คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : รุกคืบ
บทที่ 3 : รุกคืบ
หัวใจรู้สึกหวิวๆ ยามเห็นขวานของร็อคกี้เฉียดผ่านชายเสื้อของเจ้าองครักษ์ซาคาน เลือดสดๆ สีแดงฉาดที่ไหลออกมาเปื้อนผ้าคลุมสีดำทำให้ฉันรู้สึกสงสารเขา กลัวว่าเขาจะตาย รู้สึกอยากวิ่งเข้าไปช่วย...ความรู้สึกประหลาดที่อยากจะช่วยคนเหล่านี้มันคืออะไร
“ฉันเป็นนักฆ่านะ”
...........................
“เจ้ายังเจ็บแขนอยู่หรือเปล่า” ดราฟตะโกนฝ่าสายลมถามซาเนียย่าที่นั่นซ้อนอยู่ข้างหน้า ขณะเขากำลังควบม้าตามไปตามทางมุ่งไปสู่ชายป่าด้านหลังวังซึ่งน่าจะเป็นที่ที่ซาคานตามโจรกระชากกระเป๋าหรือก็คือร็อคกี้นั่นเอง
“ไม่เจ็บแล้วพระเจ้าคะ” ซาเนียย่าตอบเสียงหวาน พลางก้มตัวหลบกิ่งไม้ตามข้างที่เริ่มจะรกชันขึ้นเรื่อย...ไม่รู้ว่าร็อคกี้จะล่อซาคานไปทางไหนด้วย
“ระวังหน่อย ข้าได้ยินเสียงคนมาจากข้างหน้า คงใกล้จะถึงแล้ว” องค์ชายเอ่ยเสียงเรียบ พุ่มไม้ที่ยื่นมาจากข้างทางทำให้ยิ่งเดินทางลำบากยิ่งขึ้นจนต้องชะลอความเร็วของม้าลง
และก็เป็นอย่างที่ดราฟพูด พอพ้นจากพุ่มไม้ไปแล้วก็ไปลานดินโล่ง และที่นั่น ซานคานกับร็อคกี้กำลังยืนจ้องหน้ากันด้วยสีหน้าดุดันและจริงจัง ในมือของทั้งสองฝ่ายต่างถืออาวุธที่ตนถนัด องครักษ์ลึกลับถือดาบเล่มยาม ส่วนนักฆ่าหนุ่มก็มีขวานเล่มโตเช่นกัน และเหมือนว่าพวกเขาจะรับรู้ถึงการมาของพวกเธอแล้ว เพราะซาเนียย่าเห็นซาคานหันมามองเธอแวบหนึ่ง
ข้างๆ เท้าของร็อคกี้มีกระเป๋าขนสัตว์ใบสวยของซาเนียย่าวางทิ้งอยู่ หญิงสาวแกล้งทำท่าจะวิ่งเข้าไปหยิบแต่องค์ชายกลับรั้งเอาไว้พลางทำหน้าดุใส่จนเธอได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่กล้าส่งเสียงอะไร
ร็อคกี้ขยับรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของคนก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะเป็นซาเนียย่ากับดราฟ แต่ก็ไม่กล้าที่จะหันไปมองเพราะกลัวจะเสียทีให้กับซาคาน พวกเขาประมือกันไปแล้วยกหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นผล ทว่าแรงของทั้งคู่ก็ลดลงไปมากเลยทีเดียว
“ถ้าเจ้าไม่เข้ามา งั้นข้าจะเข้าไปละกัน” นักฆ่าหนุ่มขยับรอยยิ้มเหี้ยม ก่อนจะเหวี่ยงขวานเข้าไป ซึ่งอีกฝ่ายก็หลบได้ไม่ยากนัก แต่จู่ๆ ร็อคกี้กลับพลิกข้อมือหมุนขวานเข้ามาดักทางซาคาน เขาที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวได้ตามต้องการจนโดนคมขวานกรีดผ่านชายผ้าเข้ามาจนเรียกเลือดได้ที่หน้าท้อง
“อะไรมันง่ายดายปานนั้น แกมันก็ทหารปลายแถวละวะ” ร็อคกี้ร้องก้องอย่างฮึกเฮิม
