ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ☣ FAKE LOVE รักปลอมๆ

    ลำดับตอนที่ #3 : FAKELOVE :: CHAPTER 2 100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    CHAPTER 02

     

    ไอ้ตุลย์กลับมาแล้วนะฟาง เสียงสะท้อนของประโยคนี้วนเวียนอยู่ภายในหัวของฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นแม้แต่วินาทีเดียวที่ได้รับรู้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดไม่เหมือนเดิมมาตลอดสุดทางแม้แต่เข้ามาในวังตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ การคิดมากของตัวเองเริ่มหายไปเมื่อมีนิ้วมือยาวดีดกลางหน้าผากเพื่อให้รู้สึกตัว

     

    “ตื่น เครียดอะไรนักหนาเรียกเป็นสิบครั้งแล้ว”

     

    “พี่...” เสียงฉันเอ่ยได้แค่นี้แล้วก็หยุดลงเมื่อเสี้ยวใบหน้าเรียวเข้ามาใกล้ระดับที่หายใจรดลงบริเวณแก้มของฉัน เขาไม่ทำอะไรมากกว่ากระตุกยิ้มแล้วปลดสายเบลท์ออกให้ก่อนถอยออกไป “นี่ไม่...”

     

    “มันกลับมาแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”

     

    ถึงจะเป็นคำยืนยันแต่มันทำให้มั่นใจไม่ได้เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมาทุกอย่างทำให้ฉันไม่วางใจสักนิดเดียว อะไรมันเกิดขึ้นได้เสมอแม้แต่สิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ก็เถอะ

     

    ที่ผ่านมามันเป็นบทเรียนให้ทั้งชีวิตฉันและก็เขาโดยไม่ใช่เรื่องของตัวเองทุกอย่างเป็นเรื่องของคนอื่นที่มักถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนทว่าพอมันลงตัวไอ้พายุลูกเก่าก็เหมือนกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเบาหรือว่าแรงหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม

     

    “แต่...” ฉันกำลังจะแย้งขึ้น

     

    “สิทธิของมันหายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วฟาง มาตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรนอกจากความเจ็บปวดหรอก”

     

    “…”

     

    “แค่มันมองความเจ็บปวดก็เล่นเข้าตัวมันหมดแล้วอย่ากังวลเลย เข้าบ้านกัน”

     

    เขาลงจากรถอ้อมเดินมาฝั่งฉันแล้วเปิดประตูให้พร้อมกับยิ้มหวานออกมาทั้งที่เป็นคนยิ้มยากอยู่แล้ว ทุกคนที่รู้จักเขาผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบผิวขาวๆ จนเห็นเส้นเลือดเด่นออกสะท้อนกับเรือนผมสีดำสนิทเป็นอย่างดียังไม่รวมจมูกสันโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูปเรียกว่าใบหน้าครบเครื่องเรื่องความดูดี ภายนอกภาพคุณชายออร่าจับมากทว่านิสัยด้านในล้วนสวนทาง

     

    เขาไม่ได้มาดคุณชายตลอดเวลา

     

    เขาไม่ได้สุภาพอะไรขนาดนั้น

     

    และเขาก็ไม่ได้ใจดี

     

    “พ่อ!”

     

    เด็กชายวันสามขวบกว่าเมื่อเห็นเขาที่เดินนำหน้าฉันเข้ามาใบบ้านหลังใหญ่ก็รีบทิ้งปืนของเล่นในมือลงกระทบพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก สองเท้าเล็กที่สวมสลิปเปอร์เด็กสีเทาด้านหน้ามีลวดลายเป็นใยแมงมุมก็รีบวิ่งอ้าแขนเข้ามากระโดดใส่คนเป็นพ่อในทันที สองแขนในชุดเรียบแขนยาวสีเทากับกางเกงขาสั้นสีขาวเมื่อโดดคนเป็นพ่ออุ้มตัวลอยแบบนั้นมีเหรอที่จะไม่กอดคอคนเป็นพ่อแน่นอีกทั้งสองขายังกอดรัดเอวแน่น

     

    “คิดถึงพ่อขนาดนั้นเลยใช่มั้ยครับ”

     

    “คิดถึงมากเลยครับ”

     

    ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างยิ้มไปตามๆ กันไม่เว้นแม้แต่สาวใช้เว้นเสียแต่ว่าคนเดียวเมื่อฉันหันไปมองเขาที่นั่งอยู่นั้นที่ไม่มีรอยยิ้มเลยคงเป็นคนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศคนนี้

     

    “เห็นคนเป็นพ่อรีบวิ่งทิ้งปืนที่พี่ชายตุลย์ซื้อมาให้เลย”

     

    อ่าแบบนี้นี่เอง

     

    ลูกชายฉันเล่นทิ้งแบบไม่แคร์เสียด้วยสิแต่ไม่เป็นไรหรอกฉันปล่อยให้พ่อลูกเขาหยอกล้อกันแบบนั้นเดี๋ยวเหนื่อยสองคนนี้ก็หยุดเองส่วนตัวเองก็เดินออกมาส่งยิ้มให้กับคนที่ส่งยิ้มหวานท่าทางผู้รากมากดีแบบสุดๆ แทน ผู้หญิงวัยกลางคนที่คาดผมตรงหน้าแล้วปล่อยผมยาวดำจรดไปตามแผ่นหลังใส่เสื้อแบรนด์ดังมองแค่ตาก็รับรู้ว่ามันราคาแพงเครื่องประดับมุกบนตัวถึงจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทว่าพออยู่บนตัวมันกับเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

     

    น่าเกรงขามและก็น่าให้ความเคารพ

     

    ยิ่งมีรอยยิ้มหวานแสดงขึ้นความอ่อนโยนก็ปกคลุม

     

    ท่านคือหม่อมเจ้าดารุณี สัตบรรณภริยาของพระองค์เจ้ารัชกรณ์ สัตบรรณ ผู้ที่เป็นใหญ่ในวังสัตบรรณแห่งนี้อีกบุคคลหนึ่ง

     

    “สวัสดีค่ะคุณแม่” ใช่ฉันเรียกหม่อมเจ้าดารุณี สัตบรรณว่าคุณแม่เหมือนที่ท่านเคยบอกถึงแม้จะยังไม่ชินก็ตามพร้อมกับเข้าไปนั่งข้างอีกฟากหนึ่งจากนั้นก็หันไปมองคนๆ นั้นที่ยังมองสองพ่อลูกหยอกล้อกัน ฉันรู้จักเขามานานแล้วแหละคนๆ นี้คือหม่อมราชวงค์ตุลย์ สัตบรรณ “สวัสดีค่ะพี่ชายตุลย์”

     

    “สวัสดีจ๊ะหนูฟาง แม่คิดถึงหนูมากเลย”

     

    “ฟางก็คิดถึงคุณแม่ค่ะ คิดถึงมากๆ เช่นกันค่ะ”

     

    หม่อมดารุณีขยับตัวเข้ามาโอบกอดฉันพร้อมกับรอยยิ้มหวานของท่าน ยิ้มที่ฉันชอบเป็นพิเศษเพราะมันทำให้ตัวเองยิ้มตามได้อย่างง่ายดายที่สุด

     

    “สวัสดีครับน้องฟาง” ก่อนหน้าพี่ชายตุลย์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทักทายของฉันเข้าไปให้ได้ยิน ใบหน้าได้รูปหันมายิ้มพร้อมกับรับไหว้ฉัน พี่ชายตุลย์ไปเรียนต่อที่อังกฤษพึ่งกลับมาเองอายุก็ห่างกันกับฉันเกือบสองปีเท่ากันกับพี่แฟแหละถ้าจะให้เปรียบ “น้องฟางสบายดีนะครับ”

     

    “สบายดีค่ะ”

     

    “หนูฟาง... วันนี้แม่ทำของโปรดเตรียมไว้เยอะลูก มีของโปรดชายเตด้วย”

     

    “งั้นฝากท้องที่วังด้วยนะคะเย็นนี้ ฝากทั้งสามท้องเลย”

     

    “ได้สิลูก”

     

    แต่แล้วทุกสายตาก็หันไปมองกับสองพ่อลูกที่ยังกอดอุ้มกันไม่เลิกเสียงหัวเราะคิกคักเกิดขึ้นตามๆ กันซึ่งเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าพ่อหันมาเห็นจึงวางร่างเล็กของลูกชายลงโดยยังทิ้งท้ายประโยคนี้ด้วย

     

    “หื้ม... พ่อไปไม่นานเลยเห็นมั้ยครับ”

     

    “นานมากเลยครับเตเล่นของกับท่านยายนานมาก”

     

    “แล้วเบื่อยายมั้ยชายเต”

     

    “ไม่เบื่อครับ”

     

    ร่างเด็กขี้อ้อนวิ่งจากคนเป็นพ่อมานั่งข้างกายของฉัน แขนของตัวเองถูกจับจองด้วยมือเล็กทั้งสองข้างหมดอีกทั้งยังเอาศีรษะเอียงมาซบฉันด้วยไม่นานคนเป็นพ่อก็เดินเข้ามานั่งข้างกัน เป็นว่าตอนนี้เตได้นั่งคั่นกลางระหว่างฉันกับเขา

     

    “สวัสดีครับหม่อมแม่” มารยาทต่างกันมากเลยว่าไหมมาอยู่ในวังเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เชียว “สวัสดีครับพี่ชายตุลย์ เมื่อกี้รีบไปรับฟางจึงไม่ได้ทำความเคารพขอประทานโทษด้วยนะครับ”

     

    “นึกว่ารีบไปเบิกพยานให้หนูฟางมาอธิบายอะไรให้แม่เสียอีก”

     

    “โธ่... ไม่มีหรอกครับ”

     

    “แม่ครับ...” แต่แล้วเสียงเด็กเล็กข้างฉันก็เอ่ยพูดดังขึ้น “แม่ฟางค้าบ”

     

    “ขี้อ้อน” ปลายนิ้วเกลี่ยปลายจมูกโด่งทักทาย “จะอ้อนอะไรแม่อีกเรา ถ้าจะอ่อนซื้อของเล่นบอกเลยว่าไม่ได้ผลนะเต คราวนี้แม่ไม่ยอมลูกจริงๆ ดูสิเยอะแยะ”

     

    “แต่เตไม่ชอบปืนนิครับ ปืนที่ลุงตุลย์ซื้อเตไม่ชอบเลย”

     


                “...”

     

    แล้วฉันจะพูดอะไรได้ล่ะทีนี้เมื่อลูกชายตัวดีเอ่ยพูดออกไปแบบนั้นอีกทั้งยังต่อหน้าทุกคนโดยเฉพาะคนที่ซื้อปืนของเล่นมาให้ตอนนี้ใบหน้าถอดสีลงมากกว่าปกติ นัยน์ตาคู่นั้นก็หมองหม่นลงแต่มันก็แค่วินาทีเดียวเท่านั้นเพราะไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

     

    “พ่อครับ...”

     

    เมื่ออ้อนฉันไม่ได้ผลเตก็หันไปอ้อนคนเป็นพ่อเป็นแบบนี้ทุกครั้งเพราะเตรู้ว่าอีกคนจะตามใจตัวเองมากกว่าฉันหลายเท่า ถ้าขออะไรแล้วได้ง่ายเตก็จะจำเอาไว้และก็ใช้ไม้เดิมเวลาอยากได้ของเล่น

     

    เป็นแบบนี้ประจำเลย

     

    “ครับ”

     

    “สัญญาครับ”

     

    “แอบไปเกี่ยวก้อยสัญญาอะไรกันอีก” ฉันขัดขึ้นด้วยประโยคคำถาม

     

    “พ่อบอกเตว่าจะซื้อกล้องถ่ายรูปให้ครับแม่ฟาง”

     

    กล้องงั้นเหรอ

     

    เชื่อเขาเลย

     

    สิ้นสุดประโยคลูกฉันก็มองไปยังตัวการที่ยังมีหน้าหันเสี้ยวใบหน้ามายิ้มให้นิดๆ ก่อนก้มลงมองลูกชายพร้อมกับยกฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดูเป็นที่สุด ไม่เคยเห็นเขาขัดใจอะไรลูกชายคนนี้เลยสักนิดเดียวมีแต่คอยตามใจทุกครั้งเมื่อสบโอกาส

     

    “บอกแม่ฟางอย่าพึ่งดุพ่อนะ พ่อสัญญาจริงๆ พ่อต้องทำตามใช่มั้ยครับเต”

     

    นั่นใจเขาพยายามหาตัวช่วย

     

    และคนที่ช่วยได้ก็คือเตลูกชายตัวเอง

     

    “แม่ฟาง... แม่ฟางอย่าดุพ่อนะครับ” เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยไม่เกรงใจสายตาหลายคู่ในที่นี้ “เตขอพ่อ เตอยากถ่ายรูปครับ”

     

    “แน่ใจนะครับเพราะถ้าซื้อมาแล้วเบื่อทิ้งไว้เป็นกองในกล่องแม่ตีเตแน่ๆ”

     

    “อย่าถึงกับตีกันเลยหนูฟาง”

     

    “คุณแม่”

     

    “ท่านยาย... ชายเตรักท่านยายมากเลย” เพราะหม่อมดารุณีเอ่ยขึ้นและกางแขนรอรับหลานสุดที่รักที่พึ่งพุ่งตัวเข้าไปกอดออดอ้อนคนเป็นยายยิ่งกว่าเดิม “รักมากๆ เลยครับ”

     

    “งั้นไปกับยายดีกว่าขนมของโปรดที่ยายทำเตรียมให้ชายเตคงจะเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสองคนไปดูด้วยกันนะครับ”

     

    “ครับท่านยาย” หม่อมดารุณียิ้มให้พวกเราที่เหลือจากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมจูงมือเตเดินเพื่อแยกออกไปทว่าพอผ่านหน้าฉันลูกชายตัวดีก็รั้งมือผู้เป็นยายแล้วใช้มือเล็กข้างหนึ่งยื่นเข้ามาแตะปลายจมูกด้วยการเขย่งเท้าสุดฤทธิ์ “แม่ฟางคนสวย เตรักแม่ฟางกับพ่อมากนะครับ”

     

    “ลูกชายพ่อ อ้อนแม่กับพ่อให้รักเพิ่มหรือไง”

     

    “พ่อ...อ่า”

     

    เตเขินม้วนแล้วเป็นฝ่ายก้าวเดินรั้งมือผู้เป็นยายออกไปในทันที เมื่อทั้งเตและหม่อมดารุณีออกไปไกลลับสายตาพื้นที่ตรงนี้ก็เหลือแค่พวกเราทั้งสามคนซึ่งมีแต่ความเงียบงันปกคลุม

     

    “คราวนี้พี่ชายตุลย์มาช่วยงานท่านพ่อแล้วใช่มั้ยครับ”

     

    “อืม... ใช่”

     

    “ขอแสดงว่าดีใจที่เรียนจบด้วยครับส่วนของขวัญผม...”

     

    “ไม่ต้องให้อะไรพี่หรอก”

     

    “งั้นขอโทษที่ไม่ได้ไปแสดงความยินดีพร้อมหม่อมแม่และท่านพ่อที่อังกฤษด้วยพอดีวันนั้นเตลูกผม... ไม่สบายต้องนอนโรงพยาบาลเลยไม่อยากทิ้ง”

     

    “ชายเตเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

     

    “ก็แค่ไข้หวัดธรรมดาครับแต่พอไม่สบายทีก็เป็นหนักตามประสาเด็ก”

     

    “ไม่เห็นใครบอกพี่เลย” น้ำเสียงเดิมที่ดูเหมือนพูดประชดแต่นัยน์ตาไม่ได้เป็นแบบนั้นมันมีความรู้สึกน้อยใจอยู่ “ถ้ารู้จะได้ไม่ต้องให้ท่านพ่อกับท่านแม่ไป”

     

    “ขอบคุณครับแต่ไม่เป็นไรผมดูแลได้สบายมาก”

     

    “ได้ข่าวว่าแกดื้อตลอด ชอบทำตัวเกเรเหรอ?”

     

    “วิถีลูกผู้ชายก็มีบ้างครับ”

     

    “อย่าให้มันมากแกยังมีน้องฟางกับลูกนะ”

     

    “รู้ครับ”

     

    “ว่าแต่... ชายเตไม่ชอบปืนเหรอ”

     

    “หึ...” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงเยาะจากลำคอคนข้างตัวขึ้นมาพอหันไปมองก็พบกับรอยยิ้มเหยียดผสมด้วยไม่ได้ปิดบังแต่มันกับเปิดเผยให้ได้เห็นแบบชัดเจน “ไม่ชอบเอามากๆ เลยแหละครับ”

     

    “พี่ไม่รู้เลย”

     

    “รู้สิครับแปลกพี่ชายตุลย์เจอเตแค่ไม่ถึงสามครั้งเองนะเอาจริงเตก็ชอบอะไรหลายอย่างลูกผมชอบรถบังคับ ชอบต่อเลโก้ต่างๆ ชอบสายกีฬาและก็ชอบถ่ายรูปมากเหมือนผมเลยพี่ชายตุลย์ว่ามั้ย”

     

    “นี่...”

     

    “อะไรก็พี่ชายตุลย์ไม่รู้พี่ก็แค่บอกเองฟาง”

     

    พอฉันขัดเขาขึ้นเขาก็ไม่ฟังสักนิด

     

    บทจะดื้อก็ดื้อเลยผู้ชายคนนี้

     

    “อืมเหมือนแกมากเลย”

     

    “ก็ลูกผมอ่ะ ก็ต้องเหมือนผมถูกแล้วสิครับ”

     

    “…”

     

    เพราะอีกฝ่ายเงียบลงไม่โต้ตอบอะไรเป็นฉันเองที่ต้องเอ่ยประโยคขึ้นมาเพื่อรักษาไม่ให้มีความอึดอัดเกิดขึ้นเพราะไม่ชอบเอาเสียเลย

     

    “ฟางยินดีด้วยนะคะพี่ชายตุลย์ที่เรียนจบแล้ว”

     

    “ขอบคุณครับน้องฟาง”

     

    “แล้วต้องขอประทานโทษที่เตพูดไปแบบนั้นด้วยนะคะพอดี... เด็กก็เป็นแบบนี้แหละถ้าถือสาเลยนะคะ”

     

    “พี่ไม่ได้อะไรเลยครับ ชายเตโตไว้มากเลยตอนนั้นยังกำลังหัดเดินแต่ตอนนี้สิลากคนเป็นยายไปได้แล้วอีกทั้งยังฉลาดมากด้วยเห็นท่านแม่บอกว่ากำลังหาโรงเรียนให้ใช่มั้ย”

     

    “กำลังดูๆ ค่ะแต่...”

     

    “กำลังจะหาว่าพี่เรื่องมากใช่มั้ย?”

     

    “พี่พูดเองนะฟางไม่ได้พูดเลย”

     

    “แค่มองก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่”

     

    “เอาละๆ อย่าทะเลาะกัน” พี่ชายตุลย์เป็นคนเอ่ยห้ามปรามทั้งฉันกับเขา พูดถึงเรื่องนี้ทีไรมันก็น่าโมโหทุกครั้งเพราะทั้งฉันและเขาไม่ลงรอยเรื่องโรงเรียนแม้แต่ที่เดียวถึงแม้ลูกจะยังไม่ถึงวัยเข้าก็เถอะ “คอยๆ คิด”

     

    “ปัญหาเรื่องนี้อีกยาวครับไม่จบหรอก”

     

    “นี่เริ่มหาเรื่องแล้วนะคะ ถ้าไม่จบจะไปต่อที่บ้านก็ได้นะฟางก็เตรียมด่าพี่เยอะเหมือนกัน”

     

    “ได้สิเพราะพี่เสนอโรงเรียนไหนเธอก็ค้านหมดพอเธอเสนอพี่จะค้านมันก็ไม่ผิดอะไรมั้ยฟาง”

     

    “พ่อครับ แม่ฟางครับ”

     

    “ครับ/ครับลูก”

     

    “แล้วนี่แบบนี้พร้อมใจกันดีเชียวทั้งเราแล้วก็น้องฟาง”

     


              พร้อมใจกันก็ต่อเมื่อมีลูกเข้าแทรกแค่นั้นเองแต่พอไม่มีทั้งฉันและก็เขาเราก็แตกคอกันเช่นเดิมเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็นมาแล้วดูเหมือนมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไม่จบสิ้นเลยแหละ การตกคอสำหรับฉันและเขาคือความคิดเห็นไม่ตรงกันซะส่วนใหญ่เมื่อฉันแย้งเขาขึ้นมาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามทุกครั้งอีกฝ่ายจะเงียบแล้วค่อยถามหาเหตุผลเสมอไม่ใช่เอาแรงชนแรงจนมันกลายเป็นการทะเลาะ

     

    เพราะเขามีเหตุผลและถูกอบรมมาตั้งแต่เด็ก

     

    เขาจึงสามารถรับกับอารมณ์ของฉันได้ ไม่ว่าครั้งไหนก็มีแค่คำว่า ‘ได้’ เสมอ

     

    เราทั้งสามคนฝากท้องไว้ที่วังสัตตบรรณจริงๆ ในอาหารค่ำวันนี้ซึ่งของโปรดส่วนใหญ่ที่ได้ขึ้นโต๊ะอาหารก็มีด้วยกันหลากหลายประเภทมีของโปรดของทุกคนไม่มีการเลือกแค่คนใดคนหนึ่งทั้งนั้นหลังจากรับประทานอาหารเสร็จฉันกับลูกก็มานั่งเล่นที่ห้องรับแขกเมื่อตอนเย็นเพื่อรอเขาที่ตอนนี้ไปพบเจ้ารัชกรณ์ผู้เป็นบิดา

     

    “ง่วงหรือยังครับ”

     

    “ยังครับแม่ฟาง”

     

    เป็นการปฏิเสธที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงมากเลยทั้งๆ ที่ดวงตากลมเกือบลืมไม่ขึ้นแล้วลูกชายตัวเล็กยังปฏิเสธพร้อมกับอ้าปากหาวออกมา

     

    “จริงหรือเปล่าครับ รู้มั้ยเด็กดื้อต้องโดนตีนะ”

     

    แค่คำว่าตีดวงตากลมที่ฉันก้มลงมองก็เบิกโตกว้างขึ้นหลายเท่าตัวทุกอย่างฉันสามารถเห็นได้ชัดเจนเพราะว่าลูกชายตัวแสบนอนยาวไปกับโซฟาเบสสีพื้นอีกทั้งยังใช้ศีรษะเล็กหนุนขาฉันเอาไว้พอดีกันกับหุ่นยนต์ตัวโปรดในมือเล็กนั้นลดลงเหลือแค่วางแนบไว้กับหน้าอก

     

    “งั้นตอบใหม่ได้มั้ยครับแม่ฟาง”

     

    “งึม... ก็ได้ครับ”

     

    “เตง่วงนิดๆ เมื่อไหร่พ่อจะมา”

     

    “อีกนิดพ่อก็มาแล้วครับ” ฉันเห็นน้ำตาของลูกชายที่หาวคลอกับดวงตากลมแบบนี้จึงทำได้แค่ส่งมือไปลูบศีรษะเล็กเอาไว้แทน “เตนอนรอพ่อได้เดี๋ยวแม่ฟางเฝ้าเอง”

     

    “เดี๋ยวตื่นไม่เจอแม่ฟาง”

     

    เสียงเริ่มงอแงแล้ว

     

    เตเริ่มปฏิเสธทุกอย่างตามประสาเด็กแล้ว

     

    “แม่ฟางสัญญาครับ ลูกชายคนหล่อนอนได้เลย”

     

    ไม่มีคำตอบจากลูกที่นอนตักฉันแต่ดวงตากลมคู่นั้นกับหลับตาลงพร้อมกับกอดหุ่นยนต์ตัวโปรดที่คนเป็นพ่อพึ่งเอาจากรถมาให้เมื่อก่อนรับประทานอาหารอีกทั้งมือเล็กที่ยังคว้าแขนฉันข้างหนึ่งเข้าไปกอดทับหุ่นยนต์ตัวนั้นเอาไว้ด้วยราวกับกลัวว่าจะหายไปผ่านไปแค่พักเดียวลมหายใจของลูกชายตัวเล็กก็เข้าออกสม่ำเสมอไปเรียบร้อย

     

    เด็กชายที่เข้ามามีชีวิตบนโลกได้สามปีกว่า

     

    เด็กชายที่มีคำนำหน้าว่าหม่อมราชวงศ์ไม่ใช่เด็กชาย

     

    เด็กชายที่มีพร้อมทุกอย่างในสายตาคนอื่นทว่ามีความลับมากมาย

     

    เขาคือเด็กชายที่นอนหลับนิ่งบนตักของฉันเอง ม.ร.ว.เตวิชญ์โช สัตตบรรณ ชื่อเล่นว่าเต

     

    “ชายเตนอนหลับแล้วใช่มั้ยน้องฟาง”

     

    แต่แล้วกับมีเสียงที่พึ่งคุ้นเคยไม่กี่ก่อนหน้าช่วงโมงนี้แทรกเข้ามาฉันจึงเงยใบหน้าขึ้นไปมองเขาคนที่พึ่งเข้ามานั่งโซฟาตรงกันข้ามระยะห่างที่ค่อนข้างมากเอาการอยู่

     

    “พึ่งหลับไปก่อนหน้านี้เองค่ะพี่ชายตุลย์”

     

    “นอนง่ายสงสัยจะง่วงแล้วแหละ ให้พี่ไปส่งที่บ้านก่อนมั้ยครับคงอีกนานถ้าจะรอ...”

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฟางรอดีกว่า” ไม่ว่ายังไงฉันก็จะปฏิเสธการช่วยเหลือของอีกฝ่ายอยู่ดีไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรทั้งนั้นจะถือว่าเสียมารยาทก็ตามแต่ “อีกอย่างรอที่นี่ก็สะดวกดี”

     

    “อ่า... ครับ”

     

    “พี่ชายตุลย์ไปนอนได้นะคะไม่ต้องรอเป็นเพื่อนฟางกับลูกหรอก”

     

    “ไม่เป็นไรครับพี่นั่งเป็นเพื่อนได้ว่าแต่ขอถามเรื่องชายเตหน่อยได้มั้ยครับ” ฉันทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไปจึงทำให้พี่ชายตุลย์รีบเอ่ยประโยคคำถามใส่ในทันที “ชายเตป่วย... ตอนนั้นไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยน้องฟาง”

     

    “ก็ไข้หวัดธรรมดาค่ะแต่เป็นหนักก็เลยทรุดนิดหน่อย”

     

    “จริงเหรอครับ”

     

    “จริงค่ะที่ไม่ได้ไปแสดงความยินดีด้วยเพราะเตงอแงมาก อยากอยู่กับพ่อตลอดเวลาตื่นหรือหลับก็ต้องเห็นหน้าคนเป็นพ่อเสมอไม่อย่างงั้นโรงพยาบาลแตกแน่ๆ”

     

    “ชายเตติดพ่อมากเลยสินะ”

     

    “ติดมากๆ เลยค่ะ พวกเขาใช้เวลาว่างอยู่ด้วยกันเสมอถึงแม้คนเป็นพ่อจะเรียนหนักแค่ไหนก็ตามเขาจะแบ่งเวลามาดูแลลูกชายสุดที่รักได้”

     

    “…”

     

    “มันเหนื่อยมากแต่ก็มีความสุขมาก”

     

    “…”

     

    “พี่ชายตุลย์หายห่วงได้เลยค่ะ”

     

    “พี่กลับมาอยู่ไทยแล้ว อยู่แบบถาวรเลยนะครับอยากจะขออยู่กับชายเตบ้างได้มั้ย”

     

    “…” ฉันไม่มีคำตอบให้กับเรื่องนี้แต่มีคำถามเต็มไปหมดเชื่อไหม

     

    “ชายเตน่ารักพี่อยากสนิทด้วยครับ”

     

    “ถ้าเป็นในฐานะลุงก็ได้นะคะ”

     

    “…”

     

    “ฟางคิดเสมอถ้าไม่ล้ำเส้นอย่างที่เคยพูดกันไว้มันก็ได้แต่ถ้ามากกว่านั้นอย่าเลย ปล่อยให้ไปใช้ชีวิตที่ดีเถอะ”

     

    --------------------------------------------------------------------

    ฝากเรื่องเฮียต้าด้วยนะคะ

    **มีการเว้นวรรคและตัวอักษรผิด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×