ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #31 : TOM (or) BOY - 29 [END]

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 55


      TOM (or) BOY  

    29

     

     

     

     

     

                คืนวันเสาร์ อาหารมื้อสามัญประจำบ้านของครอบครัวเพียงพอกลับมาอีกครั้ง  สมาชิกในบ้านพร้อมหน้าหลังจากที่วันธรรมดาทุกคนล้วนมีกิจกรรมของตนเอง  แม่เต่าเพิ่งกลับจากสัมมนา ในขณะที่น้องๆ ก็เพิ่งกลับจากเรียนพิเศษได้ไม่นาน

                สุกี้โฮมเมดตรงหน้ายังคงเป็นอาหารง่ายๆ แต่เอร็ดอร่อย ลูกชายคนกลางเทผักใส่หม้อทีเดียวทั้งกระบุง ลูกสาวก็คีบเนื้อสัตว์ใส่ตามมา ในขณะที่คุณแม่คอยดูหม้อต้มให้ไฟกำลังพอดี โดยมีคุณพ่อนั่งมองยิ้มๆ

                ขาดก็แต่พ่อลูกชายคนโตนี่แหละ เผลอเป็นต้องชะเง้อออกไปด้านนอกทุกที อาการแบบนี้ ทั้งบ้านเริ่มจะพอเดาได้ว่าเพราะอะไรและเพราะใคร

                โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นในจังหวะนั้นทำให้มือหนาผละจากช้อนแทบจะทันทีราวกับรอมานาน นิ้วกดปุ่มรับสายพลางเดินออกไป

                “มาช้า...”  เต๋าพูดขณะไขกุญแจเปิดประตูบ้านให้อีกคน  “ไปกินข้าวเร็ว กำลังกินกันอยู่เลย”

                “เรากินมาแล้วอะ”  คชาตอบเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย  “พวกเฟรมชวนพอดีเลยกินมาก่อน”

                คนฟังชะงักไปเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น นิ่งเพียงครู่เดียวก็ยกมือขยี้ศีรษะอีกฝ่าย...ยังไม่ทันโกรธอะไรเลย แต่ดูคชากลับทำหน้าตารู้สึกผิดได้น่าเอ็นดูนัก  “ก็ไม่ได้ว่าอะไร... เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”

     
     

                สมาชิกคนที่หกของบ้านเพียงพอนั่งลงข้างๆ ลูกชายคนโต มีชามใบเล็กวางตรงหน้าพอเป็นพิธี  แม้ตามจริงจะกินมาแล้ว แต่พออีกคนที่อยู่ใกล้หม้อกว่าตักอะไรมาให้ก็กินอยู่ดี

                “วันนี้ไปไหนมาจ๊ะคชา?”  แม่เต่าถามอีกคนที่เพิ่งเข้ามา เป็นปกติแล้วที่คชาจะมาที่นี่ เห็นจากภาพแล้วก็รู้ดีว่าเพราะลูกชายของเธอเองไม่ใช่เพราะใคร

                “ไปทำรายงานมาครับ”  คชาว่า  “ช่วงนี้ส่งงานเยอะ ใกล้จะปิดเทอมแล้ว”

                แม่เต่าไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น ประเด็นเดิมจบลงกลายเป็นเรื่องของลูกชายคนรองและลูกสาวที่ยังอยู่ในวัยมัธยมแทน ชีวิตในรั้วโรงเรียนในเมืองกรุงดูโลดโผนเอาการ

                “มีสาวๆ มาติดพี่เต๋อด้วยล่ะพ่อ ต๋อเห็นขนมในล็อกเกอร์เต็มเลย ได้ยินว่าเขาทะเลาะกันแย่งพี่เต๋อด้วย”  น้องสาวแก้มยุ้ยเล่าอย่างออกรส พี่ชายคนรองจึงพูดขึ้นบ้าง

                “ต๋อก็ชอบมาส่องนักบาสโรงเรียนเนอะ ให้กลับก่อนก็ไม่เอา” 

    “ต๋อไม่ได้ชอบพวกพี่เขาแบบนั้นสักหน่อย พี่เต๋อไม่รู้อะไร”  น้องสาวเถียงกลับ มีประกายกรุ้มกริ่มในแววตา

    บทสนทนาของพี่ชายคนรองกับน้องสาวว่ากันต่อไปไม่นาน ประเด็นก็เปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องปิดเทอมที่จะมาถึงแทน เต๋อที่ได้โอกาสก็ขออนุญาตพ่อแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ  ส่วนต๋อบ่นกระปอดกระแปดเพราะตนต้องไปเรียนพิเศษอีกเหมือนเดิม

    “ว่าแต่เดี๋ยวคชาก็ปิดเทอมแล้วใช่ไหม”  พ่อต๋อยวกมาที่เพื่อนสนิท(?)ลูกชายที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานสองนาน  “แล้ววางแผนจะทำอะไร?”