“ว้าย”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากซาเนียย่าที่กำลังสวมวิญญาณของสาวน้อยผู้อ่อนโยน แม้จริงๆ แล้วเธอจะไม่ได้แกล้งเลยแม้แต่น้อย เสียงที่กรีดร้องออกมามันดังมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ถูกขังล็อคเอาไว้มานานหลายปี นี่เธอยังมีความอ่อนโยน ความกลัวอันน่ารังเกียจแบบนี้อีกหรือ หญิงสาวเมินหน้าหนีแต่ก็เห็นว่าดราฟคิ้วกระตุกทันทีที่เห็นองครักษ์คนสนิทพลาดได้เอาเสียง่ายๆ อย่างนี้
“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนนะ” ดราฟหันมาสั่งด้วยท่าทางขึงขัง นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูลึกลับน่ากลัวกว่าทุกครั้ง
“เดี๋ยวเพคะ” เธอรั้งแขนของคนสูงศักดิ์กว่าเอาไว้อย่างไม่เกรงกลัว “อย่าทิ้งหม่อมฉันไว้คนเดียวเลย หม่อมฉันกลัว”
ดราฟขมวดคิ้วอย่างไม่ถูกใจ แต่ท่าทีก็ดูอ่อนลงมาก “ไม่หรอก ถ้าเจ้าอยู่ตรงนี้ และทำตามทำสั่งของข้า”
เอ่ยเสร็จเอาก็ใช้มือวาดรูปเป็นวงกลมขึ้นมาวงหนึ่งล้อมรอบร่างของซาเนียย่าไว้
“จำไว้ตราบใดที่เจ้าไม่ออกจากวงแหวนนี่ก็จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้”
หญิงสาวพยักหน้างึกๆ อย่างไม่มีทางเลี่ยง อันที่จริงไม่อยากให้เจ้าองค์ชายนั่นลงไปช่วยซาคานสักนิด เพราะแค่นี้ร็อคกี้ก็ตรึงมือจะแย่อยู่แล้ว
และก็เป็นอย่างที่เธอคิด หลังจากที่ดราฟลงไปร่วมวงด้วย ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ร็อคกี้กำลังถูกไล่ต้อนจนมุมเข้าไปเรื่อยๆ ครั้นเธอจะเข้าไปช่วยก็จะทำให้ความแตกเสียเปล่าๆ
“หัวหน้ากับพวกพริมซ์ไปอยู่ไหนกันหมดนะ” เธอพึมพำ ได้แต่ชะเง้อมองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ฝ่ายพริมซ์กับมาริเอะหลังจากที่จัดการกับศพของทหารยามเรียบร้อยแล้วก็กำลังจะออกจากป่า แต่ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงคนกำลังสู้กันอยู่จริงแอบย่องเข้าไปดูอยู่หลังพุ่มไม้หนาม และก็พบว่าเป็นร็อคกี้นั่นเอง
“แบบนี้แย่แหะ เอาแต่หลบแต่รุกไม่ได้แบบนี้” พริมซ์บ่นกระปอดกระแปดไม่ถูกใจกับการต่อสู้ตรงหน้าที่ร็อคกี้กำลังโดนรุกหนักจนเริ่มถอยเข้าป่าไปเรื่อย “แบบนี้เราน่าจะเข้าไป...”
“อย่านะ” มาริเอะร้องเสียงแข็ง “อย่าลืมสิว่าหัวหน้าสั่งห้ามไม่ได้เรายุ่งกับฝ่ายนี้ ถ้าองค์ชายเห็นเราแล้วยังไปได้ข่าวคนที่ใส่ชุดแบบพวกเราไปป้วนเปี้ยนแถบหลังวังจะพาลกระทบถึงแผนการใหญ่ของได้”
“ความคิดเยี่ยมยอดมารี่”
เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลังพร้อมกับชายในชุดผ้าคลุมมอซอปกปิดหน้าตามิดชิดกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ พริมซ์รีบชักมีดออกมาทันทีแต่มาริเอะจับมือไว้เสียก่อน
“นี่หัวหน้าเอง” เธอเอ่ยเสียงเบาๆ พลางโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม
“หัวหน้ามัวไปนั่งหลับมาหรือไง ร็อคกี้จะแย่อยู่แล้วนะ” พริมซ์โวยวายทันที แต่คนถูกหาว่านั่งหลังเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
“ข้าแค่รอเวลา...”
