ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ถ้าแน่จริง...ก็จับผมสิ" (CHANBAEK ft.KaiHun LuMin)

    ลำดับตอนที่ #3 : Kapitel 02 : ก็แค่โอฮุนอ้ะ!

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 59


    Oxygen Blue Curve - Crosshair

              


    Kapitel 02 : ก็แค่โอฮุนอ้ะ!



    ( บางที...อะไรที่มันเป็นความลับก็ควรปล่อยให้มันเป็นความลับไปนั่นแหละดีเเล้ว)




              Rrrrrrrrrrrr



              เริ่มที่เสียงโทรศัพท์อีกแล้ว? ทำไมต้องเริ่มที่เสียงโทรศัพท์ทุกทีด้วย เห้ย! คือโอเคนะเว้ยถ้าเสียงโทรศัพท์มันเข้าอะ ก็มันเข้าบ่อยเป็นปกติอยู่แล้วป้ะ...แต่แบบ





              หกโมงกูก็ง่วงเป็นน่ะพี่ชาย





              “...อืมมม ฮาโหลลลคาบบบครายยยคราบบ” นักแสดงหนุ่มเอื้อมแขนที่เขาอยากจะถามพ่อแม่ว่าเกิดมาให้มีแค่นี้เพื่ออะไรกัน จนสุดแขนก็คว้าเข้ากับสมาร์ทโฟนเจ้าเก่าที่อย่างคงสั่นเตือนพร้อมกับแผดเสียงดังลั่นคอนโดหรู เขาไม่ได้สนใจที่จะเจียดเวลาในการเบิกเนตรขึ้นมาดูแม้แต่นิด คิดเพียงรีบรับรับให้บทสนทนาต่อไปนี้ผ่านไปโดยเร็วได้ยิ่งดี



              (ขอรหัสห้องหน่อยครับ) เสียงเรียบๆกับคำพูดแปลกๆที่ออกมาจากปลายสายเรียกให้ใบหน้าหวานของนักแสดงหนุ่มตึงขึ้นมาทันที เหยดแหม่ ซาแซงอะไรกันแต่เช้าครับพี่ชาย พลิกแผ่นดินหาเบอร์โทรได้แล้วยังจะหน้าด้านโทรมาถามรหัสเข้าห้องคนอื่นอีก ซาแซงนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก



             “ว่างมากหรอ?”



             (ครับ ว่างมากเลย) อื้อหือ ซาแซงแฟนระดับเฟริ์สคลาส เต็มๆเลยแบคฮยอนเอ้ย



             “แต่ผมไม่มีเวลาว่างมาเล่นไร้สาระกับคุณหรอก
    !



              (ไร้สาระอะไรกันครับ?)



             “โหยยยย นี่นายยังไม่รู้ตัวอีกหรอว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่” แบคฮยอนลุกนั่งจึ๋งเหมือนผีดิบผุดขึ้นจากโรงทันทีที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถนอนต่อไปได้ แล้วขยี้ตาสะบัดผมสีน้ำตาลที่กำลังฟูฟ่องหมดสภาพนักแสดงรางวัลแดซังปีล่าสุดสิ้นเชิง



             (...ยังไม่ตื่นหรอครับ)



             “ขนาดหมาในคอนโดมันยังไม่ตื่นเลยคุณณณ หกโมงนี่ก็คิดได้เนาะ” ว่าพลางเหล่มองเจ้า ยูกิ สุนัขพันธุ์บีเกิ้ลเพื่อนร่วมใจยามเหงาที่นอนหงายพุงป่องอยู่บนเตียงส่วนตัวระดับห้าดาว ไม่อยากจะนินทาหมาหรอก แต่อิยูมันเอาแต่กินกับนอนวันทั้งวันไม่ทำมาหากินอะไร อ้วนเอ้าอ้วนเอาจวนจะเท่าช้างอยู่ละ





              ไหนบอกไม่นินทาหมา?




