ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #30 : TOM (or) BOY - 28

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 55


      TOM (or) BOY  

    28

     



    หมายเหตุ : คนแต่งไม่ได้มาต่อนานมาก ใครลืมเรื่องไปแล้ว รบกวนย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอน 26 ใหม่นะคะ จะได้อิน


    .
    .
    .
     

     


     

     

    มือขวากับมือซ้ายที่จับกันไว้อย่างแน่นหนา เกาะกุมยาวนานจนกระทั่งปลายเท้าหยุดลงที่หน้าบ้านเมื่อฝ่ายหนึ่งล้วงหยิบกุญแจบ้านมาเปิดประตู  บ้านหลังเดิมค่อยๆ สว่างไสวเมื่อสวิตช์ไฟถูกกดเปิด ไม่มีใครพูดอะไรออกไป ราวกับปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมดา บรรยากาศแม้จะเงียบเชียบไปเสียหน่อยแต่ไม่ถึงกับเงียบงัน

    เจ้าของบ้านเดินนำอีกคนไปยังห้องครัวด้วยเพราะเลยเวลาอาหารมื้อเย็นมามากแล้ว  กับข้าวตั้งแต่เช้าที่ยังเหลือประกอบกับที่ซื้อเพิ่มมาอีกสองอย่าง เพียงไม่นานเมื่อนำมาอุ่นทุกอย่างก็พลันเรียบร้อย

    อาหารที่ถูกอุ่น กับใครบางคนที่คุ้นตา

    คชายิ้มบาง ตักข้าวในจานพลางเหลือบมองอีกคน ในความเงียบนั้น หัวใจกำลังเต้นดังออกมาเหมือนความรู้สึกที่ปะทุออกมาในใจ...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กินข้าวด้วยกันสองคน หากแต่กระนั้น แม้ในใจเต๋าจะยังคงมีความขุ่นเคืองที่ยังไม่ได้สะสาง ทว่าอาหารบนโต๊ะแทบทุกจานก็เป็นอย่างที่เราชอบกิน

    “อร่อยดีนะ”  คชาว่า มือตักอาหารที่ชอบ ...กินข้าวกับอีกคนมาไม่กี่รู้กี่มื้อต่อกี่มื้อ แต่ไม่รู้เพราะอะไร มันกลับเป็นครั้งที่เขาประหม่าที่สุด

    “อ้ะ...”  ทำใจอยู่นานกว่าจะกล้ายื่นช้อนตัวเองส่งให้ เขาสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เป็นครั้งแรก แววตาคู่นั้นประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมอ้าปากรับการป้อนแต่โดยดี

    หากมือคนป้อนนี่สิ กลับนิ่งค้างไปกับภาพที่เห็น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายยื่นหน้ามารับมันไปเสียเอง...

    ไอ้คชาเอ๊ย จะป้อนข้าวสักคำ ทำดีๆ กับเขาสักหน่อยก็พลาดอีกแล้ว

    ใบหน้าหวานก้มหน้าคิ้วขมวดยุ่งก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างสงสัย เริ่มจะโล่งใจที่อีกคนดูเย็นลงเยอะ ซ้ำยังไม่มีท่าทีหมางเมินใส่กันเท่าไหร่นัก

    จนตอนกินข้าวเสร็จแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องเข้าประเด็นกันเสียที  “ขอโทษนะเต๋า เรื่องเมื่อคืน”  ว่าไปมือก็รวบช้อนส้อมในจานแก้เก้อ

    “กะแล้วว่าต้องพูดคำนี้”  เสียงทุ้มตอบเรียบๆ แต่ท่าทีเป็นต่อเห็นๆ

    “ก็เราผิดจริงๆ”  พูดไปมือก็อยู่ไม่สุขอย่างร้อนรน  “ขอโทษที่คิดถึงแต่ตัวเอง ขอโทษที่เมื่อคืนโกหก เราก็แค่อยากออกไปเที่ยวบ้าง”

    “ไม่อยากให้ไปด้วย?”

