ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #3 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 3 {อัปครบ}

    • อัปเดตล่าสุด 7 ต.ค. 61



    -E P I S O D E 03-

    ผมกลับมาถึงบ้านตอนค่ำในสภาพที่เรียกได้ว่ายังเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างอยู่

    แต่ผมไม่แคร์ว่าจะถูกมองยังไง เพราะตอนนี้ผมต้องการเจอหน้าเกล ยัยผู้หญิงแพศยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเจ็บตัวแบบนี้

    “เอย์!” ผมหลุดจากความคุกรุ่นในครั้งที่แม่หันมาเจอผมถอดรองเท้าพอดิบพอดี ท่านเบิกตาโพลงก่อนจะวิ่งเข้ามากอดผมทั้งน้ำตา

    จริงสิ...ผมไม่ได้กลับบ้านตั้งสามวัน โทรศัพท์มือถือก็พังยับเยินจนใช้งานไม่ได้ ถึงจะเป็นเหตุสุดวิสัยแต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ารู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำให้แม่เป็นห่วง “หายไปไหนมา! ทำไมสภาพเยินแบบนี้ล่ะลูก ฮึก”

    หลังจากกอดรัดผมจนหนำใจ ท่านก็ใช้นัยน์ตาคู่สวยสำรวจสภาพผมอย่างเป็นห่วง ผมยืนนิ่ง...มองใบหน้าเปรอะคราบน้ำตาของท่าน

    “เอย์มีเรื่องกับอรินิดหน่อยครับแม่ ไม่เจ็บเลย” ผมใช้คำพูดที่เหมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และท่านไม่ควรเก็บมาคิดให้รกสมอง จริงๆ ตอนเรียนมัธยมผมก็อันธพาล มีเรื่องไปทั่ว ศัตรูรอบทิศรอบทาง วันๆ หนึ่งได้แผลกลับมาไม่ต่ำว่าสิบจุด ผมโดนแม่ดุทุกวัน ผมเคยคิดจะอยู่อย่างสงบเหมือนกัน แต่เมื่อมีคนมาหาเรื่อง...จะให้ผมยืนอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่

    “รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงขนาดไหน แจ้งความคนหายก็แล้ว ติดใบประกาศก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเบาะแส!” ยิ่งพูดแม่ก็ยิ่งสะอึกสะอื้น ผมเลยถอนหายใจออกมาแล้วเข้าไปสวมกอดท่านซะเอง

    ผมเกยคางไว้เหนือไหล่บาง หลับตาลงประมาณสิบวินาที

    “เอย์แค่พักรักษาตัวที่บ้านเพื่อน” ผมจะไม่บอกท่านว่าสามวันที่ผ่านมาอยู่กับกิ่ง ครอบครัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่แม่จะดีใจเมื่อได้ยิน

    การที่ผมพักฟื้นอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดระยะเวลาสามวันเต็ม อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีใครหาตัวผมเจอ

    “เจ็บมากไหมลูก...” แม่เหมือนจะโกรธที่ผมหายไป แต่สภาพผมมันคงน่าสงสารเกินกว่าจะดุลง

    “ไม่เจ็บครับ เอย์แข็งแรง” ผมยิ้มแล้วหอมแก้มท่านหนึ่งฟอด

    “ดีแล้วจ้ะ คนที่ทำเอย์...ถ้าอยากให้แม่แจ้งตำรวจบอกได้นะ”

     

    Past event

    ทำไมเอย์ยังไม่กลับบ้าน

    เอย์ถูกทำโทษน่ะ พอดีไปต่อยรุ่นพี่จนฟันร่วงนายอชิระในชุดนักเรียนไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลตอบคำถามผู้หญิงคนหนึ่งแล้วหยักไหล่เนือยๆ ราวกับสิ่งที่เจอมาและทำอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่

    ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือเกล เกวารินทร์ เด็กเรียนดีหน้าตาน่ารัก แต่ซื่อบื้อไม่ทันคนจนถูกเพื่อนในห้องกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ

    อ๋อเกลพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาตามที่ได้รับมอบหมาย

    ความจริงเธอเองก็ถูกทำโทษเหมือนกัน เหตุผลแค่...ทำเสื้อนักเรียนของลูกผอ.ออเลอะ เธออยากอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องราวมันใหญ่โต ไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อกับแม่จนทำให้พวกท่านเครียดเลยเลือกที่จะอดทน

    มันค่ำแล้วนะ เดี๋ยวเอย์ทำเอง เกลกลับบ้านไปเถอะเอย์ที่ยกของอยู่อีกฟากเหลือบมองผู้หญิงตัวเล็กแล้วถอนหายใจพรืด

    กินข้าวบ้างไหมวะนั่น อย่าให้ได้เป็นแฟนนะ...จะจับขุนให้อ้วนเลย

    ไม่ได้ เกลไม่เอาเปรียบคนอื่นเกลส่ายหน้าไปมา คำพูดคำจาดูเป็นเด็กดีจนเอย์นึกแปลกใจว่าทำไมคนที่ดูไร้พิษภัยขนาดนี้ถึงถูกทำโทษได้

    อือ แล้วแต่เลยเอย์หันมาสนใจในส่วนของตัวเองต่อ ทว่าระหว่างนั้นก็ไม่ลืมชำเลืองตามองยัยแว่นตัวผอมแห้งไปด้วย เอาจริงๆ เขาไม่ได้รู้จักเธอดีนัก แต่ด้วยความที่เจอกันเป็นประจำเวลาถูกอาจารย์ทำโทษ เขาเลยรู้สึกสนิทสนมกับเธอไปโดยปริยาย

    ซึ่งเขารู้ดีว่าเธอคงไม่อยากสนิทกับเขาเท่าไหร่

    เอย์มองทำไม?เกลที่หันมาแล้วพบว่าเอย์กำลังจ้องมองอดแปลกใจไม่ได้จึงถามขึ้น ฉุดไอ้เด็กหัวเกรียนจอมเกเรออกจากภวังค์แทบจะทันที

    ปะ เปล่าคำปฏิเสธของเอย์กระท่อนกระแท่นเอามากๆ ส่วนหนึ่งคงเพราะ...เขารู้สึกไม่ปกติกับเกลมาสักพักหนึ่งแล้ว

    ชอบก็จีบเลย...

    บางอย่างบอกเขาแบบนั้น แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะหักห้ามใจแล้วตั้งมั่นกับตัวเองว่า ถ้า1เดือนผ่านไปแล้วยังรู้สึกพิเศษกับเธออยู่ค่อยเดินหน้าทำคะแนน

    End past event

     

    ผมสะดุ้งตื่น...

    เป็นการสะดุ้งตื่นที่เงียบเชียบ ไม่มีเม็ดเหงื่อ ไม่มีการตกใจ แต่ความเจ็บปวดท้วมท้นอยู่ในหัวใจผมเมื่อภาพในวันวานย้อนเข้ามาราวกับต้องการตอกย้ำความจริงที่ว่า...เกลยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ

    “...” ผมถอนหายใจออกมาแล้วรีบสลัดภาพนั้นออกจากหัวไป ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลตรงโต๊ะข้างเตียง

    ตอนนี้ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องของเกล รอคอยให้เธอกลับมาตั้งแต่หัวค่ำของวัน แต่รอแล้วรอเล่า รอจนหลับไปหลายตื่นยัยนั่นก็ยังไม่โผล่หัวมาให้เห็น

    ปกติแล้วเกลกลับบ้านดึกสุดไม่เกินเที่ยงคืน แต่นี่ปาไปเที่ยงคืนครึ่งเข้าให้แล้ว

    ผมยังคงรอต่อไป รอแบบนี้กระทั่งเช้าผู้หญิงคนนั้นก็ไม่กลับมา...

    หางตาเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าเกือบแปดโมงแล้ว ผมลุกขึ้นนั่ง ใช้มือข้างหนึ่งขยี้เรือนผมตัวเองไปมาอย่างหัวเสีย จะบอกว่ากังวลก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะผมรู้นิสัยเธอดี คนหัวหมอแบบนั้นถ้าหากรู้ล่วงหน้าว่าผมจะมาหา เธอคงไม่กลับมาเพื่อทำสงครามกับผมหรอก

    และผมรู้ว่าเธอไม่ได้กลัว แต่เพราะอะไรนั้น...ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

    ไม่ได้มีเรื่องไม่ดีใช่ไหม?

    “อ้าวเอย์ ทำไมมานอนห้องพี่ได้” ภวังค์ความคิดถูกกระชากกลับมาด้วยเสียงทักทายในยามเช้าของแม่ ปกติเกลจะล็อกห้องตัวเองอย่างแน่นหนาเพราะไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่ก็อย่างว่า...ตอนนี้คนที่อยู่ในห้องของเธอคือผม

    แม่อาจจะลองหมุนลูกบิดดูแล้วพบว่าไม่ได้ล็อก ถึงได้กล้าเข้ามาในพื้นที่ของยัยตัวอันตรายอย่างเกวารินทร์

    “พี่เกลไม่กลับบ้าน เอย์คิดถึง...” นั่นคือคำตอบที่ผมให้กับแม่ 

    “หืม?” และคำตอบนั้นทำให้คนฟังส่งเรียวคิ้วผูกโบว์กลับมา “แม่เห็นทะเลาะกันออกจะบ่อย เป็นไงมาไงถึงงอเเงบอกคิดถึงพี่เค้า”

    เป็นไปตามที่คาด ท่านกำลังสงสัย...และผมไม่กลัวหากท่านระแคะระคายในความสัมพันธ์ของเรา

    “จริงๆ เรารักกันจะตายครับ” ผมยิ้ม

    “เหรอ แม่เชื่อตายเลย” แม่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดของผม ซึ่งถูกต้องตามที่ท่านรู้สึกนั่นล่ะ...เราไม่ได้รักกันเหมือนอย่างที่โอ้อวดไว้ “รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมากินข้าวเช้านะลูก พี่เกลคงค้างบ้านเพื่อนเลยไม่ได้กลับน่ะ”

    “...ครับ” หลังจากขานรับ แม่ก็ปิดประตูแล้วเดินจากไป ส่วนผมยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่...ปล่อยให้เวลาผ่านไปเหยียบสิบนาทีก็ยังไร้เงาของเธอ สุดท้ายผมต้องลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัวลงไปกินข้าวเช้าตามที่แม่บอก ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเดือดปุดยิ่งกว่าน้ำถูกต้ม

    End Describe

     

    Gale Describe

    “ตั้งใจเรียน” คำบอกกล่าวของผาดังขึ้นเมื่อรถยนต์คันโปรดของเขาเคลื่อนมาจอดหน้ารั้วมหาวิทยาลัย 

    แต่เมื่อฉันไม่ตอบสนอง อีกทั้งยังทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ เป็นผลให้มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือข้างขวาของฉัน วิธีรั้งดังกล่าวทำให้ฉันต้องหันหน้ากลับไปมองอย่างช่วยไม่ได้

    “...?” ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีคำถามเมื่อพบว่าใบหน้าหล่อเหลาของผาแสดงความกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง

    พอดีเรามีปัญหากันนิดหน่อย...เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน

    หลังเลิกเรียนรถฉันเกิดเสียขึ้นมา ด้วยความที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการซ่อม กอปรกับการที่ฉันได้รับโทรศัพท์จาก ใครคนหนึ่ง’ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สุดท้ายเลยไม่ได้กลับบ้านและเลือกค้างที่อู่ซ่อมรถของเขา

    “ปกติก็หยิ่งอยู่แล้ว พอโกรธแล้วฉันกลายเป็นธาตุอากาศเลย” ผาบีบข้อมือฉันแน่นมาก...ซึ่งส่วนที่เขาสัมผัสอยู่คือบริเวณเดียวกันกับที่มีรอยช้ำสีม่วง 

    ครั้นเมื่อฉันหลุบตามองจุดที่มือหนากำลังกอบกุม ความแนบแน่นดังกล่าวก็ค่อยๆ คลาย หลงเหลือเพียงความอ่อนโยนกับแววตาที่เปลี่ยนมาเว้าวอน

    ผาอายุ 24 ปี เป็นพวก Tattoo Lover จึงมีรอยสักเต็มตัว เขามีภาพลักษณ์แบดบอยไม่ต่างจากหัวโจกแก๊งอันธพาลคุมเมือง เลือดร้อนและหัวรุนแรง

    ถ้าให้นับ ผามีข้อดีแค่สองอย่างคือหน้าตาดีและไม่เคยนอกใจฉัน อันที่จริงฐานะทางบ้านเขาก็ร่ำรวยใช่ได้ แต่ไม่ขอนับเป็นข้อดีเพราะฉันไม่หวังเกาะผู้ชายกินอยู่แล้ว

    “รู้ตัวก็ดี” ฉันเอ่ยเสียงเย็นชา ต่อให้เราคบกันมาเป็นปีแล้ว แต่ฉันไม่เหมือนคนอื่นที่ชอบสวีตกับแฟน เกลียดการสกินชิป และเกลียดการงอนง้อต่างๆ ที่แสนจะเปลืองพลังงานและโคตรไร้สาระ

    ตอนนี้ฉันอาจแสดงท่าทีเหมือนกำลังโกรธ แต่จริงๆ แค่กำลังสอนเขา

    ผู้ชายอย่างเขามักคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่และเหมาะสมที่จะเป็นช้างเท้าหน้า แน่นอนว่าฉันจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิด

    ไม่ว่าเพศหญิง เพศชาย หรือเพศไหนๆ ฉันมองว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใครหรอก 

    “ใจร้ายจังนะ” ผาถอนหายใจเมื่อฉันออกแรงหนึ่งในสี่ส่วนเพื่อบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม ด้วยความที่ผาผ่อนปรนลงเยอะแล้ว การดึงอิสรภาพกลับคืนมาในครั้งนี้จึงแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร

    “จะไปเรียนแล้ว” ฉันบอกเขาแค่นั้นแล้วเดินลงมาจากรถทันที 

    ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียน ฉันจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปทำธุระที่ห้องน้ำสักหน่อย แต่ในวินาทีที่เดินผ่านลานหูกวางข้างตึกวิศวฯ ฉันกลับพบใครบางคนเข้าซะก่อน

    ผู้ชายท่าทางเกเร ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยแผล...เอย์ 

    เขามองเห็นฉันจากระยะหลายสิบเมตร

    ทว่าสบตากันไม่ถึงสามวินาที ร่างสูงเหยียบ 180 เซนฯ ในชุดนักศึกษาไม่เป็นระเบียบก็ย่างสามขุมเข้ามาใกล้แล้วฉวยมือฉันไปบีบ

    “นึกว่าไปตายที่ไหน ที่แท้ก็ขลุกอยู่กับมัน” ในความโกรธ ฉันมองเห็นความน้อยใจจากแววตาของเขา

    ฉันไม่ได้พูดหรือตอบโต้อะไรเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามาสู้รบตบตีกับเขา แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไร เอย์ที่หัวเสียเป็นทุนเดิมก็ลากฉันไปที่ไหนสักที่ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด แน่นอนว่าระหว่างทางมีนักศึกษามากหน้าหลายตาจับจ้องมาที่เราอย่างให้ความสนใจ

    ราวๆ สองนาทีหลังจากนั้นฉันก็พบว่าเอย์พาเข้ามาในห้องน้ำชายของตึกวิศวฯ 

    ยังไม่พอ...เขายังปิดประตูลงกลอนอย่างดี ไม่ลืมผลักฉันติดกับบานประตูที่ปิดสนิทราวกับต้องการเคลียร์กันตัวต่อตัวให้รู้เรื่อง

    เอาจริงๆ ฉันควรจะตกใจ

    ทั้งเรื่องที่เขายังไม่ตายแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้า ทั้งเรื่องที่เขาลากฉันเข้ามาในนี้...ห้องน้ำชายที่แสนจะคับแคบและเหม็นสาบชวนอ้วก

    ฉันไม่ตกใจ เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นมองเจ้าของร่างสูงในสภาพยับเยินอย่างมีคำถาม

    “ที่ไม่กลับบ้านเพราะนอนค้างกับมัน?” เอย์ถามอีกรอบ และยังคงเป็นเรื่องผาเหมือนเดิม

    ลมหายใจของเขากรรโชก แววตาคู่สวยฉายแววคุกรุ่นเหมือนฉันกำลังทำเรื่องผิดร้ายแรง แต่ขอโทษ...เขามีสิทธิ์อะไรมาหงุดหงิด

    นอกจากอวดดีแล้วยังชอบทำอะไรไม่เจียมกะลาหัว

    “ใช่” ฉันให้คำตอบที่เป็นความจริง และ...

    ตึง...

    เอย์ใช้กำปั้นข้างหนึ่งทุบลงบานประตูเฉียดผิวแก้มฉันไปไม่กี่เซนติเมตร การสั่นสะเทือนจากแรงปะทะทำให้ฉันรับรู้ถึงพละกำลังของเขา หากแต่ฉันยังคงจ้องหน้าเอย์ มองดูการกระทำน่าสมเพชอย่างเวทนา

    “ฉันบอกเธอว่าไง” เอย์ใช้น้ำเสียงดุดันที่มีทั้งความฉุนเฉียวและเอาแต่ใจ “เรื่องไอ้ผา เอย์เคยบอกเกลว่าไง”

    “ฮ้าว...” เพราะรู้ว่าเอย์ทำเป็นแต่เรื่องใช้กำลังและข่มขู่ แถมยังวางอำนาจบาตรใหญ่กับฉันทั้งที่ไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรสักอย่าง หนังม้วนเดิมที่ดูจนเบื่อจึงทำให้ฉันรู้สึกง่วงงุน รู้ตัวอีกทีก็ยกมือปิดปากที่กำลังหาวหวอดๆ อยู่ตรงหน้าเขา

    ถามแต่เรื่องเดิมๆ ทำแต่เรื่องเดิมๆ ฉันขี้เกียจอยู่ฟังเขาพล่ามน้ำลายแตกฟองแล้ว

    มันน่ารำคาญ

    หมับ!

    ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมือข้างที่ยกปิดปากถูกเอย์คว้าหมับด้วยความรุนแรงเพียงหนึ่งในสี่ส่วน เขากำลังจับจ้องรอยช้ำสีม่วงจากข้อมือข้างเดียวกัน...ก่อนจะเคลื่อนสายตาขึ้นมาเพื่อมองหน้าฉัน

    “รอยอะไร ใครทำ” เอย์ดูหงุดหงิดกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อพบว่ารอยช้ำดังกล่าวไม่ใช่รอยเล็กๆ และด้วยความที่ฉันเป็นคนผิวขาวค่อนไปทางซีด เวลามีรอยช้ำจะดูน่ากลัวเป็นพิเศษ “เกล บอกเอย์มา”

    “หยุดสาระแนสักเรื่องคงไม่ตาย”

    พึ่บ!

    ฉันขืนแรงเพื่อกระชากข้อมือกลับมา แต่เอย์ไม่ผ่อนปรนและไม่ยอมให้ฉันได้ทำตามอำเภอใจ ดูท่าว่าไอ้เด็กคนนี้คงอยากได้คำตอบว่าใครเป็นเจ้าของรอยช้ำที่ข้อมือของฉัน

    เอย์หวงฉัน จะหวงด้วยฐานะไหนก็ช่าง แต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสร้างรอยช้ำหรือบาดแผลบนตัวฉัน

    ใช่ เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์ 

    “ไอ้ผา?” วูบหนึ่งนัยน์ตาของเอย์เต็มไปด้วยประกายไฟ มันร้อนรุ่มแต่ก็ให้ความรู้สึกเยือกเย็นไปในคราวเดียว “มันทำร้ายเธอเหรอ”

    “ทำไม โกรธ?” ฉันถามกลับเนื่องจากอยากรู้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะโกรธหรืออะไร

    เอย์หายใจฟึดฟัดแสดงออกถึงความหงุดหงิดงุ่นง่าน หากแต่ปลายนิ้วโป้งจากมือข้างที่ยังคงคว้าข้อมือกลับลูบไล้รอยช้ำของฉันอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากออกแรงมากกว่านี้อาจทำให้ฉันเจ็บจนต้องร้องไห้

    ตอแหลเก่งจริงๆ...ทำเป็นลืมไปได้ว่าเคยทำฉันเจ็บมากกว่านี้

    เจ็บจนเกือบตายแต่เขาไม่เห็นจะใยดี

    ไอ้สารเลว ลืมไปแล้วเหรอ

    “ก็แค่ตอบมา ไม่ยาก” เอย์ยังคงคาดค้านจะเอาคำตอบ ฉันที่นิ่งเฉยต่อการกระทำของเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลายมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ดังนั้นฉันจึงให้คำตอบเขาไป

    “ใช่”

     

    หลังเลิกเรียน

    “อีเกล สรุปน้องชายแกเป็นอะไรอ่ะ ทำไมเยินขนาดนั้น” คำถามที่เต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ของเฟรย์หนึ่งในกลุ่มเพื่อนทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

    เรื่องของเรื่องคือวันนี้เราเรียนหนักและแทบไม่ได้พักจึงไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันอย่างที่ควรจะเป็น พอถึงเวลาเลิกเรียนมันคงอัดอั้นตันใจจนต้องถามอย่างอยากรู้โดยไม่สังเกตเลยว่าฉันเต็มใจที่จะตอบเรื่องนี้หรือเปล่า

    ความจริง ไม่ว่าเรื่องไหน ถ้าฉันไม่อยากตอบก็แสดงออกไปตรงๆ ว่าไม่อยากตอบ

    “น้องเอย์เขาแบดบอยจะตาย คงมีเรื่องต่อยตีตามประสาอ่ะแหละ” 

    ประโยคดัดจริตของมะเหมี่ยวฟังยังไงก็เหมือนมัน Crazy มากกว่าจะ Disgust เอย์ 

    ซึ่งฉันมองว่าไม่แปลกเพราะลูกชายของสายธารมีรูปร่างหน้าตาเข้าขั้นโมเดลแถวหน้า ในสายตาคนภายนอกอาจมองว่าเขาเป็นเด็กมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ ที่หล่อเกินหน้าเกินตาคนอื่น แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่านิสัยลึกๆ ของเขาเป็นแบบไหน

    ฉันเห็นมาหมดแล้วถึงมั่นใจ

    “อีนี่ก็ทำเหมือนไม่ห่วงน้องเลยนะ” เฟรย์กลอกตาใส่เหมือนรับไม่ได้ที่ฉันเฉยชาและสนใจเจ้าดุ๊กน้องหมาประจำมหาวิทยาลัยที่กำลังนอนตากแดดมากกว่าเรื่องของเอย์...คนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของฉัน “สนใจหมาขี้เรื้อนมากกว่าคนอีก”

    “มันอินดี้ ปล่อยแม่ง” มะเหมี่ยวหันไปพูดกับเฟรย์ พวกมันรู้ว่าฉันเป็นคนยังไงจึงบ่นออดแอดแต่ไม่ได้จริงใจอะไรนัก

    แน่นอน ถ้าให้เลือกระหว่างเอย์กับหมา

    หมาดีกว่าเห็นๆ

     

    ฉันโทรไปหาผาเพราะเขาเป็นคนบอกว่าจะมารับหลังเลิกเรียน แต่โทรไปหลายสายแล้วเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับ

    ปกติฉันไม่ง้อเรื่องการไปรับไปส่งเพราะมีรถส่วนตัว แต่อย่างที่บอกไปว่ารถเสีย ตอนนี้มันจอดอยู่ที่อู่ของผา คาดว่าซ่อมเสร็จแล้ว เหลือแค่จ่ายเงินและตรวจเช็กอีกรอบ

    ผาบอกว่าซ่อมให้ฟรีในฐานะที่เป็นแฟน แต่ฉันยืนยันที่จะให้ค่าตอบแทน

    เป็นแฟนก็ส่วนเป็นแฟน ค่าแรง ค่าเสียเวลา ค่าเครื่องมือต่างๆ ก็ต้องจ่ายให้ในฐานะลูกค้าอยู่แล้ว

    ครืด

    ขณะที่ฉันตัดสินใจจะนั่งแท็กซี่ไปอู่เขา หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ปรากฏชื่อแพน...หนึ่งในพนักงานประจำอู่ ไม่บ่อยนักที่เขาจะโทรมาหาฉัน คงมีเรื่องอะไรสักอย่าง

    “...?” ฉันกดรับโดยไม่ทักทาย

    [พะ พี่เกล!!] ปลายสายเสียงหอบสั่นราวกับกำลังตื่นเต้นจนควบคุมการพูดของตัวเองไม่ได้ [เกิดเรื่องแล้วครับ]

    “เกิดเรื่อง?” ฉันทวนถามสั้นๆ

    [ครับ คือ...]

    หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจากแพน ฉันก็วางสายแล้วขึ้นแท็กซี่ไปอู่ของผาทันที ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย เวลานั้นฉันพบว่ามีเลือดสีแดงข้นหยดอยู่บนพื้นส่วนที่เป็นลานสำหรับพักรถ มีรอยเท้าและมีร่องรอยการปะทะเกิดขึ้นจริงๆ

    แพนเล่าว่าเอย์มาที่นี่ เขาทำร้ายผา ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าผาเองก็เป็นผู้ชายเลือดร้อน เขาคงไม่อยู่เฉยให้คนที่เด็กกว่าหาเรื่องฟรี ผลสุดท้ายก็มีการนองเลือดเกิดขึ้น

    ตรงตามที่ฉันคำนวณไว้ไม่มีผิด

    ถ้าเอย์รู้ว่าเจ้าของรอยช้ำบริเวณข้อมือฉันมีต้นเหตุมาจากใคร เขาไม่นิ่งดูดายแน่ๆ แล้วก็อย่างที่เห็น เมื่อรู้ว่าผาเป็นคนทำ เขาก็บุกมาหาถึงที่และใช้กำลังตัดสินปัญหาเหมือนอย่างทุกครั้ง

    “พี่เกล!” แพนที่หันมาเห็นฉันพอดีวิ่งหน้าตั้งมาหาอย่างร้อนรน 

    เขาอายุน้อยที่สุดในอู่แล้ว ไม่ได้เรียนหนังสือเพราะครอบครัวค่อนข้างจะยากจน เงินที่ได้จากการทำงานก็เอาไปจ่ายค่ายา ค่ารักษาพยาบาลให้แม่ที่กำลังป่วยหมด

    แพนเป็นเด็กดี ฉันเอ็นดูเขา

    “เละนะ” ฉันพูดพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ

    “ครับ ตอนนี้ผมกับพี่ๆ กำลังทำเก็บกวาดกันอยู่ ส่วนเฮียผาอยู่โรงพัก น่าจะใหญ่โตอยู่ครับเพราะเรื่องถึงหูเสี่ยโต้งแล้ว” เสี่ยโต้งที่ว่าคือพ่อแท้ๆ ของผา ท่านค่อนข้างดุ...ถ้ารู้ว่าเอย์เป็นฝ่ายบุกมาหาลูกชายของตัวเองก่อน ชีวิตหมอนั่นคงจบไม่สวยเท่าไหร่

    ผากับเอย์ไม่ถูกกันมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนมีหลายครั้งที่ร้ายแรงถึงขั้นเข้าโรงพัก แต่หลังจากที่ผารู้ว่าเอย์กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฉัน เขาก็พยายามเลี่ยงเพราะคิดว่าเรื่องนี้อาจส่งผลต่อความรู้สึกฉัน

    เขาไม่ได้มานั่งในใจฉัน จะไปรู้อะไร

    “งั้นขอเอารถไปเลยแล้วกัน” ฉันล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แพน “ส่วนนี้ค่าซ่อม ส่วนนี้ค่าขนมนาย”

    “เฮ้ยพี่...ค่าขนมอะไรตั้งสามพัน” แพนตาโต พยายามนำเงินสามพันมาคืนฉันให้ได้ “เก็บไว้เถอะครับ มันเยอะเกินไป”

    “ถ้าไม่เอาก็ทิ้ง” ว่าจบก็เดินขึ้นรถทันที ไม่สนใจท่าทีงกๆ เงินๆ ของเจ้าเด็กกตัญญูคนนั้นอีกต่อไป

    ฉันถือว่าได้ให้ไปแล้ว เขาจะรับไว้หรือเอาไปทำอะไร หลังจากนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่เขาเองต้องตัดสินใจ

     

    หลังจากนั้น...ฉันได้รู้ว่าเอย์ถูกจำคุกโดยที่ญาติสามารถมาประกันตัวได้ แต่พ่อที่อยากจะทำโทษเขามีความเห็นว่าถ้าประกันตัวออกมาง่ายๆ เอย์ก็จะทะเลาะวิวาทซ้ำไปซ้ำมาไม่เข็ดหลาบสักที จึงปล่อยให้เจ้าตัวปัญหาอยู่ในคุกหนึ่งอาทิตย์เพื่อควบคุมความประพฤติ

    ส่วนผา เขาได้ลดโทษเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม จากพยาน (ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กในอู่) บอกว่าผาโต้ตอบเอย์เพราะต้องการป้องกันตัว กล้องวงจรปิดเองก็มีหลักฐานว่าเอย์บุกรุกพื้นที่คนอื่น มีเจตนาทำร้ายร่างกาย และอีกหลายอย่าง เมื่อเทียบกันแล้วผาจึงโดนข้อหาที่น้อยกว่า

    แน่นอนว่าต่อให้ไม่เยอะเท่าเอย์ แต่ผาเองก็มีความผิด หากทว่าเสี่ยโต้งพ่อของเขามีอิทธิพลในเขตนั้น ตำรวจที่เกรงกลัวและได้รับเงินไปจำนวนหนึ่งจึงไม่ได้เพ่งเล็งอะไรเป็นพิเศษ

    ส่วนฉัน หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่ไม่มีประโยคไหนเลยนะที่ฉันสั่งให้เอย์ไปทำร้ายผา แค่ตอบว่า ใช่คำเดียว...หลังจากนั้นเอย์ก็ตัดสินเองแล้วว่าต้องทำยังไงกับคนที่มาทำร้ายฉัน

    โถ เด็กน้อย...

    End Describe

     

    Aey Describe

    ตอนที่ผมรู้ว่าต้องอยู่ในคุกเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ผมไม่ได้ตกใจอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ตามหลอกหลอนผมคือ...ใบหน้าเย็นชาของเกล

    เธอมาโรงพักพร้อมพ่อและแม่ มองดูผมจากตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่งเหมือนว่าผมแม่งเหมาะแล้วที่จะอยู่ตรงนี้ ไม่มาคุย ไม่มาถามว่าเจ็บไหม เป็นยังไงบ้าง

    ผมบุกไปหาไอ้เหี้ยผาเพราะโกรธที่มันทำเธอ

    ทั้งๆ ที่ผมทำเพื่อเธอ...

    ยัยผู้หญิงแพศยา กี่ครั้งแล้วที่ดูมีความสุขกับการเหยียบย่ำหัวใจผมแบบนี้

    เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มุมปากผมก็ยกขึ้นโดยอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่การผลิยิ้มแสดงความยินดีต่อการกระทำของเธอ แต่ผมแค่นึกสมเพชตัวเองในวูบหนึ่ง มันเหมือนว่าผมทำอะไรโง่ๆ โดยมีเธอเป็นตัวจุดชนวนอยู่เสมอ

    โกรธเธอ เป็นห่วงเธอ หวงเธอ แค้นแทนเธอ และสุดท้าย...ทั้งๆ ที่ยังมีความรู้สึกเก่าๆ หลงเหลืออยู่ผมก็รู้สึกเกลียดเธอไปไม่น้อยกว่ากัน

    เกล เอย์อดทนเก่งนะ แต่ไม่ใช่ว่าเอย์จะทนเป็นแบบนี้ไปตลอดได้

    ที่เอย์เลว ที่เอย์ร้าย แต่เอย์ก็ยังรัก แล้วเกลล่ะ...ที่ร้าย ที่เย็นชา ลึกๆ แล้วยังรักอยู่ไหม

    หรือจริงๆ ไม่เคยรักกันเลย

     

    วันที่เจ็ด...พ่อมาประกันตัวผมพร้อมแม่

    แม่ร้องห่มร้องไห้ สวมกอดผมอย่างคิดถึงทั้งๆ ที่ท่านก็มาเยี่ยมผมหลายครั้งในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านคงเป็นห่วงและกังวลว่าสภาพจิตใจของผมจะได้รับการกระทบกระเทือนไหม ซึ่งผมมั่นใจว่าตัวเองยังปกติดี ไม่เครียด ไม่กลัว

    ดีซะอีก...

    ตอนอยู่เงียบๆ คนเดียวเจ็ดวันมันทำให้ผมได้นั่งคิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง

    “จะไปไหนอีกลูก” ผมกลับเข้าบ้านได้ไม่ถึงสองชั่วโมงก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก แม่ที่ทำอาหารเย็นอยู่ตรงห้องครัวหันมาเห็นพอดีจึงถามอย่างอยากรู้ ไม่ลืมก้าวเท้ามาหาผมพร้อมทัพพีขนาดพอดีมือ “จะไปเกเรอีกหรือเปล่า ไม่เอาแล้วนะ!

    “เอย์แค่จะไปหาเพื่อน จะไปถามการบ้าน” ผมให้คำตอบ 

    จริงๆ โทรไปถามได้...แต่ถ้ายังไม่ลืม ผมเคยบอกว่าโทรศัพท์พังจนใช้งานไม่ได้ตั้งแต่ถูกรุมกระทืบเมื่อเกือบสองอาทิตย์ก่อน ว่าจะซื้อใหม่เหมือนกัน แต่รู้สึกขี้เกียจยังไงไม่รู้

    “การบ้านแน่หรือเปล่า ไม่ได้ไปมีเรื่องเจ็บตัวขึ้นโรงขึ้นศาลอีกนะ” แม่ถามอย่างเป็นกังวล เรียวคิ้วขมวดมุ่นแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่หลายส่วน เห็นแบบนั้นความรู้สึกผิดก็ผลิบานเต็มอกผม

    ทำไมผมทำให้ท่านเป็นห่วงอยู่เรื่อย

    โตแล้ว นิสัยแบบนี้เลิกสักทีเหอะไอ้เอย์

    “มั่นใจได้เลยครับ เอย์แค่ไปถามการบ้าน สัญญาจะกลับมาไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง” ผมยิ้มหวาน ไม่ลืมโน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มท่านอีกฟอด เป็นจังหวะเดียวกันที่พ่อเดินออกมาจากห้องน้ำและมองผมด้วยสายตาชนิดหนึ่ง

    “...” เพียงแต่ท่านไม่ปริปากพูดอะไร

    หลังจากให้คำมั่นจนแม่ยอมปล่อยออกมาข้างนอกผมก็ขับรถคันโปรดตรงดิ่งไปคอนโดฯ เพื่อนทันที แต่เผอิญว่าทางเส้นนี้ต้องผ่านอู่ไอ้ผาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอนึกถึงการปะทะกันในวันนั้นด้วยเเล้ว...ความเดือดดาลก็คล้ายกับจะระเบิดออกมา

    และความรู้สึกที่ว่าก็เพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อพบว่าเกลอยู่ที่นั่น เธอยืนนิ่งไร้การปัดป้องโดยมีไอ้ผาสวมกอดอย่างแนบแน่น...

    ผมชะลอรถ มองดูภาพนั้นไม่นานด้วยความรู้สึกที่ขี้เกียจจะอธิบายออกมา น่าแปลกเหมือนกันที่ผมมองภาพนั้นไม่กี่วินาทีก็ตัดสินใจขับรถจากมา ไม่แม้เเต่จะเหลียวกลับไป ปราศจากการฉุนเฉียวเหมือนที่ผ่านๆ มาราวกับว่า...ผมได้บทเรียนอะไรสักอย่างจากเธอ

    End Describe

     

    Gale Describe

    หลังจากนั้นหลายวัน

    “เจ๊!” เสียงเจื้อยแจ้วที่เต็มไปด้วยความสดใสดังขึ้นก่อนผู้หญิงรูปร่างผอมบางจะวิ่งเข้ามาสวมกอดฉันอย่างแนบแน่น ไม่ลืมเอาแก้มถูหน้าอกฉันไปมาอีกด้วย

    เด็กคนนี้ชื่อกิ่ง เธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉัน เราอายุห่างกันแค่สองปี แต่อุปนิสัยและความคิดเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

    ฉันเหมือนด้านที่มืดมิด ส่วนกิ่งคือด้านที่สว่างไสว

    เวลาเราสองคนอยู่ด้วยกัน บางทีฉันก็นึกอิจฉาน้องตัวเอง...อิจฉาที่เธอมีพลังบวกอยู่ตลอดเวลา อิจฉาที่เคยสอบตกแต่ก็ยังยิ้มแป้นแล้วมองว่ามันเป็นสีสันชีวิต อิจฉาที่ต่อให้เคยถูกรังแกจนเลือดตกยางออก ก็ไม่นึกโกรธหรือแค้นเคืองใคร

    ในขณะที่ฉันตรงข้ามกับเธอแทบทั้งสิ้น

    และใช่ มันทำให้ฉันยิ่งรักและหวงแหนน้องสาวเพียงคนเดียวมากพอๆ กับชีวิตตัวเอง

    “เหม็น” ฉันขมวดคิ้วพลางหลุบตามองยัยตัวเล็กเมื่อได้กลิ่นตุๆ จากเส้นผมชื้นเหงื่อ นอกจากไม่ชอบแต่งตัวหรือแต่งหน้าแล้ว ผมเผิมก็ไม่ค่อยสระ สกปรกจริงๆ

    “กิ่งเพิ่งจัดบ้านใหม่เพราะรู้ว่าเจ๊จะมาไง ไม่ได้กลับบ้านตั้งเป็นเดือนแน่ะ”   

    อืม...จริงอย่างที่กิ่งว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันกลับบ้าน กิ่งอยู่กับยายสองคน ซึ่งมันก็นานมาแล้วที่ท่านเลือกอยู่ที่นี่แทนที่จะอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับพ่อในบ้านหลังใหญ่

    ยายออกตัวไม่ชอบพ่อตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่เริ่มชอบพอกัน หากทว่าวาระสุดท้ายในชีวิตของตา ท่านอยากเห็นแม่มีความสุขกับชีวิตคู่ ยายจึงไม่ขัดและปล่อยให้แม่ได้เลือกเอง

    หลายปีหลังจากดูใจและเรียนรู้อุปนิสัยของกันและกัน สุดท้ายพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจที่จะแต่งงาน...ก่อนมีฉันเกิดมาหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี ทว่าไม่กี่ปีให้หลังชีวิตครอบครัวสวยหรูก็เริ่มมีรอยร้าว พ่อกับแม่มีปัญหากันทุกวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยลามไปจนเรื่องใหญ่โต

    แม่มักกลับมานอนกอดยายที่บ้านหลังนี้เป็นประจำหลังทะเลาะกับพ่อ ซึ่งตอนนั้นท่านท้องยัยกิ่งพอดี ยายจึงขอหลานคนเล็กไว้ที่นี่เนื่องจากไม่อยากให้เด็กเกิดมาแล้วเจอสภาพแวดล้อมย่ำแย่ แน่นอนว่ากิ่งสามารถเทียวไปเทียวมาได้เพราะอย่างน้อยๆ พ่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดมา

    ทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ ในแต่ละวัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หนึ่งปี และหลายต่อหลายปีที่แม่ทนแสร้งว่ายังมีความสุขกับชีวิตครอบครัวสุดเฮงซวยนี่ โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่า...ฉันคนนี้เห็นทุกอย่าง

    เห็นความเจ็บของท่าน เห็นน้ำตาของท่าน และเห็นความเป็นแม่จากตัวท่านที่ทนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อฉันและน้อง

    จนแม่ตายไป...

    ยายที่เคยสุขภาพแข็งแรงก็เริ่มทรุด ต้องกินยา ต้องมีคนคอยดูและให้กำลังใจ เพราะแบบนั้นเองกิ่งมันเลยไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นแล้ว นอกจากเวลาเรียนแล้วมันอยู่กับยายตลอดเวลา แทบไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่าไหร่

    “ยายเป็นไงบ้าง” หลังจากถอดรองเท้าและเดินเข้ามาในบ้านซึ่งถูกทำความสะอาดอย่างดี สิ่งแรกที่ฉันถามคือเรื่องยาย

    “ช่วงนี้ไม่เครียดเท่าไหร่ คงเพราะยายติดการ์ตูนด้วย” ฉันชะงักเมื่อได้ฟังคำตอบ “วันนั้นกิ่งนั่งดูวันพีชกับยายสองคน แบบว่าดูแค่สี่ตอนเองมั้ง ยายก็ติดใจขอดูอยู่เรื่อยๆ” รอยยิ้มสดใสของกิ่งทำให้มุมปากฉันยกขึ้น

    “ดีแล้ว” ฉันอยากให้ยายมีความสุข การ์ตูนก็คลายเครียดได้ดี

    หลังจากนั้นฉันก็แอบไปด้อมๆ มองๆ ยายที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ในห้อง ท่านหัวเราะเอิ๊กอ๊ากมีความสุขฉันเลยไม่อยากกวน จึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอนยัยกิ่ง เห็นมันกำลังคุ้ยหาอะไรสักอย่างในลิ้นชักเหมือนอยากเอามาอวดฉัน

    ส่วนฉันทำได้แค่กวาดสายตาไปทั่วบริเวณห้องที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบอย่างเงียบเชียบ กระทั่งเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างตรงราวตากผ้าริมระเบียงห้อง

    มีเสื้อผู้ชายแขวนอยู่...

    ฉันพินิจพิเคราะห์เสื้อสีดำตัวดังกล่าวเงียบๆ โดยไม่ปริปากถามคนที่น่าจะให้คำตอบได้ ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกคับคล้ายคับคลาเสื้อตัวนั้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะเคยเห็น แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่

    ซึ่งถ้าให้คิดแบบเป็นกลาง เสื้อทรงนี้ สีนี้ ลวดลายทำนองนี้มันก็มีเกร่ออยู่เต็มตลาด เหมือนเป็นเทรนด์ในช่วงหนึ่งที่คนนิยมใส่เสื้อผ้าสไตล์และเเบรนด์เดียวกัน 

    ทว่าต่อให้ทำตัวเป็นกลางมากแค่ไหนก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมถึงมีเสื้อผ้าวัยรุ่นผู้ชายตากอยู่ตรงราวระเบียงได้

    ยัยกิ่งพาผู้ชายเข้าห้อง?

    เพื่อน? แฟน?

    “เจอแล้ว!” ฉันเคลื่อนสายตากลับมาจับจ้องยัยตัวเล็กที่ทำเสียงดีอกดีใจ เป็นจังหวะเดียวกันที่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉัน

    ต่อมาฉันพบว่ามันคือเกียรติบัตร

    “หืม” อดไม่ได้ที่จะคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ใช้เวลากวาดสายตาเพียงไม่กี่วินาทีก็ได้รู้ว่านี่เป็นเกียรติบัตรรางวัลชมเชยการวาดรูประดับมัธยมปลายในหัวข้อ ครอบครัวของฉัน

    พอเห็นเลขพ.ศ.ก็รู้ว่าเพิ่งผ่านมาแค่หนึ่งปี นั่นหมายความว่ายัยกิ่งได้สิ่งนี้มาตอนอยู่มอหก ส่วนฉันอยู่ปีสอง จำได้ว่าปีที่แล้วเรียนหนักและกิจกรรมเยอะ ไม่ค่อยได้เจอหน้าน้องเท่าไหร่ มันเองก็วุ่นๆ กับการหาที่เรียนด้วย

    “กิ่งเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เอาให้เจ๊ดูเลย เจ๊ว่ากิ่งเก่งเปล่า?” มันภูมิอกภูมิใจกับทุกอย่างที่ได้มาถ้าหากว่านั่นเป็นเรื่องดี 

    “เก่งที่สุด” ฉันยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะมัน

    “ใช่มะ” กิ่งเชิดหน้าขึ้นนิดหน่อย ภาพนั้นมันก็น่ามันเขี้ยวอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเรื่องเสื้อผู้ชายยังคาราคาซังอยู่ในหัว

    ฉันเหลือบมองเสื้อตัวนั้นอีกครั้ง ไม่กี่วินาทีให้หลังก็ยอมที่จะปริปาก

    “จะถามอะไรสักหน่อย”

    “...?” ยัยตัวเล็กเอียงคอเล็กน้อย ทำตาปริบๆ อย่างอยากรู้

    “แกมีแฟนเหรอ” วูบหนึ่ง...ฉันเห็นอาการเลิกลั่กจากแววตากลมโต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะหายไป

    “ถามอะไรของเจ๊ อย่างกิ่งเหรอจะมีแฟน โหย...”

    “โกหกเจ๊ไม่เนียน” ฉันยังคงระดับของโทนเสียง ไม่เข้มข้น ไม่อ่อนโยน แต่ทำให้อีกฝ่ายลอบกลืนน้ำลายราวกับกำลังประหม่า “ตอบมา มันเป็นใคร”

    “...” 

    อีกครั้งที่กิ่งแสดงท่าทีให้ฉันรู้สึกแคลงใจ

    ฉันยังคงจ้องหน้ามัน ส่งสายตาคาดคั้นจนมันที่กำลังจนตรอกต้องเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงกลับมาในคราวแรก และในคราวที่สองคำตอบก็หลุดออกมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที “คือกิ่งมีเพื่อนผู้ชายเยอะอ่ะ”

    “อืม แล้วไงต่อ” ฉันรอฟังเหตุผลที่เข้าท่าพอจะเลิกสงสัยในตัวมัน

    ฉันรู้ว่ามันมีเพื่อนผู้ชายเยอะทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ ท่าทางเถื่อนๆ ทั้งนั้น ที่ยัยกิ่งเข้ากับคนพวกนั้นได้น่าจะเพราะนิสัยติดดิน ไม่คิดเยอะ ถึงไหนถึงกัน ติดอยู่ปัญหาเดียวคือมันสู้ใครไม่ได้...ฉันมองว่าเพื่อนผู้ชายของมันอาจปกป้องดูแลได้ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ฉันกลัวน้องสาวตัวเองถูกหลอก

    “พอดีพวกมันมาทำรายงานที่บ้านไง” ฉันไม่มองว่าคำตอบของยัยกิ่งสมเหตุสมผล ดูยังไงก็เหมือนคนสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้คนถามเลิกซักไซ้ “กิ่งรู้ว่าไม่ควรพาผู้ชายเข้าบ้าน ถ้าเจ๊ไม่โอเค กิ่งสัญญาว่าจะไม่ทำอีก” มันก้มหน้างุดราวกับรู้สึกผิดที่ทำให้ฉันไม่พอใจ

    ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว คนหัวอ่อนอย่างมันถ้าหากเจอคนเฮงซวยขึ้นมาจะทำยังไง ยายก็อายุเยอะแล้ว ท่านจะช่วยอะไรมันได้ ส่วนฉันก็อยู่บ้านพ่อ คงช่วยเหลือมันแบบทันการไม่ได้แน่ๆ

    “ให้โอกาสอีกครั้ง” ฉันหรี่ตาเพราะต้องการความแน่ใจ

    “โอกาสอะไรของเจ๊ ก็นี่แหละของจริง” มันทำเสียงหนักแน่น “คนอย่างกิ่งเหรอจะมีแฟน ฝันไปอีกสิบชาติอ่ะเอาจริง”

    “โอเค งั้นถ้าเจ๊มารู้ทีหลังว่าแกโกหก แกรู้ใช่ไหมว่าจะต้องเจอกับอะไร”

    “...รู้สิ” ยัยน้องสาวตัวแสบหน้าซีดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเสียงก็ยังมีความสดใสอยู่ในระดับปกติ “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะเจ๊ ไปกินข้าวกันๆ”

    ว่าแล้วมันก็ลากฉันลงไปชั้นล่างของบ้านตรงส่วนที่เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร บนนั้น...เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาหน้ากิน และทั้งหมดล้วนเป็นของโปรดฉัน

     

    หลายชั่วโมงต่อมา

    ฉันมาถึงบ้านช่วงห้าทุ่มพอดี ดังนั้นทุกคนจึงเข้านอนกันหมดแล้ว หากแต่ฉันตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่ยอมเข้าห้องตัวเองจนกว่าเรื่องที่อยากรู้จะถูกไขกระจ่าง

    ด้วยเหตุผลนั้นฉันจึงเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องเอย์ ปล่อยให้เวลาผ่านไปไม่นานก็ตัดสินใจเคาะประตูเรียก

    ก๊อกๆ

    เมื่อแน่ใจว่าดังพอที่เจ้าตัวจะได้ยิน ฉันจึงก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาระห่าง ซึ่งรอไม่นานเท่าไหร่ประตูบานนั้นก็ถูกเปิด ก่อนเจ้าของร่างสูงใหญ่จะปรากฏตัวในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันไว้อย่างหมิ่นเหม่

    ระดับของผ้าขนหนูอยู่ต่ำมากจนเห็นไรขนอ่อนๆ และกระดูกวีไลน์ รวมถึงรอยสักตัว G สีดำใกล้ๆ กระดูกเชิงกราน 

    ดูเหมือนเอย์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ตัวเขาเปียกชุ่ม เรือนผมมีหยดน้ำเกาะพรม และใบหน้าของเขายังคงมีรอยแผล

    “...?” เอย์เลิกคิ้ว สีหน้าเฉยชาและกวนประสาท

    “ฉันมีเรื่องจะคุย”   

    ---

    MA-NELL'S ZONE

    1 คอมเม้นต์ 1 กำลังใจ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×