คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ร้ายลึก ‡ EPISODE 02 :: สายปริศนา
‘เมื่อไหร่นายจะลงมือสักที?’
‡ ... ‡
ตอนที่ 02
สายปริศนา
จากนั้นผมก็ขับรถอยู่นานกว่าเกือบครึ่งชั่วโมงน่าจะได้มั้ง จนกระทั่งรถแล่นมาถึงหน้าปากซอยของบ้านพักที่ผมพักอาศัยอยู่ร่วมกับพวกญาติ ๆ อีกหลายคน แต่แล้วจู่ ๆ ผมก็ต้องเหยียบเบรกหยุดรถกะทันหันเพราะเส้นทางด้านหน้านี้มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดทิ้งไว้ขวางทางอยู่หลายคัน ซึ่งบ่งบอกว่าสถานการณ์ตรงหน้าต้องมีเหตุร้ายอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ
สายเสือก สายใจดีไม่น่าพลาดแน่นอนอยู่แล้วงานนี้ ซึ่งทั้งสองสายนี้ไม่ใช่ผมหรอก ผมมันพวกอิกนอร์น่ะ
ว่าแต่เอ๊ะ ชุดนั้นมัน...
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ตะวันใกล้ลับฟ้าจะเข้าสู่ช่วงค่ำมืดเสียแล้ว ดังนั้นผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่เจ็ดแปดคนน่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้แหละมั้ง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะต้องไปใส่ใจนัก ทว่าการที่ผมต้องหยุดรถกะทันหันและรีบลงมาจากรถโดยเร็วอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าผมจะไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อกี้นี้ตนเองไม่ได้ตาฝาดไป
คนที่นอนแนบนิ่งอยู่บนพื้นถนน โดยสวมเสื้อคลุมท้องสีหวานลายดอกไม้เล็ก ๆ มันคุ้นตาผมยังไงชอบกล ราวกับว่าผมเคยเห็นผ่านตาเมื่อไม่นานมานี้เองไม่มีผิด ซึ่งในขณะนั้นผู้คนที่กำลังยืนมุงดูอยู่นั้น ต่างก็กำลังวุ่นกับการยกเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของตัวเองขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ
บ้างก็ถ่ายรูป
บ้างก็คาดว่าน่าจะกำลังโทรไปแจ้งเหตุด่วน
พอผมวิ่งเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อดูผู้ประสบเหตุก็เห็นร่างของหญิงสาวร่างบอบบาง แต่สูงเพรียวสวมชุดคลุมท้องนอนนิ่งหมดสติไป โดยมีเด็กสาววัยมัธยมสวมชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเด็กสาวที่ผมเจอในร้านขนมปังเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เธอตรงหน้ากำลังช่วยประคองตัวผู้บาดเจ็บด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยไม่น้อย
คนเจ็บมีร่องรอยของการถูกทำร้ายหนึ่งจุดใหญ่ ๆ นั่นก็คือตรงบริเวณแก้มด้านหนึ่งมันบวมช้ำน่ะ ซึ่งตรงจุดนั้นมันมีรอยนิ้วมือทั้งห้านิ้วเด่นชัดอย่างชัดเจน อีกทั้งตรงมุมปากก็มีเลือดซึมไหลออกมานิด ๆ อีกด้วย
นี่ถ้าเธอคนนี้ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักดี ผมจะไม่สนใจห่าเหวอะไรเลยสักนิด
ผมจะรีบกลับไปขึ้นรถตนเองในทันที แต่ทว่าเพราะตนเองรู้จักเธอคนนี้ดีเลยยังไงล่ะ ผมถึงได้ผงะตกใจแบบสุดขีดในวินาทีที่เห็นใบหน้าคาตาของเธอคนนี้ชัด ๆ เต็มสองตา
“พะพาย!” ผมอุทานร้องเรียกชื่อของเธอเสียงลั่นทันทีเพราะรู้สึกตกใจสุด ๆ ก่อนตนเองจะถลาเข้าไปยกอุ้มร่างของเธออัตโนมัติ โดยที่ไม่เอ่ยถามอะไรใด ๆ จากผู้คนที่ล้อมรอบบริเวณนี้สักก่อน ซึ่งอาจจะเห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุก็เป็นได้ “เธอเป็นพี่สะใภ้ของผมเองครับ เดี๋ยวผมจะพาเธอไปโรงพยาบาลเอง”
“แต่รถพยาบาลใกล้จะมาถึงแล้วนะคุณ!”
