คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : File 01 : ลาก่อน / เจ้าทุกข์ / พี่เลี้ยง
Flie 01 : ลาก่อน / เจ้าทุกข์ / พี่เลี้ยง
“’แจบๆ...กรอบๆ...”
เสียงเคี้ยวข้าวดังสนั่นไปทั่วห้องพักในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสายตาของห้าหนุ่มที่จดจ้องไปทางเธอนั้นบ่งบอกว่าสุดแสนจะขยะแขยงเหลือทนกับท่าทางการกินแบบนั้น
“ไอซ์...ลูกค่อยๆเคี้ยวไม่ได้รึไงฮะ หัดอายคนอื่นเขามั่งสิ” เสียงว่ากล่าวคล้ายพรายกระซิบของผู้เป็นแม่ดังอยู่ข้างๆหู
ได้ผล...เสียงเคี้ยวข้าวเงียบลงและทั้งห้องก็กลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แม้เจ้าตัวออกจะทำสีหน้าไม่พอใจแต่เมื่อผู้เป็นแม่เป็นคนสั่งก็ต้องจำใจต้องทำตาม และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพื่อนทั้งสี่คนที่จนบัดนี้พวกเธอยังคงไม่ตื่น...
คนเป็นแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาว มองไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาผิวพรรณดีห้าคนนั่งตาโตใสอยู่กับชายวัยกลางคนอีกหนึ่งคน
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเมื่อเย็นวานก็รู้สึกตกใจมากที่รู้ว่าลูกสาวถูกมีดแทงเข้าที่แขน และตำรวจก็ไม่ได้บอกอะไรมากนอกจากรายละเอียดเล็กน้อยกับโรงพยาบาล พอมาถึงก็ตกใจหนักยิ่งกว่าเพราะเจอกับผู้ปกครองของเพื่อนลูกสาวที่คุ้นเคยกันดียืนร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ทำให้อกของคนเป็นพ่อแม่แทบทำอะไรไม่ถูกในตอนนั้น แต่เมื่อเห็นลูกสาวกินได้กินดีอยู่ในตอนนี้ก็อุ่นใจ... ส่วนเพื่อนลูกสาวเธอรับหน้าที่ดูแลให้เพราะว่าเธอไม่ต้องทำงานเหมือนคนอื่นๆ...แล้วตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ ถ้าสภาพลูกสาวตัวแสบดีขึ้นเมื่อไร เห็นทีจะต้องสอบถามเรื่องราวให้ได้
Icing Talks:
“เอ่อ...ต้องขอโทษด้วยนะครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางเราได้จัดการให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ผมหวังว่าเราจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้” ล่ามไทยเกาหลีคนหนึ่งแปลจากภาษาเกาหลีเป็นภาษาไทยแล้วพ้นใส่หน้าฉันกับแม่เต็มที่
“ทางฉันต่างหากค่ะที่ต้องขอโทษ”
แม่ก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการขอโทษกลับ...เพราะความคึกคะนองของฉันและเพื่อนๆ ทำให้แม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
“แม่หนูขอโทษ...ฮึก...ฮืออ” อยู่ๆฉันก็โพล่งขึ้นพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มสองข้าง ก่อนจะยื่นมือออกไปกอดแขนแม่ที่ยืนอยู่ข้างเตียง “หนูขอโทษที่ทำให้แม่ต้องก้มหัวให้คนอื่น ฮือหนูจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ฮืออ”
คนในห้องรวมถึงแม่ฉันต่างพากันทำสีหน้าตกใจและงุนงงกับสภาพจิตฉัน ฉันไม่พูดอะไรนอกจากกอดแม่แน่นจนแม่ต้องสะกิดและถามว่าฉันเป็นอะไร
“ไอซ์เป็นอะไรไปฮะ อยู่ๆก็ร้องไห้เจ็บแผลเหรอ” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง นั่นยิ่งทำให้ฉันจุกจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่จนปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง “เอาๆ ใจเย็นๆก่อนนะเดี๋ยวแม่ตามหมอมาให้”
แม่ทำท่าจะแกะมือฉันแล้วไปตามหมอ ฉันจึงกอดแม่ไม่ยอมปล่อย เพราะว่าจุกที่คอทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ความอบอุ่นเวลาที่ได้กอดแม่ตัวเอง...มันแผ่ซ่านไปถึงหัวใจลึกๆ...อบอุ่นเหลือเกิน หลายต่อหลายครั้งที่ไม่กล้ากอดแม่...แต่ครั้งนี้ฉันสามารถกอดแม่โดยไม่อายได้
“ไอซ์รักแม่ที่สุดเลย รักที่สุดเลย”
“เดี๋ยวๆ อายคนอื่นเขามั่งสิ พูดจาไม่รู้เรื่องเลย ดูสิน้ำมูกไหลเลอะแม่หมดแล้ว”
“อ่าว ฮึก...” ฉันเช็ดน้ำตาน้ำมูกที่ไหลออกมาเมื่อสักครู่จนเหลือแต่คราบน้ำตาและเสียงสะอึก “แม่อย่าจากหนูไปไหนนะ...”
