คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : TOM (or) BOY - 29 [END]
TOM (or) BOY
29
คืนวันเสาร์ อาหารมื้อสามัญประจำบ้านของครอบครัวเพียงพอกลับมาอีกครั้ง สมาชิกในบ้านพร้อมหน้าหลังจากที่วันธรรมดาทุกคนล้วนมีกิจกรรมของตนเอง แม่เต่าเพิ่งกลับจากสัมมนา ในขณะที่น้องๆ ก็เพิ่งกลับจากเรียนพิเศษได้ไม่นาน
สุกี้โฮมเมดตรงหน้ายังคงเป็นอาหารง่ายๆ แต่เอร็ดอร่อย ลูกชายคนกลางเทผักใส่หม้อทีเดียวทั้งกระบุง ลูกสาวก็คีบเนื้อสัตว์ใส่ตามมา ในขณะที่คุณแม่คอยดูหม้อต้มให้ไฟกำลังพอดี โดยมีคุณพ่อนั่งมองยิ้มๆ
ขาดก็แต่พ่อลูกชายคนโตนี่แหละ เผลอเป็นต้องชะเง้อออกไปด้านนอกทุกที อาการแบบนี้ ทั้งบ้านเริ่มจะพอเดาได้ว่าเพราะอะไรและเพราะใคร
โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นในจังหวะนั้นทำให้มือหนาผละจากช้อนแทบจะทันทีราวกับรอมานาน นิ้วกดปุ่มรับสายพลางเดินออกไป
“มาช้า...” เต๋าพูดขณะไขกุญแจเปิดประตูบ้านให้อีกคน “ไปกินข้าวเร็ว กำลังกินกันอยู่เลย”
“เรากินมาแล้วอะ” คชาตอบเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย “พวกเฟรมชวนพอดีเลยกินมาก่อน”
คนฟังชะงักไปเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น นิ่งเพียงครู่เดียวก็ยกมือขยี้ศีรษะอีกฝ่าย...ยังไม่ทันโกรธอะไรเลย แต่ดูคชากลับทำหน้าตารู้สึกผิดได้น่าเอ็นดูนัก “ก็ไม่ได้ว่าอะไร... เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
สมาชิกคนที่หกของบ้านเพียงพอนั่งลงข้างๆ ลูกชายคนโต มีชามใบเล็กวางตรงหน้าพอเป็นพิธี แม้ตามจริงจะกินมาแล้ว แต่พออีกคนที่อยู่ใกล้หม้อกว่าตักอะไรมาให้ก็กินอยู่ดี
“วันนี้ไปไหนมาจ๊ะคชา?” แม่เต่าถามอีกคนที่เพิ่งเข้ามา เป็นปกติแล้วที่คชาจะมาที่นี่ เห็นจากภาพแล้วก็รู้ดีว่าเพราะลูกชายของเธอเองไม่ใช่เพราะใคร
“ไปทำรายงานมาครับ” คชาว่า “ช่วงนี้ส่งงานเยอะ ใกล้จะปิดเทอมแล้ว”
แม่เต่าไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น ประเด็นเดิมจบลงกลายเป็นเรื่องของลูกชายคนรองและลูกสาวที่ยังอยู่ในวัยมัธยมแทน ชีวิตในรั้วโรงเรียนในเมืองกรุงดูโลดโผนเอาการ
“มีสาวๆ มาติดพี่เต๋อด้วยล่ะพ่อ ต๋อเห็นขนมในล็อกเกอร์เต็มเลย ได้ยินว่าเขาทะเลาะกันแย่งพี่เต๋อด้วย” น้องสาวแก้มยุ้ยเล่าอย่างออกรส พี่ชายคนรองจึงพูดขึ้นบ้าง
“ต๋อก็ชอบมาส่องนักบาสโรงเรียนเนอะ ให้กลับก่อนก็ไม่เอา”
“ต๋อไม่ได้ชอบพวกพี่เขาแบบนั้นสักหน่อย พี่เต๋อไม่รู้อะไร” น้องสาวเถียงกลับ มีประกายกรุ้มกริ่มในแววตา
บทสนทนาของพี่ชายคนรองกับน้องสาวว่ากันต่อไปไม่นาน ประเด็นก็เปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องปิดเทอมที่จะมาถึงแทน เต๋อที่ได้โอกาสก็ขออนุญาตพ่อแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ส่วนต๋อบ่นกระปอดกระแปดเพราะตนต้องไปเรียนพิเศษอีกเหมือนเดิม
“ว่าแต่เดี๋ยวคชาก็ปิดเทอมแล้วใช่ไหม” พ่อต๋อยวกมาที่เพื่อนสนิท(?)ลูกชายที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานสองนาน “แล้ววางแผนจะทำอะไร?”
