ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #202 : The Caged Chrysalis

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 65


    The Caged Chrysalis
    Inspiration: Ito Junji: Headless Sculptures 「首のない彫刻」 (Manga, 1995)
    Playlist: The GazettE – Falling












    .

    1

    จิโดริไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร?

    ในเมื่อโฮคุโตะแสดงออกว่า เกลียดเธอ นับตั้งแต่วินาทีที่เธอหาเรื่องคนรักของเขา หรืออีกนัยหนึ่งคือเพื่อนเคยสนิทของเธอเอง หลังจากที่หล่อนจะเดินหน้าชื่นตาบานเข้ามาในห้องเรียนเพื่อบอกกับเธอว่า “ขอโทษนะจิโดริ แต่ฉันคบกับโฮคุโตะแล้วล่ะ” โดยไม่มีทั้งความสำเหนียกหรือว่าสำนึกเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอพร่ำเพ้อถึงเขามาตั้งแต่งานโรงเรียน ขณะที่หล่อนจะทำหน้าเอือมทุกครั้งเมื่อเธอเอ่ยปากชมเด็กนักเรียนชายห้องข้างๆ คนนั้น คำพูดติดปากที่ได้ยินจากหล่อนก็เห็นจะเป็น “หมอนั่นหล่อรวยก็จริงหรอก แต่...” ที่จะตามมาทั้งคำบ่น คำด่า คำว่าอีกยาวเหยียดอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันเลย เพราะไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนด้วยเรื่องของคนอื่น จิโดริจึงสงบปากสงบคำและเก็บความปลาบปลื้มเอาไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะสารภาพรักออกไปอยู่แล้ว เมื่อรู้ตัวดีว่าไม่มีทางที่เด็กสาวธรรมดาๆ จะสมหวังกับเด็กหนุ่มคนดังอย่างมัตสึมูระ โฮคุโตะ และภาวนาขอให้เขามีคนรักที่ควรคู่

    แต่คนรักที่ควรคู่ต้องไม่ใช่คนตอแหลอย่างยัยมิโดริคาวะ มามิ!

    จริงอยู่ที่หล่อนมีทุกอย่างเหนือกว่าเธอทั้งรูป ทรัพย์ อาจรวมถึงสติปัญญา แต่มีอย่างหนึ่งที่ต่ำเตี้ยระเรี่ยดินคือจิตใจที่เห็นแก่คนอื่น ในที่นี้คือเธอผู้ดำรงตำแหน่งเพื่อนสนิทมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ครั้นลองมาย้อนนึกดูแล้ว จิโดริจึงได้ตระหนักว่าเธอถูกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกดขี่มาตั้งมากมายเพียงไร

    ถ้ามามิจะแสดงความเสียใจออกมาสักนิด ฟางเส้นสุดท้ายของเธอก็คงไม่ขาดผึงลง พร้อมกับฝ่ามือที่กระทบใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้สึกรู้สานั่นเต็มแรง ท่ามกลางความตะลึงงันพร้อมสรรพเสียงรอบข้างที่เบาบางลงไป ขณะเด็กนักเรียนคนเดียวที่มีสติครบถ้วน แม้จะอย่างเกรี้ยวกราด ก็ไม่รีรอในการผลักหล่อนที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงให้ซวนเซ ก่อนล้มลงไปปาดป่ายโต๊ะเก้าอี้ระเนระนาด เช่นเดียวกับร่างแบบบางของหล่อนที่หล่นไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ไม่ทันที่จิโดริซึ่งเงื้อเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้มือขึ้นจะได้กระทำสิ่งใดอย่างที่ใจคิด เพื่อนนักเรียนชายที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะรีบพุ่งเข้ามารวบตัว แย่งเอาเก้าอี้ในมือไป แม้จะพยายามทุ่มแรงทั้งหมด แต่จิโดริก็ไม่อาจสู้แรงของนักเรียนชายตัวใหญ่ที่สุดในห้องได้ เธอกรีดเสียงร้องและพร่ำคำด่าทออย่างหยาบคายที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาจากปากเด็กเรียบร้อยแบบนี้ และเมื่อเขาแหวกผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนที่ต่างพากันมุงดูเหตุการณ์เข้ามา ไม่ทันจะได้เข้าไปประคองหญิงคนรักที่นั่งตัวสั่นเทากับเพื่อนผู้หญิง ฝ่ามือของเขาก็จะพุ่งเข้ามากระทบเข้ากับใบหน้าของเธอหลังจากคำผรุสวาทให้อดีตเพื่อนว่า “แกก็ไม่ได้ต่างจากอีตัวข้างถนนหรอก!” โดยไม่ทอนอารมณ์ เลือดสีแดงไหลซึมลงมาจากฟันที่กัดไปโดนริมฝีปาก เช่นเดียวกับแก้มสีขาวที่ขึ้นสี หากความเจ็บปวดที่นอกกายยังไม่เท่ากับความคับแค้นภายในใจ เธอไม่ได้ร้องไห้หรือว่าส่งสายตาตัดพ้อเด็กผู้ชายที่เคยช่วยเธอตอนถูกเด็กโรงเรียนอื่นเข้ามารุกจีบในงานโรงเรียนอย่างน่ากลัวทั้งนั้น แค่ขอให้เพื่อนนักเรียนที่ล็อกตัวเธอช่วยปล่อยอย่างสุภาพ กวาดข้าวของบนโต๊ะลงไปในกระเป๋านักเรียน แล้วเหวี่ยงมันสะพายข้ามไหล่ เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจสิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอีกเลย

    ผลลัพธ์คือการถูกพักการเรียนหนึ่งเดือน อันที่จริงถึงต่อให้จะถูกไล่ออกเลยเธอก็ไม่สน น้าสาวที่อยู่ต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ปกครองของเธอเองก็ไม่สน เป็นหนึ่งเดือนที่แสนอิสระกับการได้อยู่กับตัวเองลำพังเสียจนคิดว่าเธอน่าจะเลิกคบกับเพื่อนเห็นแก่ตัวพรรค์อย่างนั้นตั้งนานแล้ว เธอไม่ต้องถูกลากไปเที่ยวเล่นที่ชิบุยะหลังเลิกเรียน หรือฟังยัยนั่นโทร.มาพล่ามเรื่องตัวเองตลอดทั้งคืนหรือแม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ ความสัมพันธ์ของหล่อนกับโฮคุโตะในตอนนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าเธอยังหน้ามืดตามัวหลงชอบผู้ชายที่ตบเธอจนหน้าหันแค่เพราะทนฟังคำพูดว่าร้าย (ที่เป็นความจริง) ถึงแฟนตัวเองไม่ได้ ก็สมควรโดนตบซ้ำๆ จนกว่าสมองส่วนที่โง่งมงายจะไหลออกไปให้หมดเต็มที

    หลังสิ้นสุดระยะเวลาพักการเรียน มิชินะ จิโดริ เพื่อนสนิทคนที่เรียบร้อยๆ ของมามิ ก็ได้กลายมาเป็นจิโดริผู้ฉายเดี่ยวด้วยท่าทีมาดมั่น ผมสีดำที่เคยเหยียดตรงกลายเป็นสีทองสว่างระต้นคอ ไม่ให้ค่าต่อกฎเกณฑ์ของโรงเรียนที่ทำอะไรเธอไม่ได้ตราบเท่าที่ผู้ปกครองละเลย ไม่มีการก้มหน้าทำคอตกหรือสนอกสนใจต่อสายตาของเพื่อนร่วมห้องที่พากันจดจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป เธอทำกับมามิและโฮคุโตะเหมือนเป็นอากาศธาตุ กระทั่งการแสดงความขึ้งโกรธยังเป็นเรื่องที่เปลืองเปล่า

    จิโดริใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอดสองสัปดาห์ กระทั่งเย็นวันศุกร์ ระหว่างเดินกลับจากห้องสมุดก่อนประกาศปิดประตูโรงเรียนครั้งสุดท้ายไปยังห้องศิลปะ เพราะดันนึกขึ้นได้ว่าลืมสมุดสเกตช์เอาไว้ ในตอนที่เดินลัดเลาะผ่านอาคารนั้นเองที่จิโดริจะได้เจอกับโฮคุโตะ...ในระยะประชิดจนไม่ทันตั้งตัว

    จิโดริทันได้จ้องสบตากับเขาเสี้ยววินาทีหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวจึงรีบเบือนหลบแล้วเดินเร่งฝีเท้าออกไป แต่ไม่ทันมือที่จับท่อนแขนเล็กของเธอเอาไว้ กดบีบมันแน่นอย่างกับคีมเหล็กจนเธอต้องนิ่วหน้า หลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ

    “คิดว่าตัวเองเหนือกว่าฉันหรือมามิมากหรือไง?”

    ยังคงไม่มีคำพูดออกจากริมฝีปาก นอกจากความพยายามขืนขัดเพื่อให้ข้อแขนของตนหลุดพ้น ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่เป็นผล

    “รู้ไว้ซะว่าเธอต่างหากที่ต่ำ”

    “ฉันเลิกยุ่งกับนาย กับยัยนั่นแล้ว จะเอาอะไรจากฉันอีก!” เมื่อเหลืออดแล้วจึงหันไปตะโกนใส่หน้าเขา “หรืออยากให้ฉันมองตาขวาง ด่ายัยนั่นทุกครั้งที่เดินผ่านล่ะ ถ้าอยากได้อย่างนั้นนักฉันก็จะทำให้!”

    “แค่เพราะฉันไม่ได้ชอบเธอ ก็มาลงที่ฉันสิ! มามิไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

    นั่นเรียกเสียงหัวเราะขันที่จิโดริกลั้นเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ “โอ้โห พระเอกเหลือเกิน ถ้าฉันเป็นยัยนั่นมาได้ยินคงน้ำตาไหลพราก อยากอ้าขาให้นายจนตัวสั่น”

    กลายเป็นเขาที่โกรธจนตัวสั่น มืออีกข้างที่ว่างเงื้อขึ้น แต่เธอเป็นฝ่ายที่ตั้งหลักได้ก่อนและรีบสะบัดมือที่เริ่มคลายออกมาในที่สุด คิดว่าเขาจะวิ่งตามมา แต่เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ตะโกนเรียกชื่อเขาอยู่ไม่ไกล ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเด็กนักเรียนตัวอย่างจะไม่มีวันทำอะไรขัดใจอาจารย์ให้ชื่อเสียงต้องมัวหมอง แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าเขาจะยังไม่มากวนใจเธอ...อย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้

     

    2

    ประตูห้องศิลปะถูกเลื่อนเปิดออกจนคล้ายกับกระชาก กระทั่งในตอนที่ถูกเลื่อนปิดก็เช่นกัน นั่นทำให้เขาที่กำลังป่ายแปรงอยู่บนกระดาษวาดรูปเผลอสะดุ้งเฮือก โชคดีที่ยังคุมสติเอาไว้ได้จนไม่ทำรูปวาดที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เลอะเทอะ ถึงเขาจะสามารถแก้ไขความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย มันก็ยังน่าหงุดหงิดใจอยู่ดี

    ถ้าเด็กผู้หญิงที่วิ่งหอบเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องจะไม่ใช่มิชินะ จิโดริแล้ว สิ่งที่ริมฝีปากของเขาจะทำคงเป็นการสบถด่า ไม่ใช่อ้าค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนเธอจะเงยหน้าขึ้นมาสบกับเขา เอ่ยผ่านน้ำเสียงหอบแฮ่กว่า “ขอโทษที่ทำเสียงดังรบกวนด้วยนะ” ให้เขาต้องรีบสั่นหัวรัวเร็ว จนใบหน้าของเธอปรากฏเป็นรอยยิ้ม ที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไปทั้งดวง

    ไม่มีใครในโลกนี้รู้ว่าเจสซี่ ลูอิส ตกหลุมรักมิชินะ จิโดริมาได้ครึ่งปีแล้ว

    “ประกาศครั้งสุดท้ายแล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?” เธอชวนเขาสนทนาอย่างเป็นกันเองหลังนั่งปรับระดับลมหายใจของตัวเองอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น

    “กะว่าวาดเสร็จแล้วก็จะกลับ”

    “ถ้ายามมาเจอจะแย่เอานะ”

    “ถ้าหลบทันซะอย่างก็ไม่มีปัญหา”

    จิโดริเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำตอบนั้น โดยไม่ทันได้รับรู้ถึงสายตาของใครอีกคน ขณะเดินเลยไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยอาจารย์เก็บของแล้วคงเผลอวางสมุดสเกตช์เอาไว้ด้วย เป็นจริงตามคาด เมื่อเธอค้นเจอสมุดที่มีชื่อตัวเองเขียนอยู่บนปกหน้า กองทับแผ่นกระดานที่วางซ้อนๆ กัน เมื่อหยิบมันมาเก็บใส่ลงในกระเป๋าแล้ว ก็กลับออกมาลากเก้าอี้ไปนั่งอยู่ข้างเด็กหนุ่มห้องเดียวกับโฮคุโตะอย่างถือวิสาสะ ส่งคำถามสลับจังหวะที่ว่า “ขอดูเธอวาดรูปได้ไหม?” ตามหลังมา

    ขอยืนยันอีกครั้งว่าถ้าคนที่ทำแบบนี้ไม่ใช่จิโดริ มิชินะแล้ว เขาอาจจะทิ้งผลงานไว้แล้วลุกหนีไปเลยก็ได้

    “เอาสิ”

    “อ๊ะ! จริงสิ! ฉันมิชินะ จิโดริ อยู่ห้องบีนะ”

    “ฉันเจสซี่ ลูอิส ห้องเอ”

    รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าที่เขาได้เพียงแค่แอบมอง บัดนี้ถูกส่งมาให้เขาโดยตรง ทั้งกลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นดอกไม้จากน้ำหอมที่หลงเหลือแค่เบสโน้ตจางๆ กลับยิ่งผสานเข้ากันดี เจสซี่ไม่เคยอยู่ใกล้เพื่อนนักเรียนหญิงต่างห้องรายนี้ในระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน จึงไม่เคยรู้เลยว่ากลิ่นน้ำหอมที่แม้จะฉีดอยู่ในห้องของตัวเองทุกค่ำคืนจะชวนเร้าอารมณ์เมื่อออกมาจากตัวเธอได้ถึงเพียงนี้ ต้นคอที่โผล่พ้นจากเรือนผมสีทองส่องสว่างซึ่งเธอลูบผ่านมันเพื่อแตะเกี่ยวเข้ากับใบหู ก็จะทำให้ความอดทนอันเนิ่นนานของเขาสิ้นสุดลง เสียงตกกระทบของจานสีกับพื้นกระเบื้องดังขึ้นก่อนเสี้ยววินาทีที่ต้นคอของเธอจะถูกโน้มต่ำลงมา ริมฝีปากของเธอทั้งนุ่มหยุ่นและมีรสชาติหวานจางๆ ของลูกอมสตรอว์เบอร์รี่ซึ่งเธอพกไว้เสมอติดอยู่ที่ปลายลิ้น เขาอดที่จะละเลียดมันอย่างเชื่องช้า หากด้วยความหิวกระหายไม่ได้ เธอไม่ได้ขืนขัด เพียงยื่นมือมาจับกับต้นแขนของเขาเพื่อเป็นหลักยึด การกระทำนั้นยิ่งเรียกความต้องการ เมื่อเธอปล่อยให้เรียวลิ้นของเขากวาดเอาความหวานทั้งหมดที่มีในโพรงปากไป มือหนาบัดนี้เลื่อนต่ำลงไปใต้เสื้อเชิ้ต และเขารู้สึกได้ถึงความร้อนบนผิวหนังเพียงแค่ปลายนิ้วแตะสัมผัส แค่เธอหอบหายใจและส่งเสียงร้องออกมา เขาก็จะพาร่างแบบบางนั้นลงมานั่งอยู่บนพื้นด้วยกันโดย เจสซี่แน่ใจทีเดียวว่าเธอจงใจเบียดส่วนอ่อนไหวเข้ากับอวัยวะเบื้องล่างของเขาอย่างยั่วล้อ มือข้างหนึ่งสอดขยุ้มเรือนผมสีดำของเขาซึ่งให้ความรู้สึกดีชะมัดยาด

    กับเสียงร้องเรียกนามสกุลของเขา...

    “คุณลูอิส! นี่! คุณลูอิส!”

    “หือ?

    “เหม่ออะไรอยู่?” เธอถามกลั้วกับเสียงหัวเราะบางเบา ภาพที่เด็กหนุ่มมองเห็นเมื่อกะพริบตาคือเด็กสาวที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ เขา ในชุดนักเรียนที่ปลายเสื้อเชิ้ตสีขาวยังคงยัดลงในกระโปรงตัวสั้น ไม่มีอะไรเหมือนกับในจินตนาการที่เพิ่งจะเตลิดไปไกลของเขาเลย ช่วงล่างปวดหนึบขึ้นมาจนเขาต้องลุกพรวดขึ้นและเอ่ยขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว จิโดริยังมีแก่ใจหยอกเย้าว่า “ถ้าทิ้งฉันไว้คนเดียวนานๆ แล้วฉันเบื่อ ระวังรูปของเธอจะไม่เหลือสภาพเดิมนะ”

    แต่ไม่ว่าเธอจะทำลายงานศิลปะที่เขาวาดมันมาตลอดทั้งสัปดาห์อย่างไร เขาก็ไม่มีวันที่จะโกรธเคือง

    เมื่อไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่จะสำคัญไปกว่าเธอ

    เด็กสาวที่อยู่ในใจของเขามาตั้งแต่วินาทีที่เจสซี่ได้เห็นใบหน้าตอนหลับในห้องสมุดหลังคาบบ่าย เธอคงง่วงงุนอย่างหนักถึงได้นอนเพลินจนไม่ได้ยินเสียงกริ่ง ส่วนเขาก็โดดร่มเพราะเมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมจนดึกดื่น เด็กสาวเงียบๆ ท่าทางเรียบร้อยจากห้องข้างๆ คนนั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนมาก่อนจนกระทั่งวินาทีนี้ เจสซี่ไม่ได้เข้าไปงีบอย่างที่ตั้งใจไว้ เพียงแค่นั่งมองดูเธอจากโต๊ะอีกตัวหนึ่งอยู่เงียบๆ อีกไม่กี่นาทีเธอก็สะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นมานั่งทำหน้ามึนๆ งงๆ อยู่สักพัก เมื่อพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เปลี่ยนเป็นทำตาโตแล้วแทบจะรีบเผ่นแผล็วออกจากห้องสมุด เย็นวันนั้น เขาขอตัวกลับบ้านก่อนกลุ่มเพื่อนๆ ที่นัดกันไปอาเขต เดินตามเธอที่เดินสวมหูฟังออกจากโรงเรียนคนเดียว โดยไม่มีเพื่อนสนิทมาด้วยเหมือนทุกที วันนี้หล่อนคงจะหยุด แต่เรื่องเพื่อนของเธอไม่ได้อยู่ในสารบบความสนใจของเขา น่าแปลกดีเหมือนกันที่เส้นทางกลับบ้านของพวกเขาอยู่ทิศทางเดียวกันมาโดยตลอด เพียงแค่ไม่มีใครเคยสังเกต กลิ่นน้ำหอมของเธอยังอ้อยอิ่งอยู่ในชั้นบรรยากาศแม้เมื่อเขาจะเดินตามหลังไปอย่างเชื่องช้า

    ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับคนอย่างลูอิส เจสซี่เลยแม้แต่น้อย กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงยังไม่มีความคิดที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ

    แต่กลับเข้าไปทำความรู้จักกับพื้นที่ส่วนตัวของเธอ...โดยที่เจ้าตัวไม่เคยระแคะระคายแม้แต่น้อย

    ไม่มีพื้นที่ไหนในห้องนอนของเธอที่ไม่ถูกเสาะสำรวจ ไม่ว่าจะยี่ห้อน้ำหอม เครื่องสำอาง แชมพู สบู่ คัพหน้าอกจากชุดชั้นในหรือสไตล์ชั้นในที่เธอนิยม ไดอารี่ตั้งแต่ชั้นประถมถูกพลิกอ่านทุกเล่ม ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรจนหมด เขารู้กระทั่งว่าเธอมีประจำเดือนครั้งแรกวันไหน มีอะไรกับแฟนรุ่นพี่คนแรกตอนอายุสิบสี่เมื่อไหร่ ถึงขนาดว่าเธอชอบให้สัมผัสตรงส่วนไหนถึงรู้สึกดี แต่เมื่อถูกบอกเลิกตอนก่อนขึ้นไฮสคูลแล้วไม่มีแฟนอีกก็เลิกสนใจเรื่องพรรค์อย่างว่าไปเลย ไม่เคยแม้แต่จะช่วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ชายที่ชอบอีกเลยถึงจะมีคนมาสนใจบ้างก็ตาม และเจสซี่ก็ยินยอมจะให้เป็นเช่นนั้น กระทั่งชื่อเพื่อนร่วมห้องของเขาอย่างมัตสึมูระ โฮคุโตะจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในไดอารี่วันงานโรงเรียนเกือบๆ หกหน้าอันยาวเหยียด

    เขาเกิดความรู้สึกหึงหวงขึ้นมา ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างหมอนั่นจะสนใจเด็กสาวที่ไม่มีอะไรเลยอย่างจิโดริ เขาหึงหวงเธอมากเสียจนจินตนาการเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรุนแรง เขาปลดปล่อยมันกับผู้หญิงที่นัดเจอกันในเว็บไซต์ อย่างง่ายดายจนแทบไม่ต้องพยายาม พวกเธอจะกรีดร้องและด่าทอเขาเสมอเมื่อการกระทำถึงจุดที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ ทั้งมือที่บีบลำคอ รอยช้ำเมื่อกดบีบท่อนแขนหรือขาอ่อนอย่างไม่บรรเทา หากเมื่อได้รับเงินก้อนโตกว่าที่พวกหล่อนเรียกร้องหรือเขาตกลงว่าจะจ่ายให้ หลายคนจึงเต็มใจกลับมาอีก แต่เจสซี่ไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนเดิมซ้ำๆ ภายใต้แสงนีออนสลัวในเลิฟโฮเต็ล เขาจินตนาการว่าพวกหล่อนคือเธอ ไหนจะบทบาทสมมติที่พวกหล่อนต้องตอบรับชื่อ จิโดริแม้จะรู้สึกแปลกแปร่งแค่ไหนอีก เขาระบายทั้งความรักและความโกรธแค้นออกไป ในทุกๆ วันที่ชื่อของโฮคุโตะปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษพร้อมกับรูปหัวใจน่ารังเกียจเหล่านั้น

    กระทั่งวันที่เธอตัดพ้อถึงความใจร้ายของมามิที่มีต่อโฮคุโตะ เจสซี่จำได้ว่าเพื่อนสนิทของเธอคนนี้เคยอยู่ในบทสนทนาของพวกผู้ชายในห้องหลายต่อหลายครั้ง เขาลองตีเนียนพูดถึงหล่อนกับโฮคุโตะ แต่ไม่ทันได้ทำอะไรมากกว่านั้น หล่อนก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทกับโฮคุโตะเสียเอง

    เขารู้ได้ในทันทีว่าเพื่อนสนิทของเธอ กำลังคิดจะหักหลังเธอ

    แต่เขาไม่สนใจที่จะบอกเธอ ห้ามพวกเขา หรือเข้าไปยุ่มย่ามใดๆ ชื่อของโฮคุโตะกลายเป็นแค่เสี้ยนเล็กๆ ที่ทิ่มแทงใจให้รู้สึกระคายแค่เพียงเท่านั้น เขากลับมานอนอยู่ในห้องที่อบอวลด้วยกลิ่นน้ำหอมของดอกไม้เขตร้อนซึ่งฟุ้งกระจาย เขาแสดงความรักกับเธออย่างอ่อนโยน แม้บ่อยครั้งที่เธอจะเรียกร้องขอมากกว่านี้...อย่างน่าอายกว่านี้...แบบที่เธอไม่เคยกล้าเอ่ยปากขอรุ่นพี่คนนั้นก็ตาม

    ด้วยระยะห่างที่เป็นอยู่ เจสซี่คิดว่าจะสามารถอดทนได้

    แต่เมื่อความเป็นจริงที่เกินกว่าจินตนาการใดๆ ได้ขยับเคลื่อนใกล้ เจสซี่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมให้มันกลับไปเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในหัวได้อีกหรือไม่

     

    3

    จิโดริไม่เคยชอบห้องศิลปะ ยิ่งในช่วงเวลาที่ร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ก็ยิ่งดูเหมือนว่ามันจะทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีก ทั้งจากรูปปั้นหุ่นไร้หัวหรือแค่ส่วนบนของลำตัวที่ตั้งโชว์อยู่ ไหนจากภาพเหมือนใบหน้าคนที่ไม่ว่าจะสมจริงเพียงไรมันก็ยังดูว่างเปล่า เธอนับถือเจสซี่ที่กล้าอยู่ในห้องศิลปะหลังเลิกเรียนคนเดียวเช่นนี้จากใจจริง ตรงกันข้ามกับเธอที่ได้แต่นั่งตัวลีบ แม้รูปโดมดอกไม้ละลานตาที่เขาวาดจะสดสวยเพียงไร หากเมื่อจดจ้องมองดูนานๆ กุหลาบสีแดงที่โดดเด่นออกมามากที่สุดก็กลับให้ความรู้สึกพรั่นพรึงอย่างน่าประหลาด ในที่สุดจึงตัดสินใจล้วงหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา เจสซี่หายไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอเป็นกังวลนิดหน่อย แต่จะให้ออกไปตามหาเขาคนเดียวก็ไม่มีทาง แล้วใจก็นึกประหวั่นว่าถ้าเขาหนีหายไปไม่กลับมาอีกแล้วจริงๆ เธอควรจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่างยอมนั่งอยู่กับมือถือที่แบตฯใกล้จะตายท่ามกลางผลงานศิลปะสยองขวัญที่นี่ตลอดทั้งคืน จนกว่ายามจะมาตรวจตรา หรือว่าวิ่งฝ่าความมืดออกไปตามทางเดินทอดยาวดี?

    เมื่อประตูห้องศิลปะถูกผลักเปิดออก เธอที่รีบตวัดใบหน้าขึ้นด้วยความโล่งอกก็เป็นต้องชะงักงันไป

    เฉกเช่นเดียวกับเขา

     

    4

    เสียงกรีดร้องที่ดังแว่วมาในตอนที่เขากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่บนราวบันได จะทำให้เขายอมขยี้ก้นบุหรี่ที่ยังสูบไม่ทันจะถึงครึ่งมวน แล้ววิ่งกลับห้องศิลปะด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวเองยังต้องตกใจ

    ภาพที่เห็นคือเธอที่พยายามขืนตัวเองออกจากการเกาะกุมของเพื่อนร่วมห้องเขา แต่ไม่มีทางที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะสู้แรงผู้ชายคนไหนได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นเจ้าของคะแนนท็อปในคาบพละอย่างโฮคุโตะเลย ไวยิ่งกว่าความคิด เขารีบพุ่งตัวเข้าไปกระชากไหล่ของหมอนั่นแล้วผลักออกไปทันที เพราะคิดถึงเธอเป็นสิ่งแรก เขาจึงไม่ได้พุ่งตรงเข้าไปซัดหน้าหมอนั่น นอกจากวิ่งเข้าไปหาเธอที่เข่าอ่อนจนทรุดนั่งลงไปกับพื้น หากไม่ทันที่เขาจะได้ถามไถ่หรือเข้าไปประคองร่างนั้นเอาไว้ ฝ่ายนั้นก็ปล่อยหมัดเข้าใส่กกหูด้านข้างจนอื้อไปหมด เธอกรีดร้องออกมาอีกครั้ง และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้สติ โต้ตอบไปด้วยกำปั้นล้วนๆ เข้าที่ท้องและใบหน้าโดยไม่ออมแรงเช่นกัน

    แต่เจสซี่รู้...เหมือนที่รู้ดีมาตลอด ว่าเขาไม่เคยเอาชนะโฮคุโตะได้สักครั้ง

    “หยุดทำร้ายเขาได้แล้ว!”

    “เธอไปทำอีท่าไหน เพื่อนของฉันถึงได้ติดใจขนาดออกมาปกป้องแทนขนาดนี้ล่ะ?ทั้งที่หมัดนั่นกำลังซัดเข้าที่หน้าเขา แต่คำพูดที่ตะโกนก้องกลับส่งไปถึงใครอีกคนที่อยู่ในห้อง

    ไม่ใช่คำโต้ตอบจากเธอ แต่เป็นเสียงร้องของเพื่อนเขาก่อนร่างที่คร่อมอยู่จะผละจาก ตามมาด้วยเสียงเก้าอี้ไม้ที่ร่วงหล่นลงไป เธอรีบวิ่งเข้ามาดึงท่อนแขนของเขาด้วยแรงจากมือทั้งสองข้าง ทิ้งโฮคุโตะให้ร้องโอดโอยอยู่เบื้องหลัง ขณะพากันออกวิ่งไปสุดแรงราวกับอะดรีนาลีนที่หลั่งในช่วงเวลาคับขัน

     

    5

    “เรามีปากเสียงกันก่อนฉันจะมาที่ห้องศิลปะ” จิโดริเริ่มต้นพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้น ในตอนที่เธอพาเจสซี่มาปฐมพยาบาลที่บ้านหลังจากรีบกระโดดขึ้นแท็กซี่มา เพราะเส้นทางที่อยู่ใกล้กว่า แม้คุณลุงคนขับรถจะแสดงทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อแนะนำให้พวกเขาไปโรงพยาบาลแทน แต่เมื่อลูกค้ายืนกราน คุณลุงจึงไม่สามารถทำอะไรได้

    “ตอนแรกเขาแค่มาหาเธอ แต่พอเจอหน้าฉัน เขาก็เริ่มต้นหาเรื่องฉันต่อ เรื่องที่ฉันเมินเขากับคนรักของเขา เอาฉันไปเปรียบเทียบว่าด้อยกว่ายัยนั่นทุกทาง จนฉันโกรธมาก โกรธจนพลั้งปากด่ายัยนั่นไป ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนยัยนั่นได้มากขนาดนั้น ถึงได้เริ่มทำร้ายฉัน” กระทั่งตอนนี้ จิโดริยังคงไม่ยอมพูดถึงชื่อของทั้งสองคนนั้นออกมาตรงๆ เหมือนกับความรังเกียจที่เพียงแค่เอ่ยปากก็อาจทำให้ชีวิตของเธอต้องแปดเปื้อน “แต่ฉันไม่คิดจริงๆ ว่าเขาจะทำร้ายเธอด้วย ฉันขอโทษนะคุณลูอิส ขอโทษจริงๆ”

    “ฉันต้องขอโทษเธอมากกว่าที่

    “ไม่จำเป็น” เธอรีบขัดจังหวะก่อนที่เขาจะทันพูดประโยคที่เธอรู้ดีอยู่แล้วจนจบประโยค “ฉันรู้แค่ว่าเธอช่วยฉันไว้ แค่นั้นก็พอแล้ว”

    รอยยิ้มของเธอแสดงออกถึงความจริงใจเช่นเดียวกับน้ำเสียง มันช่วยไม่ได้ที่เขาซึ่งมองสบตานัยน์ตาสีหม่นคู่นั้นจะไม่รั้งรออีกสักวินาทีในการโน้มใบหน้าเข้าไปประทับกับริมฝีปาก...ที่เป็นของจริง มันสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้หวานล้ำ ตรงกันข้าม มันมีรสชาติและกลิ่นคาวเลือดทั้งจากเขาและเธอ ผสมกับรสขมของบุหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่นิดหน่อย และเมื่อเธอตอบรับมันอย่างที่จินตนาการของเขาเฝ้าฝันถึงมาตลอด ความอดทนใดๆ ของเขาก็สิ้นสุดลงไป ณ วินาทีนั้น

     

    6

    เธอหลับสนิทไปทั้งจากฤทธิ์ยาแก้ปวดและความอ่อนล้าตลอดทั้งเย็น ใบหน้ายามหลับที่ได้มองเห็นใกล้ๆ ยิ่งดูจับใจ เขาจุมพิตเธอราวกับเจ้าหญิงนิทราซ้ำๆ บนเปลือกตา ริมฝีปาก และลำคอ ทั้งอย่างนั้นเธอก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆ เขาสามารถกระทำสิ่งใดกับเธอก็ได้ทั้งนั้น แต่เขาก็หยุด หยุดที่ริมฝีปากซึ่งลากไล้อยู่อย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นจึงค่อยหยัดตัวลุกขึ้น หยิบเสื้อผ้าบนพื้นกลับขึ้นมาสวมใส่

    เขาจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอได้อีก

    จะไม่มีใครได้แตะต้องเธออีก

    นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เธอจะเป็นของเขาแค่คนเดียว...และคนเดียว...ตลอดไป 












    2020年12月12日
    _______________
    ★ ที่จริงจะเอาเรื่องนี้เวอร์ชั่นเดิมมาลงแล้ว แต่พอคิดว่าอยากแต่งเป็นเด็กจอห์นนี่จังวะก็เลยตัดสินใจแปลงรอบที่สาม...และน่าจะเป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายแล้วแหละ พอ ไม่กินบุญเก่าแล้วโว้ย เล่าหน่อยว่าเป็นฟิคที่เกิดจากตอนฝันถึงมัคเคนยูนี่แหละ >_< มีการเกลาคำเพิ่มคำนิดหน่อย แต่ฉากส่วนใหญ่ก็ยังคงเดิม เพราะนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเพิ่มอะไรอีกดี ในเมื่อเราคิดว่ามันสมบูรณ์ในตัวแล้ว อย่างถ้าเป็นมึงคงเพิ่มฉากเลิฟซีนจัดหนักจัดเต็ม (หมกมุ่นนะเราน่ะ) ส่วนกูคิดว่าควรเพิ่มฉากไปฆ่าโฮคุโตะตอนท้าย แต่ก็ห่อเหี่ยว หดหู่ ทำใจไม่ลง ที่จริงตอนแรกมันจะเป็นฟุกกะกับเมกุโระ แต่ก็คิดว่าเฮ้ย! ไหนๆ มึงก็บอกว่าอยากเล่นกับโฮคุโตะสักเรื่อง เลยจัดเรื่องนี้ให้เด็ดๆ สักวันจะจัดหนักแบบต่อยตีเต็มสูบให้ของจริง ยิ่งกว่าขนมตุ้บตั้บ รอดูได้เลย จะได้สำเหนียกว่าควรเลิกยุ่งกับเมนกูสักที /ปัดมือ
    ★ ชื่อเรื่องมาจากชื่อเพลงของเดอะกาเซตต์ เพราะเราไปอ่านคำแปลมาแล้วมันจะมีท่อนที่แปลได้ว่า I’m just pursuing your lingering scent as I wander alone inside this cage… [But still] you won’t disappear. I depend on your existence. ซึ่งนี่ก็คิดว่าตรงกับตัวพระเอกที่สุดแล้วจ้า
    ★ และใช่ครับพี่น้องครับ นอกจากเพลงประกอบแล้วชื่อเรื่องก็ยังมาจากเพลงของเดอะ กาเซตต์ สามเรื่องติดกันในบทความนี้เลยเว้ยเฮ้ย! และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×