คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กลรักอสุรา l บทที่๐๒ ตอน ดวงใจห่างรัก {อัพ100%}
เมื่อได้ฟังอุระยักษ์ระทมนัก
สุดจะหักห้ามใจคิดไฉน
ฤาเวลาพาใจน้องให้ผันไป
ก่อรักใหม่กับชายไร้ที่มา
ทีตัวพี่ใยน้องจึงเมินเฉย
แม่ทรามเชยคอยหลบและหลีกหนี
ลืมรักเราเก่าก่อนไม่ใยดี
ทิ้งตัวพี่ให้โศกาน้ำตาตกใน
“เราเคยรักกันไม่ใช่เหรอทับทิม
อยู่คุยด้วยกันแป๊บหนึ่งมันจะตายหรือไง !?”
เราเลื่อนมือขึ้นแตะอุราซ้ายอย่างห้ามไม่ได้
โดยทิ้งสายตาไปยังคู่หญิงชายเบื้องหน้าราวกับว่ายามนี้ คนทั้งคู่คือสิ่งเดียวที่เราสามารถยลยินได้มากที่สุดในช่วงเพลานี้
“ฉันจะไปไหว้พระ!” เสียงหวานของแม่ทับทิมเอ่ยขึ้น
แสดงกริยาไม่ยอมคนด้วยการสะบัดใบหน้าหลบหนีจากบุรุษชน
ยืนกรานความรู้สึกของตนเองอย่างหนักแน่น เฉกเช่นที่ปฏิบัติต่อเรา
“ฉันจะไหว้ด้วย” ถึงกระนั้นทางฝ่ายบุรุษหาใช่จะลดราความประสงค์ของตนเองลงเสียที่ไหน
ยังคงเดินตามติดแม่ทับทิมคล้ายกับสมิงวิ่งหาเศษเนื้อ
ยามเมื่อคนทั้งคู่ก้าวเท้าพาตัวเองไปจากตรงนั้น
เราเองก็คล้ายกับถูกสะกดให้ก้าวเท้าย่ำไวตามหลังคนทั้งคู่ไปด้วย
พร้อมกันนั้นก็อดไม่ได้จะนึกไตร่ตรองหวนนึกถึงเรื่องราวที่พ้นผ่านมา
ถึงเหตุและผลที่แก้วตาเปลี่ยนใจเป็นอื่น หรือเพราะกาลเวลาที่ผ่านพ้นมาร่วมหลายหมื่นปี
จะทำให้ดวงใจเรานั้นลืมหมดสิ้นแล้วรักครั้งเก่า
ซ้ำร้ายยังมีบุรุษมาคอยตามอย่างสนิทชิดเชื้ออยู่ไม่ไกลตัวเช่นนี้
‘แม่นิมมานรดีรู้หรือไม่ ว่าพี่ต้องตาต้องรักน้อง
นับแต่ยามแรกที่เผลอสบตาในขบวนแห่...’ ทั้งที่ยามรัก เราก็รักมาก ซื่อสัตย์
ซื่อตรงต่อเรื่องละเอียดอ่อนที่มีต่อดวงใจ หาได้เคยคิดจะแปรผัน
แม้นในยามโศกาเราเองก็เจ็บปวดจนแทบอาสัญ
‘หลับเสียเถิดดวงใจพี่...ฮึก แม้นชาติภพนี้
เราสองจักมิได้เคียงรักกันดั่งคำมั่น...พี่ขอให้น้องจงอุบัติสิ้นเสียใหม่...’
เพียงสักนิด หากในยามนั้น
เรามีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพี่ชายก็คงจะดี ในตอนนั้น
เราคงร่ายเวทบันดาลให้ดวงใจจดจำรักเก่าที่เคยมีต่อกัน
ให้ติดตราตรึงใจมาจนถึงชาติภพนี้ไม่แคล้วที่ผู้พี่กระทำ
เราไม่เคยรู้เลยว่าดวงใจเราอยู่หนแห่งใด
ทำได้เพียงแค่จดจำกลิ่นหอมหวานบนเนื้อกายเท่านั้น ทั้งที่ยามนี้ มีโอกาสได้พบเจอ
ไยจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า ?
“นี่แดน เขยิบออกไปหน่อยได้ไหม ?” เสียงหวานของนารีเอ่ยขึ้นขัดการนึกคิดทบทวนให้มีอันต้องสะดุดลงและกลับมาสู่ในช่วงเพลาปัจจุบัน
สิ่งที่ตาเห็นคือภาพของคู่ชายหญิงขณะนั่งพนมมือกราบไหว้พุทธองค์ปั้นขนาดเล็ก
ราวกับต้องการสร้างอานิสงส์บารมีเพื่อให้ได้อยู่เคียงคู่ทดแทนที่เก่าที่เราเคยยืน
“ก็ไหว้ไปดิ เราจะไหว้ของเราตรงนี้ มีปัญหาหรือไง ?”
ยิ่งได้ยลภาพตรงหน้าควบคู่กับการได้ยิน
มันก็เป็นตัวเราเสียเอง ที่เริ่มอดกลั้นอารมณ์ลึกๆ ในอกไว้ไม่ไหว มือเริ่มกำบีบกันแน่นเสมือนไร้การควบคุมสลับกับอาการเสียดในอก
ปกติแล้ว เราไม่ใช่ผู้ซึ่งชอบแสดงนิสัยเกรี้ยวกราดมาดร้ายใส่ผู้ใด
เราเย็นมากพอที่จะนิ่งและมองสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมือนไม่รู้สึกรู้สา หากแต่ยามนี้
สิ่งที่บังเกิดอยู่ตรงหน้าดันเป็นเรื่องของดวงใจที่เราฟูมฟัก จงรักภักดีต่อความรู้สึกมานานนับหมื่นปี
‘เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราต้องรักกัน สืบไปจากนี้..ทุกภพทุกชาติ...’
ชาติที่แล้ว สองดวงใจมีอันต้องลาจาก
ต้องพลัดพรากหาได้ครองคู่เคียงดั่งใจหมาย ต้องจากลาโดยไม่ทันได้ล่ำลาร่ำไร
ยามนี้ไซร้เมื่อดวงใจอุบัติใหม่ เราจะยอมให้เป็นดั่งกรรมเก่าไม่ได้!
“แล้วจะนั่งเบียดฉันเพื่อ เขยิบไปสิ!”
“เล่นตัวอะไรนักหนา โดนตัวแค่นี้ทำเป็นบ่นอยู่ได้ จะไหว้ไหมพระอ่ะ...อะ”
พอหวนนึกคิดได้ความตั้งมั่นหนักแน่นเช่นนั้น คืนสติอีกที แรงมหาศาลก็ถูกบรรจงส่งผ่านฝ่าเท้าเข้าใส่กลางหลังบุรุษชนซึ่งกำลังก้อร่อก้อติกดวงใจอย่างเต็มแรงไปเสียแล้ว
พลั่ก! โครม!
-ทับทิม กล่าว-
โครม!
ฉันเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ เมื่อ เขตแดน อดีตแฟนหนุ่มสมัยเรียนซึ่งเจอกันโดยบังเอิญ
จู่ๆ ก็พุ่งตัวพรวดพราดล้มตึงใส่พานสำหรับวางดอกไม้สดตรงหน้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนข้าวของตรงหน้าล้มระเนระนาดเสียงดังโครมใหญ่
โชคดีที่บริเวณนี้อนุญาตให้ใช้ดอกไม้สดกราบไว้พระพุทธรูปแต่เพียงอย่างเดียว
คิดไม่ออกเลยว่าหากตรงหน้ามีกระถางธูปหรือเชิงเทียนแทนพานสำหรับวางดอกไม้
สภาพของเขตแดนตอนนี้จะเป็นอย่างไร
“ปะ เป็นไรป่าวอ่ะ?” แม้จะไม่อยากพบหน้าแค่ไหน
แต่พอเห็นเขาท่าทางแปลกๆ พุ่งตัวล้มใส่พานดอกไม้สดแบบนั้นมันก็อดถามไถ่ไม่ได้
แต่ก็เหมือนว่าความสงสัยเคล้าความเป็นห่วงเป็นใยจะไม่ได้รับคำตอบสักเท่าไหร่
เมื่อเจ้าของการกระทำแปลกๆ
รีบหยัดตัวกลับมาอยู่ในท่านั่งและบ่นแกมโวยวายด้วยอาการตกอกตกใจไม่ต่างกัน
ขณะรีบหยิบดอกไม้สดวางเก็บใส่พานไว้ตามเดิม
“อะไรวะ?” ซ้ำร้ายยังหันมาถลึงตาจ้อง
คล้ายกับจะโทษกันเสียนี่ “เมื่อกี้ เธอผลักฉันเหรอ?”
“บ้าหรือไง! ฉันจะเอาเวลาไหนไปผลักนายไม่ทราบ!?” คราวนี้พอรัวคำพูดต่อไวออกไป มันก็เป็นเขตแดนเองนั่นแหละที่เงียบลง ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าหล่อคมคายก็ยังคงความตกอกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เห็นอยู่ดี
ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะแสร้งทำเป็นพุ่งตัวเข้าใส่พานวางดอกไม้สดเองอย่างงั้นแหละ
ต่อให้เหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที
แต่ลึกๆมันก็อดนึกสมน้ำหน้าไม่ได้ ใช่ค่ะ! ฉันรู้สึกสมน้ำหน้าเขามากกว่าจะสงสารเสียอีก
และหากว่าการพุ่งตัวเข้าใส่พานวางดอกไม้สดตรงหน้า
เป็นการเล่นละครตบตาเรียกร้องความสนใจล่ะก็
ฉันอาจจะเปลี่ยนจากจากความรู้สึกสมน้ำหน้ามาเป็นรู้สึกสมเพชแทนก็ได้
ฉันกับเขตแดนเคยเรียนด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย
ที่สำคัญเราเคยคบกันในฐานะคนรักมาก่อนด้วยเช่นกัน
เขตแดนเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหน้าตาดีแถมพูดเก่ง
ทำให้เขามักจะถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยผู้หญิงสวยๆ มากหน้าหลายตา
และเมื่อเทียบกันกับฉันที่เขาคบเป็นแฟนแล้ว
พูดได้เต็มปากเลยว่าเทียบกับผู้หญิงพวกนั้นไม่ติด
ด้วยภาพลักษณะภายนอกที่ดูเรียบร้อยติดไปทางเชย
แต่งตัวสไตล์ป้าๆ และเคยสวมแว่นหนาเตอะด้วยล่ะมั้ง รักที่เคยดีก็เริ่มแย่ ใช่ค่ะ
เขตแดนนอกใจฉัน แอบไปนอนกับเด็กปีหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้เราเลิกกัน
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ฉันรู้สึกเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากเจอหน้าเขาอีก
ก็คงเพราะหลักจากเลิกกับเขตแดนได้ไม่ถึงอาทิตย์ ฉันก็ได้ยินข่าวแว่วมาว่า
การที่เขตแดนหันมาคบกับฉันนั้น เป็นเพราะเขาพนันเหล้ากับเพื่อนไว้ ว่าถ้าสามารถคบกับฉันที่ค่อนข้างเฉิ่มเชยได้เกินสามเดือน
เพื่อนในกลุ่มเขาจะต้องเลี้ยงเหล้าผู้ชนะการพนัน
พูดแล้วมันก็ค่อนข้างเจ็บใจ
แต่มันคงจะถึงเคราะห์กรรมของฉันนั่นแหละ การมาที่วัดกลางกรุงวันนี้จึงมีแต่เรื่องประหลาดเกิดขึ้นเยอะไปหมด
ไม่ว่าจะพายุฟ้าฝน เสียงฟ้าผ่าที่แสนน่ากลัว เจอคนโรคจิต ซ้ำร้ายยังเจอแฟนเก่าอีก!
ครืนนนน...
นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่พายุลูกใหญ่พัดเข้าสู่พื้นที่ภายในวัด
ในที่สุดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา พอเห็นแล้วมันก็อดเป็นห่วงพิธีบวงสรวงบริเวณลานกว้างไม่ได้
ยิ่งช่วงนี้เพื่อนสาวฉันซึ่งต้องรำถวายพิธีบวงสรวง มีข่าวในโลกโซเชียลไม่ค่อยดีอยู่ด้วย
มันก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงมากเข้าไปใหญ่
แต่ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหน
สายฝนที่เริ่มเทลงมาหนักสลับกับเสียงฟ้าร้องก็ไม่อาจทำให้ฉันพาตัวเองไปไหนได้ นอกจากนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์เล็กข้างผู้ชายที่ฉันไม่อยากเจอหน้าที่สุดอยู่ดี
เจ้าประคู๊ณณณ ท่านอสุราเจ้าขา
ช่วยนังทับทิมคนนี้หน่อยเถอะค่ะ
ทำยังไงก็ได้ช่วยไล่ให้ผู้ชายคนนี้ออกไปจากชีวิตทับทิมสักที สาธุ!
“นี่ทับทิม…” แต่แล้วขณะอธิษฐานวอนของต่อสิ่งที่สักการบูชา
เสียงเข้มของเขตแดนก็เอ่ยขึ้น จำต้องลดมือลง
เหลือบมองเสี้ยวหน้าคนข้างกายตานิดหน่อยด้วยความสงสัย ขณะหูฟัง “ตั้งแต่จบมหา’ลัย เราสองก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ”
“แล้ว?” ฉันย้อนแม้ในอกน่ะกำลังกรีดร้องออกมาว่า
ใครอยากจะเจอด้วยไม่ทราบ! ก็ตามที
“คิดถึง...” ทั้งที่เชื่อมั่นความรู้สึกของตัวเองอย่างหนักแน่น
ปฏิเสธที่จะพบเจอหน้าเขาแท้ๆ ทว่า เพียงแค่สองวลีสั้นๆ ของเขตแดนเท่านั้น
ความรู้สึกในอกก็เริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมา “ตั้งแต่เราเลิกกันไป
ฉันยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอตรงๆเลย พอรู้ว่าวันนี้
เมรีมีรำถวายพิธีบวงสรวงที่วัดนี้ เลยคิดว่าเธอน่าจะมา...แล้วก็ใช่
เธอมาที่นี่จริงๆ”
เขาเรียกอาการแบบนี้ว่าเจ็บในอกหรือเปล่านะ
ไม่แน่ใจ...
“แล้วยังไง?” ตอนถามก็ไม่ทันคิดหรอก
ว่าสิ่งที่คนตัวใหญ่ข้างกายจะพูดหลังจากนั้น จะเป็นคำถามแบบนี้
“ตอนนี้คบกับใครอยู่หรือเปล่า?”
“ยุ่งอะไรด้วย ไม่เกี่ยวกับแดนสักหน่อย” ฉันขัดเขากลับไปเพียงเท่านั้น
แม้ลึกๆ อยากลุกขึ้นแล้วพาตัวเองหนีไปเพื่อจบบทสนทนาระหว่างเราก็ตามที
“ตอนเรียนเพื่อนฉันบอกว่า
เธอรักฉันมากนี่...ก็เลยอยากรู้ว่าตั้งแต่เลิกกันไป เธอมีคนใหม่บ้างหรือเปล่า?”
ฉันไม่ได้ตอบคำถามบ้าๆ พรรค์นั้นของเขตแดน
เพราะเอาเข้าจริงแล้วทั้งชีวิตนี้ นอกจากเขาแล้ว
ฉันก็ไม่เคยคบกับผู้ชายที่ไหนอีกเลยเหมือนกัน และดูท่าว่าการไม่ให้คำตอบใดกลับไป
มันก็ดูจะเป็นการให้คำตอบเขตแดนทางอ้อมเช่นกัน
เขาถึงได้เอ่ยถามออกมาเป็นหนที่สองแบบนั้น
“ที่เงียบนี่แปลว่า นอกจากฉันแล้ว…เธอก็ไม่คบกับใครอีกเลยถูกไหม?”
หากไม่นับเรื่องกดดันเวลาหาเงินพิเศษทำด้วยล่ะก็…
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยก็ว่าได้
ถึงจะรู้สึกอย่างนั้น
แต่ฉันก็ยังพยายามนึกหาคำพูดสำหรับใช้ตอบโต้แฟนเก่ากลับไปอยู่ดี
แต่เหมือนว่าฉันจะนึกคำพูดช้าไปนิด นั่นจึงทำให้เขตแดนซึ่งนั่งจ้องจ้องทุกสีหน้าและการกระทำอยู่ใกล้ๆ
เอ่ยถามคำถามกดดันออกมาเป็นหนที่สอง
“ตอนนี้ถ้ายังไม่ได้คบกับใคร…เราลองกลับมาคบกันดูอีกครั้งไหม?” ทว่า วินาทีที่สิ้นเสียงถาม
สภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่ในขณะนั้นก็บังเกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากระยะใกล้ๆ
บริเวณที่เราทั้งคู่นั่งอยู่ พานให้เราทั้งคู่สะดุ้งกันโดยพร้อมเพรียง
เปรี้ยง!!!
กึก...
แต่แล้วไม่นาน มันก็ต้องเป็นฉันเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายตกใจ
เมื่อจังหวะเดียวกันนั้นสายตาบังเอิญเหลือบไปเจอเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากทางด้านหลัง
หากแต่ดูคล้ายคลึงกับเหตุการณ์แปลกประหลาดก่อนหน้าราวกับถอดรูปแบบกันมา
ใช่!
เขาคือชายหนุ่มซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องทรงยักษ์สีนวลเข้ากับประดับสีทอง
และเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เคยเจอก่อนหน้านี้
ครู่หนึ่งได้ล่ะมั้งที่ชายแปลกหน้ายืนนิ่งอยู่แบบนั้นท่ามกลางสายฝน
เขาใช้เพียงนัยน์ตา กวาดตามองหน้าฉันสลับกับเขตแดนไปมาเหมือนคิดอะไร ก่อนกล่าวขึ้น
ด้วยเสียงกดต่ำอย่างใจเย็นพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนหน้า
“ได้ฟังความแล้ว เห็นที...กูคงปล่อยให้เป็นดั่งเช่นประสงค์มึงมิได้ดอกไอ้มนุษย์...” และดูท่าว่า สิ่งที่ชายแปลกหน้าคนนี้กำลังพูดนั้น เหมือนเขาต้องการจะบอกกับเขตแดนมากกว่าจะเป็นฉันเสียด้วยสิ “เพราะนารีชนนางนี้ คือดวงใจกู”
สิ้นเสียงประกาศกร้าวอย่างเอาจริงเอาจัง เขาก็ไม่รั้งรอที่จะพุ่งมือฉุดกระชากตัวฉันซึ่งไม่ทันตั้งตัวหรือสติ
เขาก้าวเท้าเข้ามาภายในพื้นที่ร่มอยู่ ก่อนฉวยมือฉุนฉันให้ลุกขึ้นจากพื้นหินอ่อนหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่
พร้อมกันนั้นก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งทีพลางชี้นิ้วไปยังเขตแดน ซ้ำร้ายเขาเอ่ยปากบอกกล่าวอย่างนิ่มนวลขัดการท่าทางกระทืบเท้าปึงปัง
“เหวย! ไอ้มนุษย์ ครั้นหมายมีชีวิตมิ่งมงคล
อย่าได้ริอาจแตะต้องดวงใจเราอีก !”
ฟึ่บ!
“อ๊ะ...” ฉันหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บ
จากการถูกเขาใช้มือบีบรัดบริเวณปลายแขนไว้แน่นด้วยแรงมหาศาลขณะใช้ฉุดกระชากพาตัวฉันออกไปจากหน้าองค์พระพุทธรูป
แม้ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น
แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
โดยเฉพาะกับการที่ถูกชายแปลกหน้าซึ่งเคยทำรุ่มร่ามใส่อย่างไม่ให้เกียรติ
ฉุดกระชากพาตัวออกมาข้างนอกท่ามกลางฝนที่ตกหนักแบบนี้
ที่บ้าที่สุดก็คือ เขาพาฉันเดินเท้าเปล่าออกมา
ไม่แม้จะจะให้เวลาใส่รองเท้าด้วยซ้ำ!
“ปล่อยนะ!”
ตลอดเวลาที่ถูกฉุดกระชาก ฉันพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุมของผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์เจ้าของสำเนียงคำพูดโบราณอย่างสุดแรง
แต่ดูท่าว่า เรี่ยวแรงที่ใช้ต่อต้านเขานั้น ไม่ได้ทำให้คนตัวใหญ่รู้สะทกสะท้านแต่อย่างใด
เพราะเขายังคงพาฉันเดินดุ่มๆ ฝ่าฝนที่ตกหนักราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในเมื่อใช้แรงก็แล้ว แต่ก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไร
เพราะงั้นคราวนี้ นอกจากจะสะบัดแขนแล้ว ฉันยังใช้เสียงดังๆ
เพื่อแสดงออกถึงความไม่ชอบใจให้อีกฝ่ายรับรู้ไปด้วย
“นี่คุณ! ฉันบอกให้ปล่อยไง!”
ฟึ่บ!
ดูเหมือนว่าวิธีใช้เรี่ยวแรงควบคู่ไปพร้อมกับเสียงจะได้ผล
เพราะหลังจากสะบัดแขนและตะคอกเสียงใส่เขา มือหนาซึ่งเคยบีบปลายแขนไว้แน่นก็ยอมที่จะปล่อยออกโดยง่าย
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยแล้วปล่อยเลยเสียที่ไหน เพราะสิ่งที่ชายแปลกหน้าคนดังกล่าวเลือกทำคือการหยุดเท้าลง
แล้วเหลียวหลังกลับมามองอย่างช้าๆ คล้ายกับสงสัย
“คุณอีกแล้วเหรอ !?” และเมื่อมีโอกาสได้เผชิญหน้าและมองเห็นกันตรงๆ
ฉันก็รีบโวยวายอย่างนึกหงุดหงิดทันที
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่ใช้มือลูบหน้าตัวเองเพื่อปัดน้ำฝนที่ตกลงมาใส่จนเริ่มเปียกชุ่มไปหมด
“เจ้าจำพี่ได้แล้วรึ ?” นั่นคือถ้อยคำประโยคสั้นๆที่เขาเอ่ยย้อนกลับมาพร้อมรอยยิ้มแสดงถึงความดีใจ
“คุณต้องการอะไรจากฉัน ทำแบบนี้ทำไม!? อะ…” และเหมือนเคย เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้เอ่ยความในใจตามแรงอารมณ์โกรธจนเสร็จสิ้น
เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจหันกลับมาตรงๆ แล้วโผเข้าสวมกอดทันทีแบบไม่ให้คู่สนทนาตั้งตัว
หมับ!
“พี่รู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก ที่ยามนี้คนรักจดจำพี่ได้...”
และถ้าหากว่าฉันไม่ได้บ้าจนลืมคำพูดที่รัวตะคอกถามใส่เขาเมื่อครู่ล่ะก็...
ได้ข่าวว่าฉันถามว่าเขาต้องการอะไรไม่ใช่หรือไง !?
“ปะ ปล่อยนะ! อยากโดนซัดหน้าอีกหมัดหรือไง!?” อีกครั้งที่ฉันส่งเสียงขู่ ปฏิเสธการถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างถือวิสาสะ
พลางใช้มือทั้งผลักทั้งดันตัวเขาให้ออกห่างไปด้วย
ซึ่งรอบนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะว่าง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ยินยอมที่จะลดละอ้อมกอดออกไปด้วยตัวเอง และกล่าวขึ้น
“พี่แค่อยากกอดเจ้าให้หายจากอาการคำนึงหามานานเพียงเท่านั้น…นางอัปสร”
“พูดบ้าอะไรของคุณ ฉันไม่เข้าใจ? อะ...” นี่เป็นหนเท่าไหร่แล้ว
ไม่รู้ที่คนตัวใหญ่ไม่รอให้ฉันได้ต่อว่าจนจบ แต่เขากลับเลือกที่จะหยุดทุกเสียงของฉัน
ด้วยการ ยื่นมือเข้ามาหา ก่อนบรรจงใช้หัวแม่โป้งเช็ดหยาดน้ำฝนที่เปียกชุ่มบนดวงหน้าให้ให้หมดไปอย่างอ่อนโยนและถือดี
ทว่า
วินาทีที่ปลายนิ้วของเขาเลื่อนลดมาหยุดอยู่ระดับสายตา ยามนั้นกลับมีบางอย่างชวนพิศวงบังเกิดขึ้น
เมื่อบนฝ่ามือที่ว่างเปล่าของเขากลับค่อยๆ ปรากฏช่อดอกไม้สีเหลืองทองขึ้นเป็นรูปเป็นร่างราวกับใช้เวทมนต์
พานให้ผู้มองเห็นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ดอกสร้อยทอง กลิ่นหอมหวานเฉกเช่นเนื้อตัวเจ้ายามนี้ หวนให้เราคำนึงถึง...” ภาพน่าตกใจดังกล่าวมาพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มๆ บอกความรู้สึก
ขณะเจ้าของการกระทำน่าเหลือเชื่อบรรจงเอื้อมทัดช่อดอกไม้ขนาดเล็กในมือบริเวณหลังใบหูอย่างอ่อนโยน “การหวนคำนึงหาที่มีมากล้นดวงใจ พาให้พี่มาพบเจ้าในยามนี้ แม่ทับทิม”
“คะ คุณเป็นนักมายากลเหรอ !?” อาจจะดูบ้า แต่ฉันถามเขาออกไปแบบนั้นจริงๆ
ซึ่งคนถูกถามก็ยอมตอบ
“พี่หาได้รู้จักนักมายากลไม่...นักมายากลคือสิ่งใดงั้นรึ ?”