“คงกลับบ้านน่ะครับ แม่ก็ถามอยู่เรื่อยว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอม” คชาว่ายิ้มๆ
อาหารมื้อนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกครั้ง เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวเพียงพอ แม้ลูกแต่ละคนจะมีความชอบและนิสัยต่างกัน แสบซนกันบ้างตามประสาวัยคะนอง แต่เพราะพื้นฐานครอบครัวล้วนทำให้ทุกคนเติบโตเป็นเด็กดี
เด็กบ้านนอกเพียงคนเดียวในนี้ เลยอดจะมีความสุขตามไปด้วยไม่ได้
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ พ่อต๋อยแม่เต่า”
บนห้องนอนสีขาว คชานั่งพักบนพื้นปาร์เกต์พิงหลังกับขอบเตียง มือหยิบหนังสืออ่านเล่นเล่มบางมาเปิดอ่านไปอย่างไม่จริงจังนัก เอนศีรษะกับหน้าขาคนที่นั่งอยู่บนเตียง
มือหนาลูบเส้นผมอีกคนแผ่วเบา เอ่ยถามเรียบๆ “คิดถึงบ้านไหม?”
คชาละสายตาจากบนหน้ากระดาษช้อนมองใบหน้าอีกคน ตอบตรงๆ ออกมา “คิดถึงทุกวันแหละ...ไม่ได้กลับบ้านตอนกลางเทอมเหมือนคนอื่นเลย”
แก้มที่พองลมน้อยๆ ทำเอาคนมองอมยิ้ม ยื่นนิ้วมาจิ้มให้ใบหน้าหวานพ่นลมออก
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว” เต๋าปลอบ “อีกสามอาทิตย์เอง”
“นั่นสิ... อีกสามอาทิตย์เอง” คชาว่าลอยๆ ...สามอาทิตย์ที่ว่าดูยาวนานเมื่อเทียบกับความคิดถึง หากในขณะเดียวกัน มันกลับไม่นานเมื่อรู้ว่านั่นคือเวลาที่ได้อยู่กับอีกคน
“ไม่ต้องเหงานะ พ่อแม่เราก็คือพ่อแม่คชา น้องเราก็คือน้องคชา” มือหนาปัดเส้นผมที่ปรกตาอีกคนออก มองตากันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“บ้านเราก็บ้านคชา เตียงเราก็เตียงคชา” ว่าแล้วก็ดึงตัวอีกคนขึ้นมานั่งด้วยกันบนเตียงนอนนุ่ม ดึงหนังสือเล่มบางออกจากมืออีกคน “หนังสือเราก็หนังสือคชา ของของเราก็ของคชาเข้าใจไหม?”
คำพูดเรียบง่ายแต่กินใจทำเอาอีกคนรู้สึกขัดเขินเล็กๆ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางเบา “อย่างนี้แสดงว่าเต๋ากับคชาคือคนเดียวกันรึเปล่า? อะไรที่เป็นของเต๋าเป็นของคชาหมดเลยเนอะ ฮะๆๆ” เสียงใสเอ่ยติดตลกแก้เก้อ แววตายิ้มได้ถูกส่งไปหาอีกคน
หากแววตาคู่คมกลับสะท้อนความมุ่งมั่นแน่วแน่กลับคืนมา...
