คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [One] Start a new life ชีวิตใหม่กับบ้านหลังเก่า
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมาอยู่ที่นี่จนได้...
เกาหลี... เฮ้ออออออ...
ตั้งแต่ลงจากที่นั่งเครื่องบินมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่อาการเบื่อโลกของผมก็ยังคงเหมือนเดิม และยิ่งไปกว่านั้นผมแทบจะบ้า เวลาที่โซลกับนิวยอร์กมันต่างกันถึงห้าชั่วโมง ทั้งที่เวลานี้ผมควรจะได้นอนอยู่บนเตียงเปิดฮีตเตอร์ห่มผ้าอุ่นๆ แต่เพราะชะตาของผมมันทรหดมากจึงต้องมายืนมองพระอาทิตย์แดดส่องจ้าหน้าสนามบินอินชอน ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เขาคิดอะไรของเขาอยู่ก็ไม่รู้ถึงส่งให้ผมมาเผชิญชะตากรรมอันน่าเศร้าแต่เพียงผู้เดียว orz
จริงอยู่ที่คนแบบผมที่ใช้ชีวิตอยู่อังกฤษมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการมาอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาไม่เหมือนกันมันคงเป็นเรื่องที่ยาก แต่สำหรับผมมันง่าย ก็เพราะว่าถึงแม้ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาหลักแต่ภาษาเกาหลีคือภาษาของประเทศที่พ่อและแม่เกิด มันก็เลยไม่มีปัญหา และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ผมได้มาที่นี่ เพราะผมรู้ภาษา...
ถ้าหากผมทำเป็นเอ๋อไม่รู้ภาษาเกาหลีตั้งแต่จำความได้คงไม่ต้องมาที่นี่ เฮ้อออ ผมล่ะอยากจะตายจริงๆ
“คุณชายครับ เชิญทางนี้ครับ รถมารอแล้วครับ” เรขาฯ คิม คนสนิทของคุณพ่อเรียกผมที่จะหลับแหลไม่หลับแหลอยู่หน้าสนามบิน ผมเดินไปยังรถที่คุณคิมเปิดประตูให้ ผมขึ้นไปนั่งรอให้คุณคิมที่จัดการกระเป๋าสมบัติที่ผมเอามาหลายใบ ก็ผมต้องอยู่ที่นี่อย่างไม่มีกำหนดกลับเลยนี่ครับ แล้วสมบัติผมมันก็เยอะเกินไป เกือบเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ รถค่อยๆขับเคลื่อนออกไปยังบ้านที่แม่ของผมบอกว่าเป็นบ้านที่คุณปู่เคยอยู่มาก่อนและตอนนี้ก็เป็นของพ่อ ซึ่งไม่มีใครมาอยู่เลยตั้งแต่พ่อแต่งงานกับแม่ แต่ก็ยังส่งคนไปดูแลอยู่เป็นครั้งคราว
ที่บอกว่าผมต้องมาเผชิญชะตากรรมคนเดียวน่ะ ผมขอยืนยันตามเดิมเพราะคุณคิมเขาแค่มาส่งและจัดการเรื่องทั้งหมดให้แล้วจากนั้นทุกคนก็จะกลับไปตามที่พ่อผมสั่งไว้ ทีแรกผมก็คิดว่าน่าจะมีใครมาอยู่คอยช่วยผมที่นี่แต่ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว สรุปง่ายๆคือผมต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในประเทศที่ผมไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว
เศร้าใช่มั้ยล่ะ ผมก็คิดแบบนั้น..