นักฆ่าสาวทั้งสองทำสีหน้าฉงน แต่ก็รีบถอยออกไปดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เพราะในเมื่อเซ็นซังลงมือเองก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกแล้ว
“ซาเนียย่า...ซาเนียย่า” เสียงทุ้มอันคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง มันช่างเบาราวกับเป็นเสียงของสายลม แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่กล้าหันไปมองเพราะกลัวจะผิดสังเกต “ถ้าได้ยินเสียงข้าค่อยๆ ถอยหลังออกมา ช้าๆ นะ”
แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเสียงของใครแต่สัญชาตญาณก็สั่งให้หญิงสาวทำตาม จนกระทั่งขาของเธอข้างหนึ่งก้าวพ้นวงแหวนเวทย์ของดราฟออกมา ร่างบางก็ถูกระชากไปด้านหลังทันที มือของใครคนหนึ่งตะปบเข้าที่ปากจนมีแต่เสียงดังอู้อี้
“นี่ข้าเอง”
...เซ็นซัง... หญิงสาวคนในใจ แต่รู้ทันทีว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไรเมื่อเขาเอามือออกจากปากของเธอ
“องค์ชายช่วยข้าด้วย!!!”
ได้ผลเกินคาด เพราะทั้งดราฟและซาคานรีบหันมามองทันที ใบหน้าของซาเนียย่าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและคราบน้ำตารวมถึงมีดที่จ่ออยู่ที่คอตรึงให้ทั้งสองจ้องมองไม่วางตา ร็อคกี้ที่รู้อยู่แล้วว่านี่เป็นแผนช่วยตนรีบผละตัวออกมายืนอยู่ข้างๆ เซ็นซัง
“ปล่อยนางซะ” ดราฟยื่นคำขาด ส่วนซาคานก็ตั้งท่าว่าจะกระโจนเข้ามาแย่งซาเนียย่าไปซึ่งๆ หน้า แต่คนมีศักดิ์สูงกว่ากลับส่ายหน้าปราบ เพราะทำไปก็มีแต่จะทำให้ตัวประกันเจ็บตัวเปล่า แถมยังอาจจะช่วยไม่ได้อีกต่างหาก
“ท่านน่าจะรู้ดีว่าพวกข้าถือไพ่เหนือกว่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพวกท่านไม่ตามข้ามา สัญญาว่าข้าจะปล่อยนางให้เป็นอิสระโดนไร้ร่องรอยการขีดข่วนใดๆ ทั้งสิ้น” เซ็นซังยื่นข้อเสนอ ซึ่งฝ่ายดราฟก็ไม่มีทีท่าตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น
ร็อคกี้เหยียดรอยยิ้มกว้าง อันที่จริงเขาอยากจะหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำกับแผนการพ่อเสือจับแม่เสือเป็นตัวประกันของเซ็นซัง นี่ถ้าอีกฝ่ายรู้เข้าคงจะโมโหหน้าดู แต่ด้วยสถานการณ์พาไปเขาจึงได้แต่ตีสีหน้าขังขังเท่านั้น
“ถ้าไม่พูดอะไร ข้าก็จะถือว่าเป็นการตอบรับละนะ”
ว่าเสร็จร็อคกี้และเซ็นซังพร้อมด้วยซาเนียย่าที่จับไว้อยู่ก็กระโจนเข้าป่าและหายลับสายตาไป โดยที่ทั้งดราฟและซาคานก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“บ้าชิบ”
ดราฟคำรามในลำคอ ก่อนจะก้มลงเก็บกระเป๋าขนสัตว์ที่วางแหมะอยู่บนพื้น ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นของชิ้นหนึ่งที่ตกอยู่ห่างออกไป มันเป็นหยกสีขาวรูปหงส์ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตสวยงาม มองดูก็รู้ว่าต้องเป็นของราคาแพงแน่นอน
“ดูนี่สิ” องค์ชายส่งหยกที่เก็บได้ให้ซาคานดู.... ทันทีที่ซาคานเห็นหยกชิ้นนั้น เขาถึงกับนิ่งงันไปทันที นัยน์ตาผ่านใต้ผ้าคลุมสีดำมองเก็บรายละเอียดลวดลายทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน
“มันคงจะเป็นของนาง แต่ข้าจะให้เจ้าเก็บเอาไว้ก่อนละกันนะซาคาน”
คนองครักษ์พยักหน้ารับ พลางกวาดสายตามองป่ารอบด้านอย่างระแวดระวังภัย
“เชิญเสด็จกลับเถอะ”
ฝ่ายซาเนียย่าหลังจากวิ่งออกมาพ้นชายป่าด้านโกดังท่าเรือแล้วก็ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง เมื่อพบว่ามาริเอะกับพริมซ์ที่กลับมาสวมชุดหนังสีดำปกติธรรมดาจูงม้ามารอรับถึงที่ เซ็นซังถอดผ้าคลุมออกแล้วโยนให้มาริเอะก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นม้าเพื่อกลับโกดัง
“เป็นอย่างไรบ้างซาเนีย พวกองค์ชายกลับไปแล้วหรอ” พริมซ์ร้องถามทันทีซึ่งเธอก็พยักหน้ารับ “ว้า! เลยอดกระชากผ้าคลุมเจ้าองครักษ์นั่นเลย อยากรู้จริงๆ ว่าหน้าตามันหน้าเกียจมากหรือไงถึงต้องใส่ซะมิดชิดขนาดนั้นนะ”
“ฮ่าๆๆ” ร็อคกี้หัวเราะลั่นพลางควบม้าเข้าไปขยี้หัวพริมซ์เล่น “มัวแต่ถามอยู่นั่นแหละ พวกข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
พอได้ยินแบบนั้นซาเนียก็เบ้หน้าทันที “น้อยๆ หน่อยร็อคกี้ ข้าต่างหากละที่ถูกใช้งานจนคุ้มเลย ไหนจะต้องแหวกพวกสาวๆ เข้าไปหาองค์ชาย แล้วยังต้องเล่นบทเป็นแม่หญิงผู้อ่อนโยน น่าสงสาร น่าปกป้องทะนุถนอมอีก อี๊! คิดแล้วยังสยองตัวเองไม่หาย”
มาริเอะฟังเจ้าเด็กรุ่นน้องแล้วก็อดจะยิ้มตามไม่ได้ “เจ้าก็ต้องหัดเอาไว้บ้าง ไม่ใช่แข็งกร้าวเป็นม้าดีดกะโหลก นักฆ่าอย่างเราๆ นะต้องเก่งทุกด้านเข้าใจไหม เพราะบางทีพวกผู้ชายจะมาตายเอาก็ตอนเจอมารยาหญิงนี่ละ”
หญิงสาวฟังแล้วก็ยิ้มรับไม่เถียงเหมือนทุกที ท่าทางและน้ำเสียงของมาริเอะทำให้เธอนึกถึงวันเก่าๆ ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณป้าที่คอยสอนมารยาทต่างๆ ให้...พอคิดได้ถึงตรงนี้มือบางก็เลื่อนไปคลำบริเวณเอวที่เธอเก็บหยกขาวเอาไว้ แต่ทว่ากับพบเพียงความว่างเปล่า มันหายไปแล้ว
“หยกข้าหาย”
ทุกคนชักม้าให้หยุดลงทันที เซ็นซังหันหลังมองกลับไปยังป่าที่เพิ่งผ่านมาอย่างไตร่ตรองก่อนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“เจ้าตัดใจจากมันเสียเถอะ เรากลับไปเอาไม่ได้จนกว่าจะผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อน ไม่งั้นเจ้าอาจถูกจับได้”
เอ่ยเสร็จก็ควบม้าต่อไปทันที ทุกคนหันหน้ามามองซาเนียย่าอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไร จึงได้แต่ต้องควบม้าตามไป และตัดใจจากมันซะเท่านั้น
กองข้อมูลต่างๆ ที่เซ็นซังจัดการวิเคราะห์และเรียบเรียงออกมาเป็นตัวอักษรวางอยู่ตรงหน้าทุกคนบนโต๊ะไม้ผุๆ ในห้องใต้ดินของโกดังที่เคยใช้ประชุมประจำ กลิ่นไหม้ๆ ลอยโชยมาจากข้างบน ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าวันนี้พ่อบ้านทำอาหารของพวกเธอไหม้อีกแล้ว
“ประตูวังทุกทิศเปิดตั้งแต่แปดโมงจนถึงหกโมงเย็น ทุกที่มีทหารเฝ้าอยู่สองคนยกเว้นประตูทิศใต้ที่มีเพียงแค่คนเดียว แถมยังไม่มีคนใช้” มาริเอะเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ “งั้นเราคงต้องใช้ประตูทางนี้สินะ ข้าได้ตราทหารที่สามารถผ่านเข้าไปถึงเขตชั้นในมาได้แล้ว แต่ดูท่ามันคงจะไม่มีประโยชน์”
