คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หงส์ซาน #2 ชีวิตพลิกผัน
________________________________________________
ตอนที่ 2 ชีวิตพลิกผัน
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ผมยิ้มให้ว่าที่เจ้าสาวของผมตรงหน้า รูปถ่ายว่าสวยแล้ว ตัวจริงสวยกว่าอีก ม้าผมนี่ยิ้มจนแก้มแทบฉีกถึงรูหู
“อาเหมยนี่สวยกว่าในรูปอีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ หน้าตาเหมยธรรมดาออก”
แน่ะ มีถ่อมตัวด้วย
บนโต๊ะกลมสลักลายมังกรตอนนี้มีป๊าม้าผม ป๊าม้าของอาเหมย ผมและอาเหมย ผมยิ้มให้เธอ เหมยน่ารักและมีเสน่ห์มากจริงๆ
“อาหงส์ก็หล่อ หล่อไม่แพ้พวกพี่ๆ เลย”
ผมยิ้มแหยง
อย่าเอาผมไปเปรียบกับพวกเฮียๆ เขาเลย เดี๋ยวพวกนั้นจะพลอยพากันด่างพร้อยกันเสียเปล่าๆ เพราะในบรรดาพี่น้อง ผมว่าผมหน้าจืดที่สุดละ ความหล่อมันคงจืดจางลงตามลำดับการเกิดนั่นแหละ
ผมนั่งคุยกับเหมยในขณะที่ม้าคุยสนุกอยู่กับม้าของเหมยด้วยภาษาไทยลิ้นจีน ส่วนป๊ากำลังรัวภาษาจีนกับป๊าของเหมย (มารุ่นลูกอย่างพวกผมพูดไทยกันชัดแจ๋วแล้วละครับ)
“ตอนนี้เหลืออาเหมยคนเดียวแล้วใช่ไหมที่ยังไม่ได้แต่งงาน”
ม้าผมถามม้าของเหมย
“เปล่า ยังเหลือพี่ชายของอาเหมยอีกคน รายนั้นบังคับยาก แต่ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัวเรา”
ผมฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่แบบเข้าหูซ้ายย้ายไปหูขวา เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือเหมยตรงหน้าต่างหาก
แม่น่ารักขนาดนี้ ลูกเราจะน่ารักขนาดไหน
เราคุยกันถูกคออย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ บรรดาป๊าม้าจึงพลอยพากันมีความสุขตามไปด้วย ผมชักอยากแต่งงานกับเธอเร็วๆ ซะแล้ว
ฤกษ์ดีของเราคืออีกสองเดือนข้างหน้า ยิ่งคุยผมยิ่งอยากให้วันแต่งงานมาถึงเร็วๆ
..........
.....
...
.
และแล้ว วันที่ผมรอคอยก็มาถึง
ผมตื่นขึ้นมาเตรียมตัวแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ตีสี่ (ถึงเป็นผู้ชายก็ต้องแต่งหน้าครับ เพื่อเวลาถ่ายรูปจะได้ขึ้นกล้อง) เราแต่งแบบสากลแล้วค่อยไปยกน้ำชากันทีหลัง จัดงานกันในโรงแรม หนึ่งในธุรกิจของครอบครัวผมเองนี่แหละ (พี่ชายคนที่ 5 ของผมดูแลอยู่)
ผมหันซ้ายหันขวามองตัวเองในกระจก น่าจะหล่อมากพอให้เหมยรู้สึกภูมิใจได้แล้วนะ
ผมนั่งรอฤกษ์เข้าพิธีอยู่ในห้องรับรอง แยกกันคนละห้องกับของเหมย อีกไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น (เราปิดโรงแรมกันเลยครับ) ผมเฝ้ารอเวลาด้วยความตื่นเต้น อยากเห็นเหมยในชุดเจ้าสาวจะแย่แล้ว
ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นด้านนอก ผมหันไปมอง
นี่มันวันมงคลผมนะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึไง
ผมลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องไปทางต้นเสียง (จริงๆ เขายังไม่อนุญาตให้เจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวออกไปเดินเพ่นพ่านครับ) ในห้องพิธีที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายเหมยแต่อายุมากกว่ายืนหน้าตื่นอยู่ท่ามกลางผู้คน ป๊าม้าของเหมยก็อยู่
“เหมยหนีไปแล้วม้า!”