อนาถจิตที่สุด - -
แต่การได้มาอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยมันออกจะรำบากอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ดีไปเสียทีเดียว
ครับ ใช่แล้ว ผมต้องมีของล่อใจในการมาเกาหลีครั้งนี้
หนึ่ง ผมสามารถจ้างแม่บ้านชั่วคราวได้ซึ่งข้อนี้พ่อกำชับว่าห้ามจ้างแม่บ้านประจำเพราะผมจะสบายเกินไป _ _
สอง ผมจะได้รับเงินเข้าบัญชีมาใช้จ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งถ้าเทียบกับเงินวอนของเกาหลีแล้วก็ตกราวๆเกือบ50 ล้านวอน ข้อนี้ผมยินดีน้อมรับเลยล่ะ ^[+++]^b
สาม เงินที่ผมได้รับจะไม่คงที่ หากการเรียนของผมดีเงินก็จะอยู่ที่เดิม ถ้าตกต่ำลงก็จะลดลง ซึ่งอันนี้ต้องไม่น่าเป็นห่วง แค่ทำให้มันอยู่ในระดับคงที่ก็น่าจะเพียงพอ แต่ยังไงผมก็เก่งอยู่แล้ว ฮ่าๆ ^O^\ นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัวด้วย
พอมาคิดๆดูอีกทีผมว่านี่มันก็เป็นอิสระเหมือนกัน จะได้ทำอะไรโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาคอยเดินตามหลังตลอดทาง และบางทีผมอาจจะได้สาวน้อยน่ารักมาคอยเสิร์ฟกาแฟตอนเช้าที่ตื่นนอนก็ได้ วะฮ่าๆๆๆ เริ่มชักอยากจะอยู่ไปนานๆแล้วสิ ^..^b
“....ชายครับ..”
“คุณชายครับ”
“คุณชายครับ คุณชาย คุณชาย!”
“ฮะ? อะไรคุณคี-อิม“ ยกมือขึ้นขยี้ตา ปากก็หาวออกมาแล้วก็ยกมือขึ้นปิดปาก
ฮ้าววว~ >O< เมื่อกี้ผมจินตนาการไปถึงไหนแล้วนะ (‘ ‘)
“ผมคิมครับ ไม่ใช่คี - อิม” คุณคิมมองผมด้วยแววตาดุ “ ถึงบ้านของคุณท่านแล้วครับ เชิญลงเถอะครับ”
อ่อ ผมนึกออกแล้ว สาวน้อยเสิร์ฟกาแฟ
“คุณชายครับ ช่วยกรุณาฟังที่ผมพูดด้วยครับ!” ผมหันไปมองหน้าคุณคิมที่กำลังจะกลายเป็นเดวิล ส่งยิ้มอ๋อๆไปให้หวังว่าคุณคิมจะอารมณ์ดีขึ้น ผมลงมาจากรถมองไปยังบ้านหลังใหญ่พอสมควรที่ดูแล้วแปลกตาดี ถึงจะไม่ใหญ่เท่าบ้านตอนที่เขาอยู่อังกฤษแต่ก็สวยมากๆ
บริเวณสวนหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นเล็กน้อย โรงจอดรถก็ดูไฮเทคดี บ้านหลังนี้มีแต่สีขาวทั้งนั้นถ้าไม่รวมกับหลังคาบ้านไปด้วย ถือว่าเป็นบ้านที่ดูสะอาดตามาทีเดียว ขนาดว่าไม่มีใครอยู่บ้านหลังนี้มาเป็นสิบปีได้ และการดูแลก็ไม่ได้บ่อยนักแต่ก็ถือว่าสวยงามมากทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นบ้านแบบเมื่อหลายปีก่อน สงสัยอาจจะตกแต่งทำใหม่
ผมเดินเข้ามาในบ้านที่คุณคิมเปิดประตูให้แล้ว ทุกอย่างภายในบ้านนี่ก็มีแต่สีขาวไปหมด ทั้งเพอร์นิเจอร์ ของตกแต่งหลายๆอย่างก็เป็นสีขาวแทบจะทุกอย่าง โซพากำมะหยี่สีขาว โทรทัศน์ขอบสีขาว โคมไฟ โต๊ะ เก้าอี้ วอลเปเปอร์ กรอบรูป ของโชว์ ตู้โชว์ แทบจะกระอักสีขาวตายเลยครับ ไม่รู้มาก่อนว่าพ่อจะคลั่งสสีขาว แต่พ่อคงไม่ใช่หรอก หรือจะเป็นแม่ แต่แม่ชอบสีฟ้า ถ้าคุณย่าก็มีแววเป็นไปได้ แต่คุณย่าเสียก่อนผมจะเกิดนี่นา...