ผมไม่ได้สนใจเสียงทักท้วงแต่อย่างใด พอเปิดประตูรถจากัวร์สีดำสุดหรูของตนเองแล้ว ผมก็วางร่างของพะพายเข้าไปบนเบาะข้างคนขับทันที และจากนั้นก็ไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธออีกด้วย
เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จเรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว ผมก็วิ่งอ้อมไปขึ้นรถจากอีกด้านอย่างว่องไวและเร่งรีบขับรถไปยังโรงพยาบาลใกล้ ๆ อย่างรีบร้อนทันที
ผู้หญิงที่นอนหมดสติคนนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พี่สะใภ้ของผมเท่านั้น หากแต่ว่าเธอคนนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมสาขาของผมอีกด้วยน่ะ
ถึงแม้ในช่วงแรก ๆ ที่รู้จักกัน เราสองคนไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ร่วมชายคาบ้านหลังเดียวกันมาหลายเดือน ดังนั้นความผูกพันฉันมิตรจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก อีกทั้งตอนนี้เธอกำลังอุ้มท้องหลานของผมอยู่ด้วย ผมจึงต้องคอยช่วยดูแลเธออยู่ไม่ห่างในทุก ๆ วัน
ประเด็นสำคัญคือผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอตั้งท้องลูกของพี่ชายจอมเจ้าชู้ของตนเองนี่เองแหละ ดังนั้นผมก็เลยต้องมีส่วนช่วยรับผิดชอบเธอด้วยอีกคนนั่นเองไง
“บ้าเอ๊ย...ใครแม่งทำระยำแบบนี้กับพะพายวะ!” ผมสบถเสียงกร้าวอย่างหัวเสียสุด ๆ และตบพวงมาลัยสองสามทีเพื่อระบายความคับแค้นในใจ
ตอนนี้ผมอกสั่นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นมากเลยล่ะ
ผมกลัวว่าหลานของผมจะเป็นอะไรไปด้วยอีกคนน่ะสิ
นี่แค่เห็นร่องรอยบนใบหน้าของพะพายที่โดนตบเต็มแรงก็พอทำให้ผมเดาได้ไม่ยากนักว่านี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของผู้หญิงแน่ ๆ เพราะรอยแดงช้ำจากฝ่ามือมันดูใหญ่มากพอสมควร และค่อนข้างรุนแรงเอาเรื่อง
ผมเหลือบมองสำรวจดูสภาพบนตัวของพะพายแวบหนึ่งระหว่างขับรถ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็พอทำให้ผมรู้สึกโล่งใจไปบ้างเล็กน้อย เพราะอย่างน้อย ๆ เสื้อผ้าบนตัวของเธอก็ยังอยู่ครบทุกชิ้นและยังปกติดีอยู่ โดยไม่ได้บ่งบอกว่าโดนฉุดกระชากลากถูแต่อย่างใด
จากนั้นเวลาผ่านไปอีกสิบห้านาทีต่อมา ในที่สุดผมก็ขับรถพาคนบาดเจ็บที่ไม่ได้สติมาส่งถึงโรงพยาบาลจนได้ และตอนนี้เธอก็ถูกส่งตัวเข้าไปตรวจดูอาการอยู่ในห้องฉุกเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ
“เฮ้อ...” ผมพ่นลมหายใจเฮือกยาวอย่างโล่งอกเมื่อพะพายถึงมือคุณหมอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังมือข้างขวาของผมถูกยกขึ้นปาดเหงื่อทิ้งออกไป ซึ่งน้ำใส ๆ มันกำลังหยดไหลลงมาตามกรอบหน้าผมพอดี ร่างกายของผมตอนนี้มันรู้สึกอ่อนเพลียฉับพลันจนต้องทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินทันทีหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกขวัญเสียไม่น้อยเลยจริง ๆ เนื่องจากว่าผมกังวลสารพัดเลยไง “ตอนนี้เฮียกลับบ้านรึยังนะ?”
ครืด ครืด...
ในขณะที่มือกำลังจะล้วงหยิบจับโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรหาพี่ชายอยู่นั้น จู่ ๆ เครื่องสื่อสารมันก็ส่งเสียงเบา ๆ พอดิบพอดีเพราะผมตั้งเสียงเรียกเข้าเป็นระบบสั่นไว้น่ะ ซึ่งนี่ก็เป็นสายโทรเข้าดังขึ้นนั่นเอง ริมฝีปากตนเองฉีกยิ้มกว้างทันทีเพราะนึกดีใจคิดว่าลีโอเป็นคนโทรมาหา แต่ทว่าพอผมก้มมองดูบนหน้าจอโทรศัพท์ เบอร์ที่ปรากฏขึ้นมากลับไม่ใช่บุคคลที่ผมคาดเดาไว้ซะอย่างนั้น
09-65973XXX
“เบอร์ใครวะ?” ผมอดที่จะพึมพำอย่างแปลกใจไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่เบอร์ที่ผมเมมเก็บไว้ในเครื่องน่ะ แต่ถึงอย่างนั้นนิ้วเรียวยาวของผมก็กดสไลด์เลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายในที่สุดอย่างไม่ลังเลนัก “ฮัลโหลครับ คุณเป็นใครเหรอ?”