              (งั้นก็ปลุกสุนัขของคุณสิครับ มันจะได้ตื่น)



              “เพื่อ?”



              (ก็ถ้าสุนัขมันตื่น คุณก็ควรจะตื่นได้แล้วนะครับ) เดี๋ยวน่ะ...คำพูดคำจาแม่งเริ่มไม่ใช่ซาแซงละ



              “...”



              (ตื่นเช้าดีต่อสุขภาพนะครับ ไม่ทำให้อ้วนเหมือนที่คุณเป็นอยู่ด้วย) เริ่มคุ้นๆละ มีหลอกด่าว่ากูอ้วนงี้ เริ่มคุ้นละ



              “...”



              (ให้คนอื่นมารอก่อนนัดทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาก็ว่าแย่แล้วน่ะครับ แถมพอเขาอุตส่าห์โทรปลุกก็ด่าด้วยคำหยาบคายอีก สงสัยว่าคุณไม่เคยเรียนหลักมารยาทสากลโลกเลยใช่ไหมครับ? ผมชักจะอยากเห็นใบเกรดตอนอนุบาล2ของคุณจริงๆ) โอเค ชัด...ไม่ต้องมีคำอธิบายใดใดก็เข้าใจ ไม่ต้องมีคำพูดใดใดก็เข้าใจ



               “ผู้กองปาร์คคคคคคคคคคคคคคคคคค”



                (เบาเบาสิครับ นี่หกโมงอยู่เลยน่ะ) คำนี้คือกูควรพูดปะ? นี่หกโมงครับพวกฮัลโหลลลล นี่หกโมง!! ดูปากบยอนแบคฮยอนน่ะคะ ว่าหกโมงเว้ย!!



                “...หึ่ม ลุงมันน่ารำคาญที่สุดในปฐพีเลย”



              (ก่อนที่คุณจะรำคาญผม...ต้องให้ผมย้อนมารยาทสากลให้ฟังก่อนไหมครับ? จะได้รู้ว่าควรมาเปิดประตูให้ผมสักที)



              ไม่สนเชี่ยไรกับมารยาทสากลทั้งนั้นแหละ!

     

     





     

              “เข้ามาก็กรุณาเปลี่ยนรองเท้าเป็นสลิปเปอร์ด้วย แล้วก็ไม่มีน้ำประเคนให้คุณหรอกน่ะ กระหืดกระหายมากนักก็ไปหยิบเอง” ทันทีที่ประตูห้องเปิดมา นักแสดงหนุ่มก็ร่ายคำพูดติดรำคาญแสนยาวเหยียดรวดเดียวแล้วเดินสะบัดตูดเข้าไปข้างในทันที ปล่อยให้ปาร์คชานยอลที่ถือของพะรุงพะรังเต็มมือต้องจัดการด้วยตัวเองโดยไม่มีการช่วยเหลือจากคนตัวเล็กที่เดินหนีไปด้วยความเร็วแสงเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย





              นี่เขาคิดผิดหรือถูกเนี่ย? ที่ซื้อของพวกนี้มาฝากเผื่อเด็กนั่นหิว...คำตอบคือเขาคิดผิดมหันต์



              หลังจากที่ชานยอลถอดรองเท้าผ้าใบแล้วเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์เรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินเข้ามาตามทางที่แบคฮยอนเดินเมื่อสักครู่เช่นกัน คอนโดของเด็กนี่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ถ้าเทียบกับการอาศัยอยู่ของคนหนึ่งคนก็ถือว่าหรูหราเลยทีเดียว ก็น่ะเด็กนี่เป็นถึงนักแสดงชื่อดังเลยหนิ ถึงเขาจะไม่เคยดูผลงานของแบคฮยอนเลยก็เถอะ ก็ชีวิตตำรวจมันวุ่นวายแต่กับคดีนั่นแหละ เขาเองก็ขลุกตัวอยู่แต่ในสน. นี่แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าใครหน้าตาดี ใครขี้เหร่เพราะเห็นแต่หน้าตาโหดๆของเหล่าคนร้ายจนติดตา



