ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MinhoxJonghyun] : Our Song

    ลำดับตอนที่ #3 : [Tracks3] Underneath the mistletoe

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 54


    เอาตัวอย่างไปเดากันก่อนนะคะว่าเรื่องจะเป็นยังไง
    ส่วนนิยายจะมาลงในคริสมาสอีฟ หรือ 24 ธค นี้คะ ^^



    http://www.youtube.com/watch?v=JEfScf-Em7M&feature=youtu.be

    __________________________________

    Underneath the mistletoe

    คุณรู้จักต้น มิสเซิลโท มั้ยครับ? เค้าว่ากันว่าถ้าใครได้จูบกันใต้ต้นมิสเซิลโทแล้วเนี่ยทั้งสองก็จะครองรักกันตลอดกาล

    แล้วยังมีประเพณีแปลกๆที่เกี่ยวกับเจ้าต้นมิสเซิลโทคือ ถ้าชายหญิงบังเอิญอยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทเดียวกันแล้วเนี่ยผู้ชายสามารถจูบ
    ผู้หญิงได้แม้ไม่รู้จักกันเพราะเค้าเชื่อกันว่ามันเป็นพรหมลิขิตจาดพระเจ้าที่ทำให้ทั้งคู่ได้มาเจอกัน ส่วนตัวผมนะหรอครับผมก็ว่ามันโรแมนติกดีนะแต่น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนโรแมนติกอะไรเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจกับความเชื่อพวกนั้นเท่าไร

    วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันที่เด็กๆชื่นชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะเป็นวันที่พวกเค้าจะได้รับของขวัญจากคุณลุงใจดีที่ชื่อว่าซานต้า เด็กๆต่างพากันแขวนถุงเท้าไว้ตรงปลองไฟบ้างไว้ บนหัวเตียงบ้าง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนั้นตอนผมยังเด็กๆแต่พอผมอายุได้สัก17ปีผมก็รู้ว่าซานต้าไม่มีอยู่จริงเมื่อผมตื่นมากลางดึกแล้วพบว่าป๊ากับม๊าผมกำลังยัดของขวัญลงในถุงเท้าที่ผมแขวนไว้ที่หน้าห้องนอน ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าผมเสียใจมากที่ความฝันเรื่องลุงซานต้าของผมไม่มีจริง แต่ผมก็ต้องยิ้มออกเมื่อเห็นของขวัญที่ลุงซานต้า(ตัวปลอม)มอบให้กับผม แต่จนถึงปัจจุบันผมก็อายุได้22แล้วมันคงเลยวัยที่จะมาได้ของขวัญจากลุงซานต้าแล้วแหละผมเลยใช้เวลาช่วงกลางดึกแทนที่จะรอของขวัญจากลุงซานต้าเปลี่ยนมาเป็นนั่งจิบเบียร์เย็นๆกับพวกเพื่อนๆดีกว่า

    “ไงพี่จงผมก็นึกว่าพี่จะนอนรอของขวัญจากซานต้าอยู่บ้านซะอีก” บาโรแซวผม

    “กวนตีนกู22แล้วนะเว้ย ไม่มานอนรอของขวัญจากซานต้าเป็นเด็กๆแบบมึงหรอก” ผมตอบพลางกระดกน้ำสีอำพันลงคอ

    “โหยคำก็เด็กสองคำก็เด็ก เด็กไม่ดีตรงไหนห๊ะ” บาโรโวยวาย

    “ไม่ได้ว่าไม่ดี แต่มันเด็กไงเล๊าเด็กน้อย” ผมแหย่

    “เด็กมันไม่เร้าใจหรอไงฮะพี่”

    “กวนตีนและมึงไม่เร้าใจเตี่ยไรแก”

    “ไม่ลองไม่รู้นะพี่ ผมมีเพื่อนเด็ดๆเด็กๆเพียบอะลองสักคนป่าว” บาโรพูดพลางยกนิ้วโป้ง  ผมไม่ถือสาคำพูดเด็กๆขอบาโรหรอกครับ ผมเลยหันมายกแก้วดื่มไปอีกสองสามแก้วระหว่างรอเพื่อนคนอื่นๆ  ผมนั่งดื่มกับบาโรไปได้สักพักเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่งผมก็ทะยอยกันเข้ามาในร้าน

    “ไงเฮียอน ไหงมาคนเดียววันนี้” ผมแซวรุ่นพี่อนยูที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน

    “คีย์เดี๋ยวตามมาเห็นบอกไปรับเพื่อนอะ” พี่อนยูพูดก่อนลงข้างๆผม

    “ไม่ใช่ว่าแอบไปหากิ๊กหรอกนะ” บาโรพูดกวนตีน

    “พ่อมึงสิไอ้บาโร เพื่อนคีย์เพิ่งกลับมาจากเมกาเว้ยเลยไปรับมาเที่ยว เดี๋ยวมึงจะโดนต่อยไอเกรียนโร” พี่อนยูเริ่มมีน้ำโห

    “โหยพี่ผมแค่ล้อเล่นน้า” บาโรเปลี่ยนท่าทีทันที่เมื่อรู้ว่าอนยูจะเอาจริง

    “นั่นไงมาแล้ว ทางนี้ๆ” พี่อนยูกวักมือเรียกคีย์กับเพื่อนที่เพิ่งเดินเข้ามา

    แว้บแรกที่ผมเห็นเพื่อนคีย์ไม่รู้ทำไมใจผมมันเต้นแปลกๆ หน้าคม จมูกที่โด่งเป็นสันกับความสูงที่โดดเด่นทำให้ผมหยุดมองคนมาใหม่ไม่ได้ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆนั่นมันผู้ชายแล้วก็เด็กกว่าผมตั้งสามปี

    “เห้ยจงน้องเค้าทักอะ” พี่อนยูปลุกผมให้หลุดจากภวังค์ ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดบ้าๆออกไป

    “สวัสดีครับ” เด็กคนนั้นทักผมก่อนจะส่งยิ้มให้

    “คะ..ครับเออหวัดดีครับ” ผมทักทายกลับเสียงตะกุกตะกัก

    “ทุกคนนี้มินโฮนะ เพื่อนคีย์เองเพิ่งกลับมาจากเมกา”  คีย์เอ่ยแนะนำตัวให้เด็กตัวสูงที่ชื่อมินโฮ ก่อนที่คีย์จะหันไปแนะนำพวกเราให้มินโฮรู้จักบ้าง มินโฮนั่งลงข้างๆผมก่อนจะส่งยิ้มให้  ผมส่งยิ้มกลับก่อนจะยื่นแก้วน้ำสีอำพันให้

    “ขอบคุณครับ” มินโฮรับแก้วผมช้าๆ

    “ดื่มได้ใช่ปะ”

    “ได้สิครับ ผม19แล้วนะ”

    “พี่ไม่แน่ใจกลัวทำน้องเมา แล้วพี่จะซวย” ผมแกล้งปล่อยมุขตลก

    “สัสจงม่อเด็กหรอครับ” ชานซองที่นั่งเงียบเอ่ยแซว

    “ไหนว่าไม่ชอบเด็ก มันไม่เร้าใจไงครับเฮียจง” บาโรได้ทีเสริม

    “หุบปากไปเลยพวกมึง กูแค่คุยกับน้องเขาเฉยๆนะเว้ย” ผมแก้ตัวก่อนจะยกแก้วดื่ม คนข้างๆที่ถูกแซวด้วยไม่มีท่าทีว่าจะท้วงหรือโกรธอะไร ผมเดาว่าเขาคงยังไม่กล้าด่าไอ้พวกนั้นเพราะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน  

    เรานั่งดึ่มด่ำบรรยากาศไฟสลัวๆในผับแห่งนี้ไปพลางคุยเรื่องโน่นเรื่องนี้ ไปสักพักจนผมรู้สึกได้ว่าทุกคนเริ่มจะมีอาการมึนเมาให้ได้เห็นกันแล้วรวมถึงเด็กตัวสูงที่เพิ่งมาใหม่นี้ด้วยเห็นเด็กแบบนี้แต่ก็ดื่มเยอะใช่เล่น

    “เห้ย พี่กลับก่อนนะคีย์ไม่ไหวแล้วว่ะ” พี่อนยูพูดพลางพยุงคีย์ให้ลุกขึ้นยืน

    “คีย์ไม่ไหวหรือพี่ไม่ไหวคร้าบบ” บาโรเจ้าเก่าแซว

    “กวนตีน คีย์เมาดื่มไม่ไหวแล้ว แต่กูก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ” อนยูพูดเสียงเรียบ

    “ดื่มไม่ไหวหรอครับ” บาโรถาม

    “ไม่ใช่ อย่าถีบปากมึงเนี่ยไมไหวแล้ว” สร้างเสียงหัวเราะให้ได้เป็นอย่างดีกับคนในกลุ่ม รวมถึงมินโฮที่ดูนิ่งๆเงียบๆก็หัวเราะไปกับเขาด้วย