“จะบ้ารึไง เฮ้อ...ไว้กลับบ้านเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังด้วยล่ะ แม่จะรอฟัง”
เฮือก!
ฉันตกใจจนทำเหวอขึ้นมาเลยทีเดียว อาการสะอึกหายไปทันควัน ฉันปล่อยมือที่เกาะแขนแม่ไว้แล้วกลับมานั่งนิ่งก่อนจะรวบรวมความคิดเรื่อยเปื่อยแล้วก็มานึกได้ว่ามีบุคคลที่สามสี่ห้าอยู่ในห้องด้วย...รีเทิร์น กรี๊ดด พวกนั้นต้องหัวเราะเยาะฉันแน่เลย คงคิดว่าฉันเป็นพวกลูกติดแม่ อ๊ากกไม่นะ
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ” คุณผู้จัดการถามแม่ฉัน
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แกเป็นคนชอบคิดไปเรื่อย ยังไงก็ขอขอบคุณด้วยนะคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นละครับ เพราะพวกเธอช่วยจับขโมยพวกผมถึงได้ของคืน และถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็เชิญบอกได้เลยนะครับ”
“อ๋อค่ะ...ของ”
แม่ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทำสีหน้าฉงน
“พักผ่อนให้เต็มที่นะครับ แล้วพวกผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ” ผู้จัดการก้มหัวเป็นการกล่าวลาแล้วหันไปส่งซิกทางสายตาว่ากลับกันเถอะ
ผู้ชายหาคนที่เป็นขวัญใจสาวๆลุกจากที่นั่งแล้วก้มหัวพร้อมๆกันเพื่อกล่าวลาแม่ของฉัน...จังหวะนั้นเองที่เทโฮ...กำลังจะเดินผ่านฉันไป ชั่วอึดใจเดี๋ยวที่ฉันเงยหน้าที่ก้มงุดมามองเขา สายตาของเขาก็หันมามองทางฉันพอดี ทำให้หน้าของฉันขึ้นสีด้วยความเขินอายหน้ามืดหน้าชา และยิ่งไปกว่านั้น...เขาหยุดอยู่ตรงปลายเตียงของฉันพร้อมยิ้มก่อนจะพูดว่า
“หายไวๆนะ”
กรี๊ดด จบข่าวแต่เพียงเท่านี้...
Cherbet Talks:
หนัก...และเจ็บ...
เป็นความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ มันรู้สึกเจ็บแสบไปทั้งตัวแค่พยายามจะลืมตาเท่านั้นยังทรมานเลย แล้วอกข้าง...อ๋อข้างขวามันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกันนะ รู้สึกตึงๆจำอะไรไม่ได้
“เจ็บจัง” เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบาก ฉันพยายามหันไปมองรอบๆตัวอย่างช้าๆ
รอบห้องสีขาว สายน้ำเกลือ เตียงข้างๆนั้นก็คือซูชิที่กำลังหลับสนิท... เมื่อเห็นเช่นนั้นทำให้สมองประมวลภาพฉายวาบอย่างรวดเร็ว เรื่องราวทั้งหมดทำให้ฉันแทบช็อกแล้วจับหน้าอกขวาทันที และนั้นยิ่งตอกย้ำว่าฉันยังไม่ตาย ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฮืออ..
“เฮ้ย ตื่นแล้วเหรอเชอร์เบท แม่ๆเชอร์เบทมันตื่นแล้วๆ” เสียงตะโกนเจื้อยแจ้วอยู่เตียงอีกข้างของฉัน พร้อมกับหญิงสาวสองคน คนแรกที่วิ่งมานั้นแสนจะคุ้นเคย
แม่...