              “ห้องครัวอยู่ขวามือคุณ จะเอาของไปเก็บก็ตามสบาย เห็นแล้วมันเกะกะ” เสียงแว้ดของนักแสดงหนุ่มดังแทรกกับเสียงของการ์ตูนที่ขอเดาว่าน่าจะเป็นโปเกม่อนจากห้องนั่งเล่น



              “ครับ ผมจะทำตามเดี๋ยวนี้แหละครับ”



             “ก็ดี..”



             “น่าแปลกน่ะครับ...ปกติคนดีดีที่เขาคิดได้ก็ควรจะมีน้ำจงน้ำใจมาช่วยคนที่เขาอุตส่าห์ซื้อของมาฝากตามมารยาทสักนิดก็ยังดี แต่นั่นแหละครับ ผมจะไม่หวังอะไรกับคุณ เพราะผมรู้ดีว่าคุณไม่ปกติ” หน้าชา...ไม่ใช่แค่หน้าละ แม่งชาไปทั้งตัวละ อีห่าผู้กอง! เรื่องหลอกด่าไว้ใจลุงหรือไงห้ะ? หลอกด่าคนอื่นนี่ถนัดนัก



             “พูดอะไรมากอะผู้กอง เอาไปเก็บก็สิ้นๆเรื่อง อย่ามาหลอกด่าซะให้ยาก ผมด้านพอ”



             “ครับ ผมรู้...คุณด้านพอ” ปาร์คชานยอลจากมุมน้ำเงิน สวนกลับเข้าไปเต็มๆหมัดอีกครั้ง โอ้โห งานนี้ไม่ต้องมีลงมีลุ้นกันแล้วครับ ดูเหมือนว่าบยอนแบคฮยอนมุมแดงจะไม่ยอมฟื้นสักที 5 4 3 2 1 ปาร์คชานยอล ชนะ!!





              เกิดเป็นแบคฮยอนแท้จริงมันแสนจะลำบาก...





              ผู้กองหนุ่มทำเพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินเอาของเข้าไปวางในห้องครัว โดยไม่สนใจบยอนแบคฮยอนเด็กปากหมาอายุย่างครึ่งห้าสิบที่โดนเขาด่ากลับไปเมื่อสักครู่เลยแม้แต่นิด มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะบยอนแบคฮยอนทำตัวเองทั้งนั้น หรือไม่จริง?



              แบคฮยอนกลอกตาตามร่างของตำรวจหนุ่มที่เดินผ่านหน้าของเขามานั่งยังโซฟาข้างๆหลังจากที่เอาของไปเก็บ เดาว่าวันนี้คงเป็นวันที่ซวยที่สุดในชีวิตสำหรับเขาอีกหนึ่งวัน ขนาดยังไม่ตื่น ก็มีตัวโชคร้ายโทรปลุกเสียแล้ว



              “ห้องคุณสวยดี” กวาดสายตาไปมารอบห้องคอนโดสีเหลืองพาสเทล กับเฟอร์นิเจอร์หลากสีสันที่ดูน่ารักผิดหูผิดตา ซึ่งถ้าถามปาร์คชานยอล เขาว่ามันไม่เหมาะกับบยอนแบคฮยอนเลยแม้แต่นิด แต่ถึงอย่างงั้น ห้องของเด็กคนนี้ก็ดูสะอาดแตกต่างจากห้องผู้ชายทั่วไป



              “ผมควรจะขอบคุณไหม?”