    “มินโฮพี่จะกลับแล้ว นายจะให้พี่ไปส่งเลยมั้ย” อนยูหันมาถามมินโฮเพราเกรงว่าจะกลับไม่ถูกเพราะขามาคีย์ก็ไปรับ  มินโฮทำหน้าลัเลนิดหน่อย ก่อนจะลุกขึ้นยืน

    “น้องโฮเดี๋ยวให้ไอจงไปส่งก็ได้ อย่าไปขัดไอ้อนยูกับน้องคีย์เขาเลย เค้าจะไม่ไหวแล้วหน่ะไม่เห็นหรอ” ชานซองแหย่

    “สัสชานกวนตีน” หันไปแขวะเพื่อน ก่อนจะเอ่ยถามคนตัวสูง ”เราจะเอาไง” มินโฮไม่ตอบแต่หันไปหาผม ผมถลึงตาเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าประมาณว่า ให้ผมตัดสินใจเนี่ยนะ?

    “เออเดี๋ยวผมไปส่งมินโฮให้ก็ได้” ผมหันไปบอกพี่อนยู ก่อนจะหันไปมองหน้ามินโฮ เขาไม่ได้ทำหน้ายินดียินร้ายอะไรแต่ลงไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม

    “โอเคขอบใจมากพี่ไปก่อนนะ แมรี่คริสมาสเว้ย”

    ตอนนี้ทั้งโต๊ะเหลือ ผม มินโฮ บาโร และชานซอง ถึงจะมีกันอยู่4คนแต่โต๊ะผมก็ไม่เคยเงียบหรอกนะ มีไอ้บาโรอยู่ด้วยซะอย่าง

    “ไปกันข้างนอกกันมั้ยครับ” มินโฮกระซิบถามผม ผมไม่รู้ว่าที่ผมหน้าแดงนี้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมดื่มเข้าไปหรือเกิดจากคนข้างๆผมกันแน่

    “เอาสิ” ผมตอบตกลงก่อนจะเดินนำออกไป

    คืนนี้เป็นคืนที่สวยงามที่สุดของปี เพราะทุกหนทุกแห่งทุกต่างประดับปะดาไปด้วยไฟหลากสีสวยงาม หิมะที่หล่นโปรยปรายลงมาในคืนนี้ช่างสวยงามและโรแมนติกกว่าคืนไหนๆ บนถนนต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาเฉลิมฉลองกับคนรัก
    ผมเดินไปเรื่อยๆบนถนนที่ถูกประดับไปด้วยไฟสวยงาม ก่อนจะหยุดที่มุมของถนนเพื่อมองดูแสงไฟ เขาว่ากันว่ามุมนี้เป็นมุมที่ดูไฟได้สวยที่สุด แล้วถ้าใครอยากได้รู้สวยๆละก็ต้องมาถ่ายตรงนี้เลย

    “ถ้านายมองออกไปตรงโน้นจากมุมนี้นะ” ผมชี้นิ้วไปทางฝั่งตรงข้ามที่เคยเป็นแม่น้ำที่ตอนนี้กลายเป็นลานสเกตขนาดใหญ่

    “นายจะเห็นมุมที่สวยที่สุดของถนนสายนี้เลยหล่ะ” ผมอธิบายต่อ

    “สวยจริงๆด้วยครับ” มินโฮตอบ แต่สายตากลับมองที่คนตัวเล็กไม่กระพริบ

    “มีไรหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นว่ามินโฮเอาแต่จ้องหน้าผม “มันไม่เหมือนงานคริสมาสที่เมกาใช่มั้ยละ?” จงฮยอนยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ

    “พี่เคยได้ยินตำนานของต้นมิสเซิลโทมั้ยครับ?” มินโฮถามผมในขณะที่เขายังไม่เลิกจ้องหน้าผม ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกแล้ว ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆทั้งๆที่อากาศก็หนาว หิมะหล่นโปรยปรายมาขนาดนี้

    “ก็พอจะเคยได้ยินนะ แต่พี่ว่ามันโอเวอร์ไปหน่อยนะ จูบใต้ต้นไม่เนี่ยแล้วรักกันไปตลอด”

    “หรอครับ” มินโฮมีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

    “แล้วนายละว่าไง” ผมถามกลับ

    “ไม่รู้สิครับ ผมว่ามันโรแมนติกดีนะ” มินโฮยิ้มบางๆ

    “ตรงโน้นเขาเล่นสเกตกันอยู่หรอครับ?”