“ละ...แล้วคุณเป็นใคร !?”
เมื่อไม่ได้คำตอบของคำถามแรก คำถามที่สองจึงตาม
ซึ่งคำถามดังกล่าวกลับทำให้คนถูกถามขยับยิ้มละมุนละไมเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้น
“แม่ทับทิมเรียกหาพี่ทุกวี่วัน แล้วไยจึงไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของพี่เล่า ?”
ฉะ ฉันน่ะเหรอ เรียกร้องหาเขาทุกวัน !?
“ตัวเรานั้นมีนามว่า อสุรา พอจักคุ้นหูแม่ทับทิมบ้างหรือไม่ ?” สิ้นเสียงแนะนำตัว
มันก็เป็นฉันเสียเองที่เบิกตากว้างมากกว่าเก่า เมื่อชายตรงหน้าเริ่มทำเรื่องอัศจรรย์เป็นหนที่สองให้เห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตา
ใช้ฝ่ามือวาดขึ้นฟ้าท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักเหนือหัว
ก่อนค่อยๆ ปรากฏเป็นรูปร่างของกระบองไม้ขนาดใหญ่ทรงเกลียวปรากฏขึ้นในกำมือ
จากนั้นเขาเหวี่ยงกระบองขนาดใหญ่ในมือไปมา
แล้วใช้บริเวณส่วนหัวของกระบองกระแทกลงสู่พื้นดินจนเกิดเสียงดังพร้อมทั้งแรงสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว
ตึง!!
ลำพังเพียงแค่การกระทำอันน่าเหลือเชื่อของผู้ชายตรงหน้า
มันก็มากพอแล้ว ที่จะทำให้ฉันแยกไม่ออกว่า เรื่องที่เห็นตอนนี้
เป็นเพียงความฝันหรือโลกของความจริง แต่แล้วไม่นาน ฉันกลับต้องช็อกและเบิกตากว้างอย่างขีดสุดด้วยความกลัวเกินกว่าจะอธิบาย
“เฮือก!” เมื่อภาพใบหน้าของคนตัวใหญ่เบื้องหน้าเริ่มเปลี่ยนไป จากใบหน้าคมคายดูดีที่สามารถสะกดทุกสายตาให้หยุดมองแม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝน
ปรับเปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าดุดันน่ากลัวเหมือนอย่างเช่นยักษ์ในละครพื้นบ้าน โดยเฉพาะเขี้ยวฟันสองมุมปากซึ่งกำลังแสยะยิ้มทักทาย
แต่ก่อนที่ภาพน่าสะพรึงกลัวเบื้องหน้าจะดับวูบลงไปพร้อมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
จนรอบกายเหลือเพียงความมืด ตอนนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าคนเดิมในสภาพไม่ต่างจากยักษ์ในละครพื้นบ้านเอ่ยถาม
“คราวนี้เจ้าจำพี่ได้หรือยังเล่า แม่ทับทิม?”
ฟึ่บ!
ตุบ...
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น