“ก็ไม่แน่...” ซาเนียย่ายักไหล่ “เราล่อองค์ชายมาฆ่าข้างนอกจะไม่ดีกว่าหรอ ไม่ต้องยุ่งยากกับพวกทหารมากมายด้วย ดูจากวันนี้ก็รู้ว่าองค์ชายไม่ชอบให้มีทหารติดตามไปเยอะ”
“มันก็จริงนะ” เซ็นซังว่า “แต่ทหารที่องค์ชายพามาก็มีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น แต่ถ้าเราเข้าไปโจมตีถึงภายในเขาก็จะไม่ได้ตั้งตัว แถมตัวพวกทหารเองนั้นแหละที่จะต้องมาวุ่นวายว่าไม่มีใครสั่งการอะไรก็ทำอะไรไม่ถูก ทำให้เป็นผลดีต่อฝ่ายเราด้วย”
ทุกคนพยักหน้ารับ
“แล้วเราจะลงมือกันตอนไหนละ ฉันจะได้เตรียมของไว้เล่นกับพวกทหาร” พริมซ์ถามพลางตะไบเล็บยาวๆ ของตัวเองจนคมกริบไม่ต่างจากมีด
“อีกหนึ่งสัปดาห์...อีกหนึ่งสัปดาห์องค์ราชาจะเสด็จประพาสป่า ทหารกว่าครึ่งต้องออกไปอารักขา...เราจะลงมือหลังเที่ยงคืนแล้ว”
....อีกหนึ่งสัปดาห์ ซาเนียย่าถอนใจเฮือกใหญ่ นี่เธอเหลือเวลาเตรียมตัวอีกแค่ไม่กี่วันก็ต้องบุกเข้าวังแล้วหรือนี่
....
“แล้วเวลาที่เหลือละ” เสียงของพริมซ์ดึงสติของเธอให้กลับมาที่การประชุมอีกครั้งหนึ่ง “จะให้นั่งกินนอนกินรอเวลาหรอไง น่าเบื่อแย่”
เซ็นซังแย้มรอยยิ้มบนเรียวปาก “ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบการรอ ข้ามีรายชื่อเหยื่อที่จะให้เจ้าไปจัดการที่นอกเมือง ว่าไง! สนใจข้อเสนอของข้าบ้างไหม”
นักฆ่าสาวยิ้มแก้มปริ “ด้วยความยินดีค่ะหัวหน้า”
ขณะเดียวกันภายในวังก็เกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียวที่จู่ๆ ก็เกิดมีโจรร้ายเข้ามาขโมยกระเป๋าชาวบ้านต่อหน้าองค์ชาย ทำให้ราชองครักษ์คนสนิทบาดเจ็บ แถมยังไม่สามารถตามจับตัวได้อีกต่างหาก ยิ่งใกล้วันที่องค์ราชาเจอโรมใกล้จะเสด็จประพาสป่าเท่าไหร่ ฝ่ายทหารมหาดเล็กก็ยิ่งวุ่นมากขึ้นเท่านั้น
ฝ่ายองค์ชายเองหลังจากกลับมาจากป่าแล้วก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย นอกจากให้หมอมารักษาบาดแผลให้ซาคาน กับเลขาที่นำเอกสารราชการมาให้ตรวจสอบ
และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาหมกตัวอยู่ในห้องทรงงานที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนไม้ขัดเงาชั้นเยี่ยม ปิดประตูและผ้าม่านโดยรอบ และใช้แสงสว่างจากโคมไฟบนเพดานกลางห้องเท่านั้น ทำให้ห้องดูมืดสลัวน่าวังเวง
“เจ้าดูนี่สิ” ดราฟยื่นเอกสารใบหนึ่งให้ซาคานที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังดู “ไม่กี่วันมานี้มีพวกขุนนางใหญ่ๆ ในชนบทตายไปตั้งหกคน บางคนก็ถูกฆ่าตาย บางคนก็ยาพิษ แถมพอไปตรวจสอบที่บ้านกลับพบเอกสารทุจริตตั้งมากมาย”
“ท่านคงไม่คิดว่าเป็นพวกนักฆ่าคุณธรรมหรอกนะ”
“ไม่...ข้าไม่คิดเช่นนั้น” ดราฟปฏิเสธเสียงแข็ง ในตาสีเขียวมรกตหรี่ลงอย่างครุ่นคิด “แต่ข้าว่าเป็นการฆ่าตัดตอนเสียมากกว่า”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเรียกทำให้การสนทนาหยุดลงพร้อมกับ ทหารยามเฝ้าประตูที่วิ่งเข้ามารายงาน
“พระสนมยาติสมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าคะ”
“ให้นางเข้ามา” ดราฟเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เขาไม่ชอบให้ใครมาป้วนเปี้ยนวุ่นวายกับตำหนักส่วนตัวของเขา
ไม่นานหลังจากที่ทหารยามออกไป หญิงสาวในชุดกระโปรงยามก็เดินเข้ามา ใบหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอคือยาติสพระสนมในองค์ราชาเจอร์โรมนั่นเอง หลังจากที่เฟรย่าแม่ของดราฟตาย เธอก็คอยดูแลเขาราวกับลูกของตน แต่ทว่าปกติเธอจะอยู่แต่ในตำหนักในเท่านั้น ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้มาถึงที่นี่ได้
“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมาจึงมาหา เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า” ยาติสถามด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใย “เจ้าคงจะกลัวมากสินะ”
ดราฟถอนใจอย่างเอือมระอา ถึงแม้จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่คิดจะนิ่งดูดายกับความห่วงใยของหญิงสาววัยกลางคนตรงหน้า
“หม่อมฉันมิใช่เด็กแล้วนะพระเจ้าคะ และหม่อมฉันก็ไม่เคยกลัวพวกคนชั่วช้าแบบนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง
“รู้จ้ะว่าเจ้านะไม่ใช่องค์ชายน้อยๆ เหมือนเมื่อวันวานแล้ว แต่เจ้านะโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว นี่ถ้าเฟรย่ายังอยู่นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เจ้าเข้มแข็งและแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้” ยาติสมองใบหน้าภายใต้หน้ากากรูปนกอินทรีย์อย่างพึมพอใจ “เจ้าก็ไม่ใช่ชายขี้เหร่ เหตุใดจึงต้องสวมหน้ากากไปไหนมาไหน แล้วแบบนี้สาวที่ไหนเขาจะมองเจ้ากันเล่า”
“ข้าไม่ต้องการให้ใครมอง” องค์ชายหนุ่มสวนทันควัน
“การจะขึ้นครองราชย์ก็ต้องมีราชินีเคียงข้างกาย แน่นี่เจ้ายังมิตกลงปลงใจกับหญิงนางใดเลยหรืออย่างไร...”
ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ตอบเหมือนทุกที แต่ยาติสก็ไม่ได้ถือโทษอะไร
“เสียดายที่ท่านหญิงตระกูลเลวาเสียชีวิตไปเสียก่อนตั้งแต่ยังเด็ก มิเช่นนั้นป่านนี้เจ้าคงได้เป็นฝั่งเป็นฝากับนางเป็นแล้ว”
“พอเถอะพระเจ้าคะ” ดราฟเอ่ยเสียงแข็ง ซาคานที่รู้นิสัยเจ้านายของตนดีรีบแก้สถานการณ์ทันที
“ข้าว่าเชิญพระสนมเสด็จกลับก่อนเถอะพระเจ้าคะ องค์ชายต้องการพักผ่อน”
ยาติสนิ่งไปสักพัก สีหน้าดูจะไม่พอใจ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องยอมเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ทั้งห้องตกลงสู้ภวังค์แห่งความเงียบและวังเวง
ดราฟค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้า เขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น ตอนที่เขาเสียแม่และเลวาไป ภาพต่างๆ ค่อยๆ หวนกลับเข้ามาหาตัวเขาเองอีกครั้งหนึ่ง
เปลวไฟที่ร้อนระอุกำลังเผาอาคารไม้เรือนงามให้วอดลง ร่างของหญิงที่นอนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงเต็มไปด้วยเลือดที่หยาดรินออกมาจากแผลที่มีดาบปักเอาไว้ เสียงตะโกนของเธอดังลั่น ทว่ามันกลับไม่เข้ามาในโสตประสาตของเจ้าชายน้อยที่นั่งคุกเข่าร่ำไห้กับภาพที่เห็น ทั้งที่เหล่าทหารนางกำนัลต่างก็วิ่งกันวุ่นเพื่อดับไฟ แต่กลับไม่มีใครสักคนที่คิดจะเข้าไปช่วยชีวิตของคนที่อยู่ข้างใน
“แม่...ข้าจะไปช่วยท่าน ท่านต้องรอข้านะ” เด็กชายตัวน้อยที่พยายามตะโกนแข่งกับเสียงเปลวไฟที่พิโรธโหมกระหน่ำ พยายามฉุดยื้อกับเหล่าทหารจะวิ่งเข้าไปข้างในให้ได้
“ไปเถอะลูก ออกไปให้ไกล จำไว้....จำเอาไว้.... อย่าไว้ใจใครเด็ดขาด อย่าไว้ใจใครภายในวังนี้”
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นมารดาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาก่อนที่คานไม้จะหล่นลงมาทับไว้
‘อย่าไว้ใจใครภายในวังนี้’
“องค์ชาย”
เสียงเรียกเบาๆ จากองครักษ์คนสนิทปลุกให้เจ้าของชื่อหลุดออกจากอดีตที่แสนปวดร้าว ทว่าเสียงสุดท้ายของมารดากลับยังคงดังก้องในหัว
“บ่ายนี้มีประชุมการวางแผนอารักขาองค์ราชากับหัวหน้ามหาดเล็ก จะให้ราชเลขานำข้อมูลเข้ามาให้เลยไหมขอรับ” ซาคานถามด้วยความนอบน้อม ทว่าน้ำเสียงก็ยังคงนิ่งและเย็นชาเช่นเดิม
“ยังก่อน” ดราฟตอบ น้ำเสียงเบื่อๆ “ให้เอามาให้ข้าตอนใกล้ๆ ประชุมก็ได้ อ้อ! เที่ยงนี้ไม่ต้องให้พ่อครัวเอาอาหารเข้ามานะ ข้าจะทำงาน แล้วสั่งหัวหน้าองครักษ์ด้วยว่าภายในเย็นนี้ข้าต้องได้รายงานพวกโจรชั่วที่ฉกกระเป๋าแม่นางเมื่อวันนั้น”
ซาคานโค้งหัวเล็กน้อยอย่างรู้งานก่อนขอตัวออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้านายเหนือหัวองค์น้อยได้ทำงานอย่างเงียบๆ ตามลำพัง
ตึก ตึก ตึก...เสียงหัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวยามเงยหน้าขึ้นจากรูที่ตนเองเพิ่งเจาะ ก่อนก้าวเท้าไปบนหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนของห้องทรงงานขององค์ชายรัชทายาทคนสำคัญของอาณาจักร ประโยคทุกประโยค คำพูดทุกคำที่เกิดขึ้นล้วนถูกจดบันทึกลงในหัวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
‘บ่ายประชุมแผนอารักขาองค์ราชา เย็นส่งรายงานตามจับโจร’
ซาเนียย่าท่องกำหนดการในวันนี้ของดราฟจนขึ้นใจ ก่อนก้มลงมองพื้นเบื้องล่างจนแน่ใจว่าไม่มีทหารเดินมาตรวจตราแถวนี้แล้วจึงค่อยกระโดดข้ามลงไปบนต้นไม้ใกล้กำแพงวังที่มาริเอะแอบอยู่
วันนี้เธอกับรุ่นพี่สาวนักฆ่าถูกเซ็นซังใช้ให้มาดูลาดเลาภายในวังก่อนที่คืนพรุ่งนี้จะลงมือจริง ส่วนพริมซ์ก็ใช้ให้ไปจับการกับพวกขุนนางชนบทกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นที่โกดังจึงเหลือเพียงร็อคกี้กับเซ็นซังเท่านั้น
ที่ต้นไม้ มาริเอะกำลังแกะกระดาษออกจากขาของนกพิราบก่อนปล่อยมันบินขึ้นฟ้าไป ด้วยความสงสัยหญิงสาวจึงอดที่จะถามไม่ได้
“หัวหน้าส่งมาหรือพี่มารี่”
มาริเอะพยักหน้ารับ “แล้วทางเจ้าละได้ความอะไรบ้าง”
คนถูกถามยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ประชุมอารักขาตอนบ่าย กับตรวจการงานการจับ ‘โจร’ เท่านั้นแหละ”
มาริเอะเลิกคิ้วสูงก่อนเหยียดรอยยิ้มจนเป็นเส้นตรงเพราะเข้าใจความหมายคำว่า ‘โจร’ ของรุ่นน้องสาวดีว่าหมายถึงร็อคกี้ที่ไปก่อวีรกรรมไว้เมื่อหลายวันที่ผ่านมานั่นเอง