              “มันเป็นประโยคบอกเล่าไม่ใช่ประโยคชื่นชมครับ”



              “ว้าว ไม่รู้มาก่อนเลย ผมควรจะดีใจไหมที่นอกจากผมจะได้ครูสอนสังคม พ่อ และลุง ผมยังได้ครูสอนภาษาเพิ่มมากอีกตำแหน่ง” แบคฮยอนเหล่มองเสี้ยวหน้าของผู้กองหนุ่มที่ดวงตายังคงสนใจอยู่กับภาพตัวการ์ตูนสีเหลืองเพียงแวบเดียว ก่อนจะกลอกตาไปมาแล้วหันไปเบะปากอีกฝั่ง



              “คุณควรจะดีใจที่ผมอุตส่าห์ช่วยไม่ให้คุณต้องเข้าคุกครับ”



              “โอ้โห ซาบซึ้ง” ผู้กองหนุ่มหันขวับมาจ้องมองร่างเล็กแล้วทำหน้านิ่งใส่(ก็หน้าแบบนี้อยู่ตลอดแล้วนั่นแหละ)



              “ตอนเด็กๆคุณเคยโดนพวกนักเรียนหลังห้องไล่ต่อยไหมครับ?”



              “ไม่ เพราะผมเป็นหลานเจ้าของโรงเรียน” ปลายตามองผู้กองหนุ่มที่ยังคงมองเขาโดยไม่หลบตาเลยสักนิดอย่างเหยียดๆแล้วหันกลับไปสนใจจอกระจกแก้วที่ขณะนี้กำลังฉายโฆษณาอยู่



              “...ครับ คุณเก่ง”



              “รู้ตัว ไม่ต้องชม” ปาร์คชานยอลแสยะยิ้มให้กับคำตอบแสนกวนประสาทของเด็กโข่งที่กำลังจะมาเป็นเด็กในปกครองของเขาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ แล้วหันกลับไปมองหน้าจอโทรทัศน์เช่นกันเพราะไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำอะไรกับคนคนนี้อีก



              ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเขาสองคนอีกต่อจากนั้น จนกระทั่งบนหน้าจอแก้วขนาด60นิ้วนั้นปรากฏใบหน้าซุกซนของคนข้างๆร่างสูงที่มาพร้อมกับรถจักรยานยนต์สีชมพูฟรุ้งฟริ้งและใบหน้าของเด็กนั่นที่ดูร่าเริงและน่ารักมาก แตกต่างกับตัวจริงสิ้นเชิง



              เข้าใจสัจธรรมของวงการมายาอย่างถ่องแท้



              “เพิ่งรู้น่ะครับ...” น่าน...ผู้กองครับ ไม่พูด ไม่ทัก ไม่เริ่มประโยค ไม่ชวนคุย ก็ไม่มีใครว่าอะไรน่ะครับ สงสัยลุงแกยังเหนื่อยไม่พอจริงๆ



              “...”



              “ว่าเวลาคุณทำตัวเหมาะสมกับหน้าตาเหมือนในโฆษณานั่น แบบที่พูดเพราะๆแล้วก็ไม่ทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างของคนมองตลอดเวลาแบบที่เป็นอยู่...คุณก็น่ารักดีเหมือนกันน่ะครับ” ก็อยากจะถามกลับไปเหมือนกันว่าที่ว่ามาทั้งหมดนี่เป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่ แต่มันติดที่ว่าตอนนี้เขารู้สึกแปลกๆจนไม่อยากที่จะพูดอะไรออกไป



              แปลกยังไงหรอ? ก็ไอร้อนๆที่อยู่บนแก้มทั้งสองข้างเนี่ยดิ รู้สึกว่าระบบไหลเวียนเลือดตรงแก้มจะเสียปะ? ฮัลโหลมีใครอยู่ไหมมารักษาหน่อย...






             ทำไม? โดนคนที่เกลียดชมจะเขินบ้างไม่ได้ไง๊





              “...”