“ใช่ครับ เต๋ากับคชาเป็นคนคนเดียวกัน”
ไม่พูดเปล่า... ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ ประทับรอยจูบบนหน้าผากมน ไม่รีบร้อน ไม่เชื่องช้า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะเวลาของมัน ก่อนริมฝีปากนั้นจะฝากความหอมหวานไว้บนกลีบปากได้รูปที่เผยอรับแต่โดยดี โดยมีหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันราวกับจะเป็นประจักษ์พยาน
มือหนาประคองใบหน้าอีกคนไว้ไม่ห่าง มืออีกข้างสัมผัสแก้มใสอย่างทะนุถนอม ปัดไรผมออกบนใบหน้านวลพลางยิ้มมองคนรักของตน
ไม่รู้เป็นเพราะเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อส่วนไหนที่ทำเอาคชาหุบยิ้มไม่ลง แก้มขึ้นสีจางๆ เพราะเพียงแววตาหวานเชื่อมที่มองมามันมีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด
แววตาคู่นั้น บอกชี้ชัดยิ่งกว่าคำรักไหนๆ
หน้าต่างของหัวใจบานนี้ สะท้อนเพียงภาพของเขาเท่านั้น
ริมฝีปากบางค่อยๆ ประกบจูบตอบอีกคนอย่างเชื่องช้า แม้จะดูขัดเขินเงอะงะไปบ้างที่เริ่มก่อนหากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย แผ่นหลังค่อยๆ นาบลงบนเตียงนุ่ม โดยมีอีกคนที่ทาบทับลงมา
หัวใจเต้นสะท้าน ถี่รัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ที่เริ่มพุ่งพล่านตามสภาพร่างกายทำให้คชานึกกลัวสภาพต่อจากนี้
“เต๋า...” คชาเรียกชื่อเสียงแผ่ว แววตาทั้งไหวหวั่นหากแต่ก็ลังเล ตอนนี้คชาทั้งตื่นเต้นตกใจคิดอะไรไม่ออก เหมือนถูกเสกให้หยุดนิ่งไปไหนไม่ได้ สภาวะอันตรายปรากฏขึ้นอีกหลังจากครานั้น หากแต่คชากลับใจหวิวที่สุดในครั้งนี้
ไม่อยากสารภาพเลยว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งไปหาข้อมูลเรื่องแบบนี้มา แล้วก็พบว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิดจริง
ตาประสานตา ใจประสานใจ...นัยน์ตาคู่นั้นของเต๋าเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หากแต่ในที่สุดมันก็ค่อยอ่อนลงเรื่อยๆ
“กลัวหรอ?” เป็นครั้งแรกที่เต๋าถามเรื่องนี้ออกมา และคชาก็พยักหน้าตอบซื่อๆ กลับไปเช่นกัน
ลืมไปแล้วว่าเคยตีเนียนเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน แต่ถึงตอนนี้ก็คงแก้ตัวไม่ทัน
เต๋ายิ้มบาง มองลูกแกะตัวน้อยที่นอนตัวสั่น ในสถานการณ์นี้ไม่ยากที่จะทำให้คชาคล้อยตาม หากแต่เขากลับนึกอยากให้เป็นไปด้วยความยินดีพร้อมใจ
อีกอย่างนึง...เห็นแบบนี้แล้วเขาไม่อยากทำลายความบริสุทธิ์สดใสแบบนี้เลย
มือหนาค่อยๆ ปัดผมที่ปรกหน้าผากออก มอบจูบบางเบาแต่หวานฉ่ำทิ้งท้าย น้ำตาลใกล้มด อยากจะอดใจไหว หากแต่คงต้องทำ
“คราวหลังไม่ปล่อยไว้แล้วนะ” เต๋าว่าก่อนจะละออกมา คำพูดนั้นทำเอาอีกฝ่ายคืนสติกลับมาอีกครั้งก่อน คชากะพริบตามองอีกฝ่ายปริบๆ แล้วจึงค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอกเป็นปลิดทิ้ง
ร่างเล็กคลี่ยิ้มบางเบาให้อีกฝ่ายอย่างใจชื้น ค่อยๆ ยันตัวขึ้นมานั่งเหมือนเดิม ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีเหมือนยังไม่สิ้นสุดเท่านี้
“แต่ของขึ้นแล้ว...ชาจะรับผิดชอบยังไงดี?”