    “ก็...”  จะตอบว่าไม่ใช่ก็คงไม่ถูกนัก  “อืม...มันก็เหมือนตอนแอบหนีแม่ออกไปเที่ยวแล้วไม่บอกนั่นแหละ ถ้าแม่รู้แล้วแม่บอกไม่ให้ไปจะทำยังไงล่ะ ไม่ได้อยากโกหกหรอกนะ แค่อยากทำอะไรตามใจตัวเองสักครั้งนึง”  เหตุผลที่ยกมาไม่รู้อีกคนจะคิดว่ายังไง แต่มันคือคำตอบที่ตรงใจเขาที่สุดแล้ว

    เมื่อไม่เห็นอีกคนย้อนแย้งอะไร เสียงเดิมจึงเอ่ยต่อ  “จริงๆ ตอนแรกจะไปกับพี่ตี๋สองคน แต่กลัวไม่มีเพื่อนกลับหอเลยชวนปอไปด้วยน่าจะสนุกกว่า เห็นว่าอยู่หอเบื่อๆ”  ใบหน้าเต๋ายังคงนิ่งฟัง  “พี่ตี๋เป็นพี่รหัสเราเองแต่ไม่ค่อยเจอกัน เขาเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นบอกจะเลี้ยงเหล้าเราก็เลยตกลงไป”

    “พี่รหัส?”

    “ใช่ แต่ไม่ได้สนิทกันหรอก ไม่ได้เจอกันบ่อย เปิดเทอมมาเจอพี่แกไม่ถึงห้าครั้ง”  หรืออาจจะห้าครั้งพอดี คชาพยายามระลึกอยู่ในใจ ก่อนจะนึกได้ว่าไม่ใช่สาระสำคัญในตอนนี้

    “อย่าขี้หึงนักสิ มันไม่มีอะไร เมื่อคืนมันเมาๆ”  เรื่องจริงก็คือเขาจำอะไรแทบไม่ได้สักอย่าง จนพี่ตี๋เล่าให้ฟังถึงได้รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันชวนคิดไปในทางนั้นอยู่ไม่น้อย

    “ไม่หึงนะ”  มือบางจับมืออีกคนฝ่ายเอาไว้ แตะมันเบาๆ เหมือนกับไม่กล้า

    “รู้แล้ว”  เต๋าตอบสั้นๆ  “หึงไม่ได้ใช่ไหม...”  ประโยคนั้นไม่ใช่คำถาม หรือถ้าจะถามใครสักคน คนนั้นก็คงเป็นตัวเขาเอง

    “เปล่า...อย่าคิดแบบนั้นสิ”  มือบางรีบดึงมืออีกฝ่าย จับมันไว้แน่น  “เรายังหึงเต๋าเลย เต๋าก็หึงเราได้เหมือนกัน”

    “ตอนไหน?”

    “นั่นสิ ตั้งแต่ตอนไหน...” ที่เต๋าเริ่มรู้จักกับแฟง

    คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ เขาไม่รู้ จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะเป็นเขาเองที่ห่างจากอีกฝ่าย ละเลยกันไปจนแทบไม่รู้ตัว

    ในช่วงที่ตัวเราห่างไกล...เป็นไปได้ไหมว่าใจจะห่างกัน?

    ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ บรรยากาศดูน่าอึดอัดก่อนที่คชาจะเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยอะไรบางอย่างที่ค้างคา

    “เต๋า...รู้สึกยังไงกับแฟง?”  ในคำถามนั้น ตาคู่เรียวฉายความลังเลออกมาชัดเจน  มีใครเคยบอกไหมว่าคชาเป็นคนไม่มีความมั่นใจโดยเฉพาะเรื่องแบบนี้...กว่าเขาจะกล้าตัดสินใจยอมรับ กว่าจะกล้าจับมือเดินไปข้างๆ ก็ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาพักใหญ่

    “แฟงก็น่ารักดี”

    สั้นง่ายได้ใจความ คำตอบที่คนฟังไม่ได้คาดไว้ถูกเอ่ยออกมา คชานิ่งอึ้งพักใหญ่ก่อนจะแสร้งยิ้มบางๆ

    “น..น่ารัก?” 

    “อื้อ คุยสนุก ร่าเริง”  เต๋าว่าพลางแย้มยิ้มบางที่เฉือนหัวใจคนมอง

    “หรอ...หรอ... เราก็...ว่างั้น”  คชาว่าพลางคิดตาม... ใช่ แฟงเป็นคนน่ารัก พูดจาวางท่าวางตัวดี เพราะอย่างนั้นถึงมีแต่คนมาชอบเธอ หลายคนต้องรอเก้อแต่กลับทนยอมที่จะรอต่อไป

    แต่สำหรับเต๋าที่แฟงมีใจให้ คงจะไม่ต้องกอดเข่าเช็ดน้ำตาเหมือนคนอื่นๆ สินะ

    คิดแล้วก็เจ็บแปลบขึ้นมาในอก... คชาก็แค่คนธรรมดาที่อยากรักคนที่เขารักเรา ไม่ใช่พระรองละครน้ำเน่าที่คอยยินดีที่เห็นเขาสมหวัง

    กว่าจะทำใจให้เงยหน้ามองอีกคนก็เป็นเวลาหลายชั่วอึดใจ รอยยิ้มเฉไฉผุดขึ้นบนริมฝีปากบางอีกครั้ง  “แฟงเขาชอบนาย”  สรรพนามที่ไม่ได้ใช้มานานแล้วถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง  “ถ้านายชอบเขา...ก็คงสมหวัง”

    “งั้นหรอ”  แม้คำตอบไม่ยินดียินร้าย แต่กลับบั่นทอนจิตใจคนฟังไม่น้อยเลยทีเดียว

    ความอึดอัดเข้าแทรกแซงเพียงอึดใจ แต่ก็มากพอให้เขาคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง  “หมดเรื่องจะคุยแล้ว กลับหอดีกว่า...”  แสร้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกพรวดจากที่นั่งของตน  แม้คชาจะเป็นคนตัดสินใจอะไรช้าเกือบทุกครั้ง แต่เมื่อจะไปมันกลับรวดเร็วง่ายดายเพราะไม่อยากอยู่ให้ทรมานใจตัวเอง

    ขอกลับเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยอีกครั้งนึง

    “ขอโทษเรื่องเมื่อวานอีกทีนะ...เรื่องก่อนหน้าด้วย”

    มือบางหยิบกระเป๋าของตน ขาก้าวฉับๆ อย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด... ไม่เคยนึกว่าเราต้องบอกลากันเร็วขนาดนี้ ใจคนเราเปลี่ยนแปลงกันง่ายดายเสียจริง

    ตั้งแต่เต๋าชอบแพรวา จนเปลี่ยนมาชอบเขา แต่ยังไงซะเต๋าก็คงชอบผู้หญิง

    จริงรึเปล่า...ที่เคยได้ยินว่าความรักของผู้ชายด้วยกันมันไม่ยั่งยืน

     
     

    เพราะบ้านหลังนี้เป็นเพียงตึกแถวหลังไม่ใหญ่ ไม่ได้กว้างขวางมากมาย แม้เพียงชั่วนาทีก็ถึงหน้าประตูบ้านเสียแล้ว  มือบางจับประตูไว้แน่น หากแต่ออกไปไม่ได้ด้วยกุญแจที่ล็อคเอาไว้แน่น

    คชาหันหลังกลับไป เห็นร่างอีกคนที่เดินตามออกมา

    “เต๋า...”  ใบหน้านั้นยังคงนิ่งเรียบยากจะคาดเดา ไม่มีคำรั้งอ้อนวอนเขา หากแต่ก็ไม่ได้ผลักไสไล่ส่งกัน

    ในแววตาคู่นั้น...นิ่งเสียจนไม่รู้ว่าคิดอะไร

    มืออบอุ่นคู่นั้น...ถือกุญแจดอกเดิมไว้อยู่

    “ขอได้ไหม?”

    คว้ามืออีกคนขึ้นมา...แกะมือที่กำกุญแจหลวมๆ เอาไว้

    “อย่าชอบเขานะเต๋า...อย่าชอบเขาเลย”  ไม่ได้ดึงกุญแจออกไป เพียงแต่ดึงมืออีกคนไว้แทน  เสียงนั้นเอ่ยไม่เบา เคล้าน้ำตาเจ้าเอยที่ไม่รู้ไหลจากไหนมารวมกัน

    “เรารักเต๋านะ เต๋าไม่รักเราแล้วหรอ?”  บ่อน้ำตาแตกพรากแล้วก็คงไม่มีอะไรต้องอาย คชาโผเข้ากอดอีกคนไว้ราวกับจะอ้อนวอน

    ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้...ฝ่ามืออบอุ่นลูบศีรษะเด็กขี้แยเอาไว้แผ่วเบา แขนอีกข้างกอดเกี่ยวเอาไว้ให้รู้ว่าเต๋ายังอยู่ที่เดิม

    “ก็ยังไม่ได้บอกว่าชอบเขาสักคำ ทำไมชอบคิดเองเออเอง”

    “ไอ้บ้า...ฮึก..มาแกล้งเราได้ลงคอ ฮือ~

    “ไม่ได้แกล้ง แค่อยากรู้ว่าจะทำไงต่อ จะหนีปัญหาไปแบบคราวก่อนรึเปล่า...”  กระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม  “แต่เราดีใจ ที่คชาเลือกจะรั้งเราไว้แทน...”

    ยิ่งปลอบยิ่งร้องไห้จ้า คชาเอาหน้าซุกหัวไหล่อีกคนหวังให้มันช่วยซับน้ำตาที่ไม่มีวี่แววจะขาดสาย...วูบแรกมันมาจากความเสียใจ หากแต่ตอนนี้เจือไปด้วยความสุขที่เอ่อล้นเต็มประดา

    ถ้าการรักใครสักคนคือการเอาตนเองไปแขวนไว้กับคนนั้น ตอนนี้เขาก็พร้อมที่จะทำมันแล้ว


    “ชาค่ะ...ตอนนี้เราจะเลิกเป็นเพื่อนกันได้รึยัง?"

     

     





                เสียงข่าวภาคค่ำยังคงรายงานปกติไปตามเคย คชาที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยฟุ้งด้วยกลิ่นแชมพูหอมหวานเดินลงมาหาลูกชายคนโตที่นั่งดูทีวีรอที่ห้องรับแขกด้านล่าง ผ้าขนหนูสีขาวในมือถูกอีกคนแย่งมาเช็ดผมให้แทน

                คชานั่งลงบนพื้นพรมหน้าโซฟา ให้คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเช็ดผมให้ตนได้สะดวก มือคว้ารีโมทมาเปลี่ยนเป็นช่องเคเบิลการ์ตูนพลางนั่งดูมันอย่างมีความสุข  ริมฝีปากแย้มยิ้มกว้าง ตอนนี้ย่ำค่ำแล้ว แม้ไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ หากแต่โลกกลับสดใสอย่างบอกไม่ถูก

                “หอมจัง”  เสียงทุ้มว่าพลางยื่นจมูกมาดมกลิ่นเส้นผมนั้นเสียใกล้

                “ก็ใช้อันเดียวกัน จะหอมอะไร”

                “แล้วใครว่าหอมแชมพู”  เต๋าว่าแล้วจมูกก็หอมบนศีรษะอีกคนดังฟอด แล้วจึงแกล้งใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมอีกคนเล่น

                “สนุกนักใช่ไหม แกล้งชาวบ้านเขาเนี่ย”  แม้เสียงเล็กจะบ่นพึมพำแต่ก็ยิ้มบาง แม้ตาจะจดจ่อกับเจ้าตัวการ์ตูนในจอแก้วตรงหน้าก็ตาม

                “ชาวบ้านที่ไหน แฟนต่างหาก”

                “แฟนเฟินอะไร...ยังไม่ได้รับปากสักคำ”  หันมาเอ่ยกับคนด้านหลังพลางยิ้มเป็นกวนเข้าให้สักที

                “หรอ? แล้วจะทำไงดี หรือเราจะข้ามขั้น”  คนพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนาเลื่อนจากศีรษะอีกคนลงมาตามแนวกกหู แตะเบาๆ แต่ก็พอให้อีกคนรู้สึกวาบหวิว

                ตอนนั้นเอง คชาจึงเข้าใจความหมายของ ข้ามขั้น แจ่มแจ้งเสียที

    “ไอ้บ้า ไอ้ทะลึ่ง...เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก”  แต่อย่างที่บอกว่าคชาเก่งเรื่องตีเนียนเป็นทุนเดิม  “อยากเจ็บตัวหรอต๋าวววววว”  ถามพลางพยายามทำหน้าเหนือกว่าสุดฤทธิ์ แม้อีกฝ่ายจะไม่มีทีท่าสะทกสะท้านสักนิดเดียว

    “ถ้าต้องเจ็บเพราะรักคชาก็ยอม”

    “แหวะ! จะอ้วก”

    “อ้าว...ยังไม่ทันทำอะไรแพ้ท้องอีกแล้วหรอชาค่ะ”

    เอ่อบบบบ......

    คนตัวเล็กแทบจะกุมขมับทันทีที่ได้ยินอีกคนพูด ไม่รู้จะสงสารตัวเองดีไหมที่มาเจอนายเศรษฐพงศ์ในโหมดนี้ แต่ท่ามกลางความรู้สึกนั้นมันกลับสบายใจ

    ผ้าขนหนูผืนหนาถูกโยนใส่หน้าอีกคนที่ทำหัวเราะเมื่อเขาเถียงต่อไม่ถูก คชาลุกไปนั่งบนโซฟาก่อนจะแกล้งทำร้ายใบหน้าอีกคนผ่านผ้าผืนนั้นบ้าง

    “เต๋าเอ๊ย...ทำไมถึงได้เสี่ยวแบบนี้วะ? วันๆ กินอะไรเป็นอาหาร?”  พูดไปมือก็แกล้งอีกคนไปพลาง

    “กินชา...โอ๊ย!  คนถูกแกล้งโอเวอร์แอคติ้งเมื่ออีกคนแกล้งบิดแก้มขาวของตน เสียงดังไปทั่วบ้านแต่คงไม่ต้องเกรงใจใครเพราะตอนนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เลย

    “เก่งนักนะไอ้เรื่องพูดจากำกวม... ใครกินใครกันแน่เหอะ รู้เปล่าเราชอบกินขนมลูกเต๋านะ”  คชาว่าขณะที่ดึงผ้าขนหนูออกจากใบหน้าอีกคนที่กำลังยิ้มแก้มปริ่ม

    “ขนมลูกเต๋า? เป็นยังไง?”

    “หือ... ก็ลูกสี่เหลี่ยม หวานๆ มันๆ”  เสียงใสตอบอีกคนแม้ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถาม  ทว่าไม่ทันเอ่ยปากต่อ ริมฝีปากบางก็ถูกช่วงชิงลมหายใจไปเสียก่อน  ลิ้นร้อนไล่รุกรานเข้ามาจากด้านนอกสู่ภายใน หยอกล้อเคล้าคลอเคลีย

    “รสชาติเหมือนกันไหม?”  เต๋าถามเสียงพร่า  “หรือยังชิมไม่พอ?”  ไม่รอคำตอบ...คนเจ้าแผนการก็มอบรสสัมผัสให้อีกคนได้ชิมอย่างจุใจต่อ แม้โดยรูปการณ์ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นคนถูกชิมมากกว่าก็ตาม

    จะว่าไป เต๋ากับขนมลูกเต๋าอาจไม่ได้ต่างกันมากมาย รสชาติหวานที่ปลายลิ้น พาให้หลงมัวเมาในอารมณ์โดยง่ายดาย

    ต่างกันตรงที่ขนมลูกเต๋าอยากกินก็หาซื้อได้ แต่(ไอ้)เต๋าคนนี้ไม่มีขายที่ไหนอีก

    เสียงการ์ตูนที่ดังออกจากโทรทัศน์กลายเป็นเพียงฉากหลัง เสียงอื้ออึงในลำคอต่างหากที่กลายเป็นตัวเอก ผสานสอดคล้องกับหัวใจที่เต้นดังราวกับตีกลองอยู่ในอก

    “อุ๊ย!  หากแต่เสียงแปลกปลอมที่เข้ามาในฉากทำเอาคนตัวเล็กเบิกตาโพลง หันไปมองด้านหลังเป็นน้องชายร่างผอมสูงกับน้องสาวแก้มยุ้ยที่ยืนอยู่ไม่ไกล  เต๋าหยุดให้อีกคนชิมเมื่อถูกมือเล็กทุบแผ่นหลังประท้วง ก่อนจะหันไปมองสองต.ที่ยืนมองไม่สะทกสะท้าน

    “กินข้าวมารึยัง?”  เสียงทุ้มทักทายน้องทั้งสองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า ขัดกับอีกคนที่เลือดไหลสูบฉีดไปที่แก้มทั้งสองจนแดงเถือก

    “อ๋อ กินมาแล้วพี่เต๋า”  น้องชายตอบ  “เดี๋ยวเต๋อไปอาบน้ำก่อนละกัน ร้อน”

    “ต๋อก็ไปวาดรูปบนห้องดีกว่า”  น้องสาวว่าพลางยิ้มแป้น

    “อย่าลืมทำการบ้านกันด้วยล่ะ”  เต๋าเอ่ยทิ้งท้าย มองตามน้องทั้งสองที่เดินขึ้นบันไดไป แล้วจึงหันกลับมาหาคนข้างๆ ต่อ

    “เราก็ ขึ้นห้อง ไป ทำการบ้าน กันบ้างเถอะชา”

     

     



     

                ระยะทางสี่ชั้นไม่เคยไกลเมื่อเราจับมือเดินขึ้นมาพร้อมกัน... คนตัวเล็กเดินนำเข้าไปในห้องนอนก่อนจะหยิบข้าวของของตนที่ไว้บนเตียงย้ายมาที่โต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนอีกคนกำลังล็อคประตูห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงท่าทางเตรียมพร้อม

    “เต๋า...ขออะไรหน่อยได้ไหม?”  คชาหันมาเอ่ยกับเจ้าของห้อง

    “ขออะไรครับ?”  คนพูดว่าแล้วก็ปรี่ไปหาร่างเล็กที่นั่งอยู่ มือเอื้อมไปจับใบหน้าหวานที่มีความกังวลฉายอยู่ในดวงตา

    “เราอยากทำการบ้าน

    “ครับ เต๋าก็อยาก” 

    “ดีเลย...”  คชายิ้มแก้มปริ  “งั้นเต๋าไปทำบนเตียงได้ไหม?”

    “ได้สิ เรื่องแค่นี้”  ยังไงก็ต้องทำบนเตียงอยู่แล้ว...

    ได้รับคำตอบแบบนั้น ใบหน้าหวานก็แย้มยิ้มกว้าง เปิดกระเป๋าสะพายของตนพลางเอ่ยประโยคถัดมา 

    “งั้นเราขอยืมใช้คอมหน่อยนะ ต้องรีบทำส่งอาจารย์”  

    เดี๋ยวนะ...นี่คชาหมายถึง ทำการบ้านจริงๆ!???

    ร่างสูงยืนมองคนที่กำลังจดจ่อกับการบ้านของตนเองหน้าคอมพิวเตอร์ตาละห้อย อยากเรียกร้องความสนใจสักหน่อยแต่พอเห็นอีกคนตั้งหน้าตั้งตาทำจริงจังเลยถอยทัพไปที่เตียง หยิบสมุดขึ้นมาดูรายเอียดงานของคณะที่ต้องตื่นแต่เช้าไปในวันพรุ่งนี้แทน

    ใบหน้าคมก้มๆ เงยๆ เหลือบมองอีกคนเป็นระยะ เห็นยังง่วนกับการบ้านเลยหยิบหนังสือข้างๆ เตียงมาอ่านเล่นฆ่าเวลาไป

    รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกคนลุกจากหน้าคอมฯ แล้วเดินตรงมาหา เข็มนาฬิกาในห้องบอกเวลาห้าทุ่มเศษ

    “การบ้านเสร็จแล้วหรอ?”  เต๋าถาม คั่นหน้าที่อ่านแล้ววางมันบนข้างเตียง

    “อื้อ ส่งเข้าเมลอาจารย์เรียบร้อย ทันเวลา”  คชาว่า ทรุดตัวลงนั่งพิงหัวเตียงข้างๆ อีกคน  “แต่เหลืองานอีกอย่าง ช่วยทำหน่อย”

    ไม่รอให้อีกคนตอบอะไร มือบางก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้พร้อมปากกา

                “ทำหน่อยเร็ว แปปเดียว”

                ตาคู่คมจรดมองกระดาษแผ่นนั้น กวาดตามองพบว่าเต็มไปด้วยพื้นที่ว่างๆ  ก่อนที่มือจะกระชับปากกาเสียแน่นเมื่อเหลือบเห็นหัวกระดาษด้านบน

                ...ใบ สมัคร แฟน ครับ...

                “เขียนเร็วสิ จะรออะไร?”  คชายิ้มร่า...ดวงตาบอกประกายแห่งความสุขในนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ไหม ทุกครั้งที่ยิ้มมันเหมือนมีพลังงานบางอย่างไหลออกมา

                ไม่ใช่แค่น่ารัก ไม่ใช่แค่น่ามอง แต่มันมากกว่า... รอยยิ้มนั้นช่างล้ำค่าจนสรรหาคำบรรยายไม่หมดสิ้น

                มันไม่ใช่รักแรกพบ คนเราไม่ได้รักกันง่ายดายแค่มองตา แต่เพราะกับคชา เขามองเห็นลึกไปถึงหัวใจ

                “ยังไม่ยอมเขียนอ...”  ปลายเสียงหายไปเพราะการจู่โจมที่ข้างแก้ม สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ประทับลงมาเพียงชั่ววินาทียังติดตรึงอยู่เหมือนทุกครั้ง

                ถ้าการจูบทำให้หัวใจสั่นไหว การหอมแก้มก็ทำให้หัวใจพองโต

                “ทำไมถึงน่ารักอย่างนี้นะ?”

                และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ทั้งคู่จะทรุดตัวนอน กอดกันหลวมๆ ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน

                หลังจากนั้นไม่นาน ไฟในห้องก็ปิดมืดลง หมอนสองใบกับคนสองคนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน รวมถึงกระดาษแผ่นเดิมและปากกาที่ถูกวางไว้ข้างเตียง

     

     

    ขอสมัครตลอดไป :)’

    นายเศรษฐพงศ์ เพียงพอ

     

     

     

     

     

    TBC


    ลืมน้องทอมไปรึยังค้า แหะๆ หายไปเดือนนึงคนแต่งกลับมาแว้ว ฮี่ๆๆ
    ใกล้จบ(จริงๆ)แล้วนะ อาจจะตอนหน้านี้ รอดูต่อไป เพราะเราเป็นคนเอาแน่ไม่ได้เลย
    ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามกันมา อ่านแล้วสะดวกเม้นก็เม้นกันหน่อยน้า อยากรู้ว่าคนอ่านคิดอย่างไร
    >\\< 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×