ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic Harry Potter] [OCxDM] If Harry Potter has a sister!

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 : ภาคีนกฟินิกซ์ (Re.03)

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 64


    UP : 14/07/60

    Re-write : 16/08/60

    Re-write 2 : 22/06/61 

    Re-write 3 : 09/06/64


    บทที่ 2 : ภาคีนกฟินิกซ์  


    สักพักเจ้านกฮูกตัวจ้อยไม่ต่างจากพิกวิดเจียนเท่าไหร่ก็บินลงมาเกาะไหล่ของเธอ มันใช้จะงอยปากเล็กๆ งับใบหูของเธออย่างรักใคร่ในขณะที่เฮเลนรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย เธอเอื้อมมือไปลูบขนของมันเบาๆ รอนบ่นเรื่องเฮ็ดวิกที่เหมือนจะคุ้มคลั่งเพราะต้องการกลับไปหาเจ้าของพร้อมจดหมายแต่ทั้งสองคนไม่ยอมให้มันกลับไป

    “แล้วที่นี่มันคืออะไร” แฮร์รี่ถาม น้ำเสียงกึ่งไม่พอใจเล็กๆ

    “กองบัญชาการใหญ่ของภาคีนกฟินิกซ์” รอนตอบ ในขณะที่จินนี่ วีสลีย์เปิดประตูเข้ามาในห้องและพบกับบรรยากาศไม่สู้ดี เธอจึงปลีกตัวไปนั่งอยู่กับแท็คเงียบๆ

    “เป็นสมาคมลับ” เฮอร์ไมโอนี่พูด “ดัมเบิลดอร์เป็นคนควบคุม เขาเป็นคนก่อตั้ง เป็นพวกที่เคยสู้กับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เมื่อครั้งที่แล้ว”

    เสียงเปรี้ยงดังลั่นขึ้นสองหน เฟร็ดกับจอร์จ พี่ชายฝาแฝดของรอนปรากฏตัวขึ้นจากอากาศกลางห้อง พิกวิดเจียนร้องลั่นและบินหวือไปอยู่หลังตู้เสื้อผ้า เฮ็ดวิกและเฮนรี่ก็เช่นกัน

    “จริงๆ บิลช่วยสอนภาษาให้เราเป็นการส่วนตัวเพียบเลยนะ” เฟร็ดหัวเราะร่วน

    “ชาลีก็อยู่ในภาคีนะ” จอร์จพูดพลางยิ้มแป้น “แต่เขายังอยู่ที่โรมาเนีย ดัมเบิลดอร์อยากให้มีพ่อมดต่างชาติมาร่วมภาคีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นชาลีก็เลยพยายามติดต่อสร้างสัมพันธ์เยอะๆ ช่วงวันหยุด”

    “เพอร์ซี่ละ”  เฮเลนเอ่ยถามเมื่อลองนึกว่าครอบครัววีสลีย์มีพี่น้องกี่คน

    สมาชิกครอบครัววีสลีย์ทุกคนและเฮอร์ไมโอนี่รวมไปถึงแท็คเองก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเพื่อมาสบตากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ

    “ไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไร อย่าเอ่ยชื่อเพอร์ซี่ต่อหน้าแม่กับพ่อล่ะ” รอนบอกเสียเครียด

    “เพราะว่าทุกครั้งที่มีคนเอ่ยชื่อเพอร์ซี่ พ่อจะทำอะไรก็ตามที่ถืออยู่ในมือแตก” เฟร็ดตอบ “แล้วแม่ก็เริ่มร้องไห้”

    “มันแย่มากๆ” จินนี่พูดเสียงเศร้า

    “ฉันว่าเราขาดไปคนหนึ่งดีแล้วล่ะ” จอร์จว่า ทำสีหน้าน่าเกลียด

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” แฮร์รี่ถาม

    “เพอร์ซี่กับคุณวีสลีย์ทะเลาะกันครับ” แท็คตอบ ดวงตามองจ้องมายังฝาแฝดพอตเตอร์

    “ฉันไม่เคยเห็นพ่อเถียงใครเสียงดังแบบนั้นเลย” เฟร็ดตอบ “ปกติคนตะโกนน่ะจะเป็นแม่”

    “เกิดเรื่องขึ้นอาทิตย์แรกหลังจากที่เรากลับบ้านช่วงปิดเทอม” รอนเล่า “เรากำลังจะออกมาสมทบกับภาคี เพอร์ซี่กลับมาบ้านแล้วบอกเราว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งงานใหม่ของเขาในกระทรวง"