แต่ก็เอาเถอะ ถึงสีขาวจะไม่ใช่ในแบบที่ผมชอบก็เถอะนะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสไตน์การแต่งบ้านนี่สุดยอดจริงๆ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ห้องนอนที่ผมจะต้องนอนก็คงจะเป็นสีขาวหมดเลยมั้งเนี่ย กลิ่นอายบริสุทธิ์เต็มบ้านนี้ไปหมดเลยครับ ผมต้องอยู่ในบ้านที่มีแต่ความบริสุทธิ์แบบนี้ แอบกลัวเบาเบาเลยครับ (พูดเหมือนตัวเองไม่บริสุธิ์อ่ะซีวอน - .-)
“คุณซีวอนครับ ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” คุณคิมเดินมาหาผมที่กำลังสำรวจทุกอย่างภายในบ้าน
“ไม่ล่ะ ว่าแต่คุณคิมจะกลับไปเมื่อไหร่หรอ ผมจะได้ทำใจได้ทัน” ผมส่งสายตาแอ๊บแบ๊วให้คุณคิม มองคุณคิมด้วยความหวังเล็กว่าน่าจะอยู่เพื่อบอกเส้นทางหรือรายระเอียดอะไรให้มันเรียบร้อยจะได้ไม่ต้องหลังทาง อาจจะเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายก็ได้
“ผมจะยังอยู่ที่นี่อีกหนึ่งอาทิตย์ครับ คุณท่านสั่งให้ผมจัดการเรื่องโรงเรียนไว้แล้วและผมจะพาคุณชายไปเรียนรู้เส้นทางและสถานที่ต่างๆ เช่นศูนย์การค้า ซูปเปอร์มาเก็ต หรือสถานที่ที่จำเป็นผมจะแนะนำเพื่อความสะดวกแก่การเริ่มต้นชีวิตครับ” ทำไมไม่ต่อท้ายด้วยล่ะครับคุณคิม เพื่อความสะดวกแก่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว
เฮ้ออออ ยังไงก็ต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้วนี่ ทำใจซะ ทำใจซะซีวอน เพื่อสาวน้อยเสิร์ฟกาแฟ... (ในหัวแกมีแค่สาวเสิร์ฟหรอ - .-)
ผมพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อดูห้องนอนที่คิดว่าน่าจะเป็นสีขาวด้วยเหมือนกัน เดินขึ้นบันไดมาก็ไม่รู้ว่าจะนอนห้องไหนดี มีตั้งสามห้องให้เลือก ผมเดินไปเปิดประตูห้องแรกสุดริมซ้ายมือ
เอ่อออออ... =.=’’
ในห้องนี้ผมบอกได้คำเดียวครับว่ามันเป็นห้องว่าง ไม่มีใครอยู่ ง่ายๆคือโล่ง ไม่มีวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ว่างๆ โล่งๆ เงียบๆ หน้าต่างสองบาน คงจะนอนห้องนี้ไม่ได้ล่ะครับ ผมปิดประตูลงแล้วเดินไปยังห้องถัดไป ห้องตรงกลางนี้ผมหวังว่ามันจะไม่โล่งนะ
โอ้ พระเจ้าช่วยลูกด้วย!! O[]O!
ความหวังของผมเป็นจริงแล้วครับ หวังให้มันไม่โล่ง มันก็ไม่โล่งจริงๆ คำจำกัดความสั้นๆ ง่ายๆ ชัดเจน “รก” ไม่ใช่รกธรรมดาครับโคตรรกเลย ดูแล้วก็เหมือนกับห้องเก็บของชัดๆ นี่คือผลจากการเข้ามาดูแลนานๆครั้งสินะ ผมปิดประตูลงและสุดท้ายความหวังที่เหลือน้อยนิดของผม ห้องริมสุด เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูมือจับอยู่ที่ลูกบิน ด้วยความหวังที่ว่า อย่าโล่ง อย่ารก และ อย่าทำร้ายเด็กอายุสิบห้าอย่างผม
แอ๊ดดดดดด....
ขนาดเสียงประตูยังสยองเลยครับ นี่แค่แง้มนิดๆนะ หวังว่าคงไม่มีสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่นะ โอย เด็กหล่อจะเป็นลม
O.o
=O=
^[]^
ในที่สุดผมก็ได้เจอที่ของผมแล้วล่ะ!