    “อ๋อใช่ๆ จริงๆมันเป็นแม่น้ำแหละแต่พอหน้าหนาวมันก็เป็นลานไอซ์สเกต เจ๋งใช่มั้ยละ?”

    “ไปเล่นกันมั้ยครับ” ตาของมินโฮดูเป็นประกายเมื่อเห็นลานไอซ์เก็ตยักษ์ตรงหน้า

    .

    .

    ผมกับมินโฮเดินมาเรื่อยๆจนถึงลานไอซ์สเกตขนาดใหญ่ ผมด้วยความเป็นเจ้าถิ่นเลยเป็นคนนำมินโฮไปยื่มอุปกรณ์

    “นายใส่รองเท้าไซส์ไรอะ” ผมถามคนข้างๆ

    Nine,I guess” มินโฮเผลอตอบออกมาเป็นสำเนียงอังกฤษ ผมหน้าล้อเลียนเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา มินโฮยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนจะทำหน้าเขิน

    “ก็บรรยากาศนี้มันคล้ายตอนที่ผมอยู่เมกาเลยหนิครับ มันเลยเผลอไปหน่อย”

    “ก็ไมได้ว่าไร แต่สำเนียงนายเป๊ะนะ ว่างๆสอนมั้งดิ” ผมแซว

    “ได้เลยครับ”

    แล้วผมกับมินโฮก็ค่อยๆเดินเข้าไปในลานไอซ์สเก็ต ผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยเก่งเรื่องการเล่นกีฬาอะไรทั้งสินรวมถึงเรื่องการเล่นไอซ์สเกตด้วย ตอนแรกผมก็อยากจะปฏิเสธมินโฮไปเพราะผมไม่อยากเล่นเลยแต่ เห็นว่ามินโฮคงเบื่อๆและดูท่าทางเค้าคงชอบเล่นไอซ์สเก็ตไม่น้อยผมเลยตอบตกลงไป ผมเดินกล้าๆกลัวๆเข้ามาลานไอซ์เกตพยายามทรงตัวให้ไม่ถูกจับได้มากที่สุดว่าผม เล่นไม่เป็นมันไม่เชิงผมพอทรงตัวได้แต่ถ้าจะให้วิ่งเร็วๆ หรือทำท่าพิสดานผมขอบาย ผมแอบเหลือบมองคนข้างๆที่ดูท่าทางชำนาญไม่น้อยเพราดุจากการทรงตัวแล้ว เรียกได้ว่าถ้าบอกว่าเขาเป็นนักกีฬาไอสเกตหรือฮอกกี้ผมจะเชื่อเลยทันที

    “มาทางนี้กันพี่ วิวสวยมากเลยครับ” มินโฮตะโกนเรียกผมให้ไปตามที่ตัวเองบอก

    “นายไปก่อนเหอะเดี๋ยวพี่ตามไป” ผมค่อยเดินไปอย่างช้าๆ ระมัดระวังในทุกๆก้าวระวังไม่ให้ผมลื่นล้มไม่งั้นผมต้องอายต่อหน้ามินโฮแน่ๆ

    มินโฮหันตัวกลับมาหาผมทำหน้าคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าผม

    ห๊ะ?ผมงงสิครับอยู่มายื่นมืออะไร

    “จับมือผมสิครับ” มินโฮเดินมาข้างหน้าผมก่อนจะยื่นมือมาให้ผม เขาคงพอจะดูออกว่าผมเล่นไม่เป็นแน่ๆเลย แมร่งโคตรอายเลยวะจงฮยอนเอ้ย เป็นพี่เค้าสามปีแก่ยังกลัวกับอีแค่เล่นไอซ์เก็ต

    “ไม่เป็นไร พี่เดินเองได้” ผมบอกปัดเพราะกลัวเสียหน้า

    “ไปกันดีกว่าครับเดี๋ยวคนจะเยอะ ตรงโน้นไฟสวยมากๆเลยครับ” มินโฮไม่ฟังคำที่ผมพูด เขาเอื้อมมือมาจับมือผมก่อนจะค่อยๆพาผมเดินไปที่มุมหนึ่งของลานไอซ์เกตที่มองไปแล้วเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ประดับไปด้วยไฟหลากสี