    “ล้อเล่นรึเปล่า” แฮร์รี่พูด เฮเลนมองฝาแฝดวีสลีย์ด้วยสายตาตกใจ เนื่องจากทั้งสองคนดูดีกว่าที่เธอคิดเยอะ “แล้วทำไมพวกนั้นถึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาล่ะ”

    “นี่แหละที่เราสงสัย” รอนว่า เขาดูกระตือรือร้นที่จะให้การสนทนาแบบปกติดำเนินต่อไปเพราะดูท่าแฮร์รี่คงอยากตะโกนออกมาเต็มแก่แล้ว “เขากลับมาบ้าน ท่าทางพออกพอใจตัวเองมากเลย – มากกว่าปกติอีกน่ะ ถ้านายนึกภาพออก – และบอกพ่อว่าเขาได้รับข้อเสนอให้ไปรับตำแหน่งในออฟฟิศของฟัดจ์เองเลยล่ะ เป็นตำแหน่งที่ดีมากๆ สำหรับคนที่เพิ่งจบฮอกวอตส์ได้แค่ปีเดียว – เป็นรองผู้ช่วยรัฐมนตรี เขาคาดว่าพ่อคงจะประทับใจ”

    “แต่พ่อไม่พอใจเลย” เฟร็ดบอกซึมๆ

    “เพราะฟัดจ์ไม่อยากให้ใครติดต่อดัมเบิลดอร์ใช่ไหม” เฮเลนพูดพร้อมกับยกนิ้วขึ้นถูคางไปมา “เขาคงคิดว่าดัมเบิลดอร์อยากจะก่อความวุ่นวายด้วยเรื่องคนที่คุณก็รู้ว่าใคร แล้วเขาก็เตรียมไล่คนที่เป็นพันธมิตรกับดัมเบิลดอร์ออกไปเลยใช่ไหมล่ะ”

    “คุณทำนายเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วงั้นเหรอครับ” แท็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    เฮเลนสะดุ้งเล็กน้อยและทำท่ายักไหล่เป็นเชิงเพื่อกลบเกลื่อน

    “ก็ตามที่เฮเลนบอก” จอร์จพูดต่อ “แต่เรื่องวุ่นก็คือ เขารู้ว่าพ่อกับดัมเบิลดอร์สนิทกันแล้วพ่อก็ชอบดัมเบิลดอร์มาก เขาน่ะคิดเสมอว่าพ่อเป็นพวกประหลาด เพราะพ่อคลั่งไคล้พวกมักเกิ้ล – ”

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเพอร์ซี่” แฮร์รี่ถามพร้อมขมวดคิ้ว

    “ก็กำลังจะเล่าถึงแล้วล่ะ” เฟร็ดว่า

    “พ่อคำนวณว่าฟัดจ์น่ะต้องการให้เพอร์ซี่อยู่ข้างๆ เขาเพราะ – ” จอร์จกระแอมเล็กน้อย “เพราะต้องการใช้เพอร์ซี่เป็นสายสืบความลับของครอบครัว – และดัมเบิลดอร์ด้วย”

    “แล้วเพอร์ซี่ก็โกรธมากแล้วก็หยาบคายใส่คุณวีสลีย์” เฮเลนพึมพำ “เขาว่าดัมเบิลดอร์กำลังไปเจอเรื่องลำบากเรื่องใหญ่ และเขาจะพาพวกเราจมไปด้วย ส่วนเขา – เพอร์ซี่ – รู้ดีว่าความจงรักภักดีของเขาอยู่ที่ไหน อย่างนั้นใช่ไหม”

    “ถูก” เฟร็ดรับและพูดต่อ “เขารู้ว่าเขาจงรักภักดีต่อกระทรวงมากแค่ไหน แล้วถ้าพวกเรายังทำตัวทรยศต่อกระทรวง เขาก็จะทำให้แน่ใจว่าทุกคนคิดว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้อีกต่อไป เขาเก็บข้าวเก็บของออกไปคืนนั้นเลย ตอนนี้เขาก็อยู่ในลอนดอนนี่แหละ”

    “อ้อ ใช่ ชื่อพวกคุณก็ถูกลากมาเอี่ยวด้วยนะครับ” แท็คพูด ยังไม่ละสายตาไปจากฝาแฝด “เพอร์ซี่บอกว่าหลักฐานเดียวคือคำพูดของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ แล้วเขาไม่คิดว่านั่นดีพอที่จะรับฟัง”

    “เพอร์ซี่เชื่อหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ตจริงจังมากๆ” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างหมั่นไส้และทุกคนเห็นด้วย “พวกเขาเอ่ยถึงพวกเธออาทิตย์ละหนสองหนเลย – เธอต้องอ่านมันตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย พวกเธอถึงจะจับได้ – ฉันไม่ได้พูดถึงบทความใหญ่ๆ แต่พวกเขาแค่สอดแทรกชื่อของพวกเธอเอาไว้ เหมือนว่าเป็นเรื่องตลก”

    “อะไรนะ – ”

    “มันร้ายกาจมาก” เฮอร์ไมโอนี่พูดต่อพยายามข่มเสียงให้สงบ “พวกนั้นจะเขียนถึงพวกเธอว่าพวกเธอมันเป็นคนลวงโลก ชอบตบตาคนและพวกเขาเน้นที่เธอเป็นพิเศษเลยแฮร์รี่ -- พวกเขาแทรกคำวิจารณ์กล่าวหาว่าเธอแบบเสียๆ หายๆ อยู่เรื่อย สมมุติว่ามีเรื่องอะไรเหลือเชื่อเกิดขึ้นก็จะเขียนว่า ‘เรื่องเล่าที่เหมาะสมกับพวกพอตเตอร์!’ แล้วถ้ามีใครประสบอุบัติเหตุ ก็จะเขียนว่า ‘หวังว่าเขาคงไม่มีแผลเป็นที่หน้าผากไม่งั้นเราจะถูกขอให้บูชาเขาเป็นคนต่อไป’ แบบนี้!

    เฮอร์ไมโอนี่หยุดพัก เฮเลนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ว่าทำไมในใจลึกๆ เธอถึงได้รู้โมโหและอยากชกหน้าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์จริงๆ มือเล็กเลื่อนขึ้นไปลูบรอยแผลเป็นบนหน้าผาก เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตัวเองกำลังฝันถึงช่วงเวลาไหนของแฮร์รี่ พอตเตอร์และถ้าหากถูกต้อง เธอมาอยู่ในช่วงที่โวลเดอมอร์เพิ่งจะฟื้นคืนชีพ และนอกจากนั้นเธอจะมาเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องอีกต่างหาก –

    “ฉันรู้ว่าเขาต้องการเปลี่ยนให้พวกเธอกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ฟัดจ์ต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน ฉันพนันเอาอะไรเป็นประกันเลยก็ได้ ว่าเขาต้องการให้ทุกคนมองพวกเธอเป็นตัวตลก”

    “เขาฆ่าพ่อแม่ฉันนะถามจริงๆ ว่าใครต้องการมีชื่อเสียงแบบนี้บ้างเฮอร์ไมโอนี่!!” แฮร์รี่พูดอย่างเดือดดาล

    “เรารู้แฮร์รี่” จินนี่พูดหนักแน่น "เพราะเรารู้ เราถึงพยายามที่จะช่วยพวกเธออยู่นี่ไง"

    “แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ได้รายงานสักคำเรื่องผู้คุมวิญญาณโจมตีพวกเธอ” เฮอร์ไมโอนี่พูดต่อ “พวกเขาไม่ได้รายงานอะไรเลยด้วยซ้ำไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราคิดว่าเขารอโอกาสให้เหมาะเพื่อทุ่มเขียนข่าวกันเต็มที่เพื่อทำลายพวกเธอ!

    ทั้งห้องเงียบเสียงลงไปราวกับกำลังใช้ความคิดแต่เสียงฝีเท้าที่บันไดก็เรียกให้พวกเขาต้องหันไปมองที่ประตู

    “เอ้อ โอ้” เฟร็ดกระตุกหูของเล่นของเขาขึ้นมา เสียงเปรี้ยงดังขึ้นอีกครั้งและเขากับจอร์จก็หายตัวไป วินาทีต่อมา นางวีสลีย์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องนอนเพื่อเรียกให้ทุกคนลงไปทานอาหารเย็น ขณะเดินผ่านหัวเอลฟ์ประจำบ้านที่ติดอยู่ตามผนัง พวกเขาเห็น ลูปิน นางวีสลีย์และท็องส์อยู่ที่ประตูหน้า กำลังใช้เวทมนตร์ใส่กุญแจหลายต่อหลายอัน

    “เราจะกินในครัวข้างล่าง” นางวีสลีย์กระซิบ เดินมาพบพวกเด็กๆ ที่เชิงบันได “พวกเธอเดินย่องข้ามห้องไปเข้าประตูนั้นนะ”

    พวกเขาเดินตามซีเรียสเข้าไปในห้องครัวใต้ดิน มันเป็นห้องกว้างเหมือนถ้ำใหญ่ มีผนังเป็นหินขรุขระแสงส่วนใหญ่ส่องมาจากเตาไฟขนาดใหญ่ที่ปลายสุดห้อง เก้าอี้หลายตัวเบียดกันในห้องเพื่อใช้ในการประชุมและโต๊ะไม้ตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางหมู่เก้าอี้นั้นเกลื่อนไปด้วยม้วนกระดาษ ถ้วยมีเชิงและขวดเหล้าไวน์เปล่าๆ นายวีสลีย์กับคนที่เฮเลนมองปราดเดียวก็มั่นใจได้ในทันทีว่านั่นคือ บิล วีสลีย์ กำลังคุยกันอยู่ที่ปลายสุดของโต๊ะ

    นางวีสลีย์ถลาไปยังตู้โบราณและเริ่มหยิบอาหารเย็นออกมา ในขณะที่บิลและนายวีสลีย์รีบเร่งเก็บม้วนกระดาษไปให้พ้นจากสายตา

    “นั่งสิ พวกเธอ” ซีเรียสบอก “เธอได้เจอมันดังกัสกันรึยัง”

    เสียงกรนครอกยาวยืดดังขึ้นในกองผ้าขี้ริ้วใกล้ๆ กับโต๊ะทานอาหาร เฮเลนสะดุ้งและถลาไปเกาะแขนแฮร์รี่เอาไว้มั่น ดวงตามองจ้องกองผ้านั้นที่เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ากองนั้นไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว

    “ครายพูดชื่อฉัน...” มันดังกัสพึมพำงัวเงีย

    “การประชุมเลิกแล้ว ดัง” ซีเรียสบอก พลางดันหลังเฮเลนให้นั่งลงข้างๆ กับแฮร์รี่ “ฝาแฝดมาถึงแล้ว”

    “อ้อ” เขาลากเสียง “เป็นงายยย สบายดีไหมพวกเธอ”

    “ครับ” แฮร์รี่ตอบ ในขณะที่เฮเลนได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก

    ไม่นานต่อมา มีดเล่มใหญ่ก็หั่นเนื้อและผักต่างๆ กันเอง มีนายวีสลีย์คอยควบคุมดูแล ระหว่างที่นางวีสลีย์กำลังคนอาหารในหม้อใหญ่ที่ลอยแกว่งอยู่เหนือกองไฟ คนอื่นๆ กำลังลำเลียงจาน ถ้วยมีเชิงอีกหลายใบและอาหารต่างๆ ออกมาจากห้องเก็บอาหาร แฮร์รี่ เฮเลนถูกทิ้งเอาไว้ที่โต๊ะกับซีเรียสและมันดังกัส

    แมวเหมียวตัวส้ม ขนฟูหน้าตาไม่เป็นมิตรกระโดดขึ้นมานนอนบนตักของเฮเลน เธอตกใจนิดหน่อยแต่ก็ลูบขนมันเบาๆ พลางมองซีเรียสและมันดังกัสสลับกันไปมา พวกเขาช่างดูเหมือนจริงราวกับว่าจับต้องได้ จะว่าไปเธอก็สัมผัสตัวแฮร์รี่มาแล้ว มันอุ่นและเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีมันคงเป็นความฝันที่เหมือนจริงและเธอคงหลับลึกเอามากๆ

    “เฟร็ด – จอร์จ – อย่า แค่ใช้มือยกก็พอแล้ว!” นางวีสลีย์ร้องเสียงแหลม

    ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่หันไปมอง พวกเขาพุ่งหลบไปจากโต๊ะ เฟร็ดกับจอร์จเสกคาถาใส่หม้อใหญ่บรรจุสตูว์ เหยือกเหล็กใส่บัตเตอร์เบียร์ และเขียงไม้หนักอึ้งสำหรับหั่นขนมปัง พร้อมมีดให้ลอยโครมครามตรงมาทางพวกเขา หม้อสตูว์ลื่นไถลมาตลอดความยาวและหยุดที่ขอบโต๊ะพอดี ทิ้งรอยไหม้ดำยาวไปตลอด เหยือกบัตเตอร์เบียร์หล่นลงมาเสียงดังโครมและสาดกระเซ็นไปทั่ว

    นางวีสลีย์ตะโกนและกรีดร้องต่อว่าเฟร็ดกับจอร์จมากมายจนแทบนับไม่ถ้วนจนเฮเลนฟังแทบไม่ทัน แต่เธอก็ต้องหยุดเมื่อหลุดปากเอ่ยถึงเพอร์ซี่ ทั้งห้องเงียบกริบลงไปในทันที เป็นช่วงเวลาทานอาหารที่มีแต่ความเงียบ ยกเว้นแต่เสียงจานและส้อมกระทบกัน เฮเลนยิ่งรู้สึกว่าความฝันนี้สมจริงมากขึ้นอีกเมื่อเธอได้สัมผัสกับอาหารของนางวีสลีย์ที่อร่อยจนไม่อาจบรรยายได้ หลายครั้งที่เฮเลนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นน้องสาวจริงๆ ของแฮร์รี่ แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่านี่เป็นความฝันก็แอบรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กๆ

    ฝั่งตรงข้าม ท็องส์กำลังทำให้เฮอร์ไมโอนี่กับจินนี่สนุกสนานด้วยการเปลี่ยนจมูกไปมาระหว่างกินอาหารแต่ละคำ ทุกครั้งที่เธอหรี่ตาลงทำสีหน้าเจ็บปวด จมูกของเธอก็ขยายขึ้นเป็นโหนกงองุ้มคล้ายจมูกสเนป เห็นได้ชัดว่าเป็นการเล่นบันเทิงระหว่างทานอาหาร

    นายวีสลีย์ บิล และลูปินกำลังคุยกันอย่างคร่ำเคร่งเรื่องของก๊อบลิน

    หลังจากทานอาหารเสร็จเกิดการถกเถียงกันเรื่องของอายุสำหรับพวกเด็กๆ ที่อยากเข้าร่วมภาคี และความจำเป็นของเรื่องแต่ละเรื่องที่พวกเขาสมควรจะรู้ นางวีสลีย์บอกว่าพวกเขายังไม่โตพอที่จะรู้เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย จนในที่สุดมติก็เป็นเอกฉันท์ พวกเขาเล่ารายละเอียดบางอย่างให้แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ เฮเลนและเฟร็ดกับจอร์จฟัง สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอยู่ในห้องครัวได้นั่นก็คือจินนี่และแท็ค พวกเขาบ่นเล็กน้อยแต่ว่าก็ยอมกลับขึ้นห้องนอนแต่โดยดี

    หลังจากพวกเขาคุยกันเสร็จเรียบร้อย นางวีสลีย์ก็เดินพาพวกเขาขึ้นบันได สีหน้าถมึงทึง

    “ขึ้นห้องนอนกันเดี๋ยวนี้ห้ามคุยกันอีก” นางวีสลีย์ปิดประตูไล่หลังเด็กๆ เฟร็ดกับจอร์จทำท่าล้อเลียนก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงของแต่ละคน เฮเลนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องนอนรวมกันหมดแบบนี้ทั้งที่ที่นี่มีห้องอีกเยอะแยะ เธอเดินไปนั่งนิ่งๆ อยู่ที่ขอบเตียงมองรอนโยนอาหารว่างนกฮูกขึ้นไปบนหลังตู้เสื้อผ้าเพื่อให้กับเฮ็ดวิก พิกวิดเจียนและเฮนรี่ สงบเสียงเพราะพวกมันอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข

    “เราปล่อยมันออกล่าไม่ได้” รอนอธิบายทั้งที่นั่งอยู่บนเตียง “ดัมเบิลดอร์ไม่อยากให้มีนกฮูกบินโฉบไปโฉบมาอยู่แถวนี้มากเกินไป มันจะทำให้ดูน่าสงสัย เออใช่...”

    รอนชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ประตูและลั่นกลอนปิด

    “ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย?” เด็กสาวถามพลางเอียงคอสงสัย ทุกคนในห้องยกเว้นแฮร์รี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “ครีเชอร์น่ะ” เขาตอบ “เอลฟ์ประจำบ้านตระกูลแบล็ก คืนแรกที่ฉันมาที่นี่ มันเดินเข้ามาตอนตีสามเชื่อเถอะว่าพวกเธอคงไม่อยากเจอมันอยู่ที่ปลายเตียงตอนดึกๆ หรอก” เขาทำท่าขนลุก เฮอร์ไมโอนี่เดินไปปิดไฟเหลือเพียงไฟหรี่สองดวงที่ยังคงสว่างอยู่ภายในห้องก่อนที่ทุกคนจะข่มตาให้หลับโดยไม่พูดอะไรกันต่อ

    และเฮเลนหวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยไม่มีอาการงัวเงีย จะได้ไม่ไปเปิดห้องสมุดสายและต้องนั่งฟังเสียงบ่นของอาจารย์บรรณารักษ์คนใหม่อีก ซึ่งเธอไม่ได้คิดเลยว่าจะไม่สามารถกลับไปยังห้องสมุดเพื่อเปิดห้องให้อาจารย์หรือกลับไปนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบสุขได้อีกต่อไปแล้ว...

     

     

    ติดตามตอนต่อไป...

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×