ได้ยินเท่านั้นสีหน้าคนฟังก็หน้าร้อนฉ่า ประกอบกับหลักฐานที่เห็นเต็มตาทำเอาอยากจะมุดหน้าหนี ภายใต้กางเกงนอนตัวนั้นมีบางอย่างผิดปกติมากเกินไป
มาก...จนคชารู้สึกดีใจ ที่ไม่เกิดบทรัก 18+ ขึ้นมาจริงๆ
ใบหน้าของเต๋าดูกำลังอดกลั้นอย่างบอกไม่ถูก สายตาคู่นั้นมองมาอย่างวาบหวาม ก่อนจะเปล่งเสียงทุ้มมีเสน่ห์ออกมา
“ช่วยหน่อยสิชา... ใช้มือก็ยังดี”
อย่านะเต๋า...
“นะครับ...จะไม่ไหวแล้ว”
อย่าทำ...สีหน้าอ้อนวอนแบบนี้
ไม่ทันคชาได้ตอบอะไร เต๋าก็ลุกขึ้นจากเตียงนอนก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำ คชาถอนหายใจออกมาอีกครั้งเหมือนจะโล่งอก หากแต่เสียงทุ้มแหบพร่ากลับดังขึ้นอีกครั้ง
“คชา...” เพียงเท่านั้นเองที่เต๋าเอ่ยเรียก เพียงสายตาลึกซึ้งเปี่ยมด้วยอารมณ์ คชาก็หายใจติดขัดไม่เต็มที่ ร่างเล็กมองอีกคนนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ พะเยิบจากเตียงเดินตามไป
ถือว่าตอบแทนความใจดี ที่เต๋าไม่ปล้ำเขาก็แล้วกัน…
- - -
ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในช่วงสอบปลายภาคดูจะหนักหนากว่าช่วงมิดเทอมเป็นสองเท่า เพราะมีทั้งงานที่ต้องส่งและการสอบที่รออยู่ แม้บางวิชาอาจารย์จะอนุญาตให้ส่งหลังสอบได้ แต่เด็กต่างจังหวัดส่วนใหญ่รวมถึงเขาก็เลือกทำให้เสร็จก่อนเพื่อจะได้กลับภูมิลำเนาเร็วๆ
วันนี้ก็เช่นกัน คชามานั่งทำงานกลุ่มชิ้นย่อยที่โรงอาหารคณะ แม้เขาจะอยู่กลุ่มเดียวกับสองสาวแอ้นแพรวา หากแต่กลุ่มเจมส์เฟรมโปเต้ก็นั่งอยู่ไม่ห่างกัน นั่งทำงานจนกระทั่งล้าจึงปล่อยให้ทุกคนได้พักสิบห้านาที
“แดงมะนาวแก้วใหญ่ครับ” คชาถือโอกาสนี้ในการเดินไปซื้อน้ำ จ่ายเงินรับแก้วมาเสร็จ กำลังจะเดินกลับไปหาเพื่อนกลุ่มเดิมที่โต๊ะก็เจอะกับใครบางคนเสียก่อน
สาวสวยอันดับต้นๆ ที่มีรุ่นพี่ในและนอกคณะตามจีบไม่ขาดสาย...เธอยังคงสวยน่ารักเหมือนทุกๆ วัน
“สวัสดีแฟง” หลังจากชั่งใจว่าจะทักหรือไม่ทักดี เสียงใสก็เอ่ยขึ้น พอเห็นหน้าตาไม่ยินดียินร้ายเท่าไรนักของเธอจึงตัดสินใจเดินเลยไปเสียดีกว่า
“เดี๋ยว...” ทว่าพอเดินพ้นเธอไป มือบอบบางคู่นั้นก็รั้งแขนเขาไว้เสียก่อน น้ำแดงมะนาวในมือหกรดเสื้อของเขาเข้าอย่างจัง คชาก้มลงมองเสื้อที่เปื้อนจนเห็นสีแดงชัดเจนก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน
แค่หวังว่าเธอจะไม่ได้เจตนา…
ใบหน้าของแฟงยังสวยหวานเหมือนทุกครั้งที่ได้มอง หากความขุ่นเคืองในแววตาคู่นั้นกลับกลบความงดงามให้หายไปสิ้น แม้ครู่ต่อมา ตาคู่นั้นจะดูหม่นหมองลงเพราะคนที่เดินมาจากด้านหลังก็ตาม
เต๋าวางมือบนไหล่คชาอย่างถือสิทธิ์ ดึงแก้วน้ำไปถือไว้เอง ไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่จูงแขนอีกเดินออกไปยังห้องน้ำ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?” คชาถามอีกคนที่ทำหน้าดุๆ ซ้ำยังนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน
“ไม่ชอบ...” เต๋าว่า “แค่รู้สึกเหมือนปกป้องคชาไว้ไม่ได้ จะสาดน้ำคืนไปก็เหมือนรังแกผู้หญิง”
“เขาอาจจะไม่ได้จงใจ” คชาตอบอย่างใจเย็น มองโลกในแง่ดีไว้ก่อนเพราะยังไงซะก็สบายใจกว่าคิดแค้นใจให้เสียเวลา
“ช่างเถอะ... แล้วชาอยากให้เราทำยังไง?” เต๋าถามในขณะที่อีกคนกำลังพยายามเปิดน้ำมาใส่เสื้อตน ขายาวๆ เดินไปดึงทิชชู่ในห้องน้ำมาซับเสื้อเปียกชื้นของอีกคนให้
“หมายความว่าไง?”
“ให้เราบอกแฟงไปเลยไหม ว่าเราไม่ได้ชอบเธอ”
ไม่ต้องยืนคิดให้นานคชาก็ได้คำตอบ “ไม่ต้องหรอก” เพราะคชารู้ดี...เรื่องแบบนี้คนอย่างแฟงฉลาดพอที่จะดูออก ส่วนเรื่องที่เขาคบกับเต๋า คงมีคนบอกให้เธอได้รู้แล้ว
ใบหน้าหวานมองอีกคนที่ช่วยซับน้ำออกจากเสื้อชุ่มๆ ให้อย่างตั้งใจ... ก็เพราะเป็นแบบนี้ เพราะว่าเต๋าใส่ใจเขามากจนกระทั่งคนอื่นไร้ความหมาย
เมื่อครั้งรู้ตัวว่าชอบ...หัวใจเราเต้นตึกตัก
เมื่อครั้งได้ยินคำรัก...หัวใจเราสั่นไหว
หากแต่หนนี้…มันคือความอุ่นใจ
“เต๋าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่อยู่แบบนี้ก็พอ”
และเพียงรอยยิ้มบางเบาถูกส่งกลับมา...เท่านั้นก็แทนค่าทุกคำตอบที่ต้องการ
- - -
เมื่อช่วงเวลาฝนพรำได้ผ่านพ้นไป... ท้องฟ้าก็กลับกลายเป็นสว่าง
ในร้านอาหารอีสานบ้านๆ ร้านเดิมเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศคึกคักสนุกสนาน ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้งหลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ในวันนี้คชามากินข้าวทิ้งทวนกับเพื่อนๆ ก่อนจะไม่ได้เจอกันในปิดเทอมเล็ก อาหารอีสานรสจัดจ้านพร้อมเสิร์ฟ คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงจากคาราโอเกะในร้านที่สร้างสีสันได้เป็นอย่างดี
เสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นเป็นระยะ ไม่ว่าจะทำข้อสอบได้หรือไม่แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้ว ไม่แปลกเลยที่วันนี้จะไม่มีใครปริปากถึงข้อสอบสักคำ
เพลงจากคาราโอเกะเครื่องเดิมที่ถูกเปลี่ยนหน้ากันมาร้อง โดยบัดนี้เจมส์เลือกเพลงเก่าของดีทูบี เก๊กเสียงหล่อซะจนทุกคนต้องหยุดสนทนาแล้วหันหน้าไปมอง
“หากไม่มีเธอวันนั้น ฉันก็คงไม่มีวันนี้...” หนุ่มร่างหมีสายตาทอดมองมาประหนึ่งเป็นนักร้องตัวจริง “สิ่งที่ฉันเป็น สิ่งที่ฉันมีตรงนี้... ฉันรู้ดีว่าฉันได้จากใคร”
“ทั้งหัวใจคนคนนี้ แม้มันพอจะมีความหมาย…” คราวนี้ไมค์อีกตัวเริ่มทำงานแล้ว โดยการส่งให้เพื่อนๆ คนอื่นได้ร้องต่อ
“บอกด้วยคำจริงจัง บอกด้วยความจริงใจ ว่านับจากนาทีนี้ตลอดไป”
“ฉันจะรักเธอ”
ไม่รู้บรรยากาศชวนซึ้งเล็กๆ นี้มาได้ยังไง อาจจะเพราะเนื้อเพลงก็ได้ และแม้เพลงถัดมาจะต่อด้วยเพลงสุดฮิตอย่างกินตับ แต่ทุกคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายสดใสในแววตา
“ไปเที่ยวกันไหม...จะไปก็รีบไป...”
“เดี๋ยวพี่พาไปกินตับ...ตับตับตับตับ...ตับตับตับตับ”
คชาหัวเราะให้กับเฟรมที่เอาตับมากินจริงๆ พร้อมทั้งลิปซิงค์ขณะโปเต้ถือไมค์ร้อง ส่วนเจมส์ก็ลุกขึ้นมาเต้นบ้าๆ อย่างไม่อายฟ้าอายดิน
เทอมแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย เทอมแรกที่มาอาศัยในเมืองกรุง...จุดเริ่มต้นที่ยากลำบากหากเมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดพวกเราต่างก็ยิ้มได้
ถ้าไม่มีเพื่อนๆ เหล่านี้...ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง
เฟรม...เพื่อนคนแรกในกรุง แม้จะสร้างเรื่องยุ่งๆ แต่ก็อยู่ด้วยกันเสมอ
แพรวา...อดีตเพื่อนข้างห้องที่คอยให้คำปรึกษาหลายๆ อย่าง
โปเต้...หัวหน้ากลุ่มรายงาน ผู้เคยให้ที่พักอาศัยเขาชั่วคราว
แอ้น...นางฟ้าที่ทำให้เขารู้จักเปิดใจยอมรับตัวเอง
เจมส์...ไอ้ตัวฮา ผู้นำพาเสียงหัวเราะสู่ทุกคน
มิตรภาพที่ถูกก่อขึ้นภายใต้คำว่า ‘เพื่อน’ มั่นคงและจริงใจเสมอมา
- - -
ภายในห้องพักเบอร์ 603 กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลางๆ ถูกลากออกจากมุมห้อง ตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าออกให้ได้หยิบของออกมาโดยสะดวก คชานั่งจัดกระเป๋า เช็คดูแล้วไม่มีอะไรต้องเอากลับมาก นอกจากของใช้บางอย่างเท่านั้น
เพราะที่โคราชบ้านเกิดมีรถทัวร์ไป-กลับเยอะจนไม่ต้องจองล่วงหน้า คชาจึงประวิงเวลานอนเอื่อยเฉื่อยอยู่ในเมืองกรุงมาสองวันติด หากแต่สุดท้ายก็คงต้องถึงเวลา…
หนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเดินออกจากห้องพักเมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ล็อกประตูเช็คทุกอย่างเรียบร้อย แม้จะเดินทางพรุ่งนี้ แต่นี่คือนาทีสุดท้ายก่อนจะบอกลาหอพักของตน
ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางร้านเดิมคือที่ที่เขานัดอีกคนไว้ มันคือร้านแรกในกรุงเทพที่เขาเคยฝากท้อง ไม่รู้ทำไม วันนี้แค่อยากจะทานกับเต๋าขึ้นมา
“เอาไรดีน้อง?” คนขายว่าเมื่อคชาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้พลาสติก
ไม่ทันอ้าปากพูดอะไร หนุ่มลูกชายเจ้าของหอก็เดินมาถึงพอดี เต๋ายังอยู่ในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวสะอาดตา สะพายกระเป๋าหนังใบเดิม
“เส้นเล็กหนึ่ง บะหมี่หนึ่งครับ” เสียงทุ้มสั่งเมนูเดิมให้เสร็จสรรพ นั่งลงตรงข้ามอีกคนที่รออยู่
รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิมยังคงเหมือนทุกคราว หากแต่หนนี้คชากลับรู้สึกเหมือนอร่อยกว่าทุกๆ ครั้ง คงเพราะบางทีนี่อาจจะใกล้เคียงกับคำว่ามื้อทิ้งทวนอำลา
เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งสุนัขไม่ใกล้ไม่ไกลร้องเรียกความสนใจได้ชั่วขณะ เจ้าหมาสีขาวตุ่นตัวผอมยังน่าเอ็นดูไม่ต่างจากวันแรกที่เจอ มันกระดิกหางเดินเข้ามาหาเขาพลางนั่งรอของกินเหมือนเคย
“ตะวัน!” คชาเรียกชื่อมันด้วยความคิดถึง ไม่ได้เจอกันนานมันตัวโตขึ้นกว่าคราวก่อนมาก แต่ที่น่าแปลกใจและยินดีก็คือตอนนี้มันมีปลอกคอ คุณป้าหน้าปากซอยคงจะรับมันไปเลี้ยงแต่ปล่อยให้เดินออกมาได้ตามใจ
คชายกมือลูบขนของมันก่อนจะแบ่งลูกชิ้นในชามให้ ยิ้มสดใสพลางทอดสายตามองลงไปอย่างอ่อนโยน ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งดูอีกค่อยๆ คลี่ยิ้มตาม
ดูเหมือนว่า รอยยิ้มจะเป็นโรคติดต่อ...