[...] ถึงแม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเสียก่อน แต่ปลายสายกลับปิดปากเงียบไม่ยอมตอบอยู่นานจนทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
มันไม่ใช่ว่าสัญญาณของคนฝั่งนั้นมันไม่ดีนะ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเสียงชัดแจ๋วหรอก
“โทรมามีอะไรรึเปล่าครับ?” ผมยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม แม้ว่าใจจริงผมอยากจะสบถด้วยคำหยาบคายใส่อีกฝ่ายก็ตามทีเถอะ เนื่องจากว่าตอนนี้อารมณ์ของผมยังคงร้อนรนอยู่มากเลยล่ะ
มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ เลยนะให้ตายเถอะ นี่ผมพร้อมจะอาละวาดพาลใส่คนอื่นไปทั่วเลยแหละ บอกเลย
[...] และปลายสายก็ยังคงเงียบใส่ ไม่ยอมตอบอะไรเสียทีเช่นเดิม
‘เชี่ย...ใครโทรมากวนประสาทกูตอนนี้วะเนี่ย!’ ผมได้แต่สบถในใจ
ความจริงแล้วผมเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งนะ ผมไม่ค่อยแสดงนิสัยแย่ ๆ ให้คนอื่นได้รับรู้ตัวตนจริง ๆ อีกด้านของผมเท่าไรนักหรอก
“โทรผิดใช่มั้ยครับ งั้นผมขออนุญาตวางสายนะ”
[เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งรีบวางสาย] ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมพูดจนได้ ซึ่งเมื่อผมได้ยินเสียงของคนปลายสายเป็นผู้หญิง ผมก็ชะงักมือกลับรีบแนบโทรศัพท์ใกล้ใบหูอีกครั้งทันที แต่เดี๋ยวก่อน นี่อย่าคิดไปไกลเชียวล่ะ ผมไม่ใช่คนประเภทเจ้าชู้อะไรแบบนั้นสักหน่อยนะ เพียงแต่ว่าผมแค่กลัวว่าจะเป็นเพื่อนร่วมสาขาน่ะ เนื่องจากว่าช่วงนี้มักจะมีเพื่อน ๆ โทรมาหาผมอยู่บ่อย ๆ เพื่อสอบถามเรื่องงานต่าง ๆ ซึ่งคณะที่ผมเรียนอยู่นั้นมักจะมีนักศึกษาผู้หญิงซะส่วนใหญ่ ผมที่เป็นดาวเด่นเรื่องการเรียนมักจะถูกพวกอาจารย์ไหว้วานให้รับผิดชอบเรื่องการบ้านอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเพราะเหตุนี้นั่นเองแหละ เพื่อน ๆ จึงชอบเข้าหาเพื่อปรึกษาผมอยู่ทุกวันอยู่แล้วน่ะ
ผู้หญิงคนอื่นผมไม่ได้ใส่ใจนักหรอก ผมรักมีนาจะตายไป
ผมรักเธอที่สุดในสามโลกเลยล่ะ
อ้อ อันที่จริงนอกจากแฟนของผมแล้ว ตนเองก็ไม่ค่อยได้สนิทสนมกับสาวคนไหนเป็นพิเศษหรอกนะ นอกเหนือจากยัยหงส์เพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ ซึ่งเธอคนนั้นเป็นทั้งเพื่อนซี้และญาติคนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของผม ดังนั้นเธอเลยเป็นข้อยกเว้นในเรื่องของความใกล้ชิดไปโดยปริยาย
“มีอะไรก็รีบพูดมาสิครับ ตอนนี้ผมติดธุระอยู่น่ะ” แม้จะยังไม่รู้ว่าเธอคนนี้เป็นใคร แต่ผมก็ถามขึ้นเข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ตอนนี้ผมอยากวางสายทิ้งแล้วโทรไปหาคนที่บ้านพักโดยเร็วที่สุด เพราะกลัวว่าทุกคนจะเป็นห่วงและกำลังตามหาพะพายอยู่น่ะ
ซึ่งก่อนอื่นผมต้องชี้แจงก่อนว่าเรื่องนี้มันจะกลายเป็นเหตุวุ่นวายขึ้นมาเอาได้ เนื่องจากว่าหลังจากที่พะพายขอเข้ามาอยู่ในบ้าน PARADISE ร่วมด้วยอีกคน พะพายก็ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนคนเดียวเลยสักครั้งน่ะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ผิดแปลกมาก ๆ ถ้าหากว่าเมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอเธอเนี่ย ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ นั้น ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนักหรอก เพราะลีโอปกปิดไม่ยอมบอกให้ผมเข้าใจแม้แต่น้อย มันบอกว่าถือเป็นการลงโทษผมก็แล้วกันน่ะนะ
[เมื่อไหร่นายจะลงมือสักที?]