              “เขินหรือครับ?” เลิกคิ้วถามนักแสดงหนุ่มด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง จริงๆแล้วเขาก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าควรจะพูดมันออกไปดีไหม แต่พอคิดว่าเด็กคนนี้คงได้ยินคนชมแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก็เลยพูดไปตามที่คิด แต่พอเห็นว่าเด็กนั่นยังคงเงียบแล้วมองหน้าจอแต่สีหน้านี่แดงเถือกจนเหมือนมีไอร้อนฟุ้งละลายออกมาจากใบหน้า ปาร์คชานยอลเองก็เพิ่งสำเหนียกได้ว่าเกือบ 48 ชั่วโมงที่เจอกับบยอนแบคฮยอนมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะชมกันหรือพูดจากันดีดี



              ก็น่ะ มันไม่แปลกที่เด็กนั่นจะเขินเพราะโดนชมจากปากเขาเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะเป็นการชมที่ค่อนข้างปวดประสาทก็เถอะ แต่สิ่งที่แปลกที่สุดกว่านั้น




              อะไรเป็นเหตุให้เขาเอ่ยถามแบคฮยอนว่า เขินหรือครับ? กัน




              ไม่ใช่ว่าเขาจะอ่อนหัดในเรื่องแบบนี้สักหน่อย ปาร์คชานยอลน่ะเร็วยิ่งกว่าโลกเสียอีก แต่สิ่งที่ต้องทำให้มานั่งจมกับความคิดตัวเองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแบบนี้มันคืออะไร? คำถามเดิมคืออะไรสั่งให้เขาถามคำถามเด็กๆที่คนอายุ29อย่างเขาไม่ควรถาม? นั่นสิ เขาว่าเขาควรไปพบหมอตรวจโรคประสาทสักครั้งแล้วละ



              “อะ อะไร๊ สำคัญตัวเองผิดป่าวผู้กอง”  แบคฮยอนเหลือกตาขึ้นเสียงสูงยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดแล้วพิงตัวไปกับพนักวางมือโซฟาฝั่งของตัวเองจนแทบจะตก    




              “ป่าวครับก็แค่..ถ้าคุณเขินจริงๆ”



               “...”



               “ผมก็จะบอกว่า...”



               “...” ไม่เข้าใจผู้กองนางเล้ยยย ชอบพูดอะไรแบบให้ลุ้นยิ่งกว่าประกาศคนตกรอบในรายการร้องเพลงอะไรนั่นอีก จะพูดก็พูดทีเดียวได้ปะ? คนฟังมันเหนื่อย



              “ผมชมคุณในโฆษณาไม่ใช่คุณที่เป็นคุณครับ” กระตุกยิ้มยักคิ้วสองทีแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้บยอนแบคฮยอนนั่งทำตาโตเพราะโดนโจมตีอยู่ 3 วิ







              อื้อหือ...โดนหลอกด่าอีกละจ้า




              “...ไอ...ไอ..แก่!” แบคฮยอนพึมพำกับตัวเองพลางกัดฟันกรอด สันหาอะไรมาด่าลุงแกแล้วไม่ได้จริงๆ ใครที่ได้ลุงแกเป็นแฟนนี่แบบโคตรอาภัพอะจริงๆ แล้วนี่แทนที่จะพูดกับเพื่อนร่วมห้องดีดีแบบให้สนิทกันได้ เสือกพูดคำที่ชวนยกฝ่าเท้าประเคนอีก บยอนแบคฮยอนว่าเขาต้องสร้างป้อมปราการมีระเบิดนิวเคลียสัก10ลูก เสียมากกว่าการเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้ซะแล้วแหละ

             



                        

        

             “เก็บของหมดแล้วหรือยังครับ?” ปากพูดมือก็ผูกเชือกรองเท้าพลาง ในขณะที่รอคุณไอดอลเสียงแหลมที่ยังคงบ่นตลอดทางเดินห้องทั้งที่ถือกระเป๋าใบยักษ์สองใบและถุงอุปกรณ์เสริมอื่นๆพะรุงพะรังเต็มไปหมด เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลไม่คิดจะหันไปแยแสอะไรกับเด็กเอาแต่ใจคนนี้ เขาทำเพียงนั่งระบายยิ้มกับตัวเองแล้วผูกเชือกรองเท้าข้างต่อไปด้วยความเชื่องช้า ในขณะที่ฟังเสียงร้องโอดโอยของบยอนแบคฮยอน