อยากจะเรียกเช่นนั้นแต่เสียงในลำคอไม่อาจจะพูดต่อได้อีก มันทั้งแห้งเหือดเพราะขาดน้ำ ฉันทำสีหน้ากระหายน้ำจนแม่ต้องชะงักแล้วรีบวิ่งไปในครัวเพื่อรินน้ำมาให้ฉัน
“ดื่มน้ำก่อนนะลูก” แม่ฉันส่งแก้วน้ำให้ฉัน ฉันจึงรีบพยุงตัวขึ้นรับแก้วน้ำมาดื่มด้วยความกระหาย อึกแรกก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกทันทีด้วยความลืมตัว
“โอ๊ย...”
“เจ็บมากมั้ยเชอร์เบท?!”
ฉันโผกอดแม่ทันที มันเป็นความรู้สึกดีใจและเสียใจปนๆกันไป ถึงเจ็บหน้าอกก็อยากจะกอดแม่เอาไว้ให้แน่นๆ ฉันคิดว่าฉันจะตายแล้วซะอีก ฉันเกือบไม่ได้เจอแม่ มองหน้าแม่ และกอดแม่แบบนี้ พ่ออีกคน... ฉันลืมความเจ็บไปแล้วตอนนี้ ฉันไม่เจ็บสักนิดเพราะแม่อาจเจ็บมากกว่าฉัน...
“หึหึ ทีอย่างนี้ทำมาเป็นรักแม่ ทีตัวเองไปทำอะไรมาไม่เห็นจะคิดถึงแม่เลย” แม่พูดอย่างงอนๆหยอกเย้า “แต่ก็ยังได้ทำความดี...แม่จะยกโทษให้สักครั้งก็ได้”
ฉันทำหน้าเหยเกก่อนจะเบ้ปากอย่างสำนึกผิด แล้วหันไปทักทายเพื่อนรักที่มองอย่างขำๆ กับคุณป้าแม่ของไอซ์ ครอบครัวของเราห้าคนสนิทกันมากทำให้เวลามีเรื่องอะไรก็จะรู้พร้อมๆกันทีเดียวห้าคน แม่ฉันเมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมากแล้วจึงขอตัวกลับไปทำงานต่อ ซึ่งแม่ของไอซ์จะรับดูแลเอง
“เดี๋ยวป้าไปเอาข้าวมาให้นะจ๊ะ เพิ่งตื่นมาร่างกายยังไม่มีแรงต้องเพิ่มพลัง” คุณป้ายิ้มให้แล้วเดินไปในห้องครัวเล็กๆของโรงพยาบาล ไม่นานนักก็ถือชามข้าวต้มร้อนๆออกมาให้พร้อมทั้งเตรียมโต๊ะผู้ป่วยให้พร้อม “ทานไหวไหมจ๊ะ”
“ไหวค่ะ...หนูหิวมากๆเลยขอบคุณจริงๆค่ะ”
“รีบกินเถอะจ๊ะ เจ้าไอซ์น่ะกินไปสองชามแล้ว”
“จริงดิไอซ์ แกกินจริงๆเหรอ” ฉันทำตาโตแล้วหันไปทางเพื่อนสาว คือจะพูดว่ายังไงดี ชามของที่นี่ธรรมดานะ เพราะว่ามันใหญ่เวอร์มาก ไซต์บิ๊กเรียกพ่อเลยทีเดียว
“เออดิ เดี๋ยวแกก็กินสองชามเหมือนฉันเพราะมันอร่อยมาก ฮ่าๆๆ กินเสร็จแล้วฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง” ไอซิ่งหัวเราะแก้ขัดขณะที่ฉันกินข้าวต้ม...
อร่อยมากของจริงไม่ได้โม้ ตะลึงมากข้าวโรงพยาบาลอร่อย!
