายรายที่เห็นเหล่าคุณหนูน้อยในสภาพเละเทะก็แทบจะหลั่งน้ำตา ทั้งอีกฝ่ายยังไม่ปริปากบ่นอะไรเลยด้วยซ้ำ เจ็บมาก็ดาหน้ากลับไปฝึกอีก เจ็บอีกก็กลับไปอีก ไม่สนบาดแผลปริแตกตามร่าง ตามใบหน้าที่ได้เห็นอยู่ประปราย คุณหนูเฟิงอวิ๋นเองก็เริ่มที่จะมาดแมนมากขึ้น จากตอนแรกที่เห็นผมสั้นกุด ท่าทางนิ่งสงบนั้นก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัว ทว่าหลังจากที่มาอยู่กับคุณตาของเจ้าหล่อนเองก็เริ่มเปลี่ยนไปคนละคน
ฝึกมาก็ถอดเสื้อผ้าทิ้งเรี่ยราดกับพื้นห้องจนรกไปหมด ผ้าปูที่นอนไม่คิดจะพับ (ถึงแม้จะเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน) บางทีฝึกกลับมาเสร็จก็นอนเลยไม่คิดจะอาบน้ำเสียด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตแบบ ยังไงก็ได้ มีใครว่าอย่างไรก็พยักหน้าหงึกหงัก ตอบอ่าๆ อืมๆ กลับไปโดยไม่แม้แต่จะโต้แย้ง บางทีพวกเธอก็รู้สึกเหมือนจะได้อีกฝ่ายเป็นคุณชายน้อยมาเสียแทน มีที่ไหนมาช่วยเธอยกหม้อใบโตเดินตัวปลิว บางทีข้ารับใช้เดินอยู่ดีๆ เชือกรองเท้าที่ผูกอยู่หยุดก็ได้คุณหนูเฟิงอวิ๋นมาก้มผูกให้หน้านิ่ง วิถัดมาก็เหงื่อไหลย้อยอีกเมื่อรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจยามพิศมองว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้านายที่ตนต้องดูแลแต่กลับมาดูแลข้ารับใช้เอาซะเอง บทยังไม่ทันจะอ้าปาก คุณหนูเจ้าก็เอาแขนเสื้อเช็ดกรอบหน้าให้อย่างอ่อนโยนละมุนละไม ทิ้งไว้เพียงสัมผัสอุ่นจางๆ ที่ชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนที่ข้ารับใช้คนนั้นจะเป็นล้มลมตึงกันไป เป็นเรื่องราวใหญ่โตไปซักพักหนึ่งเลยทีเดียว
เธอใช้เวลาทั้งชีวิตที่มีมาเพื่อพัฒนาตัวเอง เส้นทางชีวิตของคุณตาเธอเองก็อันตรายไม่ต่างจากใคร เขาดำดิ่งอยู่ในวงการมืด แม้ว่าเขาจะพยายามปกป้องเธอใต้ปีกตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ต้องมีซักวันที่ปักษาอยากจะโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เช่นเดียวกับตัวเธอ
เธอเองก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองด้วย
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ตามความคิดของเขาไม่ทันอยู่ดี
รู้ตัวอีกทีคุณตาก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เธอ เบื้องหน้าเป็นจดหมายสีขาว ถูกประทับตาสีแดงไว้อย่างสวยงาม
หญิงสาวนึกฉงนกับตน เล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้านเลาะแกะตรารูปกุหลาบเบื้องหน้าออกแช่มช้า ดึงจดหมายข้างในขึ้นมาอ่านเนื้อความ
ถึง คุณเฟิงอวิ๋น
ฉันได้รับการฝากฝังการดูแลมาจากคุณจินจื่อหานมาเป็นที่เรียบร้อย ดูจากฝีมือของคุณที่ไม่เป็นธรรมดาทำให้ฉันรู้สึกว่าน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง คุณยังสามารถพัฒนาฝีมือไปได้อีกไกล รวมไปถึงความแข็งแกร่งของคุณเองก็เช่นกัน คุณจินจื่อหานเดินเส้นทางอะไรคุณน่าจะรู้ดี อย่างไรต่อให้คุณจะพยายามหลีกเลี่ยงมันแค่ไหน ท้ายที่สุดคุณก็ต้องเดินเข้ามาสู่เส้นทางสีดำนี้อยู่ดี คุณหนีมันไม่พ้น ดังนั้นฉันจึงมีข้อเสนอให้คุณ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเรา ที่โรส เลดี้ แฟมิลี่
ใช่ สมแล้วจริงๆ อย่างที่จดหมายนั้นบอกเธอมา
ท้ายที่สุดเธอก็ต้องจมไปกับเส้นทางสีดำมืด
ขว้างงูไม่พ้นคอจริงๆ เช่นนั้น ในเมื่อเปรอะเปื้อนด้วยสีดำไปแล้ว เธอก็ขอที่จะทิ้งตัวลงให้มันเปื้อนไปทั้งตัวเลยแล้วกัน
ไม่มีพี่ชาย ไม่มีมารดาแล้ว ต่อให้เส้นทางด้านหน้าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ไม่ได้หวาดกลัวมันมากนัก
เพียงแค่หลับตา จมลงไปกับความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด นั่นก็คงอาจจะเป็นอีกทางที่เธอจะได้พบพานกับทั้งสองที่เธอรักในสุดหัวใจ
สุดท้ายหญิงสาวก็ทำได้เพียงหัวเราะเบาๆ กับตัวเองแล้วตอบตกลงยินยอมกับจดหมายฉบับนั้นไปอย่างไร้ข้อโต้แย้งอะไร
ความคิดเห็น