              “โอ้ยยย ผู้กองงงงงง เห็นผมเป็นทศกัณฑ์หราครับบบ ไม่มีชงไม่มีช่วยกันบ้างไง๊?” พอวางของทั้งหมดลงทันทีที่ถึงหน้าประตูที่มีร่างสูงของผู้กองหนุ่มนั่งเก๊กหันหลังให้อยุ่ ปากบางก็บ่นออกมารัวเร็วจนแทบไม่ได้ศัพท์



              “หายกันครับ”



              “หายอะไร?”



              “คุณไม่ช่วยผม ผมไม่ช่วยคุณ คุณดื้อ ผมก็จะดื้อ คุณน่ารักกับผม ผมก็จะทำตัวดีกับคุณ แต่ถ้าคุณยั่วผม...ผมจะไม่ยั่วกลับแต่ผมจะสนองแทน”



              “นั่น ปาก?”



              “กรุณาพูดจาสุภาพกับคนที่แก่กว่าด้วยครับ”



              “ยอมรับว่าตัวเองเป็นลุงแล้วหรอ?”



              “ผมบอกว่าคนที่แก่กว่าครับ ไม่ใช่ลุง”



              “เห้ออออออออ”



              “ก็ดิวดิวกันตามข้อตกลงครับ” พูดพลางยักไหล่แล้วหันไปเปิดประตู



              “ผมไปตกลงกับผู้กองตอนไหน?” เก่งจั๊งงงงเรื่องแบบนี้ นอกจากจะจบตรีด้านการกวนตีน ยังจบเอกมโนโทจินตนาการใช่ไหม?ลุง ถาม!



              “งั้นก็...ผมขอตั้งกฎ ทำมาทำกลับ ไม่โกง ตอนนี้เลยละกันครับ”



              “ทำไมผมต้องทำตามกฎผู้กองด้วยอะ?” นักแสดงหนุ่มขมวดคิ้วแล้วใช้กำลังฮึดใหญ่ยกของทั้งหมดที่เพิ่งวางไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วขึ้นมา



              “อย่าลืมสิครับ”



              “...”





              “คุณอยู่ในฐานะนักโทษของผม”




     

              ปัง!

     




              “...” แบคฮยอนยืนอ้าปากค้างให้กับสถานะระหว่างเขากับผู้กองที่ลุงแกเป็นคนสร้างขึ้นเอง อะไรวะครับ...ทำไมมันถึงเป็นคำว่านักโทษแทนคำว่าผู้ต้องสงสัย? แล้วทำไมต้องมีคำว่าของผม? ของผมนะเว้ย ของผมอะ!!



              แต่ก่อนที่บยอนแบคฮยอนจะมาอึ้งทึ่งบวกกับสับสนในชีวิตตัวเองนานไปมากกว่านี้ เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองควรจะตรัสรู้ได้แล้วว่า...ผู้กองแม่งทิ้งกูไปล้าวววววว



              “เดี๋ยวดิผู้ก๊องงงงงงงงง”  




              พลั่ก!




              “ไม่รู้หรอว่ามันลำบากแค่ไหนที่...อ้าว”



              “...ว๊าวววว ฉันควรจะเรียกว่านี่มันคือความบังเอิญดีหรือเปล่า?”