ห้องนอนที่เป็นสีขาว(อีกแล้ว)ทั้งห้อง ผมเดินเข้ามาแล้วปิดประตู ทุกอย่างในห้องนี้ตกแต่งสวยมากจริงๆ ดูแล้วน่าอยู่มากถึงจะไม่ใหญ่เท่าห้องที่เคยนอน แต่ตกแต่งสวยแบบนี้ก็อยู่ได้ล่ะนะ ผมมองเตียงที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวอยู่ เอื้อมมือไปดึงออกแล้วก็กระโดดลงทันที นุ่มนิ่มดีจัง น่านอนจริงๆ
ผมนอนคว่ำลงกับเตียงได้สักพักคุณคิมที่เข้ามาในห้องเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาเก็บให้ มองมาที่ผมที่กำลังจะหลับแล้วก็ยิ้มน้อยให้ ผมก็ส่งยิ้มตามประสาคนง่วงไม่รู้สึกตัวไปให้ คุณคิมเก็บเสื้อผ้าของผมเข้าตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกไปอย่างเงียบๆ ส่วนผมก็เข้าสู่โหมด หมายเลยนี้ไม่สามารถติดต่อได้
........................................................................
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความมืดในห้อง ตอนนี้คงจะดึกแล้วล่ะมั้งแต่ว่าหิวน่าดูเลยตั้งแต่ลงจากเครื่องก็ไม่ได้กินอะไรเลย ผมลุกขึ้นนั่งกับเตียงสักพักเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับความมืด แสงไปสลัวๆที่ลอดผ่านผ้าม่านมาช่วยให้ผมมองทางเดินได้นิดหน่อย ผมลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปจากห้องเพราะความหิวที่กำลังประท้วงผมอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไมบ้านถึงเงียบขนาดนี้ไฟก็ไม่เปิด คุณคิมก็ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีอะไรกินบ้างมั้ยเนี่ย
ผมเดินลงมายังห้องข้างๆกับทางขึ้นบันไดจำได้ว่าเป็นห้องครัว เจอตู้เย็นก็เปิดออกดูแล้วข้างในมีอาหารแช่แข็ง เครื่องดื่มและผลไม้ถูกจัดอย่างเรียบร้อยไว้แล้ว ผมเลือกหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากัดลูกนึงกับน้ำเปล่า ปิดประตูตู้เย็นแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ พลันสายตาของผมก็ไปสะดุดที่หน้าประตูตู้เย็นมีโพสต์อิสสีฟ้าแบะอยู่ ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นวะ ผมลุกขึ้นไปอ่านโพสต์อิตใกล้ๆ ปากก็กัดเคี้ยวแอปเปิ้ลไม่หยุด
เยี่ยมมากครับพ่อ ผมรู้ซึ้งถึงการอยู่เพียงลำพังสุดๆ! - -‘’
ผมขยำโพสต์อิสในมือทิ้งลงถังขยะไปพร้อมๆกับแอปเปิ้ลที่กินหมดลูกด้วยความหงุดหงิด เดินออกมาจากห้องครัวไปสูดอากาศสดชื่นข้างนอกบ้าน บนท้องฟ้าที่มืดคลึ้มแทบจะมองไม่เห็นดาวสักดวง ก็เหมือนกับที่ลอนดอนแต่ความรู้สึกมันแตกต่างกันออกไปถึงจะฟ้าเดียวกันแต่สถานที่ไม่เหมือนกัน ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่ที่ผมจากมานั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง คงจะต่างกับที่ที่นี่ ชีวิตใหม่ในบ้านหลังเก่าของคุณปู่
ผมไม่คิดหรอกว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม แต่ที่ผมมาอยู่ตรงนี้เพราะคำสั่งของพ่อที่อยากจะให้ผมใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ถึงตอนที่รู้ว่าจะต้องมามันจะใจหายก็เถอะ แต่อิสระที่ผมจะได้รับเมื่อมาอยู่ที่นี่มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกดี ที่เหลือก็รอเพียงแค่ผมจะรู้จักใครสักคน เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่ต้องออยู่คนเดียวไปอีกหลายปี ง่ายที่สุดก็เพื่อนบ้าน จริงสินะ ตั้งแต่มาผมยังไม่ได้ไปทักทายบ้านข้างๆเลย ท่าผมจำไม่ผิดบริเวณรี้มีบ้านอยู่แค่สองหลัง ข้างในสุดเป็นบ้านหลังใหญ่ดูแล้วก็น่าจะใหญ่กว่าบ้านของปู่หน่อยนึง ผมยืนมองบ้านข้างตรงสนามหน้าบ้านมองเห็นห้องนอนห้องหนึ่งที่กำลังเปิดไฟอยู่ ผมมองไม่เห็นว่าใครอยู่ในห้องเพราะผ้าม่านสีครีมอ่อนๆบังอยู่ มองอยู่สักพักหลังผ้าม่านก็ปรากฎเงาของคนรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยราวกับสาวหุ่นปลิวลมกำลังทำอะไรใกล้ๆกับผ้าม่านอยู่