    “คงกลับบ้านน่ะครับ แม่ก็ถามอยู่เรื่อยว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอม”  คชาว่ายิ้มๆ

    อาหารมื้อนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกครั้ง เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวเพียงพอ  แม้ลูกแต่ละคนจะมีความชอบและนิสัยต่างกัน แสบซนกันบ้างตามประสาวัยคะนอง แต่เพราะพื้นฐานครอบครัวล้วนทำให้ทุกคนเติบโตเป็นเด็กดี

                เด็กบ้านนอกเพียงคนเดียวในนี้ เลยอดจะมีความสุขตามไปด้วยไม่ได้

                “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ พ่อต๋อยแม่เต่า”

               

     

                บนห้องนอนสีขาว คชานั่งพักบนพื้นปาร์เกต์พิงหลังกับขอบเตียง  มือหยิบหนังสืออ่านเล่นเล่มบางมาเปิดอ่านไปอย่างไม่จริงจังนัก เอนศีรษะกับหน้าขาคนที่นั่งอยู่บนเตียง

                มือหนาลูบเส้นผมอีกคนแผ่วเบา เอ่ยถามเรียบๆ  “คิดถึงบ้านไหม?”

                คชาละสายตาจากบนหน้ากระดาษช้อนมองใบหน้าอีกคน ตอบตรงๆ ออกมา  “คิดถึงทุกวันแหละ...ไม่ได้กลับบ้านตอนกลางเทอมเหมือนคนอื่นเลย”

                แก้มที่พองลมน้อยๆ ทำเอาคนมองอมยิ้ม ยื่นนิ้วมาจิ้มให้ใบหน้าหวานพ่นลมออก

                “เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว”  เต๋าปลอบ  “อีกสามอาทิตย์เอง”

                “นั่นสิ... อีกสามอาทิตย์เอง”  คชาว่าลอยๆ ...สามอาทิตย์ที่ว่าดูยาวนานเมื่อเทียบกับความคิดถึง หากในขณะเดียวกัน มันกลับไม่นานเมื่อรู้ว่านั่นคือเวลาที่ได้อยู่กับอีกคน

                “ไม่ต้องเหงานะ พ่อแม่เราก็คือพ่อแม่คชา น้องเราก็คือน้องคชา”  มือหนาปัดเส้นผมที่ปรกตาอีกคนออก  มองตากันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

                “บ้านเราก็บ้านคชา เตียงเราก็เตียงคชา”  ว่าแล้วก็ดึงตัวอีกคนขึ้นมานั่งด้วยกันบนเตียงนอนนุ่ม ดึงหนังสือเล่มบางออกจากมืออีกคน  “หนังสือเราก็หนังสือคชา ของของเราก็ของคชาเข้าใจไหม?”

                คำพูดเรียบง่ายแต่กินใจทำเอาอีกคนรู้สึกขัดเขินเล็กๆ  ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางเบา  “อย่างนี้แสดงว่าเต๋ากับคชาคือคนเดียวกันรึเปล่า? อะไรที่เป็นของเต๋าเป็นของคชาหมดเลยเนอะ ฮะๆๆ”  เสียงใสเอ่ยติดตลกแก้เก้อ แววตายิ้มได้ถูกส่งไปหาอีกคน

                หากแววตาคู่คมกลับสะท้อนความมุ่งมั่นแน่วแน่กลับคืนมา...

