NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #31 : เรื่องลี้ลับ ณ สะพานยาโซฮาจิ

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 67


    “เดือนมิถุนายนที่โมริโอกะ คานาดะ ไทจิ เดือนสิงหาคมที่โยโกฮาม่า ชิมาดะ โอซามุ เดือนกันยายนที่นาโกย่า ยามาโตะ ฮิโรชิ ทั้งสามคนตายในสถานการณ์เดียวกันค่ะ” หลังจบงานเชื่อมสัมพันธ์ไปก็มีภารกิจเข้ามาใหม่โดยไม่พัก อย่างวันนี้ก็มีปลายทางอยู่ที่ไซตามะโดยคนที่รับทำภารกิจยังคงหนีไม่พ้นเด็กปีหนึ่งทั้งสี่โดยผู้ช่วยผู้ตรวจตราในวันนี้คือนิตตะ ฮิคาริมารายงานรายละเอียดให้ฟังระหว่างที่ขับรถไปด้วย “ถูกวิญญาณคำสาปแทงตายที่ทางเข้าของแมนชั่น แถมทุกคนยังต่อว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ก่อนตายหลายอาทิตย์ด้วยปัญหาเดียวกัน บอกว่าประตูออโต้มันเปิดค้างทิ้งไว้แต่ผู้อาศัยคนอื่นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยค่ะ”

    “แต่ทั้งวันและสถานที่ก็ต่างกัน แปลว่าถูกวิญญาณคำสาปตัวเดียวกันเล่นงานเหรอครับ” ฟุชิงุโระถาม

    “นี่ๆ ที่ประตูมันออโต้เป็นเพราะวิญญาณคำสาปเหรอ” อิตาโดริถามแทรก “เซ็นเซอร์มันตรวจจับวิญญาณคำสาปได้ด้วยเหรอ กล้องยังถ่ายไม่ติดเลยนี่?”

    “ไม่ใช่เซ็นเซอร์หรอก แต่เป็นดอร์โอเปอร์เรเตอร์มันเกิดรวนเพราะผลกระทบจากวิญญาณคำสาปค่ะ” นิตตะตอบ “ส่วนที่ถามว่าใช่วิญญาณคำสาปตัวเดียวกันมั้ย แค่คราบอย่างเดียวมันยังยืนยันกันไม่ได้เพราะเวลามันห่างกันเกินไป ทีนี้เราเลยตรวจสอบความเกี่ยวข้องของทั้งสามคนแล้วพบว่าพวกเขาเคยเรียนโรงเรียนม.ต้นที่เดียวกันเป็นเวลา 2 ปีค่ะ”

    “แสดงว่าเมื่อก่อนทั้งสามคนก็โดนคำสาปแบบเดียวกันแล้วพอเวลาผ่านไปคำสาปมันก็แสดงผลเหรอ”

    “โหหห!!” อิตาโดริร้องทึ่งในข้อสันนิษฐานของคุงิซากิ

    “ใช่ มีความเป็นไปได้สูงค่ะ” นิตตะตอบกลับ “หลังจากนี้พวกเราก็จะไปถามข้อมูลจากโรงเรียนม.ต้นนั่นแล้วก็ถามคนรู้จักของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามคน ฉันอยากให้พวกคุณทั้งสี่คนช่วยสืบหลายๆอย่างในมุมของผู้ใช้คุณไสยค่ะ”

    “เจ๋งอะ คุงิซากิ”

    “หึ ก็แหงล่ะ” ทางเด็กสาวผมน้ำตาลพอได้รับคำชมจากเด็กหนุ่มผมชมพูก็เชิ่ดหน้าด้วยความภูมิใจ ส่วนฟุชิงุโระที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ได้แต่ยกหน้าหนีและทำหน้าเหนื่อยใจ

    “แหะๆ…” ส่วนอากาเนะที่นั่งอยู่เบาะหน้าก็ได้แต่หัวเราะแห้งและหันมาถามนิตตะ “นี่คุณนิตตะคะ”

    “คะ?”

    “พอจะทราบชื่อคนรู้จักที่เรากำลังจะไปหารึเปล่าคะ”

    “ชื่อโมริชิตะค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

    “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” อากาเนะตอบปัด เพราะที่เธอถามแบบนั้นไปเพราะเรียวตะฝากให้มาถาม

    ‘โมริชิตะ…ถามหมอนั่นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก’

    ‘ทำไม?’

    ‘มันตายแล้ว’

    “…ห๊ะ?”

    “หือ? เป็นอะไรรึเปล่าคะ” แต่อากาเนะตกใจจนเผลอออกเสียงทำให้นิตตะทัก

    “ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร” เด็กสาวตอบปัดรอบสองแล้วกลับไปคุยกับยมทูตหนุ่มต่อ

    ‘อันนี้คือไม่ล้อเล่นใช่มั้ย’

    ‘เรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปดูจากสถานที่จริงที่กำลังจะไปเลย’

     

     


    .