ค่ำคืนสุดท้ายในบ้านเพียงพอ พอเหมาะพอเจอกับฟุตบอลนัดสำคัญพอดี แม้ไม่ใช่ทีมโปรดคชาแต่ก็น่าติดตามไม่น้อยเพราะเป็นศึกระหว่างลิเวอร์พูลเจ้าบ้านที่เปิดสนามรับแมนยูทีมโปรดเต๋า คืนแดงเดือดนี้ทั้งคู่จึงใช้เวลาอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ด้านล่างกัน โดยที่คนอื่นๆ ในบ้านแยกย้ายขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตน
เสียงเชียร์จากทั้งสองดังขึ้นไม่ขาด การแข่งขันดำเนินมาจนเวลาดึก เกมค่อนข้างลุ้นระทึกในช่วงใกล้หมดเวลาที่สกอร์ยังเท่ากัน
จนกระทั่งการสมาชิกจากลิเวอร์พูลทำฟาล์ว เป็นผลให้แมนยูได้จุดโทษ ตอนนั้นจึงเป็นจุดที่ทำเอาทั้งคู่หายใจไม่ทั่วท้อง คชาเผลอคล้องแขนคนข้างๆ พลางทำตาโตลุ้นการแข่งขันไปพร้อมๆ กัน
และเพียงไม่กี่วินาทีที่ปลายสตั๊ดสัมผัสลูกกลมๆ นั้น ก็บังเกิดผลเป็นประตูขึ้นนำให้กับปีศาจแดง และกลายเป็นประตูชัยให้นัดนี้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1
“เห็นไหม บอกแล้วว่าแมนยู” เต๋าหันมาทำหน้าผู้ชนะบอกอีกคน ในขณะที่คชาทำหน้าเชิ่ดเหมือนไม่สนใจอะไร
“แล้วไง เชลซีดีกว่าตั้งเยอะ รอเดือนหน้าเถอะ แมนยูเสร็จเชลซีแน่” ว่าแล้วก็ทำหน้าโหดๆ ที่ไม่ได้ดูน่ากลัวแม้สักนิดเดียว เห็นดังนั้น เต๋าก็คลี่ยิ้มบางเบา
“โอเค แล้วจะรอ” น้ำเสียงดูไม่ใช่คำท้าหากแต่คือการหมายตามคำพูดนั้น สายตาคู่คมทอดมองใบหน้าอีกฝ่ายราวกับจะสื่อความนัยบางอย่างออกไป มือกุมมืออีกคนไว้ แผ่ความอบอุ่นถึงกันและกัน
“แล้วจะรอนะคชา”
หน้าระเบียงชั้นสี่ที่เก่า บรรยากาศยามเที่ยงคืนเงียบสงัด ทว่าไม่ได้เงียบเหงา เพียงสัมผัสจากท่อนแขนส่งผ่านเสื้อนอนบางเบา ลมหนาวที่พัดโชยก็พลันกลายเป็นเพียงสายลมแผ่วไหว
เต๋ายืนกอดเขาไว้จากด้านหลัง อ้อมแขนแกร่งกุมกระชับที่หน้าท้อง
“วันนี้ไม่เห็นมีดาวเลย” คชาว่าพลางมองจรดฟ้ามืดด้านบน วันนี้อีกคนบอกจะพามาดูดาวหลังดูบอลจบเหมือนคราวก่อนนั้น หากแต่กลับไม่มีให้เห็นสักดวง
“ทำไมจะไม่มี” เสียงอีกคนที่เอ่ยค้านทำให้คชาตั้งใจเพ่งเป็นพิเศษ หันซ้ายทีขวาทีหากแต่ก็ยังมองไม่เห็นดาว
“ขี้โม้ ดาวอยู่ไหน?” เสียงใสเอ่ยท้วง มือก็แกะแขนที่โอบไว้ออกมาจับไว้แทน “ไหน ชี้ให้ดูหน่อย” พูดพลางหันไปมองหน้าอีกคนอย่างท้าทาย
เต๋าส่งยิ้มเรียบง่ายตามสไตล์เป็นคำตอบ ก่อนจะยกมือข้างที่ถูกจับไว้ชี้ไปบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากจราจร “นั่นไงดาว...ดาวเดินดิน”