คำนั้นทำเอาผมก้าวขาไม่ออก ยืนนิ่งอยู่กับที่
“อะไรนะ!”
ป๊าเหมยถามคำเดียวกับสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้
“อาเหมย อาเหมยหนีไปแล้วป๊า อีทิ้งจดหมายนี่ไว้”
จดหมายถูกยื่นให้ป๊าเหมย ป๊าเหมยรีบก้มอ่าน พอๆ กับม้าเหมยและคนอื่นๆ ที่เข้าไปรุมอ่านจดหมายแผ่นเดียวกัน ก่อนมันจะถูกใครอีกหลายคนดึงไปเวียนอ่าน
ผมขยับขาอีกครั้ง เดินหน้าชาเข้าไปขออ่านบ้าง มันเป็นเพียงกระดาษโน้ตสีขาว เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย
‘ป๊าม้า เหมยขอโทษ แต่เหมยแต่งงานกับหงส์ซานไม่ได้จริงๆ เหมยมีคนที่เหมยรักแล้ว เหมยจะไปใช้ชีวิตกับเขา เหมยขออกตัญญูขอไปตามเส้นทางของเหมยเอง ไม่ต้องตามหานะคะ ฝากขอโทษหงส์ซานกับทุกคนแทนเหมยด้วย
เหมยขอโทษ
เหมย’
จดหมายร่วงผล็อยจากมือผมลงพื้น
เจ้าสาวหนีกลางงานแต่ง จะมีอะไรน่าขายหน้ามากไปกว่านี้อีก
หลังเหตุการณ์เจ้าสาวหนีกลางงานวันนั้น ผมไม่รู้ว่าสองครอบครัวแก้ไขปัญหานี้กันยังไง รู้แค่ว่าป๊าโกรธมาก ฝ่ายนั้นบอกว่าจะรับผิดชอบ ซึ่งผมไม่ได้ตามข่าวว่ารับผิดชอบยังไง
ผมทั้งอาย ทั้งช็อก เสียใจด้วย เพราะผมชอบเหมยจริงๆ (ยังไม่ถึงกับรักครับ แค่ชอบพอถูกใจ)
ปกติการแต่งงาน เป็นช่องทางการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ป๊าหมายมั่นปั้นมือกับตระกูลหยางมาก เพราะเป็นตระกูลใหญ่ (อันดับต้นๆ ของเมืองไทยเลย ใหญ่กว่าตระกูลผมอีก) พอเหมยหนีไป ไอ้ที่ป๊าแพลนไว้จึงโดนผลกระทบหมด ทางนั้นไม่เหลือลูกสาวให้จับแต่งงานแล้วด้วย
สำหรับตัวผมเอง หลังจากนี้ป๊าคงหาเจ้าสาวคนใหม่ให้ ไม่รู้ว่าจะออกมาสวยและนิสัยเข้ากันได้แบบเหมยหรือเปล่า
เหมยเองก็เก่งนะ ยอมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วไปตามหัวใจตัวเองแบบนั้น ผมไม่ได้โกรธเหมยเลย เพราะถ้าผมเป็นเหมย มีคนที่รักมากอยู่แล้วผมคงทำแบบเดียวกัน ต่อให้การยกเลิกจะมีผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวก็เถอะ มันก็แค่กระทบ ไม่ถึงกับทำให้ล่มสลายหรือยากจนลงสักหน่อย
ผมพ่นลมหายใจใส่อากาศ แต่เหมยน่าจะหนีไปก่อนจัดงาน ไม่ใช่หนีไปกลางงานแบบนี้
ดูสิ ชีวิตหลังแต่งงานที่ผมวาดฝันไว้ พังทลายลงไม่เป็นท่าเลย
เฮ้อ~~
..........
.....
....
.