ฉันใช้เวลาทานค่อนข้างนานพอสมควร เพราะถึงแม้มันจะอร่อยแต่ฉันเข็มแผลที่หน้าอกอยู่เสมอเวลากลืน และระหว่างทานไอซิ่งก็เล่าเรื่องที่เอาข้าวแทบพุ่งใส่หน้าคนเล่า
“ฮ่าๆๆ นี่แกพูดเรื่องจริงเหรอ?” ฉันอุทานขึ้นหลังจากเอ่ยชื่อของบุคคลที่ทำให้ไอซิ่งเป็นลมล้มพับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้
“เออจริง แบบว่าเทโฮอะแก เขาบอกให้ฉันหายไวๆนะเขาจะมาเยี่ยมใหม่ กรี๊ดดดฉันจะบินได้อยู่แล้วเนี่ย ให้เล่าทั้งวันก็ไม่รู้สึกเบื่อแล้วเดี๋ยวพอพวกนั้นตื่นฉันจะเล่าให้ฟังอีก ฮ่าๆๆ” ว่าแล้วมันก็หัวเราะแล้วก็เขินเองสลับกันไปมา จมูกจะยื่นออกมายาวอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าโม้หรืออะไรที่เทโฮพูดแบบนั้น... เอ๊ะหรือว่าจะจริง
หลังจากเม้าจนเพลินไอซิ่งก็ผล็อยหลับไป สักพักซูชิก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นจังหวะเดียวกับเสียงประตูหน้าห้องดังขึ้น ก๊อกๆ คุณแม่ผู้ใจดีของไอซิ่งลุกจากโซฟาแล้วตรงไปเปิดประตูรับอาคันตุกะผู้มาเยือน เช่นเดียวกันซูชิชันตัวลุกขึ้นอย่างเงียบๆแล้วหาวหวอด ยืดแขนไปมาด้วยท่าบิดขี้เกียจอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่สังเกตสิ่งรอบข้างใดๆทั้งสิ้นและ...แขกที่รับเชิญ...รีเทิร์น แต่ฉันก็ยังไม่ตกใจเท่ากับหน้าเพื่อนตัวเองตอนนี้ ใบหน้าที่งัวเงียและบวมๆ
เหวอ หน้าเธอบวมน้ำเกลือมากเลยล่ะ!
“ซูชิ...หน้าแก”
ไม่ทันที่ฉันจะทักทายบอกกล่าวเตือนเพื่อนผู้หน้าบวม หนุ่มๆวงรีเทิร์นก็เดินเรียงกันเข้ามาในห้องเป็นแถว แต่พวกเขาต่างหยุดชะงักแล้วพากันจ้องมองมาทางฉัน ต่อด้วยสีหน้าเหวอ ตกใจ ช็อก หลุดโลก แล้วกลั้นหัวเราะไปพร้อมๆกัน
มันคงไม่ใช่ฉันแล้วละ แต่คงเป็นซูชิ... ขอโทษนะเพราะฉันเองก็แอบหลอนเหมือนกัน ฮือออ
“อุ๊บ!” จงจุนและผองเพื่อนพากันกลั้นหัวเราะหลังจากตั้งสติจากอาการช็อกได้ ฉันจึงส่งกระจกให้เพื่อนสาวดูหน้าตัวเอง ซูชิที่เพิ่งรู้ตัวก็รีบลากสายน้ำเกลือไปห้องน้ำทันทีทั้งๆที่ขายังเจ็บอยู่ ผ่านไปสิบนาทีได้โดยประมาณ จนฉันกินข้ามต้มชามที่สาม ซูชิถึงจะออกมาแต่มันก็ยัง... บวมอยู่ดีอ่ะ
“นี่แค่น้ำเกลือเล็กน้อยนะแก ถ้าแกกินเข้าไปแกอาจพองได้เลยอะ” ฉันทักซูชิที่กำลังเดินปิดหน้าปิดตา
“เชอร์เบทจงจุนเขาขำฉันใหญ่เลยอ่ะ ฉันอยากเป็นลมไปตรงนี้ฮือออ”
“ฮะ ฮ่าๆๆ เอาน่าอย่างน้อยเตียงแกก็ได้ติดกับคนหล่อนะเว้ย”
“โอ๊ย ฉันรับไม่ได้จริงๆงั้นเราแลกเตียงกันเหอะ ฉันเจ็บขาอะไม่อยากเดินไกล ฮืออฉันอยากร้องไห้” ซูชิร้องโอดครวญทำท่าจับขาตัวเอง
ฉันหันไปมองหาคุณป้าที่ตอนนี้คุยกับคุณผู้จัดการโดยมีล่ามเป็นสื่อ แล้วฉันก็นอนเจ็บหน้าอกอยู่อย่างนี้ ยัยซูชิยังจะให้ฉันถ่อสังขารลุกไปเตียงมันอีก ใจหนึ่งก็อยากที่จะไปเพราะว่าจองมินนั่งอยู่ตรงนั้น คุณผู้อ่านอาจสงสัยกับสภาพห้องตอนนี้ว่ามันเป็นอย่างไร ห้องพักวีไอพีที่แสนกว้างขวางมีเตียงผู้ป่วยอยู่สองฝั่งทางฝั่งทางฝั่งที่ฉันนอนอยู่นั้นเตียงแรกเป็นไอซิ่ง เตียงสองคือฉัน เตียงสามคือซูชิ ฝั่งตรงข้ามกันมีเตียงวนิลาและช็อกโกล่า ส่วนริมหน้าต่างเป็นโซฟายาวเพื่อรับแขกซึ่งติดกับเตียงซูชิ