                “ใช่ครับ เต๋ากับคชาเป็นคนคนเดียวกัน”

                ไม่พูดเปล่า... ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้  ประทับรอยจูบบนหน้าผากมน ไม่รีบร้อน ไม่เชื่องช้า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะเวลาของมัน  ก่อนริมฝีปากนั้นจะฝากความหอมหวานไว้บนกลีบปากได้รูปที่เผยอรับแต่โดยดี โดยมีหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันราวกับจะเป็นประจักษ์พยาน

                มือหนาประคองใบหน้าอีกคนไว้ไม่ห่าง มืออีกข้างสัมผัสแก้มใสอย่างทะนุถนอม ปัดไรผมออกบนใบหน้านวลพลางยิ้มมองคนรักของตน

                ไม่รู้เป็นเพราะเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อส่วนไหนที่ทำเอาคชาหุบยิ้มไม่ลง  แก้มขึ้นสีจางๆ เพราะเพียงแววตาหวานเชื่อมที่มองมามันมีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด

                แววตาคู่นั้น บอกชี้ชัดยิ่งกว่าคำรักไหนๆ

              หน้าต่างของหัวใจบานนี้ สะท้อนเพียงภาพของเขาเท่านั้น

              ริมฝีปากบางค่อยๆ ประกบจูบตอบอีกคนอย่างเชื่องช้า แม้จะดูขัดเขินเงอะงะไปบ้างที่เริ่มก่อนหากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย  แผ่นหลังค่อยๆ นาบลงบนเตียงนุ่ม โดยมีอีกคนที่ทาบทับลงมา

    หัวใจเต้นสะท้าน ถี่รัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ  อารมณ์ที่เริ่มพุ่งพล่านตามสภาพร่างกายทำให้คชานึกกลัวสภาพต่อจากนี้

    “เต๋า...”  คชาเรียกชื่อเสียงแผ่ว แววตาทั้งไหวหวั่นหากแต่ก็ลังเล ตอนนี้คชาทั้งตื่นเต้นตกใจคิดอะไรไม่ออก เหมือนถูกเสกให้หยุดนิ่งไปไหนไม่ได้  สภาวะอันตรายปรากฏขึ้นอีกหลังจากครานั้น หากแต่คชากลับใจหวิวที่สุดในครั้งนี้

    ไม่อยากสารภาพเลยว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งไปหาข้อมูลเรื่องแบบนี้มา แล้วก็พบว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิดจริง

    ตาประสานตา ใจประสานใจ...นัยน์ตาคู่นั้นของเต๋าเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หากแต่ในที่สุดมันก็ค่อยอ่อนลงเรื่อยๆ

    “กลัวหรอ?”  เป็นครั้งแรกที่เต๋าถามเรื่องนี้ออกมา และคชาก็พยักหน้าตอบซื่อๆ กลับไปเช่นกัน

    ลืมไปแล้วว่าเคยตีเนียนเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน แต่ถึงตอนนี้ก็คงแก้ตัวไม่ทัน

    เต๋ายิ้มบาง มองลูกแกะตัวน้อยที่นอนตัวสั่น ในสถานการณ์นี้ไม่ยากที่จะทำให้คชาคล้อยตาม หากแต่เขากลับนึกอยากให้เป็นไปด้วยความยินดีพร้อมใจ

    อีกอย่างนึง...เห็นแบบนี้แล้วเขาไม่อยากทำลายความบริสุทธิ์สดใสแบบนี้เลย

    มือหนาค่อยๆ ปัดผมที่ปรกหน้าผากออก มอบจูบบางเบาแต่หวานฉ่ำทิ้งท้าย  น้ำตาลใกล้มด อยากจะอดใจไหว หากแต่คงต้องทำ

    “คราวหลังไม่ปล่อยไว้แล้วนะ”  เต๋าว่าก่อนจะละออกมา คำพูดนั้นทำเอาอีกฝ่ายคืนสติกลับมาอีกครั้งก่อน คชากะพริบตามองอีกฝ่ายปริบๆ แล้วจึงค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอกเป็นปลิดทิ้ง

    ร่างเล็กคลี่ยิ้มบางเบาให้อีกฝ่ายอย่างใจชื้น ค่อยๆ ยันตัวขึ้นมานั่งเหมือนเดิม  ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีเหมือนยังไม่สิ้นสุดเท่านี้

    “แต่ของขึ้นแล้ว...ชาจะรับผิดชอบยังไงดี?”

    ได้ยินเท่านั้นสีหน้าคนฟังก็หน้าร้อนฉ่า ประกอบกับหลักฐานที่เห็นเต็มตาทำเอาอยากจะมุดหน้าหนี  ภายใต้กางเกงนอนตัวนั้นมีบางอย่างผิดปกติมากเกินไป

    มาก...จนคชารู้สึกดีใจ ที่ไม่เกิดบทรัก 18+ ขึ้นมาจริงๆ

    ใบหน้าของเต๋าดูกำลังอดกลั้นอย่างบอกไม่ถูก สายตาคู่นั้นมองมาอย่างวาบหวาม ก่อนจะเปล่งเสียงทุ้มมีเสน่ห์ออกมา

    “ช่วยหน่อยสิชา... ใช้มือก็ยังดี”

    อย่านะเต๋า...

    “นะครับ...จะไม่ไหวแล้ว”

    อย่าทำ...สีหน้าอ้อนวอนแบบนี้

    ไม่ทันคชาได้ตอบอะไร เต๋าก็ลุกขึ้นจากเตียงนอนก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำ  คชาถอนหายใจออกมาอีกครั้งเหมือนจะโล่งอก หากแต่เสียงทุ้มแหบพร่ากลับดังขึ้นอีกครั้ง

    “คชา...”  เพียงเท่านั้นเองที่เต๋าเอ่ยเรียก เพียงสายตาลึกซึ้งเปี่ยมด้วยอารมณ์ คชาก็หายใจติดขัดไม่เต็มที่  ร่างเล็กมองอีกคนนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ พะเยิบจากเตียงเดินตามไป

    ถือว่าตอบแทนความใจดี ที่เต๋าไม่ปล้ำเขาก็แล้วกัน

     

               

    - - -

     

     

    ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในช่วงสอบปลายภาคดูจะหนักหนากว่าช่วงมิดเทอมเป็นสองเท่า เพราะมีทั้งงานที่ต้องส่งและการสอบที่รออยู่ แม้บางวิชาอาจารย์จะอนุญาตให้ส่งหลังสอบได้ แต่เด็กต่างจังหวัดส่วนใหญ่รวมถึงเขาก็เลือกทำให้เสร็จก่อนเพื่อจะได้กลับภูมิลำเนาเร็วๆ

    วันนี้ก็เช่นกัน คชามานั่งทำงานกลุ่มชิ้นย่อยที่โรงอาหารคณะ แม้เขาจะอยู่กลุ่มเดียวกับสองสาวแอ้นแพรวา หากแต่กลุ่มเจมส์เฟรมโปเต้ก็นั่งอยู่ไม่ห่างกัน  นั่งทำงานจนกระทั่งล้าจึงปล่อยให้ทุกคนได้พักสิบห้านาที

    “แดงมะนาวแก้วใหญ่ครับ”  คชาถือโอกาสนี้ในการเดินไปซื้อน้ำ จ่ายเงินรับแก้วมาเสร็จ  กำลังจะเดินกลับไปหาเพื่อนกลุ่มเดิมที่โต๊ะก็เจอะกับใครบางคนเสียก่อน

    สาวสวยอันดับต้นๆ ที่มีรุ่นพี่ในและนอกคณะตามจีบไม่ขาดสาย...เธอยังคงสวยน่ารักเหมือนทุกๆ วัน

    “สวัสดีแฟง”  หลังจากชั่งใจว่าจะทักหรือไม่ทักดี เสียงใสก็เอ่ยขึ้น  พอเห็นหน้าตาไม่ยินดียินร้ายเท่าไรนักของเธอจึงตัดสินใจเดินเลยไปเสียดีกว่า

    “เดี๋ยว...”  ทว่าพอเดินพ้นเธอไป มือบอบบางคู่นั้นก็รั้งแขนเขาไว้เสียก่อน น้ำแดงมะนาวในมือหกรดเสื้อของเขาเข้าอย่างจัง  คชาก้มลงมองเสื้อที่เปื้อนจนเห็นสีแดงชัดเจนก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน

    แค่หวังว่าเธอจะไม่ได้เจตนา

    ใบหน้าของแฟงยังสวยหวานเหมือนทุกครั้งที่ได้มอง หากความขุ่นเคืองในแววตาคู่นั้นกลับกลบความงดงามให้หายไปสิ้น  แม้ครู่ต่อมา ตาคู่นั้นจะดูหม่นหมองลงเพราะคนที่เดินมาจากด้านหลังก็ตาม

    เต๋าวางมือบนไหล่คชาอย่างถือสิทธิ์ ดึงแก้วน้ำไปถือไว้เอง ไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่จูงแขนอีกเดินออกไปยังห้องน้ำ

    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?”  คชาถามอีกคนที่ทำหน้าดุๆ ซ้ำยังนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน

    “ไม่ชอบ...”  เต๋าว่า  “แค่รู้สึกเหมือนปกป้องคชาไว้ไม่ได้ จะสาดน้ำคืนไปก็เหมือนรังแกผู้หญิง”

    “เขาอาจจะไม่ได้จงใจ”  คชาตอบอย่างใจเย็น มองโลกในแง่ดีไว้ก่อนเพราะยังไงซะก็สบายใจกว่าคิดแค้นใจให้เสียเวลา

    “ช่างเถอะ... แล้วชาอยากให้เราทำยังไง?”  เต๋าถามในขณะที่อีกคนกำลังพยายามเปิดน้ำมาใส่เสื้อตน  ขายาวๆ เดินไปดึงทิชชู่ในห้องน้ำมาซับเสื้อเปียกชื้นของอีกคนให้

    “หมายความว่าไง?”

    “ให้เราบอกแฟงไปเลยไหม ว่าเราไม่ได้ชอบเธอ”

    ไม่ต้องยืนคิดให้นานคชาก็ได้คำตอบ  “ไม่ต้องหรอก”  เพราะคชารู้ดี...เรื่องแบบนี้คนอย่างแฟงฉลาดพอที่จะดูออก ส่วนเรื่องที่เขาคบกับเต๋า คงมีคนบอกให้เธอได้รู้แล้ว

    ใบหน้าหวานมองอีกคนที่ช่วยซับน้ำออกจากเสื้อชุ่มๆ ให้อย่างตั้งใจ... ก็เพราะเป็นแบบนี้ เพราะว่าเต๋าใส่ใจเขามากจนกระทั่งคนอื่นไร้ความหมาย

    เมื่อครั้งรู้ตัวว่าชอบ...หัวใจเราเต้นตึกตัก

    เมื่อครั้งได้ยินคำรัก...หัวใจเราสั่นไหว

    หากแต่หนนี้มันคือความอุ่นใจ

    “เต๋าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่อยู่แบบนี้ก็พอ”

    และเพียงรอยยิ้มบางเบาถูกส่งกลับมา...เท่านั้นก็แทนค่าทุกคำตอบที่ต้องการ

     

     

    - - -

     

     

                เมื่อช่วงเวลาฝนพรำได้ผ่านพ้นไป... ท้องฟ้าก็กลับกลายเป็นสว่าง

                ในร้านอาหารอีสานบ้านๆ ร้านเดิมเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศคึกคักสนุกสนาน  ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งหลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ  ในวันนี้คชามากินข้าวทิ้งทวนกับเพื่อนๆ ก่อนจะไม่ได้เจอกันในปิดเทอมเล็ก  อาหารอีสานรสจัดจ้านพร้อมเสิร์ฟ คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงจากคาราโอเกะในร้านที่สร้างสีสันได้เป็นอย่างดี

    เสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นเป็นระยะ ไม่ว่าจะทำข้อสอบได้หรือไม่แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้ว  ไม่แปลกเลยที่วันนี้จะไม่มีใครปริปากถึงข้อสอบสักคำ

    เพลงจากคาราโอเกะเครื่องเดิมที่ถูกเปลี่ยนหน้ากันมาร้อง โดยบัดนี้เจมส์เลือกเพลงเก่าของดีทูบี  เก๊กเสียงหล่อซะจนทุกคนต้องหยุดสนทนาแล้วหันหน้าไปมอง

    “หากไม่มีเธอวันนั้น ฉันก็คงไม่มีวันนี้...”  หนุ่มร่างหมีสายตาทอดมองมาประหนึ่งเป็นนักร้องตัวจริง  “สิ่งที่ฉันเป็น สิ่งที่ฉันมีตรงนี้... ฉันรู้ดีว่าฉันได้จากใคร”

    “ทั้งหัวใจคนคนนี้ แม้มันพอจะมีความหมาย” คราวนี้ไมค์อีกตัวเริ่มทำงานแล้ว โดยการส่งให้เพื่อนๆ คนอื่นได้ร้องต่อ

    “บอกด้วยคำจริงจัง บอกด้วยความจริงใจ ว่านับจากนาทีนี้ตลอดไป”

    “ฉันจะรักเธอ”

    ไม่รู้บรรยากาศชวนซึ้งเล็กๆ นี้มาได้ยังไง อาจจะเพราะเนื้อเพลงก็ได้ และแม้เพลงถัดมาจะต่อด้วยเพลงสุดฮิตอย่างกินตับ แต่ทุกคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายสดใสในแววตา

    “ไปเที่ยวกันไหม...จะไปก็รีบไป...”

    “เดี๋ยวพี่พาไปกินตับ...ตับตับตับตับ...ตับตับตับตับ” 

    คชาหัวเราะให้กับเฟรมที่เอาตับมากินจริงๆ พร้อมทั้งลิปซิงค์ขณะโปเต้ถือไมค์ร้อง ส่วนเจมส์ก็ลุกขึ้นมาเต้นบ้าๆ อย่างไม่อายฟ้าอายดิน

    เทอมแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย เทอมแรกที่มาอาศัยในเมืองกรุง...จุดเริ่มต้นที่ยากลำบากหากเมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดพวกเราต่างก็ยิ้มได้

                ถ้าไม่มีเพื่อนๆ เหล่านี้...ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

    เฟรม...เพื่อนคนแรกในกรุง แม้จะสร้างเรื่องยุ่งๆ แต่ก็อยู่ด้วยกันเสมอ

    แพรวา...อดีตเพื่อนข้างห้องที่คอยให้คำปรึกษาหลายๆ อย่าง

    โปเต้...หัวหน้ากลุ่มรายงาน ผู้เคยให้ที่พักอาศัยเขาชั่วคราว

    แอ้น...นางฟ้าที่ทำให้เขารู้จักเปิดใจยอมรับตัวเอง

    เจมส์...ไอ้ตัวฮา ผู้นำพาเสียงหัวเราะสู่ทุกคน

    มิตรภาพที่ถูกก่อขึ้นภายใต้คำว่า เพื่อน มั่นคงและจริงใจเสมอมา 


     

    - - -


     

    ภายในห้องพักเบอร์ 603  กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลางๆ ถูกลากออกจากมุมห้อง ตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าออกให้ได้หยิบของออกมาโดยสะดวก คชานั่งจัดกระเป๋า เช็คดูแล้วไม่มีอะไรต้องเอากลับมาก นอกจากของใช้บางอย่างเท่านั้น

    เพราะที่โคราชบ้านเกิดมีรถทัวร์ไป-กลับเยอะจนไม่ต้องจองล่วงหน้า คชาจึงประวิงเวลานอนเอื่อยเฉื่อยอยู่ในเมืองกรุงมาสองวันติด หากแต่สุดท้ายก็คงต้องถึงเวลา

                หนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเดินออกจากห้องพักเมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ล็อกประตูเช็คทุกอย่างเรียบร้อย แม้จะเดินทางพรุ่งนี้ แต่นี่คือนาทีสุดท้ายก่อนจะบอกลาหอพักของตน

                ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางร้านเดิมคือที่ที่เขานัดอีกคนไว้ มันคือร้านแรกในกรุงเทพที่เขาเคยฝากท้อง ไม่รู้ทำไม วันนี้แค่อยากจะทานกับเต๋าขึ้นมา

                “เอาไรดีน้อง?”  คนขายว่าเมื่อคชาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้พลาสติก

                ไม่ทันอ้าปากพูดอะไร  หนุ่มลูกชายเจ้าของหอก็เดินมาถึงพอดี เต๋ายังอยู่ในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวสะอาดตา สะพายกระเป๋าหนังใบเดิม

    “เส้นเล็กหนึ่ง บะหมี่หนึ่งครับ”  เสียงทุ้มสั่งเมนูเดิมให้เสร็จสรรพ นั่งลงตรงข้ามอีกคนที่รออยู่

    รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิมยังคงเหมือนทุกคราว หากแต่หนนี้คชากลับรู้สึกเหมือนอร่อยกว่าทุกๆ ครั้ง  คงเพราะบางทีนี่อาจจะใกล้เคียงกับคำว่ามื้อทิ้งทวนอำลา

    เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งสุนัขไม่ใกล้ไม่ไกลร้องเรียกความสนใจได้ชั่วขณะ  เจ้าหมาสีขาวตุ่นตัวผอมยังน่าเอ็นดูไม่ต่างจากวันแรกที่เจอ มันกระดิกหางเดินเข้ามาหาเขาพลางนั่งรอของกินเหมือนเคย

    “ตะวัน!”  คชาเรียกชื่อมันด้วยความคิดถึง  ไม่ได้เจอกันนานมันตัวโตขึ้นกว่าคราวก่อนมาก แต่ที่น่าแปลกใจและยินดีก็คือตอนนี้มันมีปลอกคอ  คุณป้าหน้าปากซอยคงจะรับมันไปเลี้ยงแต่ปล่อยให้เดินออกมาได้ตามใจ

    คชายกมือลูบขนของมันก่อนจะแบ่งลูกชิ้นในชามให้ ยิ้มสดใสพลางทอดสายตามองลงไปอย่างอ่อนโยน ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งดูอีกค่อยๆ คลี่ยิ้มตาม

    ดูเหมือนว่า รอยยิ้มจะเป็นโรคติดต่อ...

     

    ค่ำคืนสุดท้ายในบ้านเพียงพอ พอเหมาะพอเจอกับฟุตบอลนัดสำคัญพอดี  แม้ไม่ใช่ทีมโปรดคชาแต่ก็น่าติดตามไม่น้อยเพราะเป็นศึกระหว่างลิเวอร์พูลเจ้าบ้านที่เปิดสนามรับแมนยูทีมโปรดเต๋า  คืนแดงเดือดนี้ทั้งคู่จึงใช้เวลาอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ด้านล่างกัน  โดยที่คนอื่นๆ ในบ้านแยกย้ายขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตน

    เสียงเชียร์จากทั้งสองดังขึ้นไม่ขาด  การแข่งขันดำเนินมาจนเวลาดึก เกมค่อนข้างลุ้นระทึกในช่วงใกล้หมดเวลาที่สกอร์ยังเท่ากัน

    จนกระทั่งการสมาชิกจากลิเวอร์พูลทำฟาล์ว เป็นผลให้แมนยูได้จุดโทษ  ตอนนั้นจึงเป็นจุดที่ทำเอาทั้งคู่หายใจไม่ทั่วท้อง คชาเผลอคล้องแขนคนข้างๆ พลางทำตาโตลุ้นการแข่งขันไปพร้อมๆ กัน

    และเพียงไม่กี่วินาทีที่ปลายสตั๊ดสัมผัสลูกกลมๆ นั้น ก็บังเกิดผลเป็นประตูขึ้นนำให้กับปีศาจแดง และกลายเป็นประตูชัยให้นัดนี้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1

    “เห็นไหม บอกแล้วว่าแมนยู”  เต๋าหันมาทำหน้าผู้ชนะบอกอีกคน ในขณะที่คชาทำหน้าเชิ่ดเหมือนไม่สนใจอะไร

    “แล้วไง เชลซีดีกว่าตั้งเยอะ รอเดือนหน้าเถอะ แมนยูเสร็จเชลซีแน่”  ว่าแล้วก็ทำหน้าโหดๆ ที่ไม่ได้ดูน่ากลัวแม้สักนิดเดียว เห็นดังนั้น เต๋าก็คลี่ยิ้มบางเบา 

    “โอเค แล้วจะรอ”  น้ำเสียงดูไม่ใช่คำท้าหากแต่คือการหมายตามคำพูดนั้น  สายตาคู่คมทอดมองใบหน้าอีกฝ่ายราวกับจะสื่อความนัยบางอย่างออกไป  มือกุมมืออีกคนไว้ แผ่ความอบอุ่นถึงกันและกัน

    “แล้วจะรอนะคชา”

     

     

    หน้าระเบียงชั้นสี่ที่เก่า บรรยากาศยามเที่ยงคืนเงียบสงัด ทว่าไม่ได้เงียบเหงา  เพียงสัมผัสจากท่อนแขนส่งผ่านเสื้อนอนบางเบา ลมหนาวที่พัดโชยก็พลันกลายเป็นเพียงสายลมแผ่วไหว

    เต๋ายืนกอดเขาไว้จากด้านหลัง อ้อมแขนแกร่งกุมกระชับที่หน้าท้อง

    “วันนี้ไม่เห็นมีดาวเลย”  คชาว่าพลางมองจรดฟ้ามืดด้านบน วันนี้อีกคนบอกจะพามาดูดาวหลังดูบอลจบเหมือนคราวก่อนนั้น หากแต่กลับไม่มีให้เห็นสักดวง

    “ทำไมจะไม่มี”  เสียงอีกคนที่เอ่ยค้านทำให้คชาตั้งใจเพ่งเป็นพิเศษ  หันซ้ายทีขวาทีหากแต่ก็ยังมองไม่เห็นดาว

    “ขี้โม้ ดาวอยู่ไหน?”  เสียงใสเอ่ยท้วง มือก็แกะแขนที่โอบไว้ออกมาจับไว้แทน  “ไหน ชี้ให้ดูหน่อย”  พูดพลางหันไปมองหน้าอีกคนอย่างท้าทาย

    เต๋าส่งยิ้มเรียบง่ายตามสไตล์เป็นคำตอบ ก่อนจะยกมือข้างที่ถูกจับไว้ชี้ไปบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากจราจร  “นั่นไงดาว...ดาวเดินดิน

    ได้ยินดังนั้น พลันอีกคนก็หัวเราะออกมาเบาๆ  “ตลกแล้วเต๋า”  คชามองลงไปตามนั้น  แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาค่ำ หากแต่ผู้คนบางส่วนยังคงใช้ชีวิตกันยามราตรี  ตาคู่กลมตวัดไปมองคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถูกดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่น

    “แล้วนี่ก็ดาวอีกดวง”  เต๋าว่าแล้วก็จูบที่กระหม่อมอีกคนหนึ่งที ก่อนจะกระซิบบอกอีกคนแผ่วเบา

    “กลับโคราชเดินทางดีๆ นะชาค่ะ ดูแลตัวเองด้วย”  เสียงนั้นแสดงความห่วงใยไม่ต่างจากทุกครั้ง เหมือนต้นกล้าที่ถูกรดน้ำจนชุ่มฉ่ำจนกระทั่งผลิใบ

    “เข้าใจแล้วเต๋าครับ...อยู่กรุงเทพก็ตั้งใจเรียนล่ะรู้ไหม” 

    “โอเค...ทราบแล้วไม่เปลี่ยน”

    “หืม...?”

    “ทราบแล้วไม่เปลี่ยนใจจากคชาไง”

    “งั้นต้องเปลี่ยนเป็น ทราบแล้วห้ามเปลี่ยนใจ ต่างหาก”

    “ครับผม...ด้วยความยินดี”



     

    ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิด ชีวิตผู้คนนับร้อยพัน ดาวบนดินนั้นยังส่องสว่าง

    หลายคนคิดไขว่คว้าดาวบนฟ้า ใฝ่หาหนทางไป หากหลงลืมแสงไฟนำทาง

     

    บางครั้ง... คนเราก็ไม่จำเป็นจะต้องขวนขวายดวงดาวบนฟ้า โหยหาอุดมคติเสมอไป


     

    ไม่มีความรักใดสมบูรณ์โดยตัวของมัน... เราต่างหากที่ต้องเติมเต็มช่องว่างนั้นให้พอดี

     

     


     

    แด่แสงไฟทุกดวงบนโลกนี้... ที่รอคอยการเป็นแสงดาว...

     

               



     
     

     

    E N D






    จุดพลุ ฉลอง ฟินาเล่ เย้!

    เก้าเดือนกว่าๆ ที่แต่งเรื่องนี้  ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันมายาวนาน
    ไม่มีคนอ่าน เราก็คงไม่มีกำลังใจแต่งมาจนจบ เพราะเป็นคนค่อนข้างสมาธิสั้น เรียนก็ยุ่งๆ 
    ใครที่อยากซื้อเก็บไว้ พบกันในรวมเล่มนะคะ (ถ้าแต่งตอนพิเศษเสร็จเมื่อไหร่จะประกาศขายของอีกที แต่ตอนนี้หน้าปกเสร็จแล้วจ้า ฝีมือน้องส้มจีนคนเดิม)
    และไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ อยากเชื้อเชิญให้ตามไปอ่านเรื่องหน้า Like the Sunshine ฟิคน่ารักสดใสเรนโบโบ้สไตล์ รอได้ แต่อย่าคาดหวัง #อ้าว 555


    ตอนสุดท้ายแล้ว จะคอมเม้นอะไรเชิญเต็มที่ ไม่อั้น อยากได้คำวิจารณ์จากทุกคนเพื่อการปรับปรุงต่อไป  มีข้อสงสัยใดๆ ถามได้ แล้วจะมาตอบให้นะจ๊ะ

    หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุขได้ไม่มากก็น้อย ^^

    ขอบคุณอีกครั้งจากใจ
    @rainbobow

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×