ผ้าม่านสีครีมถูกเปิดออกเผยให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งตัวผอมบางที่ผมคิดว่าเป็นผู้หญิงในคราแรก ถึงแสงไฟที่มุมกำแพงจะไม่ได้สว่างมากนักแต่รวมกับไฟในห้องของผู้ชายคนนั้นก็พอให้มองเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้าง ผมรู้สึกว่าใบหน้านั้นหวานน่ารักมาก ถ้าบางทีผมได้เป็นเพื่อนกับเขาก็คงดีมาก จากบริเวณนี้มีบ้านอยู่แค่สองหลัง ถ้ามีเพื่อนบ้านไว้มันก็น่าจะอุ่นใจดี
ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นปิดผ้าม่านตามเดิมหลังจากที่มองท้องฟ้าได้สักพัก โดยที่เขาไม่รู้ว่าผมแอบมองเขาอยู่ และหลังจากนั้นไฟในห้องก็ถูกดับลง เห็นดังนั้นผมก็กลับเข้าไปในบ้านเพื่อเข้านอนเหมือนกัน และแผนสำหรับพรุ่งนี้ของผมก็คือ
เชื่อมสัมพันธ์ผูกมิตรกับเพื่อนบ้าน!
..
ภายในห้องนอนสีเขียวตองอ่อน ข้าวของทุกอย่างถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย จะมีก็เพียงแต่กองหนังสือที่วางทับซ้อนกันจนปิดทางเดิน ตั้งแต่ชั้นวางหนังสือขนาดยักษ์เรื่อยลงมาจนคลุมทางรอบเตียงนอน เหลือพื้นที่ให้เดินขึ้นนอนแค่เล็กน้อยเท่านั้น แผ่นหลังเหยียดตรงนั่งพิงปลายเตียง ดวงตาเรียวคมจับจ้องมองตัวหนังสืออย่างไม่ละสายตาผ่านแว่นสายตา พยายามอ่านเก็บข้อมูลตัวอักษรเข้าสมองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พรุ่งนี้ถือเป็นวันสำคัญที่เขาจะต้องออกไปยืนพูดให้นักเรียนคนอื่นต้องขบขับและนินทากันอย่างสนุกปาก เพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะเขาคงจะเป็นมนุษย์คนเดียวที่อยู่ในโลกโดยที่ไม่มีคำว่า “เพื่อน” อยู่ในสมองนอกจาก “หนังสือ”
เวลาล่วงเลยผ่านเสียจนมืดค่ำ ปิดหนังสือลงวางไว้ข้างๆตัวนิ้วเรียวถอดแว่นสายตาออกวางทับลงบนหนังสือเล่มหนา สองนิ้วยกขึ้นบีบนวดบริเวณหัวตาเพื่อครายความเมื่อยล้าจากการอ่านหนังสือมาธอนตั้งแต่สายจนถึงสามทุ่ม ยืดตัวยกแขนทั้งสองข้างบิดเอี้ยวตัวเพื่อคลายความเมื่อย
อึดอัดจริงๆ ออกไปสูดอากาศสักหน่อยละกัน
พาตัวเองลุกขึ้นแล้วจัดการเก็บยกหนังสือที่เกะกะบริเวณประตูหน้าระเบียงออกให้พอเดินได้ มือเรียวบัดผ้าม่านสีครีมอ่อนออกจากการปิดบังทิวทัศน์ เปิดประตูระเบียงออกมาแล้วสูดหายใจเอาอากาศที่สดชื่นยามค่ำคืนเข้าปอด ยืนคิดอะไรเรื่อยเปลื่อยอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วค่อยกลับเข้ามาพร้อมกับกดปิดสวิตช์ไฟก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วเข้าสู่ห้วงความฝัน “ที่หลอกลวง”
................................................................................................................
กลับบ้านมาอัพแล้วค่ะ ช้าไปนิดนึง เพราะนั่งแต่งรูป
แล้วก็แอบไปดู the hunger games มา
ไปดูกันยัง? 55 หนังดีมาก (แอบโปรโมตหนัง)
(อ่านแล้วเม้นให้หน่อยนะคะ ^^)
ความคิดเห็น