ฉันถอนหายใจก่อนจะโยกย้ายตัวเองไปเตียงซูชิ จองมินที่เพียงแต่ยิ้มทักทายตามประสา ใบหน้าขาวเนียน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อน่าจุ๊บ
กรี๊ดดด ฉันอยากอดอ่ะ
ฉันพยายามพยุงตัวเองขึ้นเตียงแต่มันคงจะทรมานเกินไป จองมินที่เห็นท่าทีการขึ้นเตียงสุดแสนสยองของฉันไม่ไหวเลยอาสาเข้ามาช่วยพยุง... และนั้นมันทำให้ฉันแทบเข่าอ่อน
“อ่ะ ระวังหน่อยสิ ยังเจ็บหน้าอกอยู่รึเปล่า” จองมินพูดขึ้น
ฉันคิดมาตลอดว่าพวกเขาทำไมถึงเข้ามานั่งปั่นจิ้มปั่นเจ๋อโดยไม่ถามหรือพูดอะไรสักคำ แต่แท้จริงแล้วไอดอลหนุ่มของฉันเขากำลังเขิน รวมถึงฉันด้วยเพราะตอนนี้ตาฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
“มะ ไม่เจ็บแล้วค่ะ ไม่เจ็บเลยสักนิด” ฉันตอบกลับไป แต่แล้วเสียงของหนุ่มอีกคนก็ดังขึ้นแทรกทันทีรวมถึงซูชิด้วย
“เฮ้ย จองมิน ฉันได้ยินมานะว่าหญิงไทยเขาหวงเนื้อหวงตัว แล้วนายไปจับถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้นเดี๋ยวเขาก็ว่าเอาหรอก” จงจุนพูดขึ้นเช่นเดี๋ยวกับกองกำลังเสริมของเฮซองและซูชิ
เอ่อ... มีใครถามฉันสักคำบ้างไหมว่าฉันคิดยังไง ฮือออ
ว่าแล้วจองมินก็รีบปล่อยมือออกจากแขนฉันทันทีก่อนจะกลับไปนั่งที่ตัวเอง ฉันเลยรีบส่งสายตาไปให้ซูชิเพราะที่รักของซูชินั้นแหละทำให้จองมินของฉันหงอยเลย ฮือออเด็กน้อย
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ไม่รู้ว่าคุณผู้จัดการคุยอะไรกับคุณป้านักหนา ฉันกับซูชินั่งทานข้าวต้มกันสองคน พลางเหลือบมองไปทางหนุ่มๆที่ดูท่าทางไม่เป็นห่วงเป็นใยอะไรกันเลยสักนิด จองมินนั่งอยู่ข้างเตียงฉันเล่นไอแพดอยู่กับซุนวู เฮซองกำลังกดดูทีวีไปมากับเทโฮ จงจุนก็คุยโทรศัพท์หน้าบาน ทางด้านพวกฉัน ช็อกโกล่ากับวนิลาตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งทานข้าวต้มอยู่ ไอซิ่งตื่นมาแล้วและเป็นลมไปอีกรอบหนึ่งเพราะเทโฮมาอยู่ตรงหน้าเธอ
ฉันคิดว่าเรื่องราวมันช่างน่าเบื่ออะไรแบบนี้นะ เนื้อเรื่องนิยายเลยจืดชืดไม่มีรสชาติเอาซะเลย ไม่มีฉากรักลึกซึ้งทั้งสิ้น มีแต่ฉากกินๆๆ นอน นั่งมองคนอื่นๆ ไรเตอร์ช่วยเขียนให้มันมีเหตุการณ์อะไรหน่อยได้ไหมฮะ แบบเลิฟซีนอะ ฉันอยากได้ (ใจร้าย T^T :: ไรเตอร์)
ติ๊ดๆ
ขณะที่กำลังนั่งบ่นปนด่านักเขียนในใจ เสียงโทรศัพท์ที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้น ฉันวางช้อนกินข้าวลงแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่ด้วยความไม่ระวังเธอจึงเผลอปัดโทรศัพท์มือถือหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ฉันรู้สึกหัวเสียหนักกว่าเดิมและสบถออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จองมินทำตาโตด้วยความหวาดหวั่นเพราะถึงแม้เขาจะฟังภาษาไทยไม่ออกแต่ก็ตกใจเสียงของฉัน