“ว่าแต่นี้เราจะต้องไปแอบดูเขาประชุมกันตอนบ่ายไหมพี่ ข้าหิวท้องกิ่วหมดแล้วนะ หัวหน้านี่ใช้งานกันโหดจริงๆ”
“หึๆๆ หน้าที่เรานะหมดแล้ว ต่อจากนี้จะมีคนมาสานต่อจากเราเอง”
“ใครรึ” ซาเนียย่ารีบถามต่อทัน
“...คนของโพธิ์ดำ”
“อ่า... ท่าทางองค์ชายจะรอดยากซะแล้วสิ”
คนถามหัวเราะหน้าซีดเลยทันที สำหรับเธอแล้ว การที่โพธิ์ดำจะออกมาทำอะไรสักอย่างถือเป็นอะไรที่แย่เอาการเลยทีเดียว
“แล้วแบบนี้อาณาจักรก็วุ่นวายแย่แน่ เสียรัชทายาททั้งที งานนี้พวกเราคงจะโดนตามล่าพลิกแผ่นดินกันเลยละ”
“ไม่หรอก” มาริเอะปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่นัยน์ตาสีเงินยังคงจับจ้องอยู่ที่ยาติสที่เพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของดราฟ “ถึงแม้จะไม่มีองค์ชายดราฟทั้งคน แต่องค์ราชาเจอร์โรมก็คงไม่ปล่อยให้อาณาจักรวุ่นวาย เขาจะต้องแต่งต้ององค์ชายโยเซฟบุตรของพระสนมยาติสขึ้นแทนแน่นอน และบางทีอาจจะเลื่อนตำแหน่งพระสนมยาติสขึ้นเป็นตำแหน่งราชินีที่ยังว่างอยู่หลังจากองค์ราชินีเฟรย่าเสียไปก็ได้”
“อืม...” ซาเนียย่าฟังไปก็คิดตามไปด้วย ก่อนจะเฉลียวใจขึ้นมาได้ “นี่พี่จะบอกข้าว่า...”
“ใช่! บางทีพระสนมยาติสอาจจะเป็นคนจ้างวานงานชิ้นนี้ก็เป็นได้ พอพรุ่งนี้เผด็จศึกเสร็จเจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ”
พอเอ่ยเสร็จก็รีบกระโดดลงจากต้นไม้และหนีหายไปพร้อมกับเงาไม้ ทิ้งให้นักฆ่ารุ่นน้องได้แต่ถอนใจกับนิสัยหายแว๊บ...หายแว๊บของพี่สาวคนนี้เสียจริงๆ
“พี่มารี่ก็...รอข้าด้วยสิ”
หลังจากพ้นเงาของสองสาวนักฆ่าได้ไม่นาน ซาคานที่ซ่อนร่างไว้ภายใต้ชุดคลุมสีดำทะมึนอันเทอะทะก็ค่อยๆ เยื้องกายออกมาจากผ่านใต้เงาต้นไม้อีกต้นที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ครั้งนี้เขาช่างดูต่างกับทุกครั้ง รอยยิ้มที่เผยออกมาจากใต้ผ้าคลุมช่างดูน่ากลัวและเยือกเย็นจนใบหญ้าที่อยู่รอบบริเวณนั้นถึงกับแข็งก่อนจะเหี่ยวเฉาจนเป็นสีน้ำตาลไร้ชีวิตชีวา
เขาค่อยๆ ก้าวมายังต้นไม้ต้นที่พวกเธอเคยอยู่ กลิ่นหอมจากกายสาวยังคงล่องลอยติดจมูก หากแต่เขากลับไม่สนใจมันแม้แต่น้อย
‘หยุดนะ กลับเข้ามาเดี๋ยวนี้’
เสียงทุ้มเฉียบขาดขององค์ชายหนุ่มผู้เป็นดั่งนายเหนือหัวดังขึ้นในความว่างเปล่าของความคิด มันเป็นคำสั่งที่เขาไม่อาจจะขัดได้ ทั้งที่อยากจะตามไปจัดการกับแม้สองสาวนั่นแท้ๆ แต่เหตุใดดราฟกลับห้ามเขาไว้ทั้งๆ ที่รู้ว่าทั้งคู่มีจุดประสงค์มุ่งร้าย
‘ขอรับ’
ซาคานส่งกระแสจิตตอบกลับเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะสะบัดผ้าคลุมอย่างขัดใจและหายลับเข้าไปในเงาของต้นไม้อีกครั้งโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ทันทีที่พ้นเงาขององครักษ์ลึกลับ เหล่าหญ้าและต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉาก็ค่อยๆ กลับมามีสีเขียวสดใสอีกครั้งอย่างช้าๆ
....
ไม่นานนักหรอก แล้วข้ากับพวกเจ้าจะได้เห็นดีกัน
ความคิดเห็น