“หา? คุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”
[ทำลายลูกสาวคนเล็กของตระกูลภลาลัยไงล่ะ ในจดหมายที่ส่งไปก็ระบุชัดเจนแล้วไงว่าไม่เกินห้าเดือนน่ะ] จบประโยคนั้น คนในสายก็ถอนหายใจแรงฮึดฮัดอย่างคนหงุดหงิดทันที แล้วจากนั้นเธอก็พูดต่อ โดยไม่รีรอให้ผมได้ทันหายข้อข้องใจสักก่อน [นี่ก็ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้วนะ นายคิดเหรอว่าน้ำหน้าอย่างนายเนี่ย จะมีปัญญาทำให้ยัยนั่นท้องภายในระยะเวลาแค่เดือนสองเดือนน่ะ]
“นี่เธอเป็นใคร!” ผมตะเบ็งเสียงดังใส่ทันทีเมื่อคนในสายพูดจบประโยค
ผมไม่แคร์เลยสักนิดว่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนี้จะหันขวับมองมาด้วยสายตาตำหนิปมสงสัยกันก็ตามทีเถอะ
เมื่อกี้นี้ผมแค่กำลังมึนงงว่าคนปลายสายกำลังพูดพล่ามถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่ หากแต่แล้วพอผมได้ยินวลีที่ว่าท้องคำเดียวเท่านั้นแหละ ผมก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมาทันทีเลยล่ะ
ผมต้องขอเล่าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก่อนว่าเมื่อหลายเดือนก่อน มีจดหมายฉบับหนึ่ง ไม่ได้จ่าหน้าซองส่งมาถึงผม โดยสรุปจับใจความในจดหมายได้ว่าคนคนนี้ต้องการให้ผมทำลายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งถ้าหากผมไม่ทำตามคำสั่งของเธอแล้วล่ะก็คนรอบข้างผมทั้งหมดจะไม่ปลอดภัย
ตอนแรกผมก็นึกว่าญาติคนสนิทคนหนึ่งส่งมาล้อเล่นเสียอีก ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
แต่ทว่าตอนนี้ผมชักรู้สึกไม่แน่ใจแล้วล่ะ
[ฉันเป็นใคร นายไม่ต้องอยากรู้หรอก นี่ฉันขอเตือนนายไว้เลยนะว่าถ้าหากครบกำหนดแล้ว นายยังไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จแล้วล่ะก็นะ นายเตรียมตัวนับศพญาติพี่น้องและคนรอบข้างของนายไว้ได้เลยวาโย]
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร!” ผมตะคอกถามเสียงดังลั่นใส่โทรศัพท์อีกครั้งจนรู้สึกแสบคอไปชั่วขณะ
แค่ผมจินตนาการว่าตนเองจะต้องลงมือทำตามคำสั่งบ้า ๆ นั้นจริง ๆ ท้องไส้ของผมมันก็เกิดรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาทันทีเลยล่ะ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
มันไม่ใช่ว่าผมทำไม่ได้นะ เพียงแต่ว่าผมไม่อยากทำต่างหากล่ะ
[อ้อ ส่วนอาการของเมียพี่ชายนายก็ถือเป็นการเชือดไก่ให้ดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะ]
“นะ นี่อย่าบอกนะว่าที่พะพายบาดเจ็บเป็นฝีมือของเธอน่ะ!” และแล้วจู่ ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวขึ้นมาทันทีเลยล่ะ
[หึ] แม้ไม่ได้รับคำยืนยันแน่ชัดเป็นคำพูด แต่การที่คนปลายสายแค่นหัวเราะเยาะใส่ตามสายเบา ๆ ในลำคออย่างนี้ มันก็คงเป็นการยืนยันแล้วล่ะ ซึ่งนั่นก็ทำเอาผมหวาดหวั่นขึ้นมาในใจเลยทันที การที่พะพายได้รับบาดเจ็บในวันนี้ มันเป็นฝีมือของเธอคนนี้นี่เองหรอกเหรอ [นี่ไม่ใช่การล้อเล่น นายต้องรีบทำตามคำสั่งของฉันซะ ก่อนที่จะครบกำหนดน่ะ]
“...”
[ไม่งั้นไม่แน่นะว่าเหยื่อรายต่อไปอาจจะเป็นแฟนสุดหยิ่งของนายก็ได้วาโย]
บัดซบ!
ความคิดเห็น