    .

    .

    “แบบนี้ชักไม่ดีแล้วค่ะเพราะเขาตายแบบเดียวกันกับทั้งสามคน” เมื่อไปถึงบ้านของคนรู้จักที่ว่านั่นแล้วผลปรากฏคือที่นั่นมีงานศพโดยผู้เสียชีวิตก็คือโมริชิตะจริงๆ พอนิตตะไปสอบถามมาก็พบว่าเขาเองก็ตายแบบเดียวกันกับผู้เสียชีวิตทั้งสามก็เลยจำเป็นต้องขับรถไปหาข้อมูลอีกที่นึง “เขาอาศัยอยู่บ้านตัวเอง ประตูที่บ้านเลยไม่ใช่ประตูออโต้ล็อกแต่เขาก็ถูกฆ่าที่หน้าประตูบ้านเหมือนกัน เหมือนก่อนหน้านี้ที่กลับบ้านคนเดียวเขาบอกกับครอบครัวคนอื่นว่าไม่ได้ล็อกกุญแจแท้ๆแต่เปิดประตูไม่ได้ ด้วยค่ะ”

     

     

     

    .

    .

    .

    ณ เทศบาลเมืองไซตามะ โรงเรียนมัธยมต้นอุรามิฮิงาชิ

    “ฉันลองไปถามพ่อแม่ของเขาดู แต่พวกเขาบอกไม่รู้ว่าลูกชายไปเกี่ยวข้องกับสามคนที่ตายไปยังไง” ทั้งห้าคนมาที่โรงเรียนมัธยมต้นของเหล่าผู้เสียชีวิต นิตตะเดินคอตกรายงานด้วยสีหน้าอมทุกข์ “เฮ้อ~ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียว…”

    “ด้อนท์มายด์น่า ที่นี่มันต้องมีอะไรบ้างแหละ” อิตาโดริปลอบผู้ช่วยสาว

    “ถ้าเป็นงั้นก็ดีค่ะ” แต่ดูจะไม่ค่อยช่วยได้เท่าไหร่ “ยังไงก็ตามฉันขออนุญาตจากทางอาจารย์แล้ว ขอฝากด้วยนะคะ”

    “รับทราบ”

    “โอ๊ะ? มีพวกเข้าใจอะไรง่ายอยู่ด้วย ต่อยดัดสันดานซักหมัดเหอะ”

    “เพื่อ?” 

    “โนบาระจัง ฉันว่าอย่าดีกว่านะ” ในตอนนั้นเองคุงิซากิก็เห็นนักเลงสองคนกำลังสูบบุหรี่อยู่จึงเสนอให้ลองไปตีซักรอบ แน่นอนว่าอิตาโดริและอากาเนะไม่เห็นด้วย

    “หา?-!?” นักเลงสองคนนั้นที่ได้ยินก็หันมาหาเพื่อเตรียมจะหาเรื่องแต่จู่ๆพวกเขาก็เกิดหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้วก้มหัว90องศาทันที “ข-ขอบคุณที่เหนื่อยครับ!!”

    “อะไรกัน ก็รู้เรื่องดีนี่”

    “ไอ้ออร่าเนี่ย จะซ่อนยังไงก็เก็บไม่อยู่สินะ”

    ‘ทำไมฉันรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ได้ก้มหัวให้สองคนนั้นเลย…’ ในขณะที่สาวผมน้ำตาลและเด็กหนุ่มผมชมพูเชิ่ดหน้ากันอยู่แต่อากาเนะกลับรู้สึกว่าแปลกๆ

    “ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบเลยนะครับ คุณฟุชิงุโระ” สิ้นประโยคของหนึ่งในนักเลง สองคนนั้นก็หน้าแตกทันใดและทุกคนต่างหันมามองเจ้าของนามสกุลที่ตอนนี้เบือนหน้าหนีอยู่

    “เมงุมิคุงเคยอยู่ที่นี่เหรอ” อากาเนะถาม โดยคนถามก็หันหน้าหนีออกกว่าเดิม

    “ฉัน…เรียนม.ต้น…ที่นี่”

    “เรื่องนั้นก็ตกใจอยู่หรอกแต่ไม่ใช่ซักหน่อย มองมาทางนี้เลยนะยะ!” 

    “นายทำอะไร ตอนม.ต้นนายทำอะไรไว้กันเนี่ย! ไม่สิ ถามเจ้าพวกนั้นเร็วกว่า” สองคนนั้นบีบแก้มและหันคอเด็กหนุ่มผมดำให้หันมาทางสองนักเลงโดยคุงิซากิเปิดชิงถามก่อน

    “เห้ย! เจ้าบ้าA เจ้าบ้าB หมอนี่ทำอะไรไว้บ้าง!”