พวกคุณเคยโดนฟ้าผ่าไหมครับ
ฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ไร้เมฆไร้ฝนไร้พายุใดๆ ทั้งสิ้น มันผ่าลงในบ้านของผม ตรงตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดิบพอดี และคนที่แปลงร่างเป็นรามสูรมาผ่าคือป๊าผมเอง
“อะไรนะป๊า!!”
ผมถามทวนอีกรอบ เผื่อเมื่อกี้ผมจะฟังผิด
“อั๊วจะให้ลื้อแต่งงาน”
“กับใคร”
“ไป่หลง”
“จะบ้ารึไงป๊า เขาเป็นผู้ชายนะ”
“อั๊วรู้”
“ป๊า!! อั๊วเป็นผู้ชาย จะให้ไปแต่งงานกับผู้ชายได้ยังไงกัน”
“ได้ไม่ได้ลื้อก็ต้องแต่ง เพื่อครอบครัว เพื่อธุรกิจของเรา”
ผมส่ายหัวไปมา
“ไม่ใช่เพื่อครอบครัว ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ แต่เป็นเพื่อตัวป๊าเองต่างหาก อั๊วไม่แต่ง!!”
“ยังไงลื้อก็ต้องแต่ง!!”
“ไม่!! หัวเด็ดตีนขาดอั๊วก็ไม่แต่ง!”
“ไปเตรียมตัวได้แล้ว ฤกษ์ดีคือกลางเดือนหน้า”
พูดจบป๊าก็เดินออกไป ผมพยายามจะตามไปค้าน แต่ป๊าเดินขึ้นรถไปแล้ว
“ป๊า ป๊าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ม้า ม้าต้องพูดกับป๊านะ”
ผมรีบหันไปพึ่งบุพการีหนึ่งเดียวทันที ม้ามีสีหน้าลำบากใจ
“ขอโทษนะอาหงส์ แต่มันจำเป็นจริงๆ”
“ม้า ป๊ากำลังจะขายลูกกิน ศักดิ์ศรีของครอบครัวเราอยู่ไหน ให้อั๊วไปแต่งงานกับผู้ชายเนี่ยนะ ป๊าไม่อายรึไง เขายอมรึไง”
ผมโวยวายลั่น
“มันจำเป็นลูก เราสองครอบครัวคุยกันแล้ว เราจำเป็นต้องมีทะเบียนสมรสระหว่างสองครอบครัว
“แต่อั๊วเป็นผู้ชาย จะจดทะเบียนกับผู้ชายได้ยังไงกัน”
“จดได้สิ เรามีวิธี”
“ม้า!! อั๊วไม่ยอม ยังไงอั๊วก็ไม่ยอม!!”
..........
.....
...
.
แล้วคุณคิดว่าระหว่างผมกับป๊า ใครมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่ากัน ไม่มีใครคัดค้านความคิดของป๊ากันสักคน (หรือพูดให้ถูกคือทุกคนค้านกันไม่ได้ต่างหาก) ผมพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพูดให้ป๊าเปลี่ยนใจ แต่พูดยังไงป๊าก็ยังยืนยันจะให้ผมแต่งงานอยู่ดี
เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นด้วย
แล้วผมควรจะทำยังไงดี
หลังจากทะเลาะกับป๊าอีกรอบเพื่อให้ป๊ายกเลิกการแต่งงาน (แน่นอนว่าผมแพ้ไปตามระเบียบ) ผมก็กลับเข้าห้องมานั่งหาหนทางใหม่
พูดกับป๊าก็ไม่รู้เรื่อง ม้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ พี่ๆ ยิ่งไม่ได้ใหญ่ (เพราะทุกคนโดนบังคับมากันครบถ้วนทั่วหน้าแล้ว)
แต่ของคนอื่นมันก็แค่บังคับแต่ง ไม่ได้เดือดร้อนแบบผมที่ต้องแต่งกับผู้ชายนี่
หรือว่าจะหนีออกจากบ้านดี
หนี...
ใช่!