    เวลาผ่านไปสักพักผมกับเขามีแต่ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองต่างมองไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างไร้จุดหมาย มินโฮกระชับมือผมแน่นขึ้นจนผมต้องหันไปมอง ผมทำหน้าสงสัย

    “สวยเนอะ” ผมยิ้ม

    “ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่ามีมุมนี้ด้วย” ผมยังคงพูดต่อทำลายความเงียบ

    “ไม่อยากเล่นหรอครับ?” มินโฮถามผม

    “เปล่าๆคือ..ฉัน..เล่นไม่เป็นนี่หว่า” ผมตอบอ้อมแอ้ม

    “เอ๊าแล้วไม่บอกฮาๆ” มินโฮระเบิดหัวเราะ

    “เออขำไปเลยนะ ขำให้ตายไปเลย” ผมประชด

    “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ยังอุตส่าตอบตกลงมาเล่นกับผม” มินโฮพูดต่อ “งั้นถือเป็นการขอบคุณพี่ ผมจะสอนพี่เล่นนะ”
     มินโฮยกมือผมขึ้นให้อยู่ระดับหน้าอกก่อนจะเดินถอยหลังออกไปกลางลานไอซ์สเก็ต

    “มองตาผมสิครับ” ไม่ใช่คำสั่ง แต่ผมก็ทำตามที่เขาบอก

    “เชื่อใจผมนะ พี่ไม่ล้มแน่นอน” สร้างความเชื่อมั่นอีกครั้งก่อนจะกระชับมือผมแน่นขึ้นกว่าเดิม

    เขาค่อยๆพาผมเดินไปรอบๆลานไอซ์เกต จากอีกที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยที่ไม่ปล่อยมือผมเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่กลับยังกระชับมือผมแน่นมาขึ้นเรื่อย บ่อยครั้งที่ผมพยายามหลบสายตาคู่นั้นตรงหน้าผมแต่เขากลับจ้องกลับหน้าไม่พอใจจนผมต้องใจอ่อน กลับไปมองหน้าเขาเหมือนเดิม นี้เขาไม่รู้เลยหรอว่าผมใจเต้นแรงแค่ไหนเวลาที่มองสายตาคู่นั้น ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่ทุกครั้งที่สายตาของผมกับเขาประสานกัน ผมรู้สึกใจเต้นแรงและเป็นผมทุกทีที่แพ้ฝ่ายนั้นจนต้องแกล้งเสตามองไปทางอื่น

    “ไฟทางโน้นสวยเนอะ” ผมพูดก่อนจะมองไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ทางดานซ้าย

    “ตรงหน้านี้สวยกว่าอีก”

    “นายว่าไงนะ”

    “ผมบอกว่าตรงโน้นก็สวยนะครับ เราเดินไปดูกันมั้ย” มินโฮพูดก่อนจะพาผมเดิน

    เราเดินไปเดินมากันอยู่สักพักจนผมเริ่มรู้สึกเกรงใจเขาแล้ว ผมเหมือนเป็นภาระยังไงไม่รู้เพราะตั้งแต่มาเขายังไม่ได้เล่นอะไรเลยนอกจากพาผมเดินไปทางโน้นทีทางนี้ที

    “นายไปเล่นของนายเหอะเดี๋ยวพี่รอตรงนี้”

    “ทำไมละครับ” เอียงคอถาม

    “เอาหน่านายไปเล่นเหอะเดี๋ยวพี่ไปซื้อกาแฟมาให้เอาปะ”  

    “งั้นผมไปด้วย ถ้าพี่ไม่เล่นผมก็ไม่เล่นแล้ว” อ้าวไหงเป็นงั้น สรุปก็เลยไม่มีใครเล่นต่อหลังจากนั้นเลยเราทั้งคู่ค่อยเดินมาเพื่อคืนอุปกรณ์

    “มินโฮพี่ถอดเองได้ไม่เป็นไร” ผมร้องห้ามทันทีเมื่อมินโฮกำลังจะก้มลงไปถอดรองเท้าให้ผม

    “มือเย็นหมดแล้วครับเดี๋ยวไม่สบายหรอก” นอกจากมินโฮจะไม่ฟังที่ผมพูดแล้วยังถอดถุงมือส่งมาให้ผมอีก

    ทำไมใจผมเต้นแรงอีกแล้ว

    .

    .

    .

    เรากำลังเดินอยู่บนถนนที่ประดับไปด้วยแสงไฟหลากสี ผู้คนเริ่มค่อยหายไปอาจจะเพราว่านี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลายคนอาจจะไปนอนรอของขวัญจากคุณลุงซานต้า แต่สำหรับผมมันคงหมดวัยนั้นไปแล้วแหละ อีกอย่างผมออกมาอยู่หอคนเดียวแบบนี้คุณลงซานต้าที่ไหนจะเอาของขวัญมาให้ผมกัน  แต่ผมก็ต้องนึกขอบคุณคนข้างๆผมที่ทำให้วันคริสมาสปีนี้ไม่ค่อยน่าเบื่อเท่าไร เพราะหลายปีที่ผ่านมาผมมักจะใช้เวลาไปกับการนั่งอยู่ในผับดื่มเบียร์กับเพื่อนๆยั้นเกือบเช้า ไม่ค่อยได้ออกมาสนใจผู้คนถนนข้างนอกหรอกว่าจะตกแต่งสวยเพียงใด

    “ขอบคุณนะ” ผมพูดโดยไม่มองหน้าคนข้างๆ

    “พูดกับผมหรอ?”

    “ก็อยู่กันสองคนให้พูดกับใครเล๊า” แกล้งเบือนหน้าไปทางถนน

    Look at me ตอนพูดหน่อยสิครับ” มินโฮพูดอังกฤษคำเกาหลีคำ

    THANK-YOU ครับ” ผมแกล้งประชดหันไปมองหน้ามินโฮก่อนจะพูดอังกฤษสำเนียงเกาหลีแบบชัดๆใส่ไป

    “ขอบคุณเช่นกันครับ”

    “เรื่องไรวะ?” นั่นดิเรื่องไรผมว่าตั้งแต่ผมเจอมินโฮมีแต่มินโฮช่วยเหลือผมตลอด

    “พี่รู้มั้ย.. ทุกครั้งที่ผมเล่นไอซ์เก็ตผมมักจะวิ่ง วิ่งเร็วซะจนไม่ได้มองสิ่งสวยงามรอบตัว จริงๆมันอยู่ใกล้ๆเราแค่นี้..แต่พอมีพี่ผมได้รู้ว่าการเดินช้าๆเพื่อมองสิ่งรอบตัวบ้างก็ดีเหมือนกัน” มินโฮยิ้ม ผมได้แต่เงียบ บางครั้งมินโฮก็ดูโตเกินกว่าที่เขาจะคาดถึง

    “เพราะพี่ทำให้ผมได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่ผมไม่เคยเห็น”

    “อื้ม” ผมตอบในลำคอ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงรู้สึกร้อนๆที่หน้าอีกแล้ว

    บทสนทนาจบลงแค่นั้นก่อนที่เราจะเดินมาถึงร้านกาแฟเล็กๆแถวนั้น

    .

    .

    .

    “พี่เดี๋ยวผมมานะ” มินโฮพูด

    “อ้าวไปไหนเนี่ย” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรมินโฮมินโฮก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปนอกร้านซะแล้ว ผมไม่รุ้ว่าเขารีบไปไหน ผมกังวลมากกลัวว่าเขาจะหลง สถานที่ก็ไม่คุ้นแถมภาษาก็พูดไม่ค่อยได้ ไปไหนก็ไม่บอก ผมได้แต่นั่งรอในร้านกาแฟเงียบๆคนเดียว

    กิ๊งๆเสียงกระดิ่งประตูร้านดังขึ้น ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองเผื่อว่าจะเป็นมินโฮ แต่แล้วผมก็ต้องเศร้าเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือลูกค้าของร้านนี้เท่านั้น ไร

    ผมนั่งมองนาฬิกา อีกสิบห้านาทีก็เที่ยงคืนแล้วสินะ แต่มันคงไม่สำคัญอะไรก็แค่วันๆหนึ่งผ่านไป เพราะทุกปีไม่ว่าจะวันอะไรผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้มีใครที่ต้องให้ของขวัญหรือรอของขวัญ ไม่มีใครที่ต้องรอเคาท์ดาวด้วย