ได้ยินดังนั้น พลันอีกคนก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ตลกแล้วเต๋า” คชามองลงไปตามนั้น แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาค่ำ หากแต่ผู้คนบางส่วนยังคงใช้ชีวิตกันยามราตรี ตาคู่กลมตวัดไปมองคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถูกดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
“แล้วนี่ก็ดาวอีกดวง” เต๋าว่าแล้วก็จูบที่กระหม่อมอีกคนหนึ่งที ก่อนจะกระซิบบอกอีกคนแผ่วเบา
“กลับโคราชเดินทางดีๆ นะชาค่ะ ดูแลตัวเองด้วย” เสียงนั้นแสดงความห่วงใยไม่ต่างจากทุกครั้ง เหมือนต้นกล้าที่ถูกรดน้ำจนชุ่มฉ่ำจนกระทั่งผลิใบ
“เข้าใจแล้วเต๋าครับ...อยู่กรุงเทพก็ตั้งใจเรียนล่ะรู้ไหม”
“โอเค...ทราบแล้วไม่เปลี่ยน”
“หืม...?”
“ทราบแล้วไม่เปลี่ยนใจจากคชาไง”
“งั้นต้องเปลี่ยนเป็น ‘ทราบแล้วห้ามเปลี่ยนใจ’ ต่างหาก”
“ครับผม...ด้วยความยินดี”
ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิด ชีวิตผู้คนนับร้อยพัน ดาวบนดินนั้นยังส่องสว่าง
หลายคนคิดไขว่คว้าดาวบนฟ้า ใฝ่หาหนทางไป หากหลงลืมแสงไฟนำทาง
บางครั้ง... คนเราก็ไม่จำเป็นจะต้องขวนขวายดวงดาวบนฟ้า โหยหาอุดมคติเสมอไป
ไม่มีความรักใดสมบูรณ์โดยตัวของมัน... เราต่างหากที่ต้องเติมเต็มช่องว่างนั้นให้พอดี
แด่แสงไฟทุกดวงบนโลกนี้... ที่รอคอยการเป็นแสงดาว...
E N D
จุดพลุ ฉลอง ฟินาเล่ เย้!
เก้าเดือนกว่าๆ ที่แต่งเรื่องนี้ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันมายาวนาน
ไม่มีคนอ่าน เราก็คงไม่มีกำลังใจแต่งมาจนจบ เพราะเป็นคนค่อนข้างสมาธิสั้น เรียนก็ยุ่งๆ
ใครที่อยากซื้อเก็บไว้ พบกันในรวมเล่มนะคะ (ถ้าแต่งตอนพิเศษเสร็จเมื่อไหร่จะประกาศขายของอีกที แต่ตอนนี้หน้าปกเสร็จแล้วจ้า ฝีมือน้องส้มจีนคนเดิม)
และไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ อยากเชื้อเชิญให้ตามไปอ่านเรื่องหน้า Like the Sunshine ฟิคน่ารักสดใสเรนโบโบ้สไตล์ รอได้ แต่อย่าคาดหวัง #อ้าว 555
ตอนสุดท้ายแล้ว จะคอมเม้นอะไรเชิญเต็มที่ ไม่อั้น อยากได้คำวิจารณ์จากทุกคนเพื่อการปรับปรุงต่อไป มีข้อสงสัยใดๆ ถามได้ แล้วจะมาตอบให้นะจ๊ะ
หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุขได้ไม่มากก็น้อย ^^
ขอบคุณอีกครั้งจากใจ
@rainbobow
ความคิดเห็น