หนีไง ทำแบบเดียวกับเหมย จะอยู่ทำไมให้โง่
ผมรีบตรงดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้า ดึงเอากระเป๋าลากมาวางบนเตียง กวาดเอาเสื้อผ้ามายัดใส่กระเป๋าพร้อมของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทางแบบฉุกเฉิน รูดซิปปิด
ผมลากกระเป๋าตรงไปยังหน้าประตู เปิดออกอย่างรวดเร็วแล้วก้าวพรวดออกไป
ก่อนร่างทั้งร่างจะชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเด้งกลับไปนั่งหงายหลังก้นจ้ำเบ้าที่พื้น กระเป๋าหลุดจากมือไปอีกทาง
ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นเหตุทันที
มันเป็นสิ่งมีชีวิตครับ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
แต่เป็นมนุษย์ที่ตัวโตมาก รูปร่างหน้าตาคือฝรั่งแท้ๆ หน้าเข้ม ตาสีฟ้า อากาศร้อนจะตายแต่ดันใส่สูทมา รองเท้าหนังมันปลาบ
ผมยังนั่งก้นจิ้มพื้นอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วมอง
“นายเป็นใคร”
คนตรงหน้าไม่พูดอะไร ขยับเข้ามาจับกระเป๋าผม เดินเลยเข้ามาภายใน
“เดี๋ยวๆ นี่นายเป็นใคร!”
ผมรีบดีดตัวลุก เดินไปแย่งกระเป๋าคืน แต่มันไม่ตอบ วางกระเป๋าไว้บนเตียงตามเดิม รูดซิป เปิดกระเป๋า ดึงเอาเสื้อผ้าที่ผมพับไว้อย่างดีกลับเข้าตู้ตามเดิม แถมยังเก็บได้ตรงจนน่าตกใจ
“จะทำอะไร อย่ามารุ่มร่ามกับข้าวของฉัน ฉันต้องรีบไป”
“คุณไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น”
น้ำเสียงนั้นทุ้มลึก สำเนียงแบบคนต่างชาติอยู่ไทยมานาน
“นายเป็นใคร เข้ามาได้ไง” ผมถามเสียงขุ่น “นี่บอกว่าอย่ามายุ่งกับเสื้อผ้าฉัน”
มันเก็บเรียบร้อยแม้กระทั่งกระเป๋า หันกลับมามองผมตรง ๆ ยืนกางขาออกนิดๆ สีหน้านิ่งเรียบ ไขว้มือไว้ด้านหลัง
“ผมชื่อหมิงเซียน”
อื้อหือ หน้าฝรั่งจ๋าแต่ดันชื่อหมิงเซียนเนี่ยนะ
“นั่นชื่อจีนที่เจ้านายตั้งให้ จะเรียกว่าซันไรส์ก็ได้”
“ซันไลท์? น้ำยาล้างจานน่ะเหรอ”
ผมกวนกลับ
“ซันไรส์ครับ แปลว่าพระอาทิตย์ขึ้น”
มันตอบมาอย่างนอบน้อม ผมฉุนกึก
“นี่นายน้ำยาล้างจาน กรุณาออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
“ผมได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองคุณหงส์ครับ”
ผมขมวดคิ้ว
“ดูแล? คุ้มครอง? คุ้มครองทำไม แล้วใครสั่งมา”
“คุณไป่หลงครับ”
ผมอ้าปากค้าง
“ไม่จำเป็น ฉันไม่ได้ต้องการการคุ้มครอง”
ผมจะเดินไปหยิบกระเป๋าต่อ แต่ถูกมือใหญ่กางขวางไว้
“อย่าให้ผมต้องมัดนะครับ คุณหงส์”
ผมอ้าปากค้างอีกรอบ
“นี่จะมาคุ้มครองหรือมาคุมขังกันแน่!!!” ผมโวยวายเสียงดัง “แล้วทำไมต้องทำแบบนี้”
“เพราะท่านเดาเอาว่าคนอย่างคุณหงส์ต้องคิดหนีแบบคุณเหมยแน่ๆ”
ใช่เลย
“ท่านเลยสั่งให้มาคุ้มครองครับ”
“แถวบ้านฉันเรียกสิ่งที่นายกำลังทำว่าควบคุมไม่ใช่คุ้มครอง ยังไงฉันก็ไม่แต่ง!”