             เสียงแสนคุ้นหูที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบยอนแบคฮยอนก็สามารถบอกได้ว่าคนคนนี้คือใคร ชายหนุ่มตัวบางในชุดเสื้อไหมพรหมสีชมพูกางเกงสีขาวกำลังยืนกระตุกยิ้มขวางทางเดินของคอนโดชั้นที่6 โดยมีร่างสูงของบุคคลที่ทิ้งเขามาตะกี้ยืนหน้าเรียบนิ่งตามสไตล์ตัวเองประจันหน้ากับชายหนุ่มอยู่



              “มันไม่ใช่ความบังเอิญครับ” นักแสดงหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าใจอะไรกับเหตุการณ์ตอนนี้เลยสักนิดแต่พอเห็นรังสีความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากแววตาลุงผู้กองแกแล้ว ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นเรื่องที่ลุงแกโคตรไม่ปลื้มขนาดไหน อีกทั้งกระเป๋าที่พะรุงพะรังอยู่บนตัวเขาทำให้บยอนแบคฮยอนขมวดคิ้วมากกว่าความสงสัยที่เป็นอยู่หลายเท่า



              “...”



              “และมันก็ไม่ใช่ความตั้งใจ”



              “ถ้าไม่ได้ตั้งใจแล้วทำไม...”



              “ก็...คุณแบค...” แบคฮยอนว่ามันเริ่มจะไม่ใช่ละ ผู้กองปาร์คกำลังจะป่าวประกาศเรื่องสำคัญที่ไม่ควรบอกใช่ไหม!!



              “ก็คุณแบคฮยอนเขาเป็นผู้..”



              “ไม่มีอะไร!!” นักแสดงหนุ่มทุ่มทิ้งทุกอย่างลงพื้นหมดแล้วรีบวิ่งมากระโดดปิดปากผู้กองแก่ด้วยความไวแสง



              “?”



              “มันไม่มีอะไรหรอก...”



              “ห้ะ?...แกแน่ใจหรอว่ามันไม่...”



              “เอ้อ ฉันคงจะไม่ได้อยู่ห้องนานเลยอะ ฝากแกดูแลยูกิสักสามวันได้ไหม? เดี๋ยวหลังจากนั้นฉันจะมารับมัน” ผู้กองปาร์คเพียงแค่เหลือบหางตามามองบยอนแบคฮยอนเพียงเสี้ยววิก่อนจะหันไปมองทางอื่นโดยไม่คิดที่จะต่อต้านหรือผลักฝ่ามือเรียวที่ยังคงประกบอยู่บนริมฝีปากของเขาออก



              “แกจะไปไหน ไปกับใคร นานแค่ไหน เเล้วผ้าพันแผลที่หัวไปโดนอะไรมา?”



              “ใจเย็นๆดิ ฉันจะไปอยู่ที่อื่นสักพัก ช่วงนี่ซาแซงรบกวนบ่อยมาก แล้วก็ไปกับพี่มินซอกอะแหละ นานแค่ไหนอันนี้ไม่รู้แค่รอให้ซาแซงแฟนบ้าๆพวกนั้นมันซาลงก่อน ส่วนอีเรื่องผ้าพันแผลมันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ระวังตัวตอนถ่ายทำฉากบู้อะ มันก็เลยเกิดAccident นิดหน่อย แต่ตอนนี้ดีขึ้นเเล้ว” เป็นการโกหกได้เเยบยลจริงๆเลยเเบคฮยอนเอ้ยยย

               แบคฮยอนว่าเขารับรู้ได้ว่าผู้กองนางอยู่ไม่สุขแล้วละตอนนี้ พยายามกัดมือเขาบ้างแหละ เลียบ้างแหละ สร้างความก่อกวนไปมาอย่างกับเด็กจนเริ่มจะรำคานละ จะผลักก็ไม่ผลักออก คือเข้าใจปะว่ามันเอาออกไม่ได้ ถ้าเอาออกไม่ใครคนใดคนหนึ่งก็คงจะยิงกันพอดี ปากไม่ได้น้อยหน้ากันเลย



