คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ย้อนรอยอดีต
รายงานแฟ้มบางที่วางอยู่ตรงหน้า เรียกสายตาของชายหนุ่มให้มองมันหลายครั้ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นอาจทำให้ความหวังของเขาตลอดหลายปีมานี้ต้องพังลงอีกครั้ง
ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา แฟ้มที่ถูกส่งตรงมายังห้องของเขาทุกเดือน เป็นสิ่งที่กนธีรอคอยอย่างกระวนกระวายตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่เขาส่งลูกน้องมือดีไปตามหา รวมทั้งนักสืบทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดใต้ฟ้าเมืองไทย ก็ถูกเขาเรียกหามาจนหมด แต่กลับไม่มีใครสามารถหาข่าวของหนูหวาน น้องสาวสุดที่รักของเขา จากบิดาผู้ซึ่งเป็นเบื้องหลังของอนาจักรธนผไทไพศาลได้สักคน
หลังจากที่พยายามอยู่นาน บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันช่างดูโดดเด่นเสียเหลือเกิน
มือแข็งแรงค่อยๆ หยิบแฟ้มขึ้นมาถือเอาไว้แต่ยังไม่ทันได้เปิดดู ประตูห้องทำงานของชายหนุ่มก็ถูกผลักออกอย่างแรง
ร่างบอบบางที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากแฟ้ม เพื่อที่จะต้อนรับคู่ควงคนใหม่ล่าสุดที่เขาเพิ่งได้มาจากการไปอังกฤษเพื่อประชุมเรื่องงาน
เพียงแค่รู้ว่าเขาคือใคร รินดาว ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง ก็ติดตามเขากลับมาที่เมืองไทย โดยไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น และตอนนี้เขาก็เพิ่งได้รับข้อเสนอ จากบิดาของเธอให้เข้าร่วมเป็นหุ่นส่วนระหว่างสองบริษัทในธุรกิจที่กนธีเองก็คิดว่าน่าสนใจไม่น้อย
“ทำอะไรอยู่หรือคะ?”
รินดาว ก้าวอย่างรวดเร็วและมาดมั่นในชุดกระโปรงตัวสั้นแนบเนื้อ เรียกได้ว่าหากผู้ที่สวมใส่ไม่ใช่ผู้หญิงที่มั่นใจในหุ่นของตนเอง คงไม่มีทางกล้าใส่มันเดินออกมาจากบ้านอย่างแน่นอน แต่นั่นต้องไม่ใช่เธอ...
หญิงสาวนั่งลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ตัวใหญ่ ในห้องทำงานที่ถูกตกแต่งอย่างดี สามารถมองวิวรอบๆ กรุงเทพได้เพียงแค่เปิดผ้าม่านที่หนาหนักออกโดยการกดรีโมต
ทุกอย่างในห้องนี้เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นบาร์เครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยเหล้านาๆ ชนิดไม่ว่าจะเป็นของไทยและของต่างประเทศ โฮมเธียเตอร์ขนาดใหญ่ และห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนี้เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงาน
“ผมว่าผมจ้างเลขาเอาไว้นะ แล้วหมอนั่นหายไปไหนกัน?”
กนธีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักๆ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพอใจในตัวของรินดาวมากขนาดไหน แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่เขาจะให้ได้ ไม่ใช่จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้าแบบตอนนี้
“แหม!...รินเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อย คุณพูดแบบนี้รินเสียใจนะคะ”
ชายหนุ่มไม่ได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูด เขากดโทรศัพท์ตามตัวเลขา ที่ควรจะอยู่ที่หน้าห้องเขาตลอดเวลาทันที
“ฮัลโหล...นายอยู่ที่ไหน?”
สิ่งที่ได้ยินทำให้อารมณ์อยากลงโทษเลขาของเขาหมดไป
“งั้นหรือ?...ได้เดี๋ยวฉันจะลงไป”
กนธีวางโทรศัพท์ลง ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนรินดาวที่นั่งอยู่เกือบหงายหลัง
“ว๊าย!...คุณธีคะ จะไปไหนคะ? เมื่อกี้รินเกือบตกเก้าอี้แน่ะ!”
“ขอโทษนะครับพอดีผมได้รับแจ้งว่า เครื่องจักรที่ด้านล่างเกิดระเบิดน่ะครับ ผมจะลงไปดูข้างล่างเสียหน่อย คุณคอยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
ความจริงรินดาวอยากตามไปด้วย แต่พอคิดถึงเครื่องจักรที่ควันโขมงและน้ำมันที่อาจเปื้อนเสื้อตัวสวยของเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะอยู่ในห้องแอร์ นั่งรอชายหนุ่มกลับมาจะเป็นการปลอดภัยกว่า
“เป็นยังไงบ้าง? มันยอมเปิดปากแล้วหรือยัง?”
กนธีเดินออกจากลิฟต์ส่วนตัวไปยังห้องเก็บเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่สำหรับฝึกซ้อมยิงปืน โดยอนุญาตให้เหล่าบอดี้การ์ดทั้งหลาย สามารถเข้ามาใช้งานได้ รวมทั้งเครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัยที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่นี่ด้วย
ชายที่ถูกมัดเอาไว้ติดกับเก้าอี้ มีร่องรอยถูกทารุณไม่มากนัก เบ้าตาเริ่มช้ำจากการถูกหมัดหนักๆ ของใครสักคนในห้องที่ประเคนใส่ เสื้อผ้าที่ยับย่นและไม่เป็นระเบียบแต่ก็ยังพอมองออกว่าหมอนี่ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังเงินหนาไม่ใช่น้อย
สิ่งที่กนธีได้รับแจ้งจากเลขาก็คือ จับหนอนได้หนึ่งตัว
และตอนนี้ หนอนตัวนั้นก็กำลังรอให้เขาไปสอบสวนอยู่
ชายหนุ่มไม่ได้รับคำตอบ ตอนนี้ความเงียบครอบคลุมไปทั่ว เมื่อไม่นาน มานี้ ทั้งโรงงาน เรือคาสิโน และโรงแรมของเขาหลายแห่งถูกวางระเบิด หลังจากที่สืบมาได้พักใหญ่ วันนี้เขาก็ได้เบาะแสแรกจากหนอนตัวนี้ที่กำลังถูก ถาม อย่างหนักหน่วงจากฝีมือของเลขาที่ดูบอบบางของเขา พศวัฒน์
พันชิตยืนมองการกระทำทั้งหมดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทุกคนที่อยู่ที่นี่คือคนสนิท คือเพื่อน คือคนในครอบครัวและเป็นหนึ่งในสมาชิกของอนาจักรธนผไทไพศาลแห่งนี้
“ยังเลยครับ...มันอึดเกินคาด”
พศวัฒน์เป็นคนพูด...ก่อนจะขยับตัวจากร่างที่คอพับไปเพราะเมาหมัดเมื่อครู่
“ทำให้มันฟื้นซิ!”
“ซ่าๆ” เสียงน้ำถังใหญ่กระทบโดนชายผู้ที่ได้ชื่อว่ากำลังดวงตกถึงที่สุด...เมื่ออยู่ต่อหน้า นาย แห่งอนาจักรที่กลายเป็นผู้ควบคุมธุรกิจของน่านฟ้าเมืองไทยไว้ในกำมือ
“แค่กๆๆ”
“เจ้านายของแกเป็นใคร?” กนธีตะคอกถามเสียงกร้าว ก่อนจะกระชากปืนออกมาจากเสื้อสูทของตน แล้วจ่อเข้ากับขมับของชายคนนั้น
ความอดทนของเขากำลังหมดไป เขารู้ดี
“บอกมาซะตอนนี้ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก!!!”
ไม่ใช่เสียงตะคอก แต่เป็นเสียงเยียบเย็นที่ดูขัดกับสีหน้าไม่สู้ดีนักของชายหนุ่ม ทำให้ชายผู้โชคร้ายถึงกับตัวสั่นเมื่อสบกับดวงตาคมกริบที่ดูจะมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย นี่คือดวงตาแห่งพยัคฆ์ ของวงการธุรกิจ ที่ถูกกล่าวขวัญถึงในเรื่องของความแข็งแกร่งและเด็ดขาดไม่เป็นรองใคร นอกเสียจาก เงาพยัคฆ์ ที่ตอนนี้กลายเป็นเบื้องหลังที่น่ากลัวที่สุด และอีกชื่อที่ทุกคนเรียก นายใหญ่......
“บะ...บอกแล้วครับ ผมบอกแล้ว”
อาจเป็นเพราะดวงตาเอาจริงคู่นั้น จึงทำให้เขาต้องรีบบอกทุกอย่างถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาต้องตายถ้าถูกนายจับได้
แต่ก็ยังดีกว่าตายตอนนี้ไม่ใช่หรือ?
เรื่องที่เจ้าหนอนตัวนั้นเล่าออกมาทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเปลวไฟของความแค้น
มันคิดจะฮุบทุกอย่างที่พ่อกับเขาเพียรสร้างกันมาอย่างนั้นหรือ? ไม่มีวัน!
ชื่อนักธุรกิจที่เป็นที่รู้จักกันดีในความเจ้าเล่ห์และความชั่วร้ายถูกเอ่ยขึ้น และดูเหมือนว่ามันจะตรงกับสิ่งที่เขาให้ลูกน้องไปสืบดู เพียงแต่ว่า....
“ทำไมแกถึงโดนจับได้? ตอนนั้นแกจะไปส่งข่าวเรื่องอะไร?”
เขากำลังสงสัย ในเมื่อมันสามารถแฝงตัวอยู่กับบริษัทเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทำไมถึงได้ยอมเสียงเปิดเผยฐานะของตัวมันเพื่อส่งข่าว เพราะขาดักฟังสัญญาณโทรศัพท์ของทุกสาย ทุกเครือข่ายที่ออกจากอาคารนี้ไว้หมดแล้ว อีกทั้งยังส่งคนประกบผู้ทีเข้าข่ายไว้อีกหลายคนรวมทั้งหมอนี่ที่มีประวัติคลุมเครือ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ เขากำลังสนใจว่าหมอนี่จะนำข่าวสำคัญเรื่องไหนไปบอก ในเมื่อตอนนี้เขาแทบไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเพื่อที่จะล่อพวกมันให้มาติดกับ
คำถามนี้ทำให้พันชิตถึงกับขยับตัว
ดูเหมือนว่าเขาจะมาถูกทางแล้ว กนธีคิด เมื่อมองเห็นหลายคนในที่นั้นมองหน้ากันอย่างกระสับกระส่ายราวกับกำลังปิดบังเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“อย่าทำให้ฉันต้องอารมณ์เสียจะดีกว่าไม่อย่างนั้น...” กนธีกดปลายกระบอกปืนยิ่งขึ้น ก่อนที่จะได้ยินความลับที่เขาเองก็เพิ่งได้รู้วันนี้เช่นกัน
“ผม...ผมกำลังจะไปบอกเจ้านายเรื่องผู้หญิงที่อยู่ในแฟ้มสีดำครับ เธอชื่อ ชายิกา ดูเธอจะเป็นคนสำคัญของเงาพยัฆค์ ถึงได้ถูกติดตามความเคลื่อนไหวทุกเดือน ผมก็เลยคิดว่านายคงพอใจที่ได้รู้จุดอ่อนอันนี้น่ะครับ.....โอ๊ย!”
คนพูดกล่าวยังไม่ทันจบ ด้ามปืนก็ฟาดเข้าที่ขมับก่อนที่เขาจะหมดสติไป
“แฟ้มอะไรหรือ? ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
เสียงของกนธีทำให้คนใกล้ชิดรู้ว่าความลับที่พวกตนปิดบังมาหลายปี กำลังจะปิดไม่อยู่เสียแล้ว และคราวนี้ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าของชายหนุ่มกลับมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแฝงเข้ามา และจะไม่มีวันยอมรับคำปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้นจากพวกเขาอย่างแน่นอน
“เอ่อ...คือ มันเป็นแฟ้มส่วนตัวของนายใหญ่น่ะครับ...เมื่อคืนก็ถูกส่งมาตามปรกติ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคนนี้คงจะไปแอบอ่านในห้องทำงานของนายใหญ่ ตอนที่ยังไม่ได้นำเข้าไปในเซฟนะครับนาย” พันชิตทำหน้าที่ตอบคำถามนี้ แทนลูกน้องที่ตอนนี้กลับนิ่งเงียบเพราะไม่มีใครกล้าเปิดปากพูด
แววตาของชายหนุ่มเปล่งประกายด้วยความยินดีก่อนจะหันหน้ามาหาพันชิต คนที่ตอนนี้กลายเป็นเหยื่อคนต่อไป
“แล้วแฟ้มนั่นอยู่ที่ไหน?”
“เฮือก”
“เป็นอะไรไปยัยหวาน?”
มิเรียมสาวลูกครึ่ง ไทยจีน เพื่อนสาวคนสนิทที่เดินทางกลับมาพร้อมกันเอ่ยอย่างเป็นห่วง ทั้งคู่กำลังเดินทางกลับเมืองไทยโดยตั๋วที่นั่งชั้นธุรกิจที่พรตเป็นผู้ส่งต่อผ่านทนายความมาให้ ในวันก่อนจะสำเร็จการศึกษา พร้อมกับเช็คเงินสดอีก 5 ล้านบาทที่อยู่ในซองพร้อมกับดอกไม้ช่อโต
“เหมือนกับมีคนกำลังพูดถึงฉันอยู่น่ะ!” ชายิกา หรือน้ำหวานของ พี่ธี กลายเป็นสาวน้อยหน้าใส ที่มีดวงตากลมโตอ่อนหวาน เรือนร่างที่เคยผอมแห่งก็กลับกลมกลึง ผิวที่เคยเริ่มคล้ำแดดกลับขาวขึ้นราวกับน้ำนม เส้นผมยาวสลวยกลับม้วนเป็นลอนยาวจรดกลางหลัง ริมฝีปากที่เจ้าตัวชอบติว่าหนาไปกลับดูอวบอิ่มเต็มตึงและน่าสัมผัสสำหรับชายหนุ่มที่พบเห็น
พนักที่นั่งถูกปรับขึ้น เมื่อครู่...หลังจากที่สะดุ้งตื่น น้ำหวานก็หมดความคิดที่จะนอนต่อ พอดีกับได้ยินเสียงกับตันประกาศว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง เธอจะได้เหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้กลับมาตลอดหลายปีที่บินไปเรียนต่อ
“เอ...จะใช่พี่ธีคนนั้นหรือเปล่าน้า...ที่กำลังพูดถึงเธออยู่น่ะ!”
“ฮึ....พี่ธีน่ะเหรอ....ป่านนี้คงกำลังอยู่กับคู่ควงคนใหม่แล้วมั้ง ไม่มีทางมาคิดถึงฉันหรอก”
“ไม่แน่นา...ถ้าพี่ธีของเธอมาเห็นเธอตอนนี้ คงเปลี่ยนใจแน่ ดูเธอตอนนี้สิ...อย่าว่าแต่พี่ธีของเธอเลย แม้แต่พวกที่นั่งอยู่แถวนี้น่ะมองแต่เธอกันทั้งนั้นตั้งแต่เครื่องบินขึ้นแล้ว” มิเรียมพูดยิ้มๆ เพราะเรื่องที่เธอกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าน้ำหวานจะไม่ใช่หญิงสาวที่ดูสวยจนตกตะลึงในครั้งแรกที่พบ แต่ความสวยของเพื่อนสาวของเธอคนนี้กลับยิ่งมองยิ่งสวย ยิ่งมองยิ่งไม่อยากจะละสายตาจากเรือนร่างอวบอิ่มแม้แต่น้อย โดยเฉพาะดวงตากลมโตของน้ำหวาน แม้แต่เธอที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง ในเมื่อมันสวยงาม ระยิบระยับและอ่อนหวาน ราวกับมีดวงดาวนับพันมาอยู่ในนี้ นี่ถ้าให้เธอนั่งจ้องทั้งวันก็คงไม่มีเบื่อ
ทั้งคู่เจอกันตอนที่น้ำหวานไปเรียนเตรียมภาษาที่เดียวกัน จากนั้นก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ มิเรียมเป็นลูกสาวเจ้าของห้างดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ถูกส่งมาเรียนที่นี่เพราะพวกพี่ๆ ต่างก็จบจากที่นี่ ตัวน้ำหวานเอง ก็เดินทางมาที่นี่คนเดียว ถึงแม้ว่าแรกๆ จะมีทนาย หนึ่งในหลายๆ คนของพรต มาดูแลเรื่องความเป็นอยู่ แต่หลังจากที่เห็นว่าเธอพอจะอยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว เขาก็ถอนตัวออกไป ทำให้ทั้งสองสาวได้โอกาส ทั้งคู่จึงแชร์ค่าที่พักกันคนละครึ่งและอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้น
“เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้ว ป่านนี้พี่ธีก็คงลืมฉันไปแล้วล่ะ” ใบหน้าหวานออกอาการเศร้าน้อยๆ
เวลาหลายปีที่ห่างจากอนาจักรธนผไทไพศาล ไม่ได้ทำให้ความรักที่น้ำหวานมีให้ชายหนุ่มน้อยลง แต่ราวกับว่ามันลึกล้ำ และเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทรมากขึ้นตามการเวลา อาจไม่เจ็บปวดเหมือนเมื่อก่อนที่รู้ตัวว่าไม่คู่ควร แต่ตอนนี้
หญิงสาวมองดูตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่างเครื่องบิน
ภาพที่มองเห็น...คือหญิงสาวใบหน้าหวาน ที่มีจุดเด่นก็คือดวงตาโศก
.
จากนี้....เธอจะทำยังไง?...จะต้องวิ่งหนีสิ่งที่ต้องการไปอีกนานสักแค่ไหนกัน?
ภาพหญิงสาวหน้าหวานสองคน ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น และรูปร่างอ้อนแอ้น ทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน
“โห!...ยัยหวานดูผู้ชายคนนั้นสิ หล่อเป็นบ้าเลย”
น้ำหวานซึ่งกำลังคิดเรื่องของกนธีเพลินๆ หญิงสาวจึงไม่ได้สังเกตว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่กำลังมองมาทางเธอและหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่เธอทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้อีกด้วย
เธอมองตามเพื่อสาวไปและก็ต้องตกใจจนตัวชา
“พี่ธี...” ริมฝีปากบางพึมพำเบาๆ ก่อนจะลนลานหยิบแว่นดำมาสวมใส่
แต่ดูเหมือนจะช้าไป ชายหนุ่มและลูกน้องคนสนิทอีกหลายคนเดินตรงมาทางเธอสองคนเสียแล้ว
“ไปเร็ว!...นั่นพี่ธี”
ไม่ต้องรอให้น้ำหวานบอกเป็นครั้งที่สอง มีเรียมจับรถเข็นที่มีกระเป๋าของเธอและเพื่อนไว้แน่นก่อนจะออกแรงดัน แต่ยังไปไม่ได้ถึงไหน ก็มีมือแข็งแรงคู่หนึ่งเอื้อมมาจับรถของเธอเอาไว้
“ขอโทษครับ” พันชิต มองหน้าสาวสวยนัยน์ตาดุที่หันมาทันทีที่เขาหยุดรถเอาไว้ และกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว
นี่ถ้าสายตาฆ่าคนได้ เขาคงตายเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วกระมัง ผู้หญิงอะไรตาดุชิบ!....
ชายชุดดำตีวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ ผู้คนในสนามบินได้แต่คอยชำเลืองมองแต่ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะดูจากท่าทางแล้ว คนพวกนี้เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง
“หมับ” ฝ่ามือแข็งแรงของใครคนหนึ่งจับเข้าที่ข้อมือบาง จนทำให้น้ำหวานต้องหันกลับไปมอง แต่พอเห็นหน้าคนที่เสียมารยาทคนนั้นแล้ว คำพูดต่างๆ ที่คิดจะใช้ก็ติดค้างอยู่ในลำคอและยากที่จะกล่าวออกมา
“จะหนีพี่ไปไหนอีกคะ? หนูหวาน” กนธีกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาไม่ละจากใบหน้าหวานแม้แต่น้อย ยังมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันเจ้าความรู้สึกนี้
“พี่ธี” ริมฝีปากอวบอิ่มยามเอ่ยชื่อของเขา ทำให้กนธีถึงกับมองตามอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่
นี่เขาเป็นอะไรไป?...
“หาหนูหวานเจอได้ยังไงคะ?”
“พี่คงหาหนูหวานไม่เจอหรอก ถ้าโชคไม่เข้าข้างพี่ เพราะคุณพ่อคงไม่ยอมให้พี่เจอหนูหวานง่ายๆ แน่ค่ะ”
สีหน้ากนธีดูเจ้าเล่ห์แต่กลับมีเสน่ห์เสียจน น้ำหวานเกือบจะเคลิ้มไปกับสีหน้านั้นซะแล้ว ถ้าไม่ฉุกใจคิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เขาตามหาเธอมาตลอด.....
ความเป็นจริงนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี จนราวกับว่ามีผีเสื้อบินอยู่ในท้องเธอนับพัน และมันกำลังจะทำให้ตัวเธอลอย
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงคะ? ว่าหนูหวานจะมาเที่ยวบินนี้?”
“เรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถของพี่แน่ แต่ตอนนี้หนูหวานต้องมากับพี่ก่อนนะคะ”
ร่างสูงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในสนามบิน ความหล่อเหล่าคมคาย และความน่ารักมีเสน่ห์ของทั้งคู่ทำให้ทุกคนจับตามองคนทั้งสองอย่างสนใจ
ราวกับน้ำหวานจะนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้มาเพียงลำพัง หญิงสาวหันไปหาเพื่อนสนิทก่อนจะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก พี่ชาย คนพิเศษของเธอ
“พี่ธีคะ นี่มิเรียมคะ มิเรียมเป็นเพื่อนสนิทของหนูหวานตั้งแต่อยู่เมืองนอก”
ไม่ว่าชายตรงหน้าจะมีเสน่ห์สักแค่ไหน แต่มิเรียมคงไม่อาจนำเอาสายสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มาแลก แต่ในใจก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ชายที่อยู่ตรงหน้ามีคุณสมบัติที่สามารถจะเป็นชายในฝันของสาวๆ ได้ครึ่งค่อนประเทศเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...ถ้ายังไงมิเรียมขอตัวก่อนเลยก็แล้วกันนะคะ ดูเหมือนว่าที่บ้านจะส่งรถมารับแล้ว”
สายตาของมิเรียมมองไปด้านหลัง ที่มีชายวัยกลางคนยืนอยู่ครู่ใหญ่เพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะเข้ามาขัดจังหวะ
น้ำหวานมองเพื่อนรักอย่างวิงวอน ในตอนแรกน้ำหวานวางแผนเอาไว้ว่า เธอจะไปค้างกับมิเรียมสักสองสามวันก่อนจะกลับบ้าน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่บ้านของมิเรียมเลย แม้แต่บ้านของเธอที่เชียงใหม่ก็อาจไม่มีโอกาสได้กลับไปเสียแล้ว
หลังจากที่มิเรียมแยกตัวไป น้ำหวานก็ถูกพามายังรถยุโรปคันใหญ่ที่ถูกขับมาจอดอยู่ที่หน้าสนามบิน หญิงสาวถูกผลักเบาๆ ให้ไปนั่งที่ตอนหลังของรถ ก่อนที่กนธีจะตามเข้าไปติดๆ แล้วออกคำสั่ง
“กลับบ้าน”
น้ำหวานลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อย บ้าน ที่กนธี กล่าวออกมาก็ยังมีพรรคพวกที่แข็งแกร่งที่สุดของเธออยู่ที่นั่น หญิงสาวกำลังคิดถึงชายผู้เป็นบิดาของชายหนุ่มข้างๆ ที่ทำหน้าที่ราวกับเป็นบิดาคนที่สองของเธอเสมอมา พรต ธนผไทไพศาล
กนธีลอบมองร่างบางที่นั่งเคียงคู่กันอยู่ภายในรถ เขากำลังพิจารณาหญิงสาวคนนี้ กับหนูหวาน น้องสาวสุดที่รักของเขาเมื่อหลายปีก่อน
ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
สายตาซ่อกแซกของชายหนุ่ม มองตั้งแต่ใบหน้าหวาน เรื่อยลงมาถึงลำคอบอบบาง ที่หายลับเข้าไปในชุดสูทสีเทาดูทะมัดทะแมง ทรวงอกอวบที่ดุนดันออกมาดูใหญ่เกินตัว จนชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกว่าลำคอชักเริ่มแห้งผาก ก่อนที่จะคิดอะไรฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ สายตาของกนธีก็มาหยุดอยู่ที่เอวอ้อนแอ้น และสะโพกกลมมน เขากำลังคิดอยู่ว่า ถ้ามันกำลังรัดรอบเอวสอบของเขา จะต้องเป็นการประสานที่ลงตัวอย่างแน่นอน
บ้าไปแล้ว...
เขากำลังคิดอะไรกับน้องสาวตัวน้อยกัน?...
“พี่ธีเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ดูหน้าซีดๆ?”
น้ำหวานมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดจู่โจมชายหนุ่มอย่างรุ่นแรง
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ...หนูหวานไม่ต้องห่วงนะคะ” ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพอถึงบ้านแล้วหนูหวานต่างหากที่ต้องตอบคำถามพี่ในทุกๆ เรื่อง”
เอาล่ะสิ! แล้วเธอจะตอบเขาว่าอย่างไรดีนะ?
หญิงสาวคิดไม่ตก จะให้บอกว่าที่ไม่ได้ค้านพ่อกับแม่เรื่องที่ย้ายออกไปเพราะหนูหวานรักพี่ธีอย่างนั้นหรือ?
ร่างบางครุ่นคิดเสียจนปวดหัวไปหมดแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ถูกใจ
ภายในรถ ความเงียบเริ่มเข้ามาครอบคลุม กนธีเองก็มีเรื่องที่ต้องคิดเช่นกัน บางทีเขาอาจต้องทำอะไรซักอย่างกับความรู้สึกแปลกๆ นี้
เพื่อตัวเขาและน้องสาวที่เขารักที่สุดคนนี้ด้วย
ภาพคฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวนึกถึงตอนเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ภาพเด็กผู้หญิงเดินตามหลังชายหนุ่มต้อยๆ เรียก พี่ธีคะ พี่ธีขา
วันวานเหล่านั้นผ่านมาและผ่านเลยไป...ไม่อาจหวนคืนได้
“คุณพ่อออกมารอรับอยู่โน่นแล้ว ข่าวไวดีจริงๆ”
รถค่อยๆ แล่นมาเทียบที่หน้าคฤหาสน์ ทำให้เห็นชายสูงวัยได้ชัดตายิ่งขึ้น
.
เวลา ไม่ได้ทำให้พรต ดูต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่น้ำหวานเห็นแม้แต่น้อย มีเพียงจอนข้างขมับและริ้วรอยเล็กน้อยเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น
“นี่ถ้าพี่ไม่ใช่ลูกชายคนเดียว พี่คงอิจฉาหนูหวานน่าดู ที่คุณพ่อรักหนูหวานออกหน้าออกตาขนาดนี้”
กนธีกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะก้าวลงไปโดยมีบอดี้การ์ดคอยเปิดประตูให้
หลังจากที่ก้าวลงมาจากรถ สิ่งแรกที่น้ำหวานทำก็คือการตรงเข้าไปกราบที่อกของพรต ด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณที่มีมากมายจนไม่สามารถตอบแทนได้
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
พรตใช้มือลูบเบาๆ ไปยังผมนุ่มสลวย ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮะๆๆ เป็นไงหลานรัก ลุงไม่เจอซะนานได้ยินเสียงแต่ในโทรศัพท์ นี่เจ้าธีมันแกล้งอะไรเราหรือเปล่าเนี่ย?”
กนธีที่ยืนอยู่ไม่ไกลอยากจะเข้าไปแยกทั้งคู่ออกมา เขารู้สึกว่าบิดาชักจะได้รับความไว้วางใจจากน้ำหวานมากกว่าเขาเสียแล้ว แต่พอได้ยินสิ่งที่บิดาปรักปรำ ชายหนุ่มก็แกล้งทำเป็นโวยวายออกมา
“โธ่คุณพ่อครับ! จะใส่ร้ายผมไปถึงไหนกัน! นี่แค่คุณพ่อช่วยให้หนูหวานหายไปตั้งหลายปี ผมก็แทบแย่แล้ว ถ้าเกินว่าผมไปแกล้งน้องอีก เกิดน้องเกลียดผมขึ้นมาแล้วหายไปเลยผมจะทำยังไงละ!”
“ทำเป็นพูดไปพี่ธี เมื่อกี้ยังทำท่าจะดุหวานอยู่เลยค่ะที่สนามบินน่ะ”
น้ำหวานได้โอกาสก็ฟ้องซะเลย อย่างน้อยเวลาหลายปีที่ห่างกัน มันก็ทำให้เธอกล้าที่จะพูดและแสดงออกมากขึ้นในเรื่องของชายหนุ่ม
“อ้าวๆ ขายพี่ซะแล้ว เดี๋ยวพี่ก็ดุให้จริงๆ หรอกทำให้พี่ต้องตามหาอยู่เป็นนานสองนาน”
ดูราวกับว่าวันเวลาเก่าๆ ได้หวนคืนมาอีกครั้ง บางทีจากนี้ไป...ความอ้างว้างที่เขาเคยรู้สึกตั้งแต่น้องสาวตัวน้อยจากไปคงจะได้รับการเติมเต็มเสียที
“เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งเล่นกัน เข้าไปในบ้านก่อน แล้วมีอะไรก็ค่อยคุยกัน”
พรตทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ก่อนจะดึงร่างบางของน้ำหวานให้เดินตามเข้าไปด้านใน โดยมีกนธีเดินทำหน้ามุ่ยตามไปติดๆ
คอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“อา....” ร่างบางชื้นไปด้วยเหงื่อกำลังกำผ้าปูที่นอนด้วยอารมณ์ที่พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด
ชายหนุ่มที่ทาบทับอยู่ด้านหลังขยับตัวอย่างรุนแรงทำให้ร่างที่อยู่ด้านล่างแทบจะขมำไปข้างหน้า เตียงนอนสั่นไหวไปกับจังหวะการขยับตัว บทรักที่ร้อนแรงของคนทั้งคู่ผ่านมาหลายชั่วโมง จนหญิงสาวแทบจะสำลักความสุขตายอยู่ตรงนี้
“พอแล้วคุณชิน แพรวจะไม่ไหวแล้วนะคะ”
ถึงแม้ว่าเสียงหวานจะร้องอ้อนวอนแต่สะโพกสอบที่ขยับเข้าออกกลับไม่ยอมทำตาม ชายหนุ่มกลับจับสะโพกกลมมนเอาไว้มั่นและส่งตัวเองไปถึงฝั่งฝันอย่างรุนแรงในอีกพักใหญ่ต่อมา
“แฮกๆๆ...คุณชิน ไปตายอดตายอยากจากไหนมาคะ? ถึงได้มาลงที่แพรวแบบนี้น่ะ?”
หญิงสาวร่างบางที่นอนเปลือยกายอย่างไม่อายสายตาชายหนุ่ม ที่ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็วหลังจากที่ได้ปลดปล่อยสิ่งที่ต้องการไปจนหมด
ความใคร่....ที่มีแต่เงินเข้ามาเกี่ยวเท่านั้น จึงจะเหมาะกับผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงในคอนโดเขาเวลานี้
“ผมรุนแรงมากไปหรือ?”
ชายหนุ่มเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงหัวเตียงก่อนจะหยิบเช็คขึ้นมากแล้วกรอกตัวเลขลงไปหกหลัก
“นี่คงพอที่จะให้คุณไปพักผ่อนได้สักระยะ”
แววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจเรียกรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม
แพรวนภาหยิบเช็คที่ชายหนุ่มยื่นมาให้อย่างยินดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำเป็นไม่พอใจกับการที่เขาทำราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงขายตัวกระนั้น
“แหม!...เอะอะอะไรก็ให้แต่เช็ค ใจคอคุณชินจะไม่ยอมบอกแพรวหน่อยเหรอคะว่าคุณชินเป็นอะไร?”
ชายหนุ่มเดินไปยังบาร์เครื่องดื่มโดยไม่สนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าขาวนวลแม้แต่น้อย
ผู้หญิงสำหรับเขาเป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ เหมือนกระดาษชำระที่ใช้เสร็จแล้วก็ได้เวลาโยนทิ้ง
.
มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนและหนึ่งในนั้นก็คือแพรวนภาที่เขาเรียกใช้เกินกว่าหนึ่งครั้ง แต่ถ้าด้วยนิสัยของผู้หญิงที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของให้น่ารำคาญมากนัก เขาก็พร้อมที่จะทิ้งกระดาษชำระแผ่นนี้โดยไม่ลังเลเหมือนอีกหลายๆ คนที่ชายหนุ่มเคยผ่านมา
“ไม่มีอะไร...เสร็จธุระแล้วจะกลับเลยหรือเปล่าจะได้ให้คนไปส่ง”
หญิงสาวบนเตียงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ที่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกยังไงที่เขาทำเหมือนจะไล่เธอไปให้พ้นๆ
“แหม! งั้นแพรวขออาบน้ำก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับ”
แต่พอมาคิดอีกทีการทำในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ชอบอาจทำให้เงินก้อนโตที่เธอได้รับจากเขาทุกครั้งที่เสร็จธุระกับเธอแบบเมื่อครู่หดหายไป หญิงสาวจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ได้สวมอะไรแม้แต่ชิ้นเดียวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ชิน...หมุนแก้วเหล้าในมือไปมา ลำคอตั้งตรงแข็งแรงรับกับใบหน้าเฉยชาแต่กลับดูอ่อนโยนน่าค้นหา ด้วยเชื้อชาติของสองประเทศทำให้ ซากุโนะ ชิน เป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มแบบไทย หากแต่ผิวที่ขาวจัดเหมือนคนญี่ปุ่นสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของเขา กลับทำให้ความคมเข้มนั้นกลับกลายเป็นความน่ามองในแบบฉบับของหนุ่มหล่อเจ้าสำอาง เพียงแต่ว่า ชิน ไม่ได้เจ้าสำอางเหมือนกับใบหน้าที่เห็น
บิดาของชินเป็นคนญี่ปุ่นที่แต่งงานกับผู้หญิงไทยโดยผ่านแม่สื่อ เพียงแต่เขาโชคดีกว่านั้น ที่บังเอิญว่า หลังจากที่บิดาของเขาพบตัวจริงของมารดา กลับหลงรักตั้งแต่แรกพบทันที เหมือนกับมารดาของเขา ที่หลงรักบิดาและยอมตามใจท่านเดินทางไปปักหลักยังประเทศญี่ปุ่น และไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย
ทุกอย่างดูดีจนกระทั่ง....วันที่มารดาของเขารู้อาชีพที่แท้จริงของบิดา
บิดาของเขาเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่า งานส่วนใหญ่ของแก๊งก็คือการเก็บค่าคุ้มครองและเปิดบ่อน มารดาของเขาใช้เวลาหลายปีในการขอร้องให้บิดาของเขาเปลี่ยนอาชีพ ในตอนแรกบิดาของเขาไม่ยอมทำตาม แต่พอเขาเกิดบิดาก็ยอมวางมือจากธุรกิจผิดกฎหมายทุกชนิด ยกเว้นการเก็บค่าคุ้มครอง เพราะมันเป็นธุรกิจที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นนับตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน
ไม่นานนัก บริษัทซากุระก็ถือกำเนิดขึ้น หลายปีผ่านไปบริษัทนี้ได้เติบโตราวกับซากุระที่ผลิบาน ก้าวย่างไปสู่ระดับเอเชียอย่างเต็มภาคภูมิ
เขา....ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวย่อมต้องทำหน้าที่นี้ต่อจากบิดาที่วางมือไปแล้ว
นับตั้งแต่เข้ามาบริหารงานในบริษัทตั้งแต่เรียนจบ ชินก็ทำงานอย่างเต็มกำลัง จนกระทั่งตอนนี้ บริษัทซากุระได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถขยายตลาดไปยังประเทศยุโรป และยังได้รับความไว้วางใจจากผู้นำรัฐบาลอีกหลากหลายประเทศ
เพราะบริษัทซากุระ คือบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุด...ในเอเชีย
“ตรู๊ดๆๆๆ”
“ฮัลโหล.....” เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา แต่สายนี้เป็นสายส่วนตัว แสดงว่าผู้ที่โทรมาย่อมจะเป็นคนสนิทหรือคนในครอบครัวของเขา
“อืม...เดี๋ยวเจอกัน” ชินวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะหมุนกายนำแก้วเหล้าไปวางไว้ที่บาร์เครื่องดื่มก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป สักพักเสียงครางกระเส่าของหญิงสาวที่เดินนำเข้าไปก่อนก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน
“จะออกไปไหนอีก” พรตเห็นเจ้าลูกชายตัวแสบยกหูโทรศัพท์ขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงนัดแนะกับใครบางคนที่ปลายสาย แล้วเจ้านั่นก็สั่งให้ลูกน้องเตรียมรถทันที
“ผมมีนัดกับชิน ถ้าหนูหวานลงมาบอกน้องด้วยว่าผมมีเรื่องจะพูดด้วยพรุ่งนี้เช้า ให้เขาอยู่รอพบผมก่อน” กนธีกำลังอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ในเมื่อเขานั่งรอน้องสาวให้ลงมาจากข้างบนเสียทีหลังจากที่บอกว่าจะขอตัวไปอาบน้ำแล้วก็ไม่ยอมลงมาอีกเลย เขาถึงได้ต้องโทรไปนัดเพื่อนสนิทหวังหาที่ระบายอารมณ์
“อ้าว ไหนว่ามีเรื่องจะคุยกับน้องเยอะยังไงล่ะ แล้วทำไมจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว” พรตมองหน้างอง้ำของเจ้าลูกชายอย่างสมน้ำหน้า น้ำหวานคงไม่อยากตอบคำถามถึงได้ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำแล้วก็ไม่ยอมลงมาอีกเลยตั้งแต่บ่าย จนตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาทานข้าวเย็นแล้ว มิน่าล่ะเจ้าลูกชายของเขาถึงได้ทำหน้าหงิกเหมือนม้าหมากรุกแบบนี้
“ไม่ล่ะครับ ดูท่าวันนี้น้องคงจะเหนื่อยแล้ว แต่พรุ่งนี้ผมไม่มีทางยอมให้น้องหลบหน้าผมแน่”
กนธีกล่าวก่อนจะเดินจากไปทั้งที่หน้าตายังบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดีขนาดหนัก ทันทีที่เสียงรถออกไปพ้นบริเวณบ้าน ร่างบอบบางก็ก้าวลงมาจากชั้นบน
“ไปแล้ว....หน้าตาบอกบุญไม่รับเลยทีเดียว หนูหวานหิวหรือยังลูกเดี๋ยวลุงให้เด็กตั้งโต๊ะให้ก่อน” พรตมองสีหน้าเพลียเล็กน้อยของน้ำหวานอย่างเป็นห่วง
น้ำหวานรู้ดีว่าพรตห่วงเธอขนาดไหน หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะตรงเข้าไปนั่งข้างๆ เหมือนเมื่อวันวาน
“หนูหวานยังไม่หิวเลยค่ะ เดี๋ยวหนูหวานคิดว่าจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนเสียหน่อยนะคะ เพราะว่านัดกันไว้ก่อนแล้ว” น้ำหวานบอกอย่างอ่อนหวาน มีแต่พรตที่ทำหน้างง เพราะเขาไม่คิดว่าน้ำหวานจะออกไปข้างนอกทั้งที่เป็นวันแรกที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงเช่นนี้
“หนูหวานจะออกไปไหนกัน ทำไมไม่พักผ่อนก่อนละลูก ลุงว่าน่าจะนัดกันพรุ่งนี้น่าจะดีกว่านะลูกนะ”
น้ำหวานยิ้มอย่างประจบก่อนจะพูดถึงมิเรียมและพวกเพื่อนๆ ที่เดินทางมาถึงก่อนน้ำหวาน วันนี้จะเรียกว่าเป็นวันรวมรุ่นก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นการนัดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่เธอจะออกเดินทางเสียอีก นี่ถ้ากนธีไม่เจอตัวเธอที่สนามบิน ป่านนี้เธอคงแต่งตัวอยู่กับมิเรียมที่บ้านและกำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
พรตได้ฟังเรื่องราวของเพื่อนสนิทที่จะไปเที่ยวกับหนูหวานของเขาคืนนี้ ก่อนจะแนะนำสถานที่เที่ยวอีกที่ให้น้ำหวานลองไปดู พรตสั่งให้คนของเขาอีกสามสี่คนคอยติดตามน้ำหวานเอาไว้ โดยให้เหตุผลแก่น้ำหวานว่า น้ำหวานอาจหลงทางได้เพราะกรุงเทพไม่เหมือนกับตอนที่น้ำหวานจากไปเสียแล้ว น้ำหวานจึงจนด้วยเหตุผลทำให้ต้องยอมรับองค์รักษ์ชุดดำพร้อมด้วยคนขับรถและรถประจำตำแหน่งมาอย่างจำยอม
เมื่อเกือบจะถึงเวลานัด พรตกำลังอ่านหนังสือพิมพ์รอส่งน้ำหวานอยู่ที่ห้องรับแขก กาแฟที่กำลังถูกจิบอยู่ถูกพ่นออกมาทันทีที่น้ำหวานเดินเข้ามาในห้อง
ลูกสาวที่น่ารักของเขาเป็นอะไรไปซะแล้ว!
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าพรตกลับเป็นหญิงสาวที่สวยจัดหาใช่น้ำหวานสาวสวยละมุนตาที่เจอเมื่อกลางวันไม่ เรือนหน้าคมเข้มถูกล้อมกรอบไปด้วยผมหยักศกเป็นลอน ผมสีน้ำตาลเข้มที่ถูกย้อมเอาไว้นั้นขับผิวขาวนวลให้ดูกระจ่างตามากขึ้นไปอีก เครื่องหน้าของน้ำหวานถูกแต่งแต้มเสียจนกลายเป็นคนละคน เพราะมันถูกทำให้เข้มขึ้นด้วยพู่กันดั่งคนที่แต่งหน้าอย่างชำนาญ ยิ่งริมฝีปากอวบอิ่มนั้นโดดเด่นขึ้นมาทันตา พรตคิดว่ามันเป็นริมฝีปากที่บุรุษทุกคนต้องคลั่งไคล้เมื่อได้เห็นมันเป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่ทำให้พรตจำน้ำหวานได้นั้น ก็คือดวงตาพราวระยับแม้จะถูกแต่งจนคมดุมากขึ้น แต่แววตาของน้ำหวานที่ส่งมาทางเขาก็ยังคงความรักและบูชาเหมือนทุกที
แต่ที่ทำให้พรตรู้สึกหนักใจนั้น คงเป็นเสื้อผ้าที่น้ำหวานใส่อยู่ตอนนี้ เพราะมันดูน้อยชิ้นเสียจนเขาเองรู้สึกหวั่นใจว่า ถ้าเจ้าลูกชายเขามาเห็นตอนนี้คงต้องจับน้ำหวานขังไว้ในห้องพร้อมกับเอาเสื้อใส่ทับเข้าไปหลายๆ ชั้นเพื่อกันไม่ให้ใครเห็นน้องสาวคนสำคัญกระมัง
เสื้อตัวสวยที่น้ำหวานใส่ เป็นเสื้อรัดรูปเกาะอกสีม่วงสด เรียกได้ว่าถ้าคนใส่ไม่ขาวจริง ก็ไม่ควรออกนอกบ้านไปให้ใครเห็น แต่พออยู่บนตัวของน้ำหวานมันกลับทำให้ผิวสีน้ำนมที่ถูกบ่มเพาะจากการไปอยู่เมืองนอกมาช้านานเปล่งประกายยิ่งขึ้น หน้าอกหน้าใจที่แสนจะถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างดี แตกต่างจากตอนเด็กๆ ราวกับหน้ามือหลังมือ เพราะมันแทบจะล้นทะลักเสื้อตัวสวยออกมาข้างนอก เอวคอดกิ่วถูกเข็มขัดเส้นเล็กบางคล้องเอาไว้ เพราะบริเวณนั้นกลับไม่มีชิ้นผ้าปกปิดสะดือสวยที่ถูกเจาะเอาไว้แม้แต่น้อย ยิ่งสะโพกกลมมนที่สวมมินิสเกิ๊ตยาวแค่คืบสีขาวยิ่งขับเน้นให้อัญมณีที่เจาะไว้กับห่วงบนสะดือสวยโดดเด่นขึ้นทันตา เท่านั้นไม่พอรองเท้าส้นตึกสูงสามนิ้วยิ่งทำให้ร่างโปร่งบางดูสง่างามเข้าไปอีก
เห็นทีเขาคงต้องหามือปืนมาเพิ่มอีกสักสิบยี่สิบคน ไม่สิ ห้าสิบเลยดีกว่า อืมม.....ว่าแต่ปืนของเขาที่เก็บสะสมเอาไว้ครั้งสุดท้ายเอาออกมายิงเมื่อไหร่นะ พรุ่งนี้คงต้องลองเอามาทดสอบซะหน่อยแล้ว
“เอ่อ....หนูหวานจะออกไปทั้งชุดนี้เหรอจ๊ะ” พรตเพิ่งรู้สึกตัว กว่าจะควานหาเสียงของตัวเองเจอ
“ทำไม่เหรอคะคุณลุง หวานก็แต่งตัวแบบนี้ล่ะค่ะตอนไปเที่ยว” น้ำหวานก้มหน้าดูตัวเอง มันก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากที่เคยนี่นา
“เอ่อ ลุงเพิ่งนึกได้ว่าที่ๆ ลุงบอกให้น้ำหวานไปเที่ยวเมื่อครู่นี้น่ะ น้ำหวานต้องไปให้ได้นะ ลุงโทรบอกเขาเอาไว้แล้วล่ะ อ้อ ลุงว่าหลานน่าจะเอาคนไปเพิ่มนะ เพราะถ้าเกิดเพื่อนๆ ของหลานดื่มกันจนเมา หลานจะได้ให้เจ้าพวกนั้นไปส่งให้” พรตไม่รอฟังคำตอบ เขาหันไปสั่งคนสนิทที่ยืนอึ้งอยู่ข้างหลังทันทีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด กว่าที่น้ำหวานจะได้ออกจากบ้าน องค์รักษ์ชุดดำเหมือนกับแมนอินแบล็คทั้ง 10 คนก็ถูกส่งให้ไปช่วยคุณหนูหวานพยุงเพื่อนเป็นที่เรียบร้อย
“ไอ้ธีเอ๊ย....คราวนี้ล่ะ แกได้เจอนรกของจริงแน่ หนูหวานไม่ได้เป็นเด็กเล็กๆ อย่างเมื่อก่อนคอยให้แกชักใยอีกแล้วนะไอ้ลูกชาย”
พรตบ่นพึมพำหลังจากที่ยืนส่งน้ำหวานขึ้นรถ จนไฟท้ายของรถสามคันลับตาไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะทุกคน ไม่เจอกันนานเลยนะคะ เกดเองก็กำลังเริ่มมาลงมือในเด็กดีใหม่ค่ะ เพราะว่างานที่ซุ่มทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้วเมื่อวันก่อน พักหายใจเสียอีกหนึ่งวัน ตอนนี้ก็เลยมีเวลากลับมาทำสองเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไป ทั้งเรื่องจอมโจรจอมใจ แล้วก็เรื่องจับให้มั่นนี้ด้วยนะคะ ยังไงก็รบกวนทุกท่านอีกครั้งนะคะ
ด้วยรัก
การะเกด
ความคิดเห็น