คนตรงหน้าถอนหายใจแรง ล้วงหยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อด้านใน
มันคือด้ายครับ
ด้ายไนล่อนสีขาว เส้นเล็กๆ ผมจ้องมองสิ่งนั้นอย่างหวาดระแวง
มันจะเอามาทำอะไร
“จะทำอะไร”
ผมจ้องมองสองมือใหญ่ที่กำลังคลี่ด้ายไนล่อนจนตึง
“ถ้าคุณหงส์ดื้อ ผมก็ต้องมัด”
“บ้ารึไง! ใครเขามัดคนด้วยด้ายไนลอนเส้นเท่านี้กัน ไม่ใช่สิ เรื่องอะไรต้องมามัดฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจ”
คนตรงหน้ายกยิ้ม
“มันไม่ใช่ด้ายไนล่อนหรอกครับ สบายใจได้ แต่มันคือเชือกที่ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษ แข็งแรงกว่าไนล่อนหลายพันเท่า เส้นเล็ก ง่ายต่อการพกพา ใช้งานได้หลายอย่างด้วย ทั้งมัด...”
มันพันเชือกเส้นนั้นรอบนิ้วตัวเอง รัดจนแน่น
ผมกลืนน้ำลาย ถ้านิ้วนั่นคือคอผม มันคงขาดเป็นสองท่อนในเวลาอันรวดเร็วแน่ๆ
“ทั้งฆ่า”
มันกระชากดึงจนตึงอีกรอบ ทำหน้าดุ ผมสะดุ้งโหยงถอยหลังกรูด ผมรีบล้วงหยิบมือถือขึ้นมากด แต่ถูกยึดจับข้อมือไว้ มันดึงมือถือไป
“ดึกแล้ว คุณหงส์นอนเถอะครับ”
มันบอกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ฉันไม่นอน เอามือถือคืนมา”
ผมยื้อแย่ง มันไม่พูดต่อ ผลักผมล้มโครมลงไปบนเตียง กระชากดึงขาผมปรับให้นอนดีๆ ดึงผ้าห่มมาคลุมจนมิดหัวเหมือนคลุมศพคนตาย
“ไอ้บ้า!!”
ผมรีบถลกผ้าห่มลง จะลุกนั่ง แต่ถูกกดอกไว้ มันขยับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง ใช้ฝ่ามือเดียวกดหน้าอกผมไว้
“นี่ ปล่อย ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”
ผมตะโกนแหกปากสุดเสียง พยายามดันตัวขึ้น
“อย่าเสียงดังไปเลยครับ ทุกคนหลับกันหมดแล้ว คุณหงส์ก็ต้องนอนด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวผิวไม่สวย”
“ฉันเป็นผู้ชาย”
ผมบอกเสียงขุ่น มันถอนหายใจแรง
“คนเป็นเจ้าสาวต้องสวยเข้าไว้นี่ครับ”
ผมเบิกตากว้าง
“ใครเป็นเจ้าสาว ฉันไม่มีทางแต่งงานกับผู้ชายแน่ๆ ที่สำคัญไม่ยอมเป็นเมียใครด้วย”
“ตามข้อตกลงของสองตระกูล คุณหงส์ต้องแต่งเข้าบ้านคุณไป่หลงครับ”
ผมอ้าปากค้าง
“บ้าไปแล้ว ปล่อย!!”
ผมเลิกดิ้นลงกึกเมื่อไอ้น้ำยาล้างจานมันเอาเชือกบ้านั่นมาขึงพาดกลางลำคอผม แนบติดจนผมแทบกลืนน้ำลายไม่ได้ หัวใจหล่นวูบ
นี่ผมกำลังจะถูกฆ่าเหรอ
“ว่าง่ายๆ แล้วนอนดีกว่านะครับ ผมใจเย็นกว่าไฟนิดเดียว”
ไฟบ้านเตี่ยมึงดิเย็น!!
ผมด่ามันทางสายตา มันมองผมนิ่งๆ แล้วเชือกเส้นนั้นก็ถูกดึงออกไป มันตบหน้าอกผมเบาๆ
“นอนหลับฝันดีนะครับ ผมจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณหงส์จะหลับ”
“โอ๊ย!”
ผมร้องโอ๊ยออกมาเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกอะไรสักอย่างปักลงบนหลังคอ ผมรีบกุมมันไว้
“ทำอะไร”
ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือมันตรงหน้า รูปร่างคล้ายๆ ปืนแต่ส่วนปลายคล้ายเข็มฉีดยา มันเก็บเข้าอกเสื้อด้านในหน้าตาเฉย
“GPS ครับ จะได้รู้ว่าคุณหงส์อยู่ตรงไหน”
ผมตาโต
“บ้ารึไง ฉันไม่ใช่หมาไม่ใช่แมวนะ จะได้ใส่ด็อกแท็กแบบนี้!!”
“ฝันดีครับ อีกห้านาทีถ้าคุณหงส์ไม่นอน ผมคงต้องฉีดยานอนหลับเข้าเส้นเลือดให้ แต่ผมไม่ใช่หมอ ไม่รู้ว่าจะเผลอฉีดเยอะจนเกินขนาดหรือเปล่า”
แล้วเจ้าตัวก็ยกนาฬิกาขึ้นมาจับเวลา
ผมตาโต รีบหลับตาปี๋เพราะไม่อยากเสี่ยง
ไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา ทั้งโดนเชือกกดคอ โดนฝัง GPS ผมยังไม่อยากหลับไม่ตื่นอีกนะ
ได้กลิ่นอะไรหอมจางๆ ตรงหน้า ผมลืมตามอง ไอ้น้ำยาล้างจานยิ้มเย็น
“ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีวิธีที่นุ่มนวลกว่าฉีดยานอนหลับ”
ผมมองสิ่งที่มันถืออยู่ ลักษณะคล้ายขวดสเปรย์ดิโคโลญนจ์ แต่มีขนาดเล็กกว่า
“อะไร”
ผมถามด้วยน้ำเสียงยานคาง รู้สึกง่วงอย่างบอกไม่ถูก
“ยานอนหลับแบบพ่นครับ”
อยากพูดอะไรสักคำ แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือปิดเปลือกตาลง ผมไม่ได้ทำเอง มันตกลงมาเองพอๆ กับสติผม
..........
.....
...
.
ผมสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อตะวันทอแสง กวาดมองไปรอบๆ
เมื่อคืน ฝันเหรอ
ผมเลิกผ้าห่มออกจากตัว โดดลงจากเตียง มองไปรอบๆ
ทุกอย่างก็ดูปกติดี
ผมเกาหัว
สงสัยจะฝันจริงๆ นั่นแหละ ฝันเป็นตุเป็นตะดีแฮะ
ผมเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว แต่งด้วยชุดทะมัดทะแมง วันนี้ผมจะหนีออกจากบ้าน ผมไม่อยู่เพื่อแต่งงานกับใครแน่ๆ พออาบเสร็จก็ออกไปดึงกระเป๋ามาวางบนเตียง รวบเอาเสื้อผ้าที่ผมฝันว่าพับมันไปรอบหนึ่งแล้วมาพับอีก กวาดมองไปรอบๆ
รู้สึกมึนหัวยังไงพิกล
ผมตรวจสอบกระเป๋าอีกรอบ พอเห็นว่าเรียบร้อยดีถึงได้รูดซิป ยกลงจากเตียงมาตั้งที่พื้น เดินลิ่วๆ ไปเปิดประตู
เพื่อไปพบกับร่างสูงใหญ่ของคนที่ผมฝันเห็นเมื่อคืน
ผมอ้าปากค้าง
“มื้อเช้าครับ ผมทำเองกับมือเลย”
ผมปิดประตูใส่หน้ามันดังปัง หัวใจเต้นแรง
ไม่ใช่ความฝัน!!
ทำไงดี!
ผมหันรีหันขวาง
ออกทางประตูตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ
มองไปทางหน้าต่าง (บ้านผมชั้นเดียวครับ แต่พื้นที่กว้างมาก) ผมรีบลากกระเป๋าไปทางนั้นทันที เปิดมันออก ได้ยินเสียงกริ๊กเหมือนประตูถูกไข ผมหันไปมอง เห็นไอ้น้ำยาล้างจานมันก้าวเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร ผมไม่อยู่รอให้เสียเวลา ยกกระเป๋าทิ้งนำออกไปก่อน สองมือจับขอบหน้าต่างแน่น เตรียมจะเหวี่ยงตัวขึ้น
แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิดก็ถูกยึดจับคอเสื้อแน่น มันลากผมถลาออกห่างหน้าต่าง ก้มหยิบกระเป๋าที่ผมโยนทิ้งเมื่อกี้เข้ามาภายใน
“ปล่อยกูนะเว้ย!!”
ผมโวยวาย พยายามดิ้นหนี
“พูดจาให้เรียบร้อยด้วยครับ”
“กูไม่พูดดีกับมึง ปล่อย!”
“พูดหยาบอีกคำ โดนไอ้นี่จิ้มตานะครับ”
ผมชะงักกึกมองปลายมีดที่อยู่ห่างดวงตาไปแค่มิลเดียว
มันยกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ค่อยๆ ดึงมีดออกห่าง
“มาทานข้าวกันดีกว่าครับ”
“...ไม่กิน”
กำลังจะพูดว่า 'กูไม่กิน' แต่ผมกลืนคำแรกทิ้งไปเหลือไว้แค่สองคำหลังเท่านั้น
“ทานเถอะครับ อย่าให้ผมต้องป้อน”
ผมกลืนน้ำลายคงคอ ปากบอกป้อน แต่นัยน์ตานี่เหมือนอยากยัดอาหารใส่ปากผมมากกว่า มันจับผมดันไปทางเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ จับสองไหล่ผมกดให้นั่งเบามือ ผมมองมันตาขวาง แต่ไม่กล้าขัดขืน ไม่รู้ว่าภายใต้เสื้อสูทตัวนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกบ้าง เมื่อวานเจอทั้งเครื่องยิง GPS ยานอนหลับแบบพ่น เชือกสังหาร วันนี้เจอมีด ผมว่าหนึ่งในนั้นต้องมีปืนด้วยแน่ๆ
“เชิญครับ”
มันเลื่อนถาดอาหารมาวางไว้ตรงหน้าผมด้วยท่าทางสุภาพ
“ถ้าดื้อไม่ทานเอง เดี๋ยวผมจะป้อน”
มันทำท่าจะจับช้อน ผมรีบคว้าจับเอาไว้ก่อนทันที ถ้าปล่อยให้มันป้อน มีหวังข้าวคงติดคอผมตาย
ผมมองอาหารตรงหน้า เป็นอาหารไทยง่ายๆ สองอย่าง ที่สำคัญ ของโปรดผมทั้งนั้น พร้อมข้าวเปล่าหนึ่งจาน ผมเม้มปาก จำใจตักกิน
อื้อหือ อร่อย
“อร่อยใช่ไหมครับ” มันถามมาเสียงเรียบ
“ก็งั้นๆ”
ผมไม่ยอมรับ มันหัวเราะหึๆ ในลำคอ ไม่พูดอะไร ขยับห่างออกไปหนึ่งก้าว ยืนไพล่หลังด้วยท่าทีสำรวม ตาจ้องนิ่งมาที่ผม
ผมรีบตักกินให้มันหมดๆ ไป (คือ จริงๆ แล้วมันอร่อยมาก อร่อยกว่าแม่บ้านผมทำอีก) ใช้เวลาไม่นานอาหารก็เกลี้ยงฉาด มันขยับมายกถาดเปล่าถือไว้ในมือ หันหลังจะเดินออกจากห้อง ผมรอจังหวะ ถ้ามันออกไป ผมจะได้หนีอีกรอบ
ผมเตรียมจะลุก แต่มันหยุดเท้าลงแถวๆ หน้าประตู หันกลับมามอง พยักหน้าไปทางหน้าต่าง
“อย่าคิดหนีนะครับ เพราะผมรู้หมดว่าคุณหงส์อยู่ไหน”
มันจิ้มนิ้วที่หลังคอตัวเองให้ผมดูตำแหน่ง ผมรีบตะครุบหมับ รู้สึกเจ็บตรงนั้นด้วย
“และอย่าคิดกรีดออกเองนะครับ ผมฝังไว้ในตำแหน่งค่อนข้างอันตราย สุ่มสี่สุ่มห้ากรีดออกเอง มีสิทธิ์เลือดพุ่งจนหมดตัวตายได้นะครับ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ แล้วมันก็เปิดประตูเดินออกไป ผมหันรีหันขวาง
เอาไงดี จะเสี่ยงหนีไปอีกรอบดีไหม ผมกุมหลังคอตัวเอง แล้วนี่คนในบ้านรู้หรือเปล่าว่าผมถูกคุมตัวอยู่ อย่างน้อยหนีไปขอความช่วยเหลือคนในบ้านก็ได้
กำลังจะก้าว แต่ต้องเบรกกึก คิ้วขมวด ขนาดว่ามันสามารถไปทำอาหารในครัวได้ ถ้าไม่ใช่ว่าคนในบ้านโดนคุมตัวไว้ ก็แปลว่าเขารู้กันหมดแล้วน่ะสิ
ผมกุมหัว เอาไงดีวะ!!!
ยังไม่ทันได้ตัดสินใจทำอะไร ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมไอ้ตัวเดิมนั่นแหละ มันเดินหน้านิ่งผ่านผมไปหยิบกระเป๋าผมที่พื้น เดินเอาไปเปิดดึงเสื้อผ้าออกมาจัดเก็บตามเดิม
ผมอ้าปากค้าง พอเสร็จมันก็กลับมายืนตัวตรงมอง
“อยากไปไหนหรือทำอะไรก็ได้ตามสบายนะครับ ใช้ชีวิตปกติได้เลย เพียงแต่ผมจะติดตามไปด้วยเท่านั้น”
“มันจะไปปกติได้ไง โดนตามหนักขนาดนี้”
“ถ้าคุณหงส์ไม่คิดจะหนีก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”
ผมนิ่งคิด สมองกำลังหาทางออก
“ก็ได้ ฉันรับปากว่าจะไม่หนี นายกลับไปได้แล้ว”
“พอดีผมเชื่อคนยากครับ ผมจะออกไปรอหน้าห้อง GPS บนตัวคุณจะส่งสัญญาณทันทีที่คุณหงส์ออกห่างผมเกินระยะที่กำหนด เพราะงั้น อย่าคิดหนีเด็ดขาด มีอะไรเรียกใช้ได้ตลอด ถ้าผมทำได้ก็จะทำ ทำไม่ได้หรือไม่อยากทำก็จะไม่ทำ”
พูดจบมันก็เดินนิ่งๆ ออกไปเลย
ผมยืนอ้าปากค้าง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันวะ!!!!
To be Con...
โธ่ๆ น่าสงสารจริงๆ น้องหงส์ แต่ไม่เป็นไรนะคนดี เดี๋ยวไรท์คนสวยจะไปช่วยน้องหงส์เอง (รีบวิ่งไปอุ้มน้องหงส์ยกใส่พาน เดินทางไปหาท่านไป่หลงอย่างไว หึๆ)
นี่คือโฉมหน้าพ่อซันไรส์ของเราค่ะ หล่อเปล่า
เม้นท์กันด้วยน้าาาา
เป็นแฟนคลับนิยายเรื่องนี้ จิ้มพ่อบอดี้การ์ดเราได้เลยค่าา
ติดต่อ & ติดตามการอัพนิยายได้ทุกช่องทางตามนี้ค่ะ
เพจ : facebook.com/memew28
ทวิต : @Memew28
เมล : Memew28(แอท)gmail.com
Line : Memew28
ความคิดเห็น