“โธ่เว้ย ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย” เชอร์เบทบ่นก่อนจะก้มเก็บโทรศัพท์ “อ๊ะได้ละ...” จังหวะเดี๋ยวกันนั้นก็มีมือปริศนาคว้ามันไป
เพียงอึดใจเดี๋ยวที่ใบหน้าของทั้งคู่ก็หันเข้าหากัน ปลายจมูกของจองมินแตะโดนแก้มสีแดงระเรื่อของฉันโดยไม่ตั้งใจ มือของทั้งสองก็วางซ้อนกัน กลิ่นแป้งอ่อนๆทำให้จองมินหน้าแดงตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ทุกอย่างรอบตัวนั้นเคลื่อนไหวเป็นปกติ แต่สำหรับฉันมันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน หน้าที่ร้อนเพราะอุณหภูมิในร่างกายขึ้นสูงคล้ายคนเป็นไข้ ใบหน้าที่ล่องลอยของฉันทำให้คนเป็นเพื่อนอดสะกิดเตือนเรื่องโทรศัพท์ไม่ได้
“เฮ้ยเชอร์เบท แกไม่รับเหรอ” ช็อกโกล่าทัก
“อ๋อ รับสิๆ” ฉันคว้าโทรศัพท์มาก่อนจะกล่าวขอบคุณจองมิน
ฉันไม่รู้ว่าเขาช่วยเหลือฉันหลลายครั้งแบบนี้เพราะอะไร เพราะเขาอยู่ใกล้ฉันกว่าคนอื่นๆหรือเขาเกิดชอบฉันขึ้นมา อ๊ายยยเขินจัง
“ฮัลโลนั่นใครคะ” ฉันรับสายก่อนจะพูดจาอ่อนหวาน กลัวว่าจองมินจะตกใจ
‘ฉันเอง’
ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ไม่ต้องดูเบอร์ก็รู้ว่าใคร
“อ๋อ ฮะๆอาจารย์ชบาแก้วนั่นเอง” ฉันปรับน้ำเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย “แหมอาจารย์ลงทุนโทรมาหาหนูทั้งที มีอะไรเหรอคะ คือว่า...ถ้าอาจารย์จะมาเยี่ยมไม่ต้องหรอกนะคะ พวกหนูจะออกไปเร็วนี้แล้วค่ะ ฮ่าๆ”
อาจารย์ชบาแก้วคืออาจารย์แผนกผ้าที่ทั้งดุแบบไม่มีเหตุผล ชอบว่านักเรียนและเอาแต่ใจตัวเอง หลายๆคนในแผนกมักไม่พอใจแต่ไม่มีใครกล้าแสดงออกเพราะกลัวเกรดจะตกต่ำลง แต่ด้วยความที่ว่าพวกฉันไม่คิดจะกลัว เรื่องความไม่ยุติธรรมพวกเรายอมรับไม่ได้ การทำแบบนั้นเท่ากับว่าอาจารย์ให้เกรดตามใจตัวเองไม่ดูฝีมือและขาดคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์ พอพวกฉันไปรายงานครูใหญ่แล้วอาจารย์ชบาแก้วรู้เธอจึงไม่ชอบพวกฉันอย่างมากถึงมากที่สุด พูดถึงตรงนี้...ก็สงสัยว่าทำไมถึงโทรมา
‘นี่ เธอยังมีหน้ามาถามฉันอีกรึไงฮะว่าโทรมาทำไม ใจจริงฉันก็ไม่อยากจะโทรไปนักหรอกย่ะ แต่เพราะพวกเธอชั่วโมงฝึกงานไม่พอ แล้วก็โดดฝึกงานอีก ฉันเลยโทรมาบอกว่า หึหึ’
“อย่าเพิ่งค่ะ!” ฉันตะโกนขึ้นเสียงดัง จนคนทั้งห้องทำหน้าฉงนสงสัยและสะดุ้งโหยง แต่เพราะว่าดูเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ ”พวกหนูเกิดอุบัติเหตุนอนอยู่โรงพยาบาล อาจารย์ไม่ทราบเหรอคะ”
‘พูดเรื่องอะไรของเธอ จดหมายก็ไม่มีมาแจ้ง ไม่รู้แหละยังไงก็ช่างฉันปรับพวกเธอตกหมดแล้ว ไปแก้ตัวเอาเองที่ปวช.1 กับรุ่นน้องเถอะนะ’
ตืด ตืด...
นี่คือาจารย์หรือตัวร้ายในละครกันเนี่ย แล้วพวกฉันเป็นนางเอกใช่ไหม โธ่เว้ย! ฉันไม่ได้ขอให้เขียนแบบนี้สักหน่อยฮือออ ฉันเกลียดไรเตอร์
“เกิดอะไรขึ้นอะเชอร์เบท” วนิลาทัก
“พวกเราตก...ฝึกงานยกกลุ่ม เพราะว่าไม่ได้แจ้งไปทางโรงเรียนเว้ย” ฉันตอบกลับด้วยความโมโห โดยลืมบรรยากาศรอบด้านไปสนิท
“ตลกละ...ตกงานก็เท่ากับไปเริ่มเรียนปวช.กับพวกรุ่นน้องใหม่เลยนะ” ซูชิช่วยเสริม
พวกเราอยู่ชั้นปวช.สาม แผนกผ้าและเครื่องแต่งกาย ถ้าเทียบกับมัธยมก็คือมัธยมปลายปีที่หก ซึ่งมันหมายความว่าฉันต้องกลับไปเรียนเริ่มต้นใหม่
“เฮงซวย!” ฉันสบถขึ้น
Sushi Talks:
หากเวลาที่คุณไม่รู้จะทำอะไรกับเหตุการณ์ที่วุ่นวาย มีคนบอกให้ฉันปล่อยวางและปลงกับเรื่องราวนั้นซะ...เชื่อไหมว่า พวกเราสอบตกฮือออ
ด้วยความที่ว่าไม่มีใครคิดถึงเรื่องการเรียนกันเลยสักคน ทำให้ไม่ได้แจ้งกับทางโรงเรียนว่าขาดฝึกงานเพราะอะไร ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดเป็นอย่างที่เห็น
“ทำไงกันดีละทีนี้...ให้แม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ซะด้วย” ฉันพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“แม่...” ไอซิ่งทักแม่ตัวเองที่เดินมานั่งที่โซฟาพร้อมกับคุณผู้จัดการ “แม่ได้แจ้งกับทางโรงเรียนไหมอะว่า...พวกหนูเข้าโรงพยาบาล”
“เออ แม่ลืมไปเลย” คุณป้าอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกได้ขึ้นมา ก่อนจะทำปากจิ๊จ๊ะแล้วหันไปสงสายตาถามไอซิ่งว่าเกิดอะไรขึ้น
“พวกหนู...อุบ” ฉันกระโดดทั้งๆที่ขาเจ็บไปปิดปากไอซิ่ง ที่ตื่นมาก็จะทำเสียเรื่องเพราะขืนพ่อแม่เรารู้มีหวังตายกับตาย ฉันส่ายหน้าและหัวเราะแห้ง พูดปัดๆว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ แต่ในไม่ช้าไม่นานเขาก็ต้องรู้ความจริง
ด้วยความที่ว่าฉันเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของกลุ่ม ฉันจึงจำเป็นต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างเอง แต่เพราะว่าฉันเป็นคนไม่มีแผนการใดๆในหัวสมองสักเท่าไรเลยต้องพึ่งพาช็อกโกล่าที่ดูเหมือนเธอจะลืมไปว่าพวกเราสอบตกวิชาฝึกงาน ฉันเห็นช็อกโกล่ามัวแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับวนิลาจ้องหน้าซุนวูกับเฮซอง
“ช็อกโก้...ไปห้องน้ำกันไหม” ฉันเรียกช็อกโกล่าจนเธอสะดุ้งแล้วทำหน้าเลิกลั่ก
“ฮะ...ตอนนี้อะเหรอ แต่ฉันไม่ปวดอะ”
“ฮะฮ่าๆ” ฉันละเชื่อเธอเลยจริงๆ...”ฉันขาเจ็บนะโว้ย”
“คือซูชิ แกลืมอะไรรึเปล่าฮะ ฉันก็เจ็บขาอยู่นะย่ะ”
ฉันหมดที่จะเล่นลูกไม้อะไรต่อไป และก็หัวเราะแห้งก่อนจะส่งสายตาแบบหน้าสงสารให้ ยังโชคดีที่คุณป้าไม่อยู่แถวนี้ฉันจึงเดินกระเผลกๆไปเกาะแขนช็อกโกล่าให้ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่หน้าห้องน้ำ
“แกมีเรื่องอะไรจะพูดใช่ไหม” ช็อกโกล่าพูดขึ้นลอยๆ “ฉันเตรียมแผนเอาไว้แล้วละ วะฮะฮ่า รับรองงานนี้เลิศยิ่งกว่าแผนเดิมแก”
พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะร่า แล้วเรียกฉันเข้าไปฟังใกล้ๆ...แต่ละวินาทีผ่านไปทำให้ฉันตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆด้วยความทึ่ง อึ่ง งงว่าคิดได้ยังไง เมื่อเล่าจบช็อกโกล่าก็เริ่มปิดประเด็น และประโยคหลังสุดนี่แหละที่ทำฉันช็อกสุดยอด
“เราจะได้เป็นพี่เลี้ยงของรีเทิร์นกัน คิคิคิ”
ความคิดเด็กมากกก ! แกจะบ้าตามวนิลาไปอีกคนเหรอ
ช็อกโกล่าเดินยิ้มแป้นและกลับไปที่เตียงโดยที่ไม่สนใจฟังความคิดเห็นหรือถามความคิดของคนอื่นๆเลย ฉันได้แต่ส่งสายตาปรามเพราะทำอะไรได้ไม่มากเวลาอยู่ต่อหน้าหนุ่มๆแล้วใจฉันก็เต้นแรง อ๊า...จงจุนหล่อจังเลย
“นี่ คุณผู้จัดการคะ ก่อนจะกลับพวกเรามีอะไรอยากจะคุยกับคุณสักหน่อยจะได้ไหมคะ...” พูดถึงจุดนี้ช็อกโกล่าก็เหลือบไปมองห้าหนุ่ม “ความลับสุดยอดค่ะ”
อ๊ายยย ทำไมช็อกโกล่าต้องพูดจาดูน่าลึกลับแบบนั้นด้วย แล้วใครตกลงปลงใจกับเธอรึยัง
“กะ...กับฉันงั้นเหรอ?” คุณผู้จัดการที่สวมแว่นหนาเตอะท่าทางเงอะงะ ทำตาโตสีหน้าดูดีอกดีใจแล้วชี้หน้าตัวเอง
ลุงคงไม่ได้คิดอะไรใช่ไหมคะ ฮือออแอบคิดมากนะ
ฉันมองจ้องเขม็งหวังเตือนช็อกโกล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะเธอไม่สบตาฉันเลยสักนิด สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะได้รู้ถึงแผนการบ้าๆที่ช็อกโกล่าจอมวางแผนสุดไร้สาระคิดขึ้นมา เฮ้อฉันไม่น่าปรึกษาเธอเลยให้ตายสิ คุณแม่ของไอซิ่งก็ขอตัวกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้า ช็อกโกล่าจึงขอเชิญพวกหนุ่มๆออกไปนอกห้องก่อนคงเพราะกลัวไม่ เซอร์ไพร์สละมั่ง
“คือว่า... ถ้าฉันจำไม่ผิดเนี่ยคุณเคยพูดว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยใช่ไหมคะ?” ช็อกโกล่าพูดขึ้นทำสีหน้าหยั่งเชิง
“เอ่อ...ใช่แล้วครับ ผมพูดทำนองนั้น คิดว่าพูดทำนองนั้นล่ะนะ” คุณผู้จัดการพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
เอิ่ม แล้วช็อกโกล่าไปรู้มาจากไหนหว่า
“คือตอนนี้พวกเรามีเรื่องอยากรบกวนให้ช่วย ไม่ทราบว่าจะช่วยได้ไหมคะ” ช็อกโกล่าพูดพลางทำสีหน้าจริงจัง “พวกเรากำลังสอบตกวิชาฝึกงานทำให้ต้องหาที่สอบแก้ตัวใหม่ และฉันก็เห็นว่ามีตำแหน่งดีๆที่พวกเราน่าจะช่วยคุณทำได้”
อ๊ายยย เขาต้องหัวเราะแล้วก็ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวแน่นอนเลยอะ ฉันไม่อยากดูและรับรู้ แต่ตรงข้ามกับเพื่อนๆคนอื่นๆที่อ้าปากค้างรอฟังแผนการเด็กๆของช็อกโกล่า
“แล้ว...?จะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”
“ให้พวกฉันไปฝึกงานเป็นพี่เลี้ยงของห้าหนุ่มรีเทิร์นเป็นเวลาสี่เดือน!!”
จบแล้วชีวิต...อับอายเขามากถึงมากที่สุด ฮือออ
จากใจผู้แต่ง Flie 01 : ลาก่อน / เจ้าทุกข์ / พี่เลี้ยง
อย่างแรกเลยขอบอกก่อนว่าแต่งลำบากเพราะว่าเน้นการบรรยายไม่ได้ในช่วงหนึ่ง
แต่ตอนนี้เน้นความน่ารักของจองมิน...
ส่วนคู่อื่นๆยังคงชิลๆอยู่ แต่ชอบตอนที่เทโฮหันมาบอกกับไอซิ่งว่า...หายไวๆนะ ๕๕๕
เลยนำเพลงนี้มาประกอบการอ่าน
ความคิดเห็น