              “ไม่เป็นอะไรก็ดีเเล้ว ดูแลตัวเองด้วยสิ ไม่ใช่แกที่อยู่ตัวคนเดียวบนโลกสักหน่อย เเล้วเรื่องซาเเซงอะทำไมไม่บอกฉันละ ฉันคุ้มกันแกได้น่ะ”



              “ไม่รบกวนดีกว่า แกช่วยฉันมามากพอแล้ว” แบคฮยอนกำมือที่ว่างแน่น เพราะผู้กองปาร์คยังคงก่อกวนเขาไม่หยุด นี่รอให้บทสนทนาจบก่อนไม่ได้รึ



              “แล้ว...” ชายหนุ่มเหล่ตาไปทางร่างสูงของผู้กองปาร์คเหมือนจะตั้งคำถามว่าแล้วเขาคนนี้มาทำอะไรกัน



              “อ่อออ...คือ” คิดสิแบคคิดดดดด



              “หึ!” นักแสดงหนุ่มถึงกับหันขวับไปมองยังต้นเสียงที่ตอนนี้ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ชมนกชมไม้ โดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าการสบถกับการ จี้ เอวเขาตะกี้มันจะทำให้ผู้ชายตรงหน้าเกิดสงสัย





              ลุงผู้กอง...มึง




              “ฉันว่ามันดูแปลกๆ”



              “มันไม่ได้ดูแปลกหรอก เซฮุน นา” คนตัวเล็กรีบปล่อยมือออกจากการพันธนาการริมฝีปากผู้กองปาร์คแล้วคว้าแขน โอเซฮุน เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยโดยไม่วายที่จะขยำปากไอผู้กองปากหมาไปทีนึงก่อนปล่อย



              ปาร์คชานยอลเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะโดนขยำปากแรงมากแถมการผลักแบบโจมตีคูณ2ของเด็กโข่ง นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาแข็งแรงเขาว่าเขาคงหน้าคะมำไปกับพื้นแล้วมั้งป่านนี้...แล้วอะไรคือการที่เด็กนั่นกระโดดกอดแขนโอเซฮุนแล้วพูดจามุ้งมิ้งใส่กันโดยไม่สนเขาที่ยืนทำหน้าหงิกงออยู่ตรงนี้



              “มันจะไม่แปลกได้ยังไง?”



              “ไม่แปลกก็ไม่แปลกเซ่!” แบคฮยอนใช้แก้มถูไปกับต้นแขนของเพื่อนรักแล้วเงยหน้าขึ้นไปแหวใส่เบาๆตามสไตล์คนเอาแต่ใจที่อยู่ร่วมกับคนขี้ตามใจอย่างโอเซฮุนมายาวนาน



              “โอเค ฉันจะเชื่อนายละกันนะ...แค่นาย” ประโยคหลังเซฮุนแอบเหล่ไปมองผู้กองปาร์คที่ยังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วมองมาที่เขาอย่างนึกประทุษร้ายอยู่ในใจ



              “น่ารักที่สุดคร้าบบบบเพื่อน!



              “อะ แฮ่ม!”เสียงนุ่มทุ้มกระแอมไอแทรกจังหวะสีชมพูของคนสองคนที่ยืนงุ้งงิ้งกันอยู่ข้างหน้าร่างสูง ชานยอลใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปด้านหลังที่มีซากกองกระเป๋าของคนตัวเล็ก โดยไม่ได้มองหน้าแบคฮยอนเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงยังคงมองเชื้อโรคในอากาศอย่างไม่วางตา เขาคิดว่ามันดูน่ารักกว่าเด็กกะโปกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาเสียอีก



             “อ้อ! ลุงหน้าแก่คนนี้คือ ผู้กองปาร์ค ชานยอล เป็น...เอ่อ...เป็นคนรู้จักของพี่มินซอก” ทันทีที่ได้ยินคำว่า ลุงหน้าแก่ แบคฮยอนว่าเขาได้ยินเสียงดังฉิ้งมาจากดวงตาคมