ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #239 : Utakata 「うたかた」 2024 Edition

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 67


    Utakata 「うたかた
    Playlist: Vaundy – Kaiju no Hanauta 「怪獣の花唄」 / toconoma – nebula / Ko Shibasaki – wish / FIVE NEW OLD – Too Good To Be True / SHE'S – White











    .

    บางครั้ง อิวาทสึกิ คิเซคิก็ต้องยอมรับว่าเธอเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดของสองเพื่อนสนิทอายุน้อยกว่าอย่างอาเบะ นัตสึเมะ และคานาซาชิ อิซเซย์ ที่ร่วมก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า เตกีล่าคิสด้วยกันมาตั้งแต่สมัยร่ำเรียนในโรงเรียนดีไซน์เมื่อสี่ปีที่แล้วสักเท่าไหร่

    ทั้งที่ตอนนี้พวกเขาควรจะได้พรีเซนเตอร์ประจำไลน์เสื้อผ้าผู้ชายสำหรับคอลเลคชั่นเปิดตัวในช็อปฮาราจูกุที่ใกล้จะเป็นทางการครั้งแรกแล้วจับมาถ่ายรูปโปรโมตให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียที สำหรับคิเซคิ เธอขอแค่ใครก็ได้ที่ใส่เสื้อผ้าออกมาดูดีแล้วช่วยให้ขายได้ แต่ไม่ว่าจะเสนอใครไปก็เป็นต้องถูกทั้งสองคนลงมติปฏิเสธสองต่อหนึ่งกันเป็นเอกฉันท์ตลอด แล้วคนหัวเดียวกระเทียมลีบจะเอาอะไรไปค้านสองคู่กัดที่อยู่ๆ ก็เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ ไม่ใครก็ใครเป็นต้องขาดอะไรเข้าสักอย่าง เป็นประเภทที่ทั้งสองจะพูดว่า “เขายังไม่ใช่คนของเตคคิส” จนคิเซคิเองก็ชักอยากรู้ว่าการเป็นคนของเตคคิสจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ในเมื่อเธอที่เป็นคนของเตคคิสเองก็ไม่ยักจะรู้ พอลองถามดูก็ได้คำตอบที่ไม่เห็นจะไขความกระจ่างว่า “ก็คนที่ไม่เหมือนเราสามคนยังไงล่ะ!” จริงอยู่ที่นางแบบประจำไลน์เสื้อผ้าผู้หญิงอย่างซากุระซาวะ สึซึเนะก็ไม่ได้มีอะไรที่ใกล้เคียงกับเธอหรือนัตสึเมะเลยแม้แต่นิดเดียว หากครึ่งหนึ่งของนายแบบที่เกือบเข้าตาก็ไม่เห็นจะมีใครที่คล้ายกับอิซเซย์เลยแม้แต่นิดเดียวเหมือนกัน ครั้นเอ่ยสิ่งที่คับข้องใจออกไปตรงๆ ก็ดันจะถูกตอกกลับมาว่าเป็นเธอต่างหากที่คิดน้อยเกินไปจนรู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้

    ด้วยเหตุฉะนี้ คนหัวเดียวกระเทียมลีบจึงเลิกเข้าไปวุ่นวายกับสองเพื่อนร่วมก่อตั้งจอมเรื่องมากที่ใช้เวลาออกไปเตร็ดเตร่ตามที่สาธารณะ จับจ้องมองหานายแบบจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้กว่าอาทิตย์ แล้วใช้เวลาเกลือกกลิ้งอยู่ในสตูดิโอชั้นใต้ดินคนเดียวลำพังอย่างถือครอง บทเพลง ไคจู โนะ ฮานะอุตะ(เพลงดอกไม้ของสัตว์ประหลาด) ของวอนดี้ลอยละล่องก้องไปทั่วพื้นที่ซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่เจ้าตัวซึ่งไม่รู้เบื่อก็ฮึมฮัมตามไปพลาง นั่งทำสร้อยข้อมือจากเชือกไปพลางอย่างสุขกายสบายใจ

    ก่อนคิเซคิเป็นต้องได้สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงร้องตามเนื้อเพลงจากชายหนุ่มที่เดินมายื่นแก้วช็อกโกแล็ตเย็น พะยี่ห้อร้านคาเฟ่ละแวกนี้ให้ตรงหน้า แล้วฉวยโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาเลื่อนสไลด์อย่างถือวิสาสะในตอนที่ทิ้งตัวลงนอนพาบพับข้างกันที่บนโซฟากำมะหยี่สีขาว หากคิเซคิก็จะเพียงแค่ถอนหายใจออกมากับการกระทำอย่างชินชาของเพื่อนสนิทมากว่าสี่ปีเช่นนั้น

    “นัตสึเมะล่ะ?”

    “จู่ๆ ก็ทิ้งฉันเฉยเลย ใจร้ายเนอะ” ว่าแล้วก็แสร้งตีสีหน้าย่นยู่เหมือนกับจะร้องไห้ ให้คิเซคิเป็นต้องส่ายศีรษะเบาๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจกับนิสัยช่างออดอ้อนของอิซเซย์ที่มักจะกำเริบเอาตอนมีแฟนเสมอ แต่กลับเป็นนิสัยช่างเอือมของคิเซคิต่างหากที่จะทำให้อิซเซย์หัวเราะร่าด้วยความชอบอกชอบใจ เอื้อมมือมาดึงแก้มคนที่กำลังดูดน้ำอยู่ให้ได้ส่งเสียงจึ๊กจั๊ก ยกมือข้างที่ว่างขึ้นปัดมันออก

    “ตกลงนัตสึเมะไปไหน?”

    “ยัยนั่นบอกว่าเย็นนี้ลูกพี่ลูกน้องจะกลับจากเมืองนอกแล้วก็ชิ่งหนีไปเลย เชื่อเค้าไหมล่ะ!” เป็นคำตอบที่มาพร้อมกับคำบ่นว่าอย่างไม่จริงจังนัก เหมือนทุกครั้งคราวที่ต่างฝ่ายต่างพูดถึงกันให้บุคคลที่สามอย่างเธอฟังเสมอ “งั้นเย็นนี้เราสองคนไปกินข้าวด้วยกันไหม? เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

    หากคิเซคิกลับเหลือบแลสายตาไม่ไว้วางใจไปหาอิซเซย์ “คุณชิมาบุคุโระก็ไม่ว่างใช่ไหมล่ะถึงได้ชวนฉัน?”

    อิซเซย์เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือเครื่องใหญ่ของเธอแล้วยิ้มเผล่แทนคำตอบ เห็นแบบนั้นก็พาลให้รู้สึกหมั่นไส้จนต้องทำคอตั้ง เอ่ยน้ำเสียงเยาะๆ หลังจากพ่นลมออกจมูกไปว่า “แหม ที่จริงก็อยากไปกินของฟรีอยู่หรอกนะ แต่น่าเสียดายที่เย็นนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยงรุ่นนี่สิ” อย่างเต็มที่

    เรียกเสียงโอดครวญจากอิซเซย์ที่ดันลืมนัดสำคัญของเธอที่อุตส่าห์กาไว้ทั้งบนปฏิทินและเขียนลงบนกระดานในสตูดิโอเพื่อแจ้งข่าวไปเสียได้ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการหานายแบบมาหลายสัปดาห์ ปกติในช่วงที่ไม่ยุ่งกับการทำงานมากนัก ถ้าทั้งอิซเซย์และนัตสึเมะไม่เดตกับคนรัก ก็จะออกไปกินดื่มกับเพื่อนหรือรุ่นพี่บ้าง นานทีปีหนถึงจะอยู่พร้อมหน้าครบสามทหารเสือประจำเตคคิสกันสักทีหนึ่ง และคนเดียวที่ดูเหมือนจะว่างตลอดศกเพราะไม่มีทั้งแฟนหรือเพื่อนสนิทที่ไหนอีกนอกจากพวกเขาก็มีแค่คิเซคิ หากในตอนที่ว่างเว้นจากการเดต ทั้งสองคนก็มักจะชวนเธอออกไปเที่ยวเล่นไม่ก็แค่นั่งพูดคุยกันในคาเฟ่หรือบาร์ละแวกสตูดิโอแล้วแต่ช่วงเวลาด้วยกันเสมอ โดยที่คิเซคิเองก็ไม่เคยปัดปฏิเสธเลยสักครั้ง บ่อยครั้งที่อิซเซย์อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเธอเคยรู้สึกน้อยใจกับการเป็นตัวเลือกที่สองของพวกเขาบ้างหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยแสดงสีหน้าหรือท่าทีไม่พอใจออกมาเลยสักครั้ง แต่ความจริงก็คือทั้งเขาและนัตสึเมะต่างก็ปฏิบัติต่อคิเซคิมากกว่าที่ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายมาตั้งแต่รู้จักกันเกือบตลอดทั้งชีวิตด้วยซ้ำไป

    นัตสึเมะจะคิดอย่างไรเขาไม่รู้

    แต่เขาคิดอย่างไร และเธอเคยคิดอย่างไร...เขารู้

    “ไว้คราวหน้าถ้าคุณชิมาบุคุโระไม่ว่างอีกก็แล้วกัน”

    ถึงสุ้มเสียงจะเบาหวิว แถมเจ้าตัวยังเฉเสี้ยวหน้าหันไปทางอื่นด้วยคำพูดที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจ อิซเซย์ก็รู้ดีว่ามันคือความใส่ใจของเธอต่อเขาเสมอ

    “ถ้ากลับดึกก็โทร.บอกให้ไปรับได้นะ”

    เหมือนที่อิซเซย์เองก็รู้ว่ามันคือความใส่ใจที่เขามีต่อเธอเสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ เขาก็จะคอยตอบรับต่อเสียงเรียกนั้น แม้ว่าจะมีเพียงน้อยครั้งที่เธอส่งสัญญาณไปหา เช่นนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียเองว่า

    “ไอ้นั่นน่ะ ทำไปให้เพื่อนในห้องเหรอ?”

    “หือ?” เธอหันมามองตามสายตาบุ้ยใบ้ของเขา ทั้งที่พยักหน้าเป็นการตอบรับแล้ว แต่เธอก็จะรีบวางแก้วเครื่องดื่ม เช็ดไอเย็นกับเสื้อของตัวเองและสำทับไปด้วยทิชชูที่ดึงออกจากกล่องจนแห้งสนิท ก่อนใส่กำไลเชือกที่เขาถามถึงเมื่อครู่ลงไปในกล่องไม้รูปดาวเล็กๆ ด้วยความเร็วรี่ ย่อมแน่นอนว่าไม่มีทางที่อิซเซย์จะจับพิรุธความลุกลี้ลุกลนนั้นไม่ออก แต่เพราะไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้เหมือนอย่างนัตสึเมะ เขาจึงเพียงแค่ยิ้ม เลื่อนปลายนิ้วไปยังบทเพลงที่เธอชอบฟังเป็นนักหนา ขณะปิดเปลือกตาลง

    เขาก็ชอบดาวเหมือนกันสินะ”

    คิเซคิเพียงค่อยเอนตัวพิงกับโซฟาทั้งแก้วช็อกโกแลตเย็นในมือ ท่ามกลางท่วงทำนองดนตรีเพลง เนบิวลา ของวงชื่อเดียวกันที่เลื่อนไหล อาบล้อมความเงียบงันภายในห้องชั้นใต้ดินนี้ และรอยยิ้มน้อยๆ ของเธอ

     

     

     

    ในที่สุด บรรยากาศในที่ทำงานของแฟชั่นแมกกาซีนพลูม ซึ่งเคยหดหู่อึมครึมตลอดชาติตลอดศกก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดชื่นรื่นรมย์สมกับเป็นนิตยสารเจาะกลุ่มสาวๆ วัยทำงานเสียที

    เพราะการมาถึงของบก.รุ่นใหม่ไฟแรง ทายาทเจ้าของบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่ของญี่ปุ่นที่ทั้งรูปหล่อ ใจดี สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เสมอ ชผิดกับยัยเจ๊มหาภัยที่เข้ามาได้แค่ครึ่งปีก็สร้างศัตรูกับลูกน้องเกือบทั้งบริษัท กว่าที่หล่อนจะถูกย้ายไปอยู่ฝ่ายขายให้กับแมกกาซีนผู้ใหญ่เนื่องจากทำยอดขายไม่เข้าเป้าแถมยังเอาแต่ขายโฆษณาไปเสียกว่าครึ่งเล่ม มีหลายครั้งที่สาวน้อยแผนกคอลัมนิสต์ตัวเล็กต้องได้ปะ ฉะ ดะกับยัยเจ๊ และบางคราวก็ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความคับแค้นใจจนเกือบจะถอดใจลาออกอยู่รอมๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ต่างก็เผชิญกับความมหาภัยระดับสิบริกเตอร์ของยัยเจ๊เช่นเดียวกันคอยช่วยพูดปลอบใจเสมอแล้วล่ะก็ ชื่อของไซโต้ มัตสึริก็คงจะหายสาบสูญจากหน้าของพลูมไปแล้วอย่างถาวร

    แต่ไม่มีใครที่จะซาบซึ้งตรึงใจมัตสึริได้เท่าได้กับช่างภาพประจำพลูมอย่างอิวาซากิ ไทโช เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยไฮสคูลของเธอ และพนักงานที่ยัยเจ๊ถูกใจให้เป็นหมายเลขหนึ่งในฮาเร็มตามประสายัยสาวทึนทึกบ้าผู้ชาย คนที่ทำให้มัตสึริต้องหลั่งน้ำตาออกมาครั้งมโหฬารกับการที่เขาออกตัวปกป้องเธอกับยัยเจ๊ในตอนที่หล่อนพยายามจะไล่เธอออกเพราะเถียงไม่ชนะ แน่นอนว่ามัตสึริไม่ใช่คนผิดเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็เตรียมใจที่จะถอดส้นสูงตบหน้ายัยเจ๊เป็นการสั่งลาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไทโชที่ออกหน้ามาพร้อมกับคำพูดอันแสนประทับใจว่า “ถ้าคุณไล่มัตสึริออก ผมก็จะออกด้วย แต่รับรองได้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่แค่ปัญหาของผมกับมัตสึริแน่!” และผลของการลุกฮือในครั้งนั้นก็สร้างอิมแพคให้แก่เพื่อนร่วมงานคนอื่น จนยัยเจ๊ต้องเป็นฝ่ายระเห็จออกไปจากพลูมโดยไร้งานเลี้ยงส่งหรือของขวัญอำลา นอกจากการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าพนักงานในพลูม และความนิยมของไทโชที่เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเป็นกอง

    มัตสึริยังคงนึกขอบคุณเพื่อนสนิทผู้แสนดีคนนี้เสมอ ที่ทำให้เธอยังได้มีโอกาสทำงานอยู่ในบริษัทที่รักมาจนถึงทุกวันนี้

    “ฟังเพลงนี้อีกแล้วเหรอ?”

    ปุบปับ สายหูฟังที่เสียบต่อมาจากมือถือตอนที่เธอนั่งเหม่ออยู่กับกาแฟร้อนที่รอให้มันอุ่นอยู่ในห้องพักพนักงานก็จะถูกดึงออกไปจากรูหูข้างหนึ่ง ด้วยเพราะไม่ทันตั้งตัว มัตสึริถึงได้สะดุ้งเฮือก ยืดตัวตรง หันขวับไปยังทิศทางด้านขวาของคนที่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะกลม มีอินเอียร์สีขาวเสียบค้างไว้ในหูพร้อมกับแก้วกาแฟที่ถูกฉกฉวยไป

    “หัวหน้า!

    “ผมชักจะสงสัยแล้วว่าที่ไซโต้คุงบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับไทโชคุงน่ะจริงหรือเปล่า?”

    ด้วยคำถามเชิงตัดพ้อและใบหน้าที่ไม่ยอมหันขวับมองมา ให้มัตสึริอดเย้าแหย่ไม่ได้ว่า “ที่ถามนี่เพราะหึงหรือเปล่าล่ะคะ? ถ้าหัวหน้ายอมรับตรงๆ ฉันอาจจะยอมตอบตรงๆ ก็ได้” แล้วเปล่งเสียงหัวเราะสดใสออกมา ที่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะทำอะไรกับริมฝีปากสีอ่อนคู่นั้นที่ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะกับเรื่องที่เขาไม่เห็นว่ามันตลกเลยแม้แต่นิดเดียวสักทีเหมือนกัน แต่ที่นี่คงไม่เหมาะนัก เพราะผู้คนที่ขวักไขว่กันอยู่ข้างนอกห้องพักบานกระจกที่เกือบจะเรียกว่าเปิดโล่งแบบนี้

    อันที่จริง เรื่องราวระหว่างคอลัมนิสต์สาวกับหัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่อย่างมาซาคาโดะ โยชิโนริ มันควรจะง่ายดายกว่านี้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะแหวนสีเงินเกลี้ยงเกลาที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาวงนั้น

    เธอรู้ดี...และเขาก็รู้ดี

    แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้อ้าปากพูดอะไรต่อจากนั้น บุคคลที่สามในหัวข้อสนทนาถึงเมื่อครู่ก็เดินมาเคาะข้อนิ้วเข้ากับขอบกำแพงเพื่อเรียกความสนใจ ไทโชค้อมศีรษะให้หัวหน้าเป็นการทักทาย ขณะที่มาซาคาโดะเองก็ไม่ได้แสดงทีท่าน่าสงสัยอะไรแม้เมื่อถอดหูฟังส่งคืนให้และตบไหล่เล็กของลูกน้องสาวที่เงยหน้าขึ้นมาย่นจมูกใส่ ทั้งหมดนั้นดูเป็นธรรมชาติมากเสียจนไทโชคิดว่าเขา...แน่ใจ

    “กลับมาแล้วเหรอ?”

    ไทโชตอบรับ มองดูมัตสึริที่แตะขอบปากกับแก้วกาแฟด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแบบนั้นก็ได้แต่เก็บกลืนคำถามกลับลงไป เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่ควรคาดคั้น ยิ่งกับคนอย่างมัตสึริด้วยแล้ว พอคิดเช่นนั้นก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ว่างตัวข้างๆ หากสายตาก็จะเหลือบไปเห็นชื่อเพลงบนหน้าจอมือถือของเธอที่เปิดทิ้งแสดงโปรแกรมฟังเพลงเอาไว้ จนต้องหลุดปากร้องออกมาดังๆ

    “ฟังมาครึ่งปีแล้วยังไม่เบื่ออีกหรือไงเนี่ย มัตสึริ!

    “เพลงของวงเพื่อนสนิททั้งทีนี่นา เพราะแบบนี้ให้ฟังทั้งชีวิตก็ยังได้” เป็นคำชื่นชมที่ผ่านออกมาจากรอยยิ้มและน้ำเสียงที่จริงใจ พลอยให้ไทโชในฐานะมือเปียโนประจำวงอดไม่ได้ที่จะนึกภูมิใจและขอบใจจนต้องคืนรอยยิ้มกว้างกลับไป กระทั่งประโยคถัดมาที่จะทำให้คนทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่

    “เป็นเพลงที่ฟังทีไรก็เคลิ้มอยากนอนทุกที”

    สมกับเป็นคู่หูอารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไร

    “แล้วเย็นนี้มัตสึริจะไปด้วยกันไหม?”

    “เอาสิ” เธอพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ตั้งห้าปีแล้ว ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ถ้าทุกคนมากันพร้อมหน้าต้องสนุกแน่ๆ เลยเนอะ!

    “อืม”

    จากนั้นทโชก็หยิบหูฟังข้างที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะเฉยๆ ขึ้นมาเสียบ รับฟังท่วงทำนองจากเครื่องดนตรีเปล่าที่เขาและเพื่อนสนิทตั้งแต่ชั้นประถมอีกสองคนช่วยกันสรรสร้างมันออกมาวางขายในตลาดเพลงอินดี้เล็กๆ เมื่อครึ่งปีก่อน ถึงจะไม่ได้โด่งดังเป็นพลุแตกหรือมียอดขายมากมายอะไร แต่ เนบิวลา ก็คือผลพวงของงานอดิเรกยามว่างหลังเลิกงานที่พวกเขาทั้งสามคนพอใจกับมัน

    สายตาของเขาทอดมองเลยไปบนท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างใสบนตึกสูงโดยไร้ซึ่งถ้อยคำ

    และมัตสึริก็ยังคงยิ้ม ในทุกจังหวะขณะดนตรีขยักเคลื่อนไป



    บรรยากาศภายในบาร์สไตล์อาร์ทกึ่งเนเชอรัล เน้นงานไม้ที่เข้ากันดีกับแสงไฟสีทองสลัวอย่างบาร์ลา เนชูร์ ที่ชั้นสามของตึกเล็กๆ ละแวกเซนดะงายะ ซึ่งมักจะขนัดแน่นไปด้วยลูกค้าในคืนวันศุกร์ แต่หากได้อ่านป้ายกระดานดำที่ตั้งอยู่หน้าขั้นบันไดชั้นล่างสุดซึ่งถูกขีดเขียนด้วยลายมือและรูปวาดดูเดิลน่ารักๆ จากปลายนิ้วของหญิงสาวประจำบาร์ชั้นสามแล้ว ก็คงจะมองหาเหตุผลของความอึกทึกครึกครื้นทั้งที่ร้านอยู่ในช่วง ปิดทำการเฉพาะกิจได้อย่างไม่ยากเย็น

    ภายในร้านที่ไม่กว้างขวางยิ่งดูอัดแอขึ้นไปอีกด้วยเหล่าอดีตนักเรียนห้องบีแห่งโรงเรียนมัธยมอาโอมิเนะรุ่นที่สามสิบหก ซึ่งใช้เป็นที่จัดงานรวมรุ่นรำลึกหลังจบการศึกษามาได้ห้าปี โดยมีอดีตหัวหน้าห้องเป็นตัวตั้งตัวตีในการโทรศัพท์ติดต่อกับอดีตเพื่อนร่วมห้องทุกคนจนได้วันที่ลงตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาในคืนกลางเดือนเมษายน และสถานที่นัดหมายซึ่งหัวหน้าห้องคาวาซากิ โคกิ จะเสนอแนะให้ใช้ร้านของญาติผู้พี่เป็นที่สังสรรค์กันได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจ ถึงแม้ว่าบางคนอาจมีธุระด่วนเข้ามากะทันหัน บางคนก็ต้องทำงานถึงเย็นย่ำจนอาจจะมาสายจากเวลานัดตอนหกโมงเย็นไปเสียหน่อย กระนั้นก็ไม่มีใครยอมที่จะพลาดนัดกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้นคนสำคัญ หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเองตั้งกว่าห้าปี ทั้งความทรงจำและความมีชีวิตชีวาอย่างเมื่อครั้งสมัยเรียนหวนกลับคืนมาภายในบาร์แห่งนี้ หรือไม่แน่ว่าบางทีอาจเป็นเพราะคอนเซปต์ชุดนักเรียนที่หัวหน้าห้องเสนอให้ทุกคนใส่กันมาเพื่อรำลึกความหลังกันอีกครั้ง เหล่าเพื่อนพ้องที่ห่างหายไปถึงได้พูดคุยกันอย่างสนิทใจเหมือนกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยเช่นนี้

     

    “นี่ ได้ข่าวว่าทั้งสองคนทำเพลงกับการิคุงห้องดีเหรอ?”

    เหมือนอย่างอุกิโช ฮิดากะ และอิวาซากิ ไทโช สองหนุ่มคนดังประจำห้องซึ่งมักจะถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าเพื่อนพ้องมากหน้าหลายตาก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่มีผิดเพี้ยน บนโต๊ะตัวยาวและโซฟาสีครีมอ่อนที่อยู่บนพื้นยกระดับ มีคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนั่งร่วมกับพวกเขาสองคนแทบไม่ได้ขาดตั้งแต่มาถึงเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า และแม้กระทั่งตอนนี้ ไทโชก็ยังคงหัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    “ความลับขนาดนี้ไปรู้ได้ยังไงกันนะ?”

    “เอ๋! งั้นก็จริงเหรอ!

    เป็นคำตอบที่เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าสาวๆ ที่จับจองพื้นที่กันให้แน่นโซฟา แล้วแย่งถามคำถามกับไทโชกันให้วุ่น

    เพราะอย่างนั้น อุกิโชที่นั่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยปากขอตัวพร้อมกับยกแก้วเครื่องดื่มไปด้วยท่าทางเบาสบายและรอยยิ้มที่เหมือนกับว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แค่ไปเอาเครื่องดื่มมาเพิ่มเท่านั้น

    แต่นอกจากเพื่อนที่เขายกให้ว่าสนิทใจอย่างไทโชแล้วจะมีใครอีกเล่าที่เข้าใจ การที่เขาแทบไม่แสดงความรู้สึกในด้านลบอย่างใจคิดออกไปตรงๆ จึงคล้ายกับว่าเป็นการเสแสร้ง นั่นดูเหมือนจะเป็นข้อเสียที่แม้แต่ตัวเองก็รู้และยอมรับ ยิ่งถ้าเทียบกับอิวาทสึกิ คิเซคิที่มักจะแสดงสีหน้าและความเอาแต่ใจอย่างตรงไปตรงมาเสมอจนเพื่อนสนิทไม่ค่อยจะมีเลยนั่นก็ปะไร แต่ใครจะไปต่อว่าอะไรกับคนที่หน้าตาดีและมีความสามารถล้นเหลืออย่างอุกิโช ฮิดากะได้ ยิ่งถ้าเทียบกับอิวาทสึกิ คิเซคิ...อีกที และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยชอบสายตาที่มองมาเหมือนจะเคลือบแคลงในตัวตนของเขาตลอดสามปีที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน

    แต่ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะแสงสีส้มที่มัวพร่า หรืออาจเป็นเพราะแผ่นหลังของผู้หญิงที่กำลังนั่งคุยอยู่กับโคกิที่หลังเคาน์เตอร์บาร์ด้วยความเริงร่านั้นดูน่าประหลาดใจเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดว่าเป็น...

    คิเซคิหันมาส่งยิ้มให้เขาในตอนที่ทิ้งตัวนั่งหน้าเคาน์เตอร์หลังขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับโคกิ คราวนี้ทั้งใกล้และชัดเจนพอที่อุกิโชจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอน

    ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เขาถึงหลุดปากทักทายเธอเป็นครั้งแรกในชีวิตนับตั้งแต่รู้จักกันมาว่า “ไง อิวาทสึกิ”

    ด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นกัน

     

     

    ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ทันสังเกตต่อสายตาของไทโชที่เรียกได้ว่า จงใจ มองไปทางเคาน์เตอร์บาร์นับครั้งไม่ถ้วน นับตั้งแต่ตอนที่เด็กสาวหลังห้องคนนั้นจะเดินก้มหน้าก้มตา ส่งเสียงเก้อเขินทักทายกลับเพื่อนร่วมห้องที่เธอไม่ค่อยสนิทสนมด้วยนัก แล้วเลยผ่านมานั่งคุยกับเพื่อนผู้ชายคนเดียวในห้องซึ่งเธอสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด และเหตุผลนั้นก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายอัธยาศัยดีเหมือนอย่างเขา แต่เป็นเพราะว่าโคกิคือเพื่อนร่วมห้องสมัยประถมและมัธยมต้นในย่านชานเมืองของเธอ แม้ว่าอาจไม่ใช่เพื่อนสนิทที่รู้ใจ ไปไหนมาไหนกันเป็นคู่หูหรือกลุ่มก้อนเหมือนอย่างใคร ในเมื่อคิเซคิมักจะเอาแต่จับเจ่าอยู่คนเดียวกับกองหนังสือและหูฟังของเธอตรงที่นั่งริมหน้าต่างในห้องเรียนและห้องสมุด แต่โคกิก็ยังคอยปฏิเสธข่าวลือแย่ๆ ซึ่งไม่เป็นความจริงให้แก่คิเซคิที่มีท่าทีอึมครึม และมักจะแสดงความดีอกดีใจเมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครแสดงออกว่าอยากเข้าหากับคิเซคิด้วยความประทับใจ

    แต่ไหนแต่ไร ไทโชก็ไม่ใช่คนที่ชอบการกลั่นแกล้งหรือว่าร้ายให้ใครอยู่แล้ว การได้มองดูความมีน้ำใจของโคกิและความพยายามของคิเซคิก็ถือเป็นเรื่องดีในช่วงชั้นปีที่หนึ่งของเขา

    จนกระทั่งช่วงสัปดาห์ที่สองของชั้นปีที่สองกับการจับคู่ทำรายงานตามที่นั่งในวิชาดาราศาสตร์ ทุกคนดูเหมือนจะได้คู่ใหม่กันถ้วนหน้าหลังจากมีการย้ายเปลี่ยนที่นั่งในตอนต้นเทอม สำหรับไทโชแล้ว เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องแย่ในการได้จับคู่กับคิเซคิ เหมือนอย่างอดีตเจ้าของที่นั่งข้างหน้าเธอเคยบ่นว่าไม่สนุกเลยสักนิดเดียว! และสำหรับหล่อนที่เป็นกลุ่มสาวนักเที่ยวก็พอจะเข้าใจในความแตกต่างนั้นได้อยู่

    ครั้นพอได้ลองสนทนาดูเขาก็รู้ว่าเธอแค่พูดไม่เก่ง หากก็ใช่ว่าเย็นชาหรือน่าเบื่อจนทำลายบรรยากาศรอบข้างอย่างที่คนอื่นว่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ไทโชจะสามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปากว่าเข้าใจ

    ทีแรก ไทโชคิดว่าการที่เธอไม่อิดออดสำหรับการไปหาข้อมูลในท้องฟ้าจำลองตลอดทั้งวันในช่วงสุดสัปดาห์นั้นเป็นเพราะว่าช่วยไม่ได้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขารู้จักอยากเสียเวลาทั้งวันไปกับการเดินดูนิทรรศการอวกาศอันไกลโพ้นซึ่งอาจโรแมนติกในแง่ของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทว่าไม่ใช่กับคิเซคิซึ่งดูสนใจใคร่รู้ทุกอย่างข้างในนั้น แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์หรือดาราศาสตร์ยากๆ จนต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดและถามคำถามกับเจ้าหน้าที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ช่างผ่อนคลายจนไทโชคิดว่าเขาได้มองเห็นเนื้อในจริงแท้ของเธออย่างที่โคกิคอยพร่ำพูดให้คนรอบข้างฟังเสมอว่า “ถ้าได้รู้จักคิเซคิแล้วจะต้องชอบเธอแน่ๆ เชื่อสิ”

    ไทโชยังจำตอนที่เดินเข้าไปในห้องฉายดาว หลังจากคุยโทรศัพท์กับพวกเพื่อนๆ ที่สลับสับเปลี่ยนกันโทร.มาชวนไปเที่ยวได้ทั้งวี่วัน ยิ่งกับสาวๆ ที่เมื่อรู้ว่าเขามาหาข้อมูลทำรายงานที่ท้องฟ้าจำลองกับใครก็พากันนินทาคู่ทำรายงานของเขาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ฟังเข้าไปอีก แถมไม่มีทีท่าว่าจะฟังคำแก้ตัวแทนจนไทโชรู้สึกผิดต่อเธอขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ ถึงคิเซคิจะบอกว่า “ตามสบายเลยนะ” แต่หลังคำพูดนั้นกลับมีความมึนตึงเล็กน้อยอยู่ข้างใน แบบที่สามารถสัมผัสได้ในทุกครั้งคราวที่โทรศัพท์ของเขาสั่น ครั้งนี้ก็อีกเช่นกันที่เธอจะเดินย่ำรองเท้ารัดส้นเข้ามาข้างในห้องฉายดาวคนเดียวโดยไม่พูดจากับเขาสักคำ เร็วที่สุดกับสถิติการตัดบทโทรศัพท์ซึ่งโชคดีที่อีกฝ่ายคือเพื่อนสมัยเด็กของเขา จึงได้เร่งฝีเท้าเข้าไปกวาดสายตามองผ่านผู้คนจำนวนไม่มากนักที่กำลังนั่งรับฟังเสียงจากผู้บรรยายอยู่ข้างใน เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้มองเห็นเค้าหน้าแตะรอยยิ้มที่ดีที่สุดของเธอเป็นครั้งแรกผ่านแสงวิบวับของเครื่องขณะฉายภาพจำลองของกลุ่มดาวโพลาริส

    ตอนนั้นเองที่ไทโชได้รับรู้ว่าสิ่งที่โคกิเคยว่านั้นผิดถนัด

    ความคิดของเขาถูกเรียกกลับคืนมายังปัจจุบัน เมื่อจบเรื่องของวงดนตรีแล้วก็กลายเป็นหัวข้อใหม่ๆ กับคำถามที่ทำให้เขาต้องยิ้มกว้างและส่งเสียงหัวเราะรวนร่าออกมา

    “นี่ๆ ช่วยบอกทีสิว่าสมัยเรียนไทโชเคยชอบใคร? เป็นเพื่อนในห้องใช่ไหม? ต้องใช่แน่ๆ เลย”

    ไม่ใช่เพราะคำตอบเสร็จสรรพของพวกเธอที่พากันไล่เรียงรายชื่อเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องพลางนั่งวิเคราะห์กันด้วยท่าทางจริงจังเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไร เขาก็ไม่มีทางที่จะตอบคำถามชี้ชัดลงไป ถึงแม้ว่าชื่อของ เธอคนนั้น จะถูกหยิบยกขึ้นมาแล้วก็ตาม

    เพราะคนที่ต้องรู้...ไม่ควรจะใช่ใครอื่น

     

     

    หลังการไต่สวนของกลุ่มสาวๆ นำโดยทานิ คิราริ แอนด์เดอะแก๊ง ที่เมื่อได้รับคำตอบถึงข่าวลือที่เธอได้ยินพวกผู้ชายพูดกันอย่างน่าพึงพอใจจากเป้าหมายแล้ว เสียงโหวกเหวกของพวกเธอก็จะตะโกนบอกให้หัวหน้าห้องเปลี่ยนไปต่อเพลงจากลำโพงเข้ากับไอโฟนของตัวเองที่เพิ่งจะโหลดเพลงใหม่มาใส่ไว้ในเครื่องสดๆ ร้อนๆ ก่อนท่วงทำนองเพลงที่อย่างน้อยมีถึงสี่คนในที่นี้คุ้นเคยมันดีก็จะละล่องไปทั่วอณูพื้นที่ร้านแทนที่บทเพลงแจ๊ซ ทำให้คิเซคิถึงกับต้องหลุดร้อง “อ๊ะ!” ออกมา หลังจากบทสนทนาถามไถ่ถึงเรื่องราวความเป็นไปที่ค่อนข้างจะเก้ๆ กังๆ ระหว่างเธอกับอุกิโช ก่อนคิราริจะถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง ตะโกนส่งเสียงดังสมฉายาสาวโทรโข่งประจำห้องให้แต่ละคนต้องหันมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ในถ้อยคำซึ่งจะทำให้หลายๆ คน — อาจโดยเฉพาะกับคิเซคิ — ต้องตกอยู่ในสภาวการณ์ที่เรียกว่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก

    “เพลงที่ทุกคนกำลังฟังอยู่นี้คือเพลงเนบิวลา ของวงที่ชื่อเนบิวลา ไม่รู้จักกันใช่ไหม? แต่ก็เป็นเพลงที่ดีใช่ไหมล่ะ? ฉันจะบอกว่าวงนี้เป็นวงของไทโช อุกิโช แล้วก็อิการิ โซยะคุงห้องดี ทุกคนช่วยปรบมือดังๆ แล้วก็สนับสนุนผลงานของเพื่อนเราด้วยนะ!

    ตามมาด้วยเสียงปรบมือเป่าปากจากเพื่อนร่วมห้องกันให้เกรียวกราว สายตาของหลายต่อหลายคนมองหาเจ้าของชื่อทั้งสองที่เพิ่งจะถูกกล่าวถึง ไทโชค้อมหัวและฉีกยิ้มกว้างๆ ให้แทนคำขอบคุณ แต่เมื่อสายตาของพวกเขาพากันไปหยุดอยู่ที่อุกิโช และความไม่คาดคิดถึงเพื่อนนั่งคุยอย่างคิเซคิ เพราะอย่างนั้นอุกิโชถึงได้รีบหันหน้ากลับเข้าหาเคาน์เตอร์ว่างเปล่าหลังจากโคกิออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนสนิทของตัวเอง แล้วหมุนเก้าอี้ของคิเซคิให้หันหวือมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว

    ชั่ววินาทีหนึ่งที่เธอพยายามจะหันมองไปยังไทโช หากก็ไม่ทันจะได้มองเห็นเขาผ่านคนอื่นๆ ที่ยืนรายล้อมอยู่

    เมื่อความพยายามไม่เป็นผล คิเซคิจึงเปลี่ยนความสนใจกลับมาหาคนข้างตัวถึงในเรื่องที่เพิ่งจะได้รับรู้ เป็นความจริงที่ว่าเธอฟังเพลงนี้บ่อยครั้งนับแต่ตอนที่บังเอิญเจอมันในยูทูบโดยไม่ตั้งใจเมื่อสามเดือนก่อน แต่ไม่รู้รายละเอียดอะไรของวงเลยแม้แต่น้อยถึงจะตามหาจนทั่วอินเทอร์เน็ตแล้วก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากผลงานเพลงเพลงเดียวนี้ บางทีพวกเขาอาจไม่อยากเปิดเผยตัวตนอย่างเช่นในมิวสิควิดีโอที่มีแค่สาวนางแบบหน้าตาสะสวยเป็นตัวดำเนิน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร วงที่ไม่เปิดเผยตัวตนด้วยต้องการความเป็นส่วนตัวก็มีถมไป

    เธอรู้ว่าทั้งไทโชและอุกิโชต่างก็เล่นดนตรีได้แถมยังดูจริงจังไม่ใช่เล่น จากที่เคยขึ้นโชว์ทั้งแบบวงดูโอและทรีโอกับเพื่อนสนิทต่างห้องในวันงานวัฒนธรรมและเทศกาลดนตรี กับเพลงร็อคที่ก็ไม่ค่อยจะตรงต่อรสนิยมของเธอสักเท่าไหร่ เช่นนั้นแล้วจะมีใครโยงใยวงร็อคชื่อพิลึกพิลั่นสมัยเรียนของพวกเขากับวงแจมแบนด์ที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเลยได้เล่า?

    “ที่คุณคิราริพูดเมื่อกี้จริงเหรอ?”

    อุกิโชพยักหน้า ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ขณะที่คิเซคิกลับแสดงท่าทีกระตือรือร้นแล้วพูดชมเพลงของพวกเขาออกมาได้ไม่หยุดปาก “ไม่อยากจะเชื่อเลย! ฉันฟังเพลงนี้บ่อยมากจริงๆ นะ! แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นวงของคุณอุกิโช! สุดยอดไปเลย!” ด้วยความชื่นชมอย่างใสซื่อบริสุทธิ์จนอุกิโชอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับตัวตนของเพื่อนร่วมห้องในแง่มุมที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนเลยแม้สักครั้ง

    หรืออาจเป็นตัวเขาเองที่เลือกจะต่อต้านเธอ...กับเด็กที่ไม่มีใครอยากคุยด้วยคนนั้นเอง

    อาจมีก็แต่เด็กใหม่ที่นั่งข้างเธอซึ่งพยายามที่จะผูกมิตรด้วยเป็นอย่างมาก จนเขาใคร่สงสัยว่าคนที่ชอบทำตัวยโสเหมือนกับว่าตัวเองอยู่คนเดียวก็ได้มีอะไรให้น่าคบหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

    “ได้คู่กับอิวาทสึกิเป็นยังไงบ้าง?”

    เหมือนว่าจะเคยถามคำถามนี้กับไทโชที่ได้จับคู่กับเธอในช่วงขึ้นปีที่สองและครองที่นั่งข้างหน้าเธอนับแต่นั้นเป็นต้นมา อุกิโชคิดเสมอว่าช่างเป็นโชคร้ายของเจ้าหมอนี่ เขาเลยไม่ได้สนใจสีหน้าของเพื่อนสนิทตอนตอบคำถาม หรือกระทั่งคำตอบที่ว่า “อิวาทสึกิเป็นเด็กดีนะ” ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้ว่าคนอย่างอิวาซากิ ไทโช สามารถเป็นมิตรอย่างจริงใจได้กับทุกคนบนโลกใบนี้ทั้งนั้น

    ครั้นมาย้อนคิดดูแล้ว บางทีคนที่แย่อาจเป็นตัวเขาเองก็ได้

    “คนอย่างอุกิโช ฮิดากะมานั่งคุยกับคุณอิวาทสึกิ คิเซคิอย่างสนิทสนมได้ยังไงวะเนี่ย!

    แล้วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆ กลุ่มพวกผู้ชายในห้องก็จะพากันพุ่งเข้ามาล็อกคอเขาเอาไว้แล้วออกปากแซวกันให้ดังสนั่น จนทุกสายตาต้องจับจุดรวมมาที่พวกเขาด้วยความแปลกใจระคนสงสัยกันอย่างไม่มีปิดบัง

    “เพื่อนกันจะคุยกันไม่ได้หรือไงวะ!

    “ก็ปกติพวกนายเคยคุยกันซะที่ไหน หรือว่า... อ๊ะๆ! อย่าบอกนะว่าพวกนายคบกันอยู่!

    ยิ่งทั้งอุกิโชและคิเซคิพากันรีบประสานเสียงว่า “ไม่ใช่!” แล้วจะไม่ให้ดูน่าสงสัยได้อย่างไร กระทั่งเสียงโห่ร้องเริ่มหนักข้อขึ้นและสีหน้าแดงก่ำของคิเซคิก็ทำให้อุกิโชหัวปั่นว่าควรจะทำเช่นไร

    ขอบคุณบานประตูไม้ที่ถูกผลักเปิดออก พร้อมกับเสียงทักทายของผู้มาใหม่ซึ่งราวกับช่วยกอบกู้สถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ได้อย่างพอดิบพอดี อุกิโชจึงรีบลุกพรวดเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งสองคนนั้น ยกแขนโอบไหล่สาวผมบ็อบสั้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องประกาศว่า

    “ไหนๆ ก็บอกทุกคนตรงนี้เลยแล้วกันว่าฉันกลับมาคบกับเอย์มิแล้ว”

    และถ้าจะมีเสียงกรีดร้องของพวกสาวๆ ครั้งไหนที่ดังบาดแก้วหูจนแทบสั่นสะเทือนแล้วล่ะก็ ขอให้บันทึกสถิติครั้งนี้ต่อคู่รักที่ภายนอกดูไม่เข้ากันสุดๆ อันดับหนึ่งประจำห้องบีเอาไว้ได้เลย

    ด้วยความเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก...ถึงมากที่สุด! ทุกคนจึงไม่รอช้า พากันเข้าไปรุมฮือสองคู่รักแล้วยิงคำถามรัวเร็วอย่างกับปืนกล

    เพราะรู้ตัวว่าเป็นกขค.เข้าแล้ว ชายหนุ่มผมสีทองที่เดินผ่านบานประตูเข้ามาด้วยกันถึงเมื่อสักครู่จึงแทรกตัวผ่านไปยังเคาน์เตอร์บาร์ที่เหลือคิเซคินั่งอยู่คนเดียวแทน ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ คิเซคิ” ด้วยรอยยิ้มแบบเดิมๆ และกำปั้นที่เขกลงบนหน้าผากเธอเบาๆ แบบเดิมๆ เรียกขานเอาความทรงจำของครั้งที่เขาย้ายเข้ามาในช่วงชั้นปีที่สองให้หวนกลับคืน

    นอกจากจะเป็นเจ้าของที่นั่งหลังสุดข้างกันกับเธอแล้ว โอกาซากิ โคทาโร่ยังเป็น เพื่อนสนิท คนแรกในชีวิตที่คิเซคิสามารถบอกใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าเขาคือเพื่อน

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น



    ไม่บ่อยนักกับโอกาสเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นโอกาสอันดีของอดีตเพื่อนสมัยมัธยมต้นที่ยังคบหากันฉันเพื่อนกระทั่งวัยทำงานจนปัจจุบัน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน หากด้วยความที่อยู่คนละแผนก แล้วไหนจะเวลางานและสังคมส่วนตัวที่เริ่มโคจรไม่ตรงกันอีก จนกลายเป็นว่าเปลือกโลกในวัยเด็กของพวกเขาที่เคยทับซ้อนกันได้อย่างเหมาะเจาะจะค่อยๆ ปริห่างออกจากกันทีละมิลลิเมตรเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นานครั้งถึงจะมีนัดสังสรรค์กันหลังเลิกงาน ซึ่งไม่ใช่กับเย็นค่ำของวันนัดรวมรุ่นที่เขามานั่งรอเธอตามที่ได้ชักชวนไว้ ด้วยการพูดคุยกับเพื่อนต่างแผนกฆ่าเวลาพิมพ์งานของสาวคอลัมนิสต์ไปพลางอย่างเบิกบานดี ขนาดสนิทกับเขามาตั้งกว่าสิบปี มัตสึริก็ยังอดที่จะทึ่งไม่ได้ว่าไทโชมีความสุขกับการมีผู้คนรายล้อมรอบตัวมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้กระทั่งในตอนที่มาถึงบาร์นัดพบกับอดีตเพื่อนร่วมห้อง เขาก็จะถูกกลุ่มพวกผู้ชายรุมลากคอไปตั้งแต่ยังเดินไม่พ้นบานประตูไม้ดีเสียด้วยซ้ำ เล่นเอาคนที่เดินนำหน้าไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าวและยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรกับคนตามหลังสักคำ ถึงกับต้องหันมาทำหน้าเหวอกับปฏิกิริยารวดเร็วเหลือเชื่อปานพายุเหล่านั้น

    “พวกผู้ชายนี่เหลือเกินไม่เปลี่ยนเล้ย เนอะ! มัตสึริ!

    เมื่อนั้น เจ้าของชื่อเรียกซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากเจ้าของเสียงเล็กที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะริมประตูจึงค่อยรู้สึกตัว หันไปหัวเราะทักทายแก่กลุ่มเพื่อนที่นั่งล้อมหน้าล้อมหลังตลอดปีการศึกษาอย่างฮตตะ คานาเดะ ซึ่งมักจะมีหนุ่มคนรัก (ที่ยังคบหากันอยู่อย่างน่าเหลือเชื่อ) อย่างโอนิชิ ฟูกะ และเพื่อนบ้าๆ บอๆ อย่างโคจิมะ เคน ติดสอยห้อยตามมาเป็นของแถมด้วยเสมอ เป็นบรรยากาศของการหวนรำลึกความหลังครั้งยังอยู่ในรั้วโรงเรียนแบบเดิมๆ ชนิดที่แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย หลังจากคานาเดะกวักมือเรียกไหวๆ มัตสึริจึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างกับโคจิมะ ผู้แสดงน้ำใจด้วยการรินเบียร์จากขวดใหม่ลงแก้วเก่าของเขาก่อนยื่นมันให้แก่เธอ ที่แม้จะได้คำปฏิเสธจากผู้ไม่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างสุภาพก็แล้วในทางปฏิบัติ ไปจนถึงคานาเดะและฟูกะที่ช่วยกันรุมด่าหัวแทนก็แล้ว โคจิมะก็ยังคะยั้นคะยอให้มัตสึริดื่มมันอย่างน้อยสักอึกสองอึกแทนคำสัญญาระหว่างมิตรภาพลูกผู้ชายอยู่ท่าเดียว เจอลูกตื๊อกับสีหน้าเหมือนหมาหงอยของเขาเข้าไปทีไรก็เป็นต้องใจอ่อนขึ้นมาทุกที ครั้นกำลังจะเอื้อมมือขึ้นไปจับหูแก้วจากคนที่ฉีกยิ้มเผล่ก็กลับถูกมือหนึ่งฉวยตัดหน้า ซ้ำยังยกขึ้นซดจนหมดแก้วในครั้งคราวเดียว ท่ามกลางสีหน้าชวนทึ่งของทุกคนบนโต๊ะที่อดกลืนน้ำลายลงคอตามไปด้วยไม่ได้

    “แกนี่เมาแล้วชอบระรานคนอื่นอยู่เรื่อย!

    “ฉันไม่ได้ขอให้แกดื่มสักหน่อย มัตสึริต่างหาก ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!

    “เรื่องของมัตสึริก็คือเรื่องของฉันโว้ย!

    เรียกเสียงโห่ร้องวี้ดวิ้วจากเพื่อนร่วมโต๊ะและรอบข้างที่บังเอิญอยู่ในระยะการได้ยินเป็นอย่างดี จนต้องมีเสียงตะโกนล้อเลียนตามมาให้ได้หัวเราะขัดเขินกันไปข้างเช่นว่า “กรี๊ด! พี่คุโรดะหล่อมากค่า!” “ขอฉันเป็นมัตสึริทีนะค้า!” ที่ดันส่งผลไปยังหนึ่งคนเมามากกว่าสองหนุ่มสาวที่ถูกยั่วล้อ แล้วเอาแต่บ่นอุบอิบคนเดียวด้วยความน้อยอกน้อยใจ ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาโยงไปถึงเรื่องฟ้าดินที่นอกจากจะฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็ไม่มีใครสนใจจะฟัง ขณะเทเบียร์ดื่มเบียร์ไปแก้วแล้วแก้วเล่าจนหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ก่อนฟุบหลับคาโต๊ะไปเป็นคนแรกของสมาชิกห้องบีตั้งแต่หัวค่ำให้เป็นที่น่าอเนจอนาถใจยิ่งขึ้นไปอีก ในตอนที่ถูกพวกผู้ชายเอาปากกาเมจิกมาเขียนเติมหน้าใส่คำลามกบนหน้าผากกันเป็นที่สนุกสนาน จนอดที่จะคิดถึงเรื่องราวในคืนเตรียมงานวัฒนธรรมของชั้นปีที่สองขึ้นมาไม่ได้

    แม้อาจเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจนักในการถูกครูนากามูระลงโทษให้ทำความสะอาดโรงเรียนกันยกห้องหลังงานเลิก แถมยังต้องคัดคำสารภาพกันจนมือหงิกตลอดทั้งอาทิตย์ ต้นสายปลายเหตุเป็นเพราะพวกผู้ชายเฮี้ยวๆ ที่แอบโกงอายุไปซื้อเหล้ากันมาดื่มตอนนัดทำซุ้มถึงดึกดื่นที่โรงเรียน แล้วชวนกันดื่มเหล้าสาบานยกห้อง พาโลแกล้งเพื่อนที่เมาพับไปทั้งชายหญิงไม่มีเกี่ยงด้วยวิธีการเดียวกันนี้เองอีก แต่ความสนุกสนานที่เจือมากับความทุกข์ยากหลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคนได้ง่ายๆ เลย

    “ไง มัตสึริ”

    เช่นเดียวกับความทรงจำในค่ำคืนนั้นต่อคุโรดะ โคกิ

    “อื้อ คุโรดะ”

    ที่เธอยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดี

     

     

    มีบันไดวนที่เชื่อมขึ้นไปยังชั้นลอยก่อนทางเดินขึ้นไปยังพื้นยกระดับกับโซฟานุ่มสบายที่ยังคงถูกจับจองด้วยกลุ่มสาวๆ กับไทโชและอุกิโช ซึ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันครื้นเครงสมประสาหนุ่มสาวสุขภาพดีไม่ได้หยุด ขณะเพื่อนร่วมห้องที่ขึ้นมายังชั้นลอยที่ค่อนข้างบางตานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่พูดคุยกันด้วยเรื่องจริงจัง ไม่ก็คู่รักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ทั้งที่ไม่ได้อยู่ห่างจากกันสักเท่าใดนัก หากพื้นที่ไม่กว้างขวางบนชั้นลอยที่มีดวงไฟเพียงสลัวก็แทบจะแตกต่างจากบาร์ชั้นล่างที่เสียงอึกทึกแว่วลอยมาได้ตลอดจนเกือบเรียกว่าอย่างสิ้นเชิง คงเพราะคำสั่งประกาศิตของรองหัวหน้าห้องสุดโหดอย่างทาจิบานะ อายูที่ขอความร่วมมือในการแยกพื้นที่ทั้งสองโซนเอาไว้อย่างชัดเจน จึงยากที่ใครจะกล้าลองดี แม้อดีตเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนที่ใกล้เคียงกับการเป็นเป้าหมายให้ได้ล้อเลียนของหมู่ผองเพื่อนที่สุดจะขึ้นไปร่วมใช้พื้นที่ของโซนเงียบก็ยังสามารถสุขกายสบายใจได้อยู่ ถึงกับมัตสึริแล้ว สถานการณ์นี้อาจเรียกได้ว่ากระอักกระอ่วนใจนิดหน่อย ยิ่งความเงียบงันกับเพื่อนชายฝั่งตรงกันข้ามที่ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมาเมื่อจับจ้องมองมาที่เธอ แต่ครั้งไหนๆ ก็เป็นต้องไปจบลงที่แก้วเบียร์ซึ่งเจ้าตัวจะยกแก้วขึ้นแตะขอบปากดื่ม แล้วปิดปากเงียบเหมือนเดิมเสียทุกทีไป

    เช่นเดียวกับมัตสึริที่นั่งคนหลอดกับสไปรท์และน้ำแข็งที่เหลือติดก้นแก้วไปมา ด้วยไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าหรือว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาดีหรือไม่

    ขณะที่เส้นความคิดหมุนวนคนไป น้ำสีใสในแก้วก็พลันเอ่อขึ้นตามระดับ ไม่ทันให้มัตสึริได้ว่าอะไรนอกไปจากคำอุทาน เขาก็ชิงขยับริมฝีปาก เอ่ยคำพูดออกมาเสียก่อนในที่สุดว่า

    “เรื่องตอนนั้นน่ะ ขอโทษนะ”

    “มันตั้งหกปีแล้ว แล้วคุโรดะก็ไม่ผิดสักหน่อย ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ” โบกไม้โบกมือเสริมรับคำพูดของตัวเองเป็นพัลวัน “แต่ว่า...คุโรดะไม่ได้โกรธฉันจริงๆ ใช่ไหม?”

    “แล้วฉันจะโกรธมัตสึริไปทำไม”

    เธอยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้ยิน ก่อนยกแก้วใสขึ้นมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จิบน้ำผ่านหลอดไปอึกหนึ่งแล้วจึงส่งคำถามไถ่ยาวเหยียด

    “แล้วตอนนี้คุโรดะเป็นยังไงบ้าง? ทำงานอะไรอยู่? ได้ข่าวว่าย้ายไปอยู่ที่ฟุกุโอกะใช่ไหม? หรือว่าตอนนี้กลับมาที่โตเกียวแล้ว?” จากน้ำเสียงเจื้อยแจ้วอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดูเหมือนว่าจะยังคงทำให้เขามีรอยยิ้มได้เหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอ

    “บอกเรื่องของเธอมาก่อนสิ”

    “ของฉันเหรอ? ตอนนี้ฉันทำงานเป็นคอลัมนิสต์อยู่ที่นิตยสารพลูมกับไทโชอยู่ ถึงจะไม่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมห้องทุกคนแบบนี้ แต่ทุกๆ วันก็สนุกมากเลยนะ”

    “ที่สนุกเพราะไทโชหรือเปล่า?”

    “อย่ามาทำไม่รู้น่า!” กลั้วไปกับเสียงหัวเราะขบขัน ขณะที่คุโรดะกลับได้แต่แสร้งหัวเราะออกมา

    เขารู้ดีว่ามันไม่เกี่ยวกับไทโชมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เขา...แต่หมายถึงเพื่อนร่วมห้องบีเกือบทุกคนเลยต่างหาก เพราะไม่มีใครที่จะคาดคิดถึงความสัมพันธ์เกินเพื่อนของมัตสึริและไทโชที่คบหากันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น แม้ว่าสองเพื่อนซี้จะเริ่มทำตัวแปลกไปจากที่เคยในช่วงชั้นปีที่สองก็ตาม ทุกคนต่างลงความเห็นพ้องกันว่าต้องเป็นเพราะ พิษรัก อย่างแน่นอน หากไม่ว่าจะเค้นคอถามหรือสืบหากันให้ควั่กด้วยความสงสัยใคร่รู้เพียงไหน ก็แทบจะไม่มีใครได้ล่วงรู้ว่าคู่กรณีที่ทั้งมัตสึริและโทชตกหลุมรักนั้นเป็นใครมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

    ขณะย้อนความคิด สายตาของมัตสึริก็มองลงไปเห็นเพื่อนร่วมห้องที่ไม่สนิทกันนักอย่างคิเซคิเดินก้มหัวเข้ามาพร้อมส่งรอยยิ้มเก้อเขินให้แก่คนอื่นๆ ไหนจะความไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเด็กขี้อายจะกลายมาเป็นสาวแฟชั่นดูมั่นอกมั่นใจเหมือนอย่างทุกวันนี้ ก่อนที่หล่อนจะมานั่งคุยกับหัวหน้าห้องอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ อย่างช่วยไม่ได้ที่มัตสึริจะยิ้ม ต่อคำพูดของตัวเองขณะเอนหลังทอดพิงพนักเก้าอี้

    “อืม ไม่ใช่เพราะไทโชหรอก”

    “งั้นก็มีแฟนในบริษัท?”

    “ทำไมถึงไม่คิดว่าเพราะฉันอยู่กับเพื่อนๆ บ้างล่ะ?”

    “อย่างมัตสึริน่ะเหรอจะไม่มีใคร?” อีกครั้งที่เธอจะเปล่งเสียงหัวเราะรวนร่ากับคำของเขา ทว่าจากใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อก็ทำให้เขาแน่ใจในคำตอบของคำถามนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น จนเขานึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองที่พูดจาไม่คิดออกมา ทั้งที่น่าจะรู้อยู่เต็มอก

    “แล้วอย่างคุโรดะล่ะ มีใครหรือยัง?”

    แต่เขาก็เพียงแค่ปิดปากเงียบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เลื่อนเปลี่ยนสายตามองไปยังนอกบานหน้าต่างข้างล่าง ชั่วอึดใจหนึ่งคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ท่ามกลางความเงียบงันจนมัตสึริต้องกัดหลอดด้วยความไม่แน่ใจว่าตนเองทำอะไรผิดไปอีกเช่นนั้น ทันทีที่เสียงโหวกเหวกจากชั้นล่างจะคืบแทรกผ่านขึ้นมายังพื้นที่ชั้นบน กับน้ำเสียงแปดหลอดของคิราริที่ตะโกนก้องว่า

    “เพลงที่ทุกคนกำลังฟังอยู่นี้คือเพลงเนบิวลา ของวงที่ชื่อเนบิวลา ไม่รู้จักกันใช่ไหม? แต่ก็เป็นเพลงที่ดีใช่ไหมล่ะ? ฉันจะบอกว่าวงนี้เป็นวงของไทโช อุกิโช แล้วก็อิการิ โซยะคุงห้องดี ทุกคนช่วยปรบมือดังๆ แล้วก็สนับสนุนผลงานของเพื่อนเราด้วยนะ!”

    หลังจากบทเพลงแจ๊ซถูกแทนที่ด้วยท่วงทำนองเบาสบายจากวงดนตรีที่คนอื่นๆ อาจไม่รู้จัก แต่กับมัตสึริแล้วไม่ใช่ เธอรู้มาตั้งแต่วันแรกที่ไทโชมาบอกเธอที่ทำงานว่าจะฟอร์มวงแจมแบนด์กับเพื่อนสนิทจากอาโอมิเนะทั้งสองคน ทั้งเสียงปรบมือและโห่ร้องให้กับเพื่อนนักดนตรีร่วมห้องทั้งสองคนดังลั่นร้านจนมัตสึริต้องหัวเราะและยกมือขึ้นปรบเบาๆ ร่วมไปกับเพื่อนที่ชั้นล่างด้วยกัน เป็นตอนนั้นเองที่สายตาของเธอจดจ้องลงไป แม้จะเพียงเสี้ยวหน้าที่กระตุกวูบไป หากก็ทำให้คุโรดะหันมองตามสายตาของเธอที่ผลุนผลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

    “ฉันว่าจะไปเอาเครื่องดื่มมาเพิ่ม คุโรดะจะเอาอะไรไหม?”

    เขาสั่นหัว ยิ้มให้กับคำโป้ปดว่า “เดี๋ยวกลับมานะ” และท่าทางที่ไม่ได้เรื่องของเธอคนเดียวลำพัง

    เสียงโหวกเหวกยังคงดังต่อเนื่องมาจากพวกชั้นล่างที่คุโรดะไม่มีแก่ใจอยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ในหัวสมองของเขาครุ่นคิดมาตลอดว่าถ้าตัวเองไม่ได้บังเอิญขึ้นดาดฟ้าไปเจอเธอที่นั่งร้องไห้จนตัวโยนเพราะเรื่องของ คนคนนั้น ในคืนวันเตรียมงานวัฒนธรรม สัมผัสความอ่อนแอผ่านหยาดน้ำตาที่หลั่งรินจากเปลือกนอกที่ทำเป็นว่าเข้มแข็ง และนั่งอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบใจเธอกว่าสองชั่วโมง จนความสัมพันธ์ของเขากับมัตสึริจะขยับเคลื่อนใกล้ให้เป็นที่ล้อเลียนกันสนุกสนาน และถ้าเขาไม่ตัดสินใจสารภาพรักออกไปในตอนดูดอกไม้ไฟช่วงชั้นปีที่สาม ทุกๆ อย่างก็คงจะไม่แปรเปลี่ยนจนยากที่ทุกสิ่งจะหวนคืนสู่จุดๆ เดิมได้อีก...อย่างนั้นใช่ไหม?

    “ไหนๆ ก็บอกทุกคนตรงนี้เลยแล้วกันว่าฉันกลับมาคบกับเอย์มิแล้ว”

    สิ้นเสียงประกาศของอุกิโชที่ผ่านโสตประสาทเข้ามาอย่างชัดแจ้ง สายตาเหม่อลอยของคุโรดะก็จะรีบกวาดหามัตสึริที่ชะงักฝีก้าวค้างขณะกำลังเดินลงบันไดไปชั้นล่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ส่งเสียงทักทายกันเป็นปกติ หากด้วยความพยายามอย่างมากในการเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองเอาไว้...ต่อความลับที่มีเพียงแค่คนสามคนบนโลกที่รู้

    ต่อความรักของเธอ

    ต่ออุกิโช ฮิดากะ

     


    ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก ท่ามกลางเสียงอึงอลของเหล่าอดีตเด็กห้องที่อาจได้ชื่อว่าเป็นนักสังสรรค์ตัวยงที่สุดในหมู่เด็กอาโอมิเนะรุ่นสามสิบหกทั่วบาร์ลา เนชูร์ หลากประเด็นจากกลุ่มหนุ่มสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันนานปะปนจนฟังไม่ได้ศัพท์กันไปหมด แต่กระนั้นทั้งคิเซคิและโคทาโร่ก็ยังคงจับจองที่นั่งตรงเคาน์เตอร์อันมีฉากหลังเป็นความวุ่นวาย ซึ่งขณะนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคน หลังจากโคกิที่รินน้ำโค้กใส่แก้วให้ผู้มาใหม่ตามหน้าที่บาร์เทนเดอร์จำเป็นจะรีบปรี่ออกไปเมื่อเพื่อนของเขามาเรียกได้สักพักใหญ่ๆ ระหว่างที่เขาดูดน้ำผ่านหลอด คิเซคิที่มือยังจับอยู่กับก้านแก้วค็อกเทลก็เพียงทอดมองตรงไปในชั้นวางขวดเหล้าหลากชนิดอย่างเงียบงัน ถ้าเพียงแต่ทุกอย่างจะยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อเจ็ดปีก่อนหน้า เธอก็คงจะถามไถ่และพูดคุยอะไรมากมายกับเขาถึงช่วงเวลาห้าปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันไปแล้ว หรือควรจะต้องบอกว่าถ้าทุกอย่างจะยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อเจ็ดปีก่อนหน้า ระหว่างเธอและเขาก็คงจะไม่ต้องแยกห่างกันไปถึงห้าปีเช่นนี้มากกว่า แม้ว่าโคทาโร่จะยังคงแสดงทีท่าและระบายรอยยิ้มให้แก่เธอในตำแหน่งที่นั่งข้างขวาเช่นดั่งที่เป็นมาจนกลายเป็นความคุ้นชิน หากก็ต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาสุดท้ายขณะนั้น ณ บานหน้าต่างระหว่างห้องสมุดและสระว่ายน้ำในวันจบการศึกษาของพวกเขาได้เลย

    “เป็นยังไงบ้าง?”

    ทั้งสรรพเสียงรอบด้านและการเอาแต่ปล่อยความคิดถึงคนข้างกาย คำตอบจึงมีเพียงความไม่รู้สาให้โคทาโร่ต้องเขย่าไหล่เล็กของเธอเบาๆ จนเผลอตัวผงะถอยไปเล็กน้อย หากเมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็จะรีบแก้ตัวเลิ่กลั่ก เอ่ยปากถามว่า “ม...เมื่อกี้โคทาโร่พูดว่าอะไรนะ?” ที่ดูอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ยิ่งกับเขาที่คอยมองดูและอยู่เคียงข้างเธอเสมอแม้อาจจะเป็นเวลาเพียงแค่สองปี หรือต่อให้เวลาจะผ่านไปห้าปี สิบปี หรืออีกกี่ร้อยปีที่เขาจะได้หวนกลับมาพบกับเธออีกครั้ง แต่โคทาโร่ก็แน่ใจว่าเขารู้จักคิเซคิดีกว่าใครคนไหนบนโลกใบนี้ทั้งนั้น อาจมากกว่าตัวเธอเองที่กำลังสับสนกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจเด็ดขาดเพียงลำพังได้ ถึงความรู้สึกของเขาในวันนั้น ที่จะตีปะทุกลับคืนมาอีกครั้งในวันนี้

    โคทาโร่ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะจบลงแบบนั้น

    ที่นั่งประจำของคิเซคิในห้องสมุดอยู่ตรงริมหน้าต่างที่สามารถเปิดออกไปเห็นสระว่ายน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์วิบวับต้องตาในช่วงฤดูร้อน แม้จะเป็นช่วงเปิดเรียนตามปกติ ก็ไม่ค่อยมีนักเรียนเข้ามาใช้บริการห้องสมุดกันมากนักอยู่ดี เด็กสาวที่สนิทสนมกับอาจารย์ประจำห้องสมุดจนถึงขั้นช่วยดูแลงานแทนได้จึงมีอภิสิทธิ์เหนือนักเรียนคนใดในบานหน้าต่างกรอบใหญ่นี้ ในช่วงที่ไม่มีใครมาใช้สระว่ายน้ำทั้งตอนพักหรือหลังเลิกเรียน เธอก็จะเปิดบานหน้าต่างออกไป แล้วนั่งเหม่อมองสระว่ายน้ำที่เป็นประกายคนเดียวกับลมเย็นสบายที่พัดโพยมาอย่างมีความสุข คิเซคิไม่ได้ชอบเรื่องของการกีฬา ว่ายน้ำหรือก็ไม่เป็น แต่ชอบกลิ่นคลอรีนที่เข้ากับกลิ่นกระดาษของหน้าหนังสือจนมักจะผล็อยหลับไปในวันที่อากาศดี ล่วงถึงเวลาปิดห้องสมุดอยู่บ่อยครั้ง และเขาก็เป็นต้องแอบเอื้อมมือเข้ามาปัดเส้นผมที่ปรกบังใบหน้าเธอไม่จากที่นั่งด้านขวา ก็จากฝั่งของสระว่ายน้ำที่เขาสังกัดชมรมอยู่ พลางมองใบหน้าตอนนอนหลับโดยที่เธอไม่รู้ตัวไม่รู้เบื่อ นั่นเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่โคทาโร่ชอบมากที่สุด

    ในตอนนั้น โคทาโร่หลงคิดไปว่าตัวเองเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคิเซคิที่อยู่คนเดียวมาตลอด เพราะเมื่อมีเขา ทุกคนก็เริ่มมองเด็กหลังห้องที่เคยอึมครึมในแง่ดีกันมากขึ้น และยอมรับได้ในที่สุดว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องบีคนสำคัญเฉกเช่นเดียวกัน จากคนที่ไม่ยอมจ้องหน้าแม้ในเวลาที่เขาพูดด้วย ถามคำก็ตอบคำ แทบจะไม่ปริปากพูดจาหรือหัวเราะชวนหัวกับใครในห้องถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ทว่าท่าทีเหล่านั้นของเธอกลับสะกิดใจเขาด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่อยากปล่อยให้ใครต้องอยู่คนเดียวเหมือนอย่างที่เขาเคยเผชิญในช่วงชั้นมัธยมต้นเนื่องจากต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ แม้ใครๆ จะไม่เชื่อในความพยายามของเขาที่ไม่สมควรนำมาใช้กับ คนคนนี้ แต่เมื่อโคทาโร่ได้มองเห็นรอยยิ้มแรกของเธอและคำขอบคุณที่ส่งผ่านบานหน้าต่างระหว่างห้องสมุดกับสระว่ายน้ำตอนหลังเลิกชมรมวันพุธในสัปดาห์ที่สี่ เขาก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่ทุกคนคิดล้วนผิดทั้งเพ

    ระยะห่างระหว่างบานหน้าต่างและที่ว่างของโต๊ะเรียนค่อยเขยิบเข้ามาชิดใกล้กันมากขึ้น พวกเขาแลกเปลี่ยนคำว่า “ชอบ” ให้แก่กัน ถึงแม้ว่าสำหรับคิเซคิ มันอาจเป็นเพราะว่าเธอไม่เคยมีใครที่อยู่เคียงข้างและเข้าอกเข้าใจพอที่จะเปิดใจให้ได้มาก่อนในชีวิต แต่โคทาโร่รู้มาตลอดว่าสิ่งที่แสดงออกไปไม่ใช่แค่ความเป็นเพื่อนสนิทอย่างที่ปากว่า มีหลายครั้งที่ได้รับคำถามแสดงความสงสัยเช่นว่า “ทั้งสองคนเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ แน่เหรอ?” และพวกเขาก็จะปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นด้วยเสียงหัวเราะและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่มองสบกันอยู่ร่ำไป ไม่นาน มันก็ได้กลายเป็นเรื่องปกติสามัญของห้องบีไม่ต่างจากเรื่องพิลึกพิลั่นของอุกิโช ฮิดากะ และคายาชิมะ เอย์มิ จนดูเหมือนจะมีคำกล่าวที่ว่า “สิ่งใดๆ ก็ล้วนเป็นไปได้ภายในห้องบี”

    แม้เขาจะรู้ว่าสายตาของคิเซคิเอาแต่คอยจับจ้องมองใครอีกคนอยู่เสมอ โดยที่มันเป็นเรื่องเดียวซึ่งเธอไม่เคยพูดและเขาก็ไม่เคยถาม หากความรู้สึกที่ไม่ได้รับการตอบสนองมากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมห้องและคู่ทำรายงานในวิชาดาราศาสตร์ ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดให้โคทาโร่ต้องนึกกังวล

    เขาจึงกล้าสารภาพกับเธอด้วยคำพูดอันแสนเรียบง่ายว่า

    “คบกับฉันนะ”

    ท่ามกลางความเงียบงันและสายตาที่มองจ้องมา ไม่จำเป็นที่เธอต้องเอ่ยถ้อยใด เขาก็รับรู้ถึงคำตอบ

    ถ้าคำตอบคือ “ใช่” เขาจะไม่มีวันขึ้นเครื่องตามครอบครัวไปฮาวายในคืนนั้นทันทีโดยไม่บอกกล่าวหรือบอกลาเธอแม้แต่คำเดียว เหตุผลของการเร่งเวลากลับญี่ปุ่นทั้งที่ควรจะเป็นช่วงกลางปีก็เพียงเพื่อหวังจะได้กลับมาหาเธอในงานรวมรุ่นนี้อีกครั้ง ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยลืมเลือนเรื่องราวในช่วงเวลานั้นได้เลยแม้สักวัน ทุกครั้งที่ความทรงจำหวนย้อนกลับไปหา เขาก็มองเห็นตัวเองที่เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะทำความเข้าใจต่อหัวใจของคิเซคิ และทอดทิ้งคนที่คอยมอบความรักให้แก่เขาตลอดมาได้อย่างลงคอ

    ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าการต้องกลับไปยืนหยัดด้วยตัวเองคนเดียวอีกครั้งหลังจากการมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง มันเป็นเรื่องที่สาหัสมากเพียงไร

    “ขอโทษนะ โคทาโร่ ฉันขอโทษจริงๆ”

    แต่กลับเป็นคิเซคิที่กดก้มหัวตัวเองและกล่าวคำที่ติดค้างอยู่ข้างในอกของเขาราวตอกย้ำเจตนาให้ชัดแจ้ง ซึ่งไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น หัวใจที่กระทำความผิดบาปต่อคนตรงหน้ากลับได้แต่ปวดหนึบ เธอพร่ำคำขอโทษให้แก่เขาอีกครั้งและอีกครั้งด้วยใบหน้าที่หลุบต่ำ น้ำเสียงที่คล้ายกับว่าพยายามจะปกปิดความรู้สึกซ่อนเร้น เพราะรู้...เขาถึงอยากเป็นฝ่ายพูดคำนั้นเองมากกว่า หากไม่ทันจะได้เอื้อมมือออกไป โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะของเธอก็จะกะพริบแสดงสายเรียกเข้าของรายชื่อและรูปภาพของคนที่เขาไม่เคยเห็นได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เธอก้มหัวส่งคำขอโทษอีกครั้ง แล้วจึงฉวยคว้า ก้มหน้าก้มตาแทรกผ่านกลุ่มเพื่อนฝูงออกไปข้างนอกร้านอย่างรวดเร็ว

    แล้วยังจะหวังอะไรได้อีก

    “ลืมมันซะเถอะ”

    ในเมื่อเขาเป็นคนพูดมันเองแท้ๆ

     








     

    2024年08月10日
    ______________
     ไม่เคยมีความคิดว่าจะเอามาลงใหม่เพราะก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนตอนช่องสปันจ์บ็อบโลฟายลงคลิปนี้แล้วกูก็ชี้ให้มึงดูว่า เฮ้ย! เหมือนภาพคอมมิชฟิคกู! แต่ตอนนั้นก็แค่แอบลังเล เพราะอย่างที่ได้เขียนไปว่าก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก กระทั่งกูย้อนกลับไปอ่านอีกทีแล้วก็ เฮ้ย! เขาก็ชอบดาวเหมือนกันสินะ! เรื่องนี้หรือเปล่าคือจุดเริ่มต้นของการประกาศให้โลกรู้ว่ากูชอบดวงดาว เพราะเขาก็ชอบดาวเหมือนกันจริงๆ ค่ะ We're gonna be a star ค่ะ กุมใจ
     สมัยที่ลงเมื่อสี่ปีก่อนก็เลือกสามคนที่เป็นเมนมาหมดเลย อึ้งตรงสมัยนั้นกูเคยชอบนาโอะขนาดติดท๊อป 3 เลยนะ ได้ไงวะ ถ้าไม่ไปเล่นซีรีส์วายกูคงไม่เทหรอก 55555 คิดถึงยุคสโตนสโนว์ทราจาเหมือนกันเนาะ ตอนนั้นเหมือนสามวงนี้ยังดูสนิทกัน เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน เราที่ไม่ได้อยากเปลี่ยนก็ยังต้องเปลี่ยน T_T / ทีแรกนางเอกกูต้องผมชมพูจะได้เหมือนแพทริค เพราะมึงทองเป็นสปันจ์บ็อบง่ะ แต่วงที่ตามกูแตกกูหายหลายแล้วแม่มึง ฮวีซอนี่รักมากแต่ก็ยังไม่เปิงใจ ฮารัมทสึกิก็เบื่อๆๆ คนเดียวที่ใช่สุดคือนากยองแต่ก็เป็นนางเอกเวอร์ต้นฉบับไปแล้ว กูเส้ามาก เลยเลือกนางเอกคู่เดิมกับเรื่องแคมป์กราวนด์มาแล้วกัน U_U / ขอบคุณชื่อนามสกุลทั้งยวงจากบทของไทเซย์ในเรื่องไซตามะโฮสต์ เพราะมีคำว่าอิวะแล้วหนึ่ง และสอง เพราะเห็นมึงใช้ว่ามัตสึริ กูเลยอยากได้ชื่อที่มีคำแปลง่ายๆ ด้วย และเพราะเพลงของบชนก็มีชื่อคิเซคิฯ วู้ววว / ชื่อบริษัททั้งหมดที่ยังอยู่เหมือนเดิมเพราะกูขี้เกียจคิดใหม่แล้ว เอาง่ายๆ ว่าแค่เปลี่ยนชื่อกับเกลาคำให้มันหายเยิ่นเย้อ(ไม่หายเลย)อีกนิดหน่อย แต่ทุกอย่างเหมือนเดิมเกือบหมด ชื่อตัวประกอบยังเหมือนเดิมเล้ย ไม่อ่านก็ได้ ไม่ถือว่าพลาดอะไรไปจ้า
     แต่พอมารุ่นนี้จะบอกว่าเป็นเมนสามหมดก็ไม่เต็มปาก เพราะเอาจริงกูมีเมนเดียว 55555 แต่สามคนนี้ก็เป็นสามคนที่ชอบที่สุด ณ ตอนนี้ วินาทีนี้แล้วจริง / เอาจริงตอนแรกบทไทโชต้องเป็นโคทาโร่ที่ได้บทอุมิเดิม ในบทอยู่ชมรมว่ายน้ำด้วยอ่ะ ครทรต้องเทนนิสเนาะ T_T แต่คนที่ชอบดวงดาวเหมือนกันไม่ใช่คนนี้เลยต้องจำใจ แต่พอแปลงลงก็อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด ชอบมาก บทก็หล่อมาก เพราะบทนี้คือพระเอกตัวจริงไง ถือว่าคอมพลีตที่ได้ไปดูดาวกับเค้าแล้วค่ะ / ส่วนอุกิโชบทเจสสี้เดิมนี่ก็เป๊ะเลย โดยเฉพาะซีนไม่ชอบนางเอกกู ฮ่าๆๆ / บทคุโระลงกับเก็นตะเดิมที่จกตาหมด เพราะบทแสนดีมาก สมัยโน้นกูก็เขียนว่าเก็นตะแสนดีมาก เหอๆๆ อะไรบังตากูนิ / ส่วนโยชิตอนแรกกูคิดไม่ออกว่าจะเอาใคร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกูลืมว่ามีพี่โยซิสแตมป์ งับ / ส่วนที่มาที่ไปอยู่ในทอล์คเดิมหมด ไปหาอ่านเอง บอกแล้วว่าไม่ได้แปลงเพราะเกลียดวงเก่าหรืออยากลบภาพอะไร กูแปลงแค่เพราะอยากแปลงเฉยๆ ไม่ลบฟิคเก่าด้วย เห็นป่ะ
     แต่นอกจากเพลงเนบิวลาอันเป็นแรงบันดาลใจใหญ่หลวงของฟิคเรื่องนี้และเป็นหนึ่งในเพลงที่กูรักที่สุดในโลกแล้ว ก็ขอเปลี่ยนจากมูมูนทั้งหมด (ที่ก็รักมากๆๆ วงเมื่อสิบปีก่อนของเราที่แท้จริง) ไปเป็นวงอินดี้ที่กูชอบแทนแล้วกัน / เพราะนางเอกต้องฟังวงที่พระเอกชอบ ขอบคุณฟ้าดินที่ไทโชยังมีเพลงอินดี้ให้ยิ้มได้ แล้วมันจะเป็นเพลงอะไรได้นอกจากไคจูฯ >_< / แต่ต้องขอจริงๆ ที่เลือกเพลงโคจังไม่ใช่อินดี้ เพราะกูนึกได้ว่าที่มาของฉากดูดาวมาจากไลฟ์แอคชั่นเรื่องมิไรนิกกิที่โคจังร้องเพลงประกอบ (และกูก็รักเพลงอนาเทอร์เวิลด์มากๆๆๆ) ตอนไปดูในเพลงที่ไลค์ก็เอ้า เจอเพลงวิชที่รักมากๆๆ ชอบบรรยากาศมากๆๆ ก็เลยยกให้ซีนดูดาวของคู่ไทโชไป ดีใจมากๆ รักมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็ได้เอามาลงฟิคแปลงในฉากที่รักแล้วนะ มัม ไอเม้ดอิท! T_T / ส่วนไฟฟ์นิวโอลด์เพลงนี้คุ้นๆ หมือนเอาไปลงฟิคอินดี้สักเรื่องแล้ว แต่ไม่ค่อยจำเพราะเห่ยหมด ละเอาจริงนี่ไม่ใช่วงอินดี้ที่กูชอบมากด้วยนะ แต่กดฟังทีไรเจอเพลงที่ชอบทุกที (มิจิเอดะก็ฟังวงนี้โว้ยยย มาแน่ ต้องมาแน่!!!) ไม่รู้ตอนนั้นกูเขียนว่าชอบเพลงนี้ไหม แต่ตอนนี้นี่แหละคือหนึ่งในเพลงที่รักที่สุดของวงนี้แล้ว บรรยากาศโคตรรๆๆๆ ดี เข้ากับซีนของคุโระมัตสึริมากๆๆๆๆ โอ๊ย ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากแต่งฉากในบาร์ เพลงนี้ คู่นี้ สักเรื่องเลยโว้ยยย มาแน่ ต้องมาแน่!!! / ส่วนเพลงของชีส์เพราะกูนึกได้ว่าเป็นวงโอซาก้า=พระเอกโอซาก้า ละนี่คือเพลงอันดับสองของวงที่กูรักมากๆๆๆ (รองจากทูไนท์ที่ยังไม่เคยใช้) จริงๆ มันคือเพลงขอแต่งงานเลยมั้งเนี่ย แต่ชอบบรรยากาศมากๆๆ เข้ากับฉากที่โรงเรียนของคู่นี้มากๆๆ น่ารักมากๆๆ กูชอบคิโยฮาระ โชเพราะดูเอ็มวีนี้เลยเหอะ ฟิวแฟน
     พอย้อนอ่านแล้วรำลึกเลยว่านี่คือฟิครวมฉากที่ชอบที่สุดจากหนังละครการ์ตูนญี่ปุ่นสมัยนั้นมาหมดแล้วมั้งวะ ทั้งดูดาว งานเลี้ยงรุ่น นั่งคุยกันบนดาดฟ้าตอนเตรียมงานวัฒนธรรม ห้องสมุดข้างสระว่ายน้ำ ท่าจะชอบมากจริง เอาจริงตอนนี้ก็ยังชอบมากอยู่ TvT / ละดูดิ 7k ไม่รวมบทนำของนางเอกสองคนยังไปไม่ถึงไหนเลย สมัยที่แต่งฟิคสั้นไม่เป็นแล้วต้องยัดคนที่ชอบตอนนั้นลงให้หมด อยากให้เป็นพระเอกหมดนี่มันบ้าบอดีแท้ / ว่าไปทำไมพอแปลงลงเวอร์นี้กูชอบบทไทโชกับคุโรดะมากเลยวะ งง ตอนเป็นไทกะกับเก็นตะคือเฉยๆ หรือเพราะเพลงพาไป ละทำไมบทโคทาโร่ที่กูเคยรักมากขนาดแปลงให้อุมิถึงไม่ชอบเลย หรือเพราะวัยที่เปลี่ยนไป โอ๊ย งง ส่วนบทอุกิโยชิอิสเสจับมัดรวมกันแล้วทิ้งไปเลยจ้าาา
     กูไปย้อนอ่านฟิคเก่าๆ แล้วมึงรู้ป่ะ กูเคยแต่งฟิครวมรุ่นที่ร้านแบบนี้มาแล้วทั้งหมด 5-6 เวอร์ชั่น พัง! ยับ! ห่วยแตกหมด! มีเรื่องนี้ดีสุดแล้ว แต่ก็ยัง... / โควต้าเมมเบอร์ในวงพระเอกต้องมาเป็นตัวประกอบวงละคน เลยได้ลูกน้องสีม่วงอัญชันมะนาว ฟูกะ เคน โคกิ ด้วยประการฉะนี้ (มาเจนต้านับเป็นม่วงไหม) / โอ๊ะ วันนี้บีทูบไปดูวิวสูง 300m 
     ปล. แอบเอาภาพคอมมิชเก่าจากคุณ myunmelt มาลงด้วย อิอิ เพราะมีสปันจ์บ็อบกับดวงดาวจริง ไม่จกตา เห็นบ่ ขนาดเป็นรูปนางเอกในเวอร์เก่า แต่เอามาลงกับเวอร์นี้สีผมก็ดันเป๊ะว่ะ เว่อร์เนาะ
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×