    “พี่จงครับๆ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

    “ไปไหนมา! ทำไมไม่บอก นั่งรอตั้งนาน” ผมพูดน้ำเสียงหงุดหงิดและงัวเงีย

    I’m so sorry พี่ไปกับผมที่ๆนึงได้มั้ย” ผมยังงงๆและงัวเงีย

    “เห้ยไปไหนทำไมต้องรีบขนาดนั้น” ผมร้องโวยวายเมื่อมินโฮฉุดมือผมและพาวิ่งออกไป

    Hurry up เดี๋ยวไม่ทัน” มินโฮเร่ง

    “เออSorryนะแต่แกจะลากฉันไปไหนวะ” จงฮยอนตะโกนแข่งกับเสียงลมที่พัดกระแทกหน้าเข้า

    “Secret” มินโฮยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบปาก ก่อนจะพาผมวิ่งไปต่อ จนมาหยุดอยู่ที่หนึ่ง มันเป็นลานโล่งแจ้งที่ผมเดาว่ามันคือสนามเด็กเล่นแถวนั้น ต้นไม้ประดับด้วยไฟหลากหลายสี พื้นหญ้าเต็มไปด้วยเทียนเป็นร้อยเล่มที่ถูกจัดวางให้เป็นรูปหัวใจ ผมกวาดตามองไปรอบๆอย่างตกตะลึง มันสวยงามมากจริงๆ

     

    Kiss me underneath the mistletoe
    จูบผมใต้ต้นมิสเซิลโท
    Show me baby that you love me so-oh-oh
    โชว์ผมสิ่ ที่รัก ว่าคุณรักผม โอ โอ

     

      “พี่ยังจำที่ผมถามเรื่องต้นมิสเซิลโทมั้ยได้มั้ยครับ?” “เค้าว่าถ้าใครอยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทเดียวกันเราก็จะจูบกันได้”  มินโฮพูดก่อนจะเลื่อนริมฝีปากมาแตะริมฝีปากผม ก่อนที่จะผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

    “ขี้โกง ไหนต้นมิสเซิลโท” ผมท้วง

    “นี้ไงครับ” มินโฮพูดพลางชี้ไปมือดานขวาของเข้าที่กำลังชูต้นมิสเซิลโทปลอมไว้เหนือหัว

    “มันก็พอใช้ได้นะ ว่ามั้ยครับ” มินโฮยิ้มทะเล้น

    “เจ้าเล่ห์วะแมร่ง” ผมแกล้งทำท่าโมโห

    “ผมขอโทษก็ผมหาต้นมิสเซิลโทไม่ได้เลยหนิครับ” มินโฮพูดเสียงเศร้า

    “มันจะไปมีได้ไงไม่ใช่เมกาสักหน่อย”

    “นั่นหน่ะสิครับผมเลยต้องเอาของปลอมมา..ผมจะได้จูบพี่ได้” มินโฮเกาหัวแก้เขิน

     “แล้วนี้ที่หายไปให้พี่นั่งรอตั้งนานก็มัวมาทำนี้อยู่หรอ”

    “แล้วชอบมั้ยครับ?”

    “ก็ดี” ผมตอบก่อนจะแกล้งเสตามองไปทางอื่น

    “เห้อคนอุตส่าตั้งใจทำ” มินโฮพูดตัดพ้อ

    “อะไรวะยังไม่ทันแก่ขี้น้อยใจ ชอบชอบมากกก” ลากเสียงยาว

    มินโฮได้แต่ยิ้มเบาๆก่อนจะจูงมือผมในเข้าไปในหัวใจที่ทำจากเทียนนับร้อยเล่มวางต่อกัน

    “ผมรู้ว่ามันเร็วเกินไปที่จะบอกพี่ ทั้งๆที่ผมเพิ่งเจอพี่ครั้งแรก” “มีคนเคยบอกผมว่าถ้าคนๆหนึ่งทำให้เราเขินได้ มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าเราตกหลุมรักคนๆนั้นเข้าแล้วผมว่ามันจริงนะ” มินโฮกระชับมือผมแน่นก่อนจะโน้มหน้าผาดตัวเองมาชวนกับผมทำให้จมูกเราชนกันเบาๆ

    “ผมคิดอยู่นานว่าควรบอกพี่ดีมั้ย แต่ผมคิดว่าถ้าผมไม่บอกตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้บอกพี่อีกแล้ว”

    “ผมรักพี่นะครับ” มินโฮพูดก่อนจะโน้มริมฝีปากลงมาแตะกับผมอีกครั้ง ย้ำซ้ำๆอยู่อย่างนั้น

     merry Christmas” มินโฮพูดเบาๆให้ได้ยินแค่สองคน วาดมือคล้องเอวร่างบางให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

    “เป็นแฟนกับผมนะครับ” ทามกลางคืนอันหนาวเหน็บกับบรรยากาศที่เงียบสงบจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองว่าเต้นแรงผิดปกติ ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้า ผมไม่ได้ตอบคำถามที่คนตรงหน้าถามผม แต่ผมใช้ริมฝีปากเป็นการบอกคำตอบ ผมใช้ริมฝีปากตัวเองแตะกับคนตรงหน้าเบาๆ มินโฮยกยิ้มก่อนจะชูต้นมิสเซิลโทปลอมขึ้นมา

    “คราวนี้พี่จะเชื่อเรื่องจูบใต้ต้นมิสเซิลโทยังครับ” ผมแกล้งเบี่ยงหน้าหนี

    “มันก็แค่ข้ออ้างคนบางคนที่อยากฉวยโอกาสแหละ แบร่ๆ” ผมว่าก่อนจะแลบลิ้นใส่

    “แต่เมื่อกี้บางคนก็ฉวยโอกาสผมนะไม่ได้อยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทด้วยสิ ใครน้า” มินโฮแหย่

    “เด็กบ้า” ผมว่าก่อนจะเดินหนี ผมแค่ไม่อยากให้ไอ้เด็กนี้มันเห็นผมหน้าแดง

    “อื้มอย่าหนีผมสิ ผมหนาวจัง” มินโฮเดินตามผมมาก่อนจะสวมกอดทางด้านหลัง เอาคางเกยไหล่ผม

    “ปล่อยเดะ เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมโวยวาย แต่ทำไมหน้าผมยังไม่หายแดงนะ

    “ไม่ปล่อยๆ ห๊อมหอม” มินโฮพูดกอดจะแอบขโมยความหอมจากแก้มของคนตัวเล็กไปหลายฟอด

    “โอ้ยช้ำหมดแล้ว” ผมร้องห้าม

    “ผมจะหอมให้แก้มช้ำไปเลย ถ้ายังทำตัวน่ารักแบบนี้” มินโฮกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

    I love you baby” มินโฮกระซิบข้างหูผมเบาๆ ก่อนจะถามกลับ “พี่รักผมมั้ย?”

    “อื้ม รักสิ” ผมตอบเขินๆ

    will you show me?

    “ยังไงวะ?

    kiss me baby มินโฮพูดก่อนจะชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง  ผมเงียบไปสักพักก่อนจะเลื่อนหน้าไปใกล้ๆมินโฮ ริมฝีปากเราแตะกันเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ แต่ครั้งนี้ผมรุ้สึกได้ถึงความเร้าร้อนที่มินโฮส่งมาที่ผมผ่านลิ้นร้อน มินโฮตวัดลิ้นสำรวจในโพรงปากผมจนทั่วปากอย่างชำนาญ ก่อนจะค่อยๆใช้ลิ้นหยอกล้อกับลิ้นผมเบาๆ

    Eh love, don't you buy me nothing
    เห้,ที่รักคุณไม่ต้องซื้ออะไรให้ผมเลย
    I am feeling one thing, your lips on my lips
    ผมรู้สึกถึงบางสิ่ง , ลิปสติกของคุณบนริมฝีปากของผม
    That's a very, merry Christmas
    นั่นมัน สุดยอดจะ สุขสันต์ สุขสันต์ คริสมาสต์เลย

     

    ถ้าถามผมว่าเชื่อเรื่องจูบใต้ต้นมิสเซิลโทหรือยัง? ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าต้นมิสเซิลเทิลมีส่วนช่วยให้รักกันจริง เพราะคนส่วนใหญ่ที่หวังจะจูบกับคนรักใต้ต้นมิสเซิลโทก็หวังเพื่อจะได้รักกับคนรักตลอดไป แค่นั้นก็พอที่จะให้อีกฝ่ายรู้ได้แล้วว่าเรารู้สึกยังไง ผมว่าบางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจูบใต้ต้นอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำตัวยังไงกับคนรัก เราได้บอกเขาหรือเปล่าว่าเรารู้สึกยังไง ส่วนต้นมิสเซิลเทิลก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่เอาไว้บอกคนรักคุณได้นะ อ๋อวิธีของมินโฮก็เวิร์คนะถ้าคุณหาต้นมิสเซิลโทไม่ได้จริงๆ ไม่เชื่อก็ดูผมกับมินโฮสิรักกันจะตาย ;p


    __________________________

    เม้นเพื่อเป็นกำลังใจ&ปรับปรุงแก้ไขหน่อยนะคะ ^0^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×