    “พวกเรา…ไม่สิ พวกนักเลงกับเด็กเกคนอื่นแถวๆนี้โดนคุณฟุชิงุโระอัดน่วมกันหมดเลยครับ” นักเลงBพูด และนั่นทำให้สองคนนั้นละมืออกเพราะตกใจและหันมามองคนที่ถูกพูดถึงทันที

    “เคย…อัดน่วม” แน่นอนเจ้าตัวยังคงหันหนีไปทางอื่นอยู่แต่ก็ยังไม่วายที่โดนบังคับให้กลับมาอีกรอบ

    “แล้วทำไมพูดตะกุกตะกักตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะยะ มองมานี่เลยนะ!”

    “ทำอะไร? นายทำอะไรไว้เนี่ย?!”

    “เอ่อ…เมงุมิคุงนี่ตัวท็อปเลยมั้ยคะ” อากาเนะถามสองนักเลงบ้างแล้วชี้ไปที่ฟุชิงุโระ

    “ครับ ตัวท็อปแบบไม่มีใครเอาลงเลยครับ”

    “♪~” เด็กสาวผิวปากแซวด้วยความชอบใจ เพราะดูจากปัจจุบันแล้วฟุชิโระในตอนนี้ดูเป็นเด็กดีที่สุดในบรรดาปีหนึ่งด้วยกัน

    “ผิวปากอะไรของเธอ” ฟุชิงุโระตวัดตาถาม

    “แค่คิดว่าเมงุมิคุงก็มาไกลเหมือนกันนะเนี่ย”

    “นี่เธอ-”

    “นี่พวกเธอเป็นใครกัน! เด็กโรงเรียนอื่นห้ามเข้ามานะ” ในตอนนั้นเองก็มีชายแก่คนหนึ่งที่เป็นบุคคลากรของโรงเรียนมาหาแล้วเอ่ยปากห้าม

    “คุณต่างหากล่ะเป็นใคร ห๊ะ!!?”

    “ก็ภารโรงน่ะสิ แล้วจะซ่าไปทำไมเนี่ย…” อิตาโดริห้ามคุงิซากิที่ไม่รู้ไปโมโหมาจากไหน

    “พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้ามาแล้วค่ะ” นิตตะพูดแล้วโชว์บัตรให้อีกฝ่ายดู

    “อ๋อ พวกเธอนี่เองยังดูเด็กกันทุกคนเลยนะ บัตรผ่านควรห้อยคอไว้หน่อยสิ” ชายแก่ขยับแว่นมองพวกเขาจนกระทั่งเจอกับฟุชิงุโระ “ฟุชิงุโระคุงเหรอ”

    “…หวัดดีครับ” ส่งนคนโดนทักก็หันตามองทางอื่นพร้อมใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงจางๆ

    “โดนจำได้ด้วย~” แน่นอนว่าทั้งอิตาโดริและคุงิซากิยังคงแซวไม่เลิก

    “คนๆนี้อยู่โรงเรียนนี้มานานแล้วเหรอ” นิตตะไปร่วมวงกับสองคนนั้นแต่ก็ยังถามเพื่อเอาข้อมูลอยู่

    “ประมาณนั้นครับ คุณทาเคดะเขาเป็นพนักงานประจำ”

    “งั้นหลังจากนี้ฝากพวกเธอด้วยนะ”

    ‘โยนงานเฉย…’ เด็กหนุ่มผมดำบ่นในใจ แต่ก็สอบถามทาเคดะไปจนได้เรื่องขึ้นมาบ้างแล้วว่าทั้งสี่คนนี้เคยไปบันจี้จัมพ์ที่สะพานยาโซฮาจิ สถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องฆ่าตัวตายและเป็นจุดผีออกที่โดงดั่งแถวๆนั้น แถมในวันนั้นพวกเขาขาดเรียนโดยพลการแต่พอไปถามครอบครัวก็ไม่รู้เรื่องอีกเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้องตามหากันให้วุ่นกระทั่งมาเจอพวกเขาทั้งสี่คนนอนหมดสติที่ใต้สะพานดังกล่าว แน่นอนว่าทั้งสี่คนต่างโดนสวดกันยับแต่ที่แปลกคือพวกเขายืนกรานว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย

    มันแปลกจริงๆนั่นแหละ

    “คงจะใช่แล้วมั้งคะ” นิตตะว่า เพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พวกเขาจึงกลับมาตรงที่จอดรถและคุยกันว่าควรลองไปตรวจสอบที่สะพานนั่นดู

    “ถ้าเป็นสะพานยาโซฮาจิผมเคยไปครับ” ฟุชิงุโระพูด

    “ไปบันจี้จัมพ์?”

    โป๊ก!!

    “โอ๊ย!?” อิตาโดริถามเล่นๆแต่ก็โดนคนผมดำทุบกะโหลกเข้าให้หนึ่งดอก

    “เป็นจุดที่คำสาปที่รวมตัวกันได้ง่ายเหมือนจุดผีออกหรือโรงเรียนเพราะงั้นคนของโรงเรียนไสยเวทจึงต้องออกลาดตระเวนเป็นระยะ” คนผมดำอธิบายต่อ “ตอนนั้นไม่เจอเรื่องแปลกๆเลยครับ มันโด่งดังก็จริงแต่ก็เป็นสะพานที่ใช้สัญจรตามปกติด้วย”

    “แต่ต้องลองไปดูเท่านั้นสินะ” คุงิซากิว่า

    “นั่นสินะคะ” นิตตะเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

    “ฟุชิงุโระคุง” ในตอนนั้นเอง ทาเคดะเห็นว่าทุกคนยังไม่กลับก็เข้ามาทัก “โทษทีนะ มีเรื่องคาใจนิดหน่อยน่ะ”

    “มีอะไรเหรอครับ”

    “ตอนที่อยู่โรงเรียนเคยรบกวนเอาไว้เยอะน่ะนะ สึมิกิคุงสบายดีมั้ย”

    “…ครับ” คำถามของทาเคดะทำเอาฟุชิงุโระเงียบไปพักนึงแต่ก็ตอบกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ‘สึมิกิ?’ แน่นอนว่าพอมีชื่อที่ไม่คุ้นหูออกมาก็ทำให้อากาเนะเกิดความสงสัย

    “สึมิกินี่ใครเหรอ” เด็กหนุ่มผมชมพูถาม

    “พี่สาว”

    “หา?! นี่นายเล่าเรื่องตัวเองน้อยไปแล้วมั้งเนี่ย! หัดดูอากาเนะเป็นตัวอย่างบ้างสิ”

    “ใช่ๆ!” คุงิซากิแว้ดใส่และบอกให้ดูเด็กสาวผมแดงเป็นตัวอย่างบ้าง แน่นอนว่าอิตาโดริเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน

    “เอ่อ…” ส่วนเด็กสาวเจ้าของชื่อได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งเพราะจริงอยู่ที่ว่าเธอได้เล่าเรื่องของตัวเองให้สามคนนั้นฟังมาบ้างแล้ว

    แต่เธอยังไม่เคยบอกพวกเขาเรื่องที่เธอกับเรียวตะมีสายเลือดเดียวกันเลยนะ

     

     



    .

    .

    .

    ตกกลางคืน

    ณ หุบเขาโคอิโนะคิจิ สะพานยาโซฮาจิ

    “ถึงแล้วค่ะ หุบเขาโคอิโนะคิจิ สะพานยาโซฮาจิ” พอตกกลางคืน นิตตะก็ได้ขับรถเหล่าปีหนึ่งมายังสะพานแห่งนี้เพื่อตรวจสอบวิญญาณคำสาป “ทันทีที่ยืนยันวิญญาณคำสาปมาได้ ฉันจะกางม่านทันทีค่ะ”

    “รับทราบ” เด็กหนุ่มผมชมพูขานรับคำสั่งแล้วนิตตะก็ขับรถออกไปทันที ส่วนเหล่าปีหนึ่งก็ทำการตรวจสอบแถวใต้สะพานจนรุ่งสางแต่ก็ไม่เจออะไรเลย ขนาดลองให้อิตาโดริไปบันจี้จัมพ์ด้วยเชือกไวนิลแล้วก็ยังไม่เจอสุดท้ายทุกคนต้องโทรหาให้นิตตะมารับกลับและให้แวะที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อหาของกิน ในระหว่างที่รออากาเนะก็มีอาการสัปหงกหลายทีจนคนที่เหลือต่างตะโกนเรียกให้เธอตื่นอยู่หลายหนจนกระทั่งผู้ช่วยสาวมารับและพาทุกคนไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของกินไปรองท้องรวมถึงรายงานเรื่องคำสาปที่สะพานไปด้วยว่าไม่เจอเบาะแสอะไร

    “ไหวมั้ยเนี่ยอากาเนะ” คุงิซากิถาม

    “ง่วง…” อากาเนะว่าพลางดื่มวิตามินซีไปด้วย

    “กินวิตามินซีแก้ง่วงไปเลย ซื้อมาตั้งห้าขวดก็กินให้หมดด้วยล่ะ”

    ‘ไม่ได้เห็นเจ้าโด๊ปวิตามินซีนานเลยนะ’ ยมทูตหนุ่มแซวขำๆ เพราะอากาเนะเป็นคนไม่กินกาแฟเลยแม้แต่นมรสกาแฟก็ยังไม่กิน แต่ถ้าอยากแก้ง่วงแบบไม่ต้องกินกาแฟก็คงหนีไม่พ้นของเปรี้ยวอย่างวิตามินซีนี่แหละ

    “อ๊ะ! เจอแล้ว ค่อยยังชั่ว! คุณฟุชิงุโระ!” แต่ในตอนนั้นเอง หนึ่งในนักเลงที่เคยเจอที่โรงเรียนเก่าของฟุชิงุโระก็ปั่นจักรยานมาหาพอดีพร้อมกับพาหญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลเข้มและมีกระตามใบหน้า

    “ใครน่ะ?”

    “ก็รุ่นน้องฟุชิงุโระไม่ใช่รึไง คุงิซากิก็แหย่ไปตั้งเยอะนี่” แต่เหมือนสาวผมสีน้ำตาลอ่อนจำไม่ได้ อิตาโดริเลยต้องบอกทวนความจำให้

    “เห็นพูดถึงสะพานยาโซฮาจิ ดีจริงๆที่อยู่” นักเลงคนนั้นพูดด้วยความโล่งใจ

    “ฟูจินุมะ?” 

    “เมงุมิคุงรู้จัก?” 

    “เพื่อนร่วมชั้นน่ะ” ดูเหมือนฟุชิงุโระจะจำหญิงสาวคนนั้นได้ก็ทักชื่อของเธอไป

    “พี่สาวครับ” นักเลงผายมือไปทางหญิงสาวที่พามาด้วย ซึ่งเธอก็โค้งตัวทักทายไปตามมารยาท “เมื่อวานผมเล่าเรื่องคุณฟุชิงุโระให้พี่ฟัง”

    “คือว่า คุณโมริชิตะเขาจัดงานศพใกล้บ้านฉันแล้วได้ยินจากเด็กคนนี้มาว่ากำลังตรวจสอบเรื่องของคนๆนั้นกับสะพานยาโซฮาจิกันอยู่ ก็เลยคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกันรึเปล่า” ประโยคของฟูจินุมะทำให้นิตตะส่ายหัวส่งสัญญาณให้ฟุชิงุโระว่าอย่าพึ่งบอกอะไรมากนัก

    “เกี่ยวอะไรเหรอ”

    “ก็เรื่องที่คุณโมริชิตะตายกับเรื่องของสะพาน…”

    “ไม่เกี่ยวกันหรอก พวกเราก็แค่-”

    “ฉัน…ฉันไปมาน่ะ ไปที่สะพานยาโซฮาจิตอนกลางคืนตอนที่อยู่ม.2” 

    ”แหงะ--”

    “ห๊ะ?” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว ทำเอาคุงิซากิและอากาเนะร้องอุทานในขณะที่สองหนุ่มไม่ได้อุทานอะไร

    “ช่วงนี้ที่บ้านมีเหตุการณ์แปลกๆบ้างมั้ยคะ” ผู้ช่วยสาวถาม “อย่างความรู้สึกแปลกๆที่ในครอบครัวมีแค่ตัวเองที่รู้สึกได้?”

    “…บ้านฉันเป็นร้านขายของฝากท้องที่ค่ะ แต่เฉพาะตอนที่ฉันกลับประตูออโต้ของร้านมันชอบเปิดทิ้งไว้ค่ะ” หญิงสาวเล่าด้วยความหวาดกลัว “พ่อกับแม่บอกว่าแค่บังเอิญ แต่มันต้องมีบางอย่างอยู่แน่ๆค่ะ”

    ‘เลือกเฉพาะคนที่ไปสะพานนั่น…แต่คำสาปก็ไม่ได้ส่งผลทันทีหลังจากที่ไปมาแล้ว น่าสงสัย’ เรียวตะคิด

    “ฉันกลัวมาก และในตอนนั้นฉันก็ได้ยินเรื่องของฟุชิงุโระคุงก็เลยนึกเรื่องสะพานยาโซฮาจิขึ้นมาได้”

    “เรื่องประตูออโต้นี่เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” นิตตะถามต่อ

    “หนึ่งอาทิตย์ก่อนพอดีค่ะ เลยมาวันนึงได้”

    “ตอนนั้นไม่ได้ไปสะพานแค่คนเดียวใช่มั้ย จำได้มั้ยว่าไปกับใคร” คุงิซากิถามบ้าง

    “มันเกี่ยวกันจริงๆด้วยสินะคะ” 

    “หมายถึงประตูออโต้น่ะนะแต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณโมริชิตะตายหรอกค่ะ ฉันก็แค่ให้พวกฟุชิงุโระคุงช่วยทำรายงานที่มหาลัยของฉันเท่านั้นเอง” ผู้ช่วยสาวพูดโกหกเบี่ยงเบนความสนใจเนื่องจากไม่ต้องการให้คนทั่วไปรู้เรื่องวิญญาณคำสาปที่พวกเขาตามสืบอยู่พร้อมควงแขนคุงิซากิเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ “ผลกระทบต่อคลื่นไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าในจุดผีออก เพลียสุดๆเลยค่ะ!”

    “เพลียจนอยากจะกลับไปนอนจริงๆนะคะ…” อากาเนะบ่น

    “แต่ว่าอยากจะฟังจากหลายๆปาก เพราะงั้นอยากให้ช่วยบอกชื่อคนที่ไปด้วยกันหน่อยค่ะ”

    “…คนที่ไปทดสอบความกล้าด้วยกันเป็นรุ่นพี่ในชมรมสองคนค่ะ” หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจชื้นและมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “จริงด้วยฟุชิงุโระคุง ตอนนั้นคุณสึมิกิก็ไปด้วยนะ

    ‘ชิบหายของจริง…’

    ‘งานหยาบแล้ว…’ ทางยมทูตหนุ่มและเด็กสาวผมแดงได้แต่ตกใจอยู่ภายในใจเพราะไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีพี่สาวของฟุชิงุโระด้วย

    “…เหรอ งั้นเดี๋ยวจะถามกับสึมิกิดูนะ” เด็กหนุ่มผมดำตอบโดยยังคงสีหน้านิ่งเฉยไว้อยู่ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร

    “งั้นเดี๋ยวฉันพาสองคนนี้ไปส่งที่บ้านเอง ฝากช่วยทำรายงานต่อให้ด้วยค่ะ” นิตตะว่าแล้วพาสองคนน้้นกลับไปส่งที่บ้าน

    “ฟุชิงุโระ ฟุชิงุโระ!” อิตาโดริเขย่าไหล่เด็กหนุ่มผมดำที่ตอนนี้หน้าเสียเรียบร้อยแล้ว

    “โฮ่ย! ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นห่วงพี่ตัวเองแต่ตอนนี้เจ้าต้องตั้งสติก่อน” เรียวตะพูดออกมาจากลูกแก้ว

    “ใช่ๆ! ตั้งสติเอาไว้ นายเช็คก่อนว่าพี่นายปลอดภัยรึเปล่า” 

    “ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอกที่เป็นห่วง พวกเราทุกคนก็เป็นห่วงคุณสึมิกิเหมือนกันนะ” อิตาโดริและอากาเนะเสริม

    “…ฉันไม่เป็นไร โทษทีฉันขอตัวเดี๋ยว” แล้วฟุชิงุโระก็ขอแยกตัวไปตั้งสติ ทำให้สามคนที่เหลืออดเป็นห่วงไม่ได้

    ‘เรียวตะ’ ในตอนนั้นเองอากาเนะก็เรียกยมทูตหนุ่มพอดี

    ‘ว่า?’

    ‘ไปหาข้อมูลคุณสึมิกิมาให้หน่อยได้มั้ย’

    ‘หาได้ตั้งแต่ตอนได้ยินชื่อครั้งแรกที่โรงเรียนแล้วจ้าหนู’

    ‘งานไวจริงๆ…’ ประโยคของอีกฝ่ายทำเอาเธอรู้สึกยอมใจ ‘แล้วได้อะไรบ้างมั้ย’

    ‘บอกตามตรงว่าที่ไปหามาได้มันแอบน่าสงสัยอยู่’

    ‘?’

    ‘คืองี้…’

     

     

    “ทำไมถึงคุยกับคุณอิจิจิล่ะ”

    “พี่สึมิกิปลอดภัยดีมั้ย”

    “บอกพวกเราได้นะเมงุมิคุง” ทั้งสามคนไปหาฟุชิงุโระที่นอกจากจะแยกตัวไปตั้งสติแล้วยังมีโทรหาอิจิจิเพื่อรายงานเบาะแสของงานที่ตัวเองรับมา

    “ไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นความอันตรายของภารกิจเพิ่มสูงขึ้นแล้ว” เด็กหนุ่มผมดำเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “เรื่องนี้จะส่งต่อให้กับผู้ใช้คุณไสยคนอื่น พวกนายกลับไปได้แล้ว”

    “…ไม่เอา” อากาเนะปฏิเสธ “ถ้านายบอกแบบนี้แปลว่าจะจัดการเองคนเดียวใช่มั้ย”

    “...”

    ‘ข้าว่าใช่ หมอนี่จะจัดการทุกอย่างคนเดียว’ พอฟุชิงุโระไม่ตอบกลับ เรียวตะก็นึกได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายจะจัดการทุกอย่างเอง ยิ่งการยัดทั้งสามคนเข้ารถที่นิตตะมารอรับยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูก

    “อะไรเล่า! แค่พวกฉันเหรอ แล้วฟุชิงุโระล่ะ?!” เด็กหนุ่มผมชมพูถาม

    “เดี๋ยวฉันจะไปลาคุณทาเคดะก่อนแล้วค่อยกลับ เอ้า ไปได้แล้ว” ฟุชิงุโระตัดจบแล้วรถของนิตตะก็ขับออกไปทันที

    ‘เอาไงต่อล่ะ อากาเนะ’ ยมทูตหนุ่มถาม

    ‘นายก็รู้อยู่แก่ใจแล้วนี่ว่าพวกฉันจะทำยังไงต่อ’

     

     

     

     

    .

    .

    .

    ตกกลางคืน ใต้สะพานยาโซฮาจิ

    “เล่าเรื่องตัวเองน้อยไปแล้วนะนาย”

    “จริง”

    “ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเป็นห่วง แต่ให้ตัวเองมาจัดการคนเดียวแบบนี้พวกฉันไม่โอเคนะ” แน่นอนว่าทั้งคุงิซากิ อิตาโดริ และอากาเนะก็เลือกที่จะไม่ปล่อยให้คนผมดำต้องทำภารกิจคนเดียวเลยแอบตามมาด้วย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองโดนแอบตาม ส่วนฟุชิงุโระที่เพิ่งรู้ตัวก็กัดฟันกรอดว่าทำไมสามคนนั้นถึงตามมาอีก

    “นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่รู้ตัวขนาดนี้ คงจนตรอกจริงๆนั่นแหละ” คุงิซากิว่า

    “จะไม่บอกให้เล่าทุกอย่างหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็มาพึ่งกันบ้างสิพวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” 

    “...” คำพูดของอิตาโดริเตือนสติของเด็กหนุ่มผมดำจนสุดท้ายเขาก็ยอมเล่าทุกอย่างแต่โดยดี “สึมิกิ…ยังหลับไม่ตื่น”

    “?”

    “คำสาปยาโซฮาจิจะปรากฏออกมาต่อหน้าผู้โดนสาปเท่านั้น ในเมื่อเจ้าตัวยื่นเรื่องอะไรไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนคำสาปฆ่าเมื่อไหร่เพราะงั้นฉันอยากจะปัดเป่ามันเดี๋ยวนี้”

    ‘แปลว่าสัญลักษณ์ที่นายเห็นนั่นก็น่าจะมาจากที่นี่แล้วล่ะ’

    ‘แต่มันก็แปลกอยู่ดี คำสาปที่นี่มันรุนแรงถึงขั้นทำคนอยู่ในสภาพนิทราเลยเหรอ’ เด็กสาวผมแดงคุยกับยมทูตว่าตอนที่เขาไปหาข้อมูลสึมิกิมา เขาเห็นว่าที่หน้าผากของเธอมีสัญลักษณ์แปลกๆปรากฏอยู่ทำให้เขาได้แต่สงสัยว่ามันมาจากไหน ถึงจะรู้ว่ามันมาจากสะพานนี่ก็ไม่ทำให้เขาหายสงสัยว่าทำไมมีแค่สึมิกิคนเดียวที่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราในขณะที่คนอื่นๆยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็ต้องแลกกับการโดนคำสาปที่เตรียมจะฆ่ากันเมื่อไหร่ก็ได้

    “แต่ที่บอกว่าระดับความอันตรายของภารกิจสูงขึ้นคือเรื่องจริง-”

    “ค่าๆ รู้แล้ว”

    “ก็บอกแบบนั้นตั้งแต่แรกสิ” คุงิซากิและอิตาโดริพูดตัดจบบทสนทนาสุดแสนจะเคร่งเครียดแล้วเดินออกมา ทำให้ฟุชิงุโระนิ่งไปพักนึงก่อนจะยิ้มออกมา

    “หือ? เมื่อกี้เจ้ายิ้มเหรอ”

    “?!” แต่พอโดนเรียวตะที่อยู่ในลูกแก้วทักเท่านั้นแหละ ฟุชิงุโระก็หุบยิ้มทันที 

    “ห๊ะ อะไรนะ เมื่อกี้ฟุชิงุโระยิ้มเหรอ!” แถมอิตาโดริก็ไปได้ยินเข้าก็รีบวิ่งตรงมาหาทันที

    “เปล่าซักหน่อย นายตาฝาดแล้วเรียวตะ” เด็กหนุ่มผมดำพูดกลบเกลื่อน

    “เรอะ? ข้าว่าข้ามองไม่-”

    “นายตาฝาดจริงเถอะเรียวตะ” อากาเนะพูดโพล่งออกมาจนทุกคนหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว

    “หา? นี่เจ้า-”

    “ฉันว่าอยู่เงียบๆแล้วรอให้คำสาปออกมาดีกว่านะ ตอนนั้นฉันจะให้นายจัดการได้เต็มที่เลย”

    “…ก็ได้ๆ ครั้งนี้ข้ายอม” แต่ไม่นานเธอก็เกลี้ยกล่อมให้ยมทูตหนุ่มเลิกเซ้าซี้ไปได้ดื้อๆจนทุกคนงงกันว่าทำได้ไง

    “ปกติเธอสั่งเจ้าหมอนี่สงบปากสงบคำได้แบบครั้งเดียวจอดเลยเหรอ” คุงิซากิถาม

    “ได้แต่ไม่บ่อยนะ”

    “ขอรู้วิธีหน่อยได้มั้ย เผื่อจะเอาไปใช้กับสุคุนะได้ซักวัน”

    “เอ่อ…แค่เป็นสุคุนะจะใช้วิธีไหนมันก็ไม่ได้ผลทั้งนั้นแหละยูจิคุง” เด็กสาวหน้าแห้งกับคำขอที่สุดแสนจะเป็นไปไม่ได้ของอิตาโดริ ซักพักสองคนนั้นก็เดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนอากาเนะกับฟุชิงุโระยังไม่ได้ตามไปแต่ไม่นานอากาเนะก็หันมาหาคนผมดำก่อนจะยิ้มและเอานิ้วชี้วางบนริมฝีปากตัวเองพร้อมขยิบตาไปหนึ่งทีเป็นการบอกนัยๆว่าเห็นนะแต่เงียบไว้ให้แล้ว จากนั้นเธอก็ตามสองคนนั้นไป

    “…:)” ส่วนฟุชิงุโระเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอีกรอบที่ได้อากาเนะมาช่วยเขาไม่ให้โดนเซ้าซี้ไปมากกว่านี้และตามทุกคนไป

    ส่วนขั้นตอนที่จะทำให้คำสาปแห่งนี้มันปรากฏออกมา พวกเขาหาวิธีได้แล้วก็คือเมื่อถึงตอนกลางคืนให้มาที่สะพานยาโซฮาจิแล้วลงมาใต้สะพาน จากนั้นก็ให้ตามหาแม่น้ำ

    และให้กระโดดข้ามไปอีกฝั่ง

     

    ครืนนนนน!!!

     

    ทันทีที่กระโดดข้ามมา บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับเข้ามาในอีกมิติ มีหลุมตัวตุ่นมากมายผุดจากบนพื้นและเพดานพร้อมส่งเสียงกรีดร้องจนแสบแก้วหู

    “ดูคุ้มค่าให้ปัดเป่านะ” คุงิซากิว่า

    “แต่แสบแก้วหูจริงๆ…” อากาเนะว่าพลางเอานิ้วอุดหูตัวเอง

    ตึกๆๆๆๆๆ!!!!

    “ยี๊ ฮ่าาาาาาาาา!!!”

    “?!”

    ตู้ม!!!

    ‘อะไรวะเนี่ย?!’ แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมพุ่งมาจากด้านหลังจนทุกทุกคนต้องเบี่ยงตัวหลบ และมันก็คือวิญญาณคำสาผตัวใหญ่ที่มีเลือดออกตามตาและปาก แถมปากของมันก็กว้างมากด้วย

    “อะไรอ่ะ มีคนมาก่อนเหรอ” คำสาปตัวนั้นพูด นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่คำสาประดับทั่วๆไป แน่นอนว่าทุกคนก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทันที

    “ฟุชิงุโระ เจ้านี่มันคนละตัวกันสินะ” อิตาโดริถาม

    “อา”

    “งั้นพวกนายมีสมาธิกับทางนั้นซะ เจ้านี่ฉันจะปัดเป่าเอง” พอเด็กหนุ่มผมชมพูเอ่ยแบบนั้น เจ้าคำสาปก็หัวเราคิกคักด้วยความชอบใจ

    “อะไร จะเล่นด้วยเหรอ ฮิๆๆๆๆ”

     

     

     

     

    .

    .

    .

    talkๆ desu: เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟแล้วค่าาาาาาาาาาา อยากจะบ้าตายกับการบ้านมาก เพราะเดือนหน้าก็จะสอบไฟนอลแล้ว กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ชั้นอยากลาออกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจในการแต่งต่อไป

     

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย

    twitter: @bdm1228

    bluesky (อันนี้เป็นแอพใหม่ที่ceoทวิตเตอร์คนก่อนสร้างหลังจากโดนอีลอนไล่ออกมา มาฟอลกันได้นะคะ) : https://bsky.app/profile/bdm1228.bsky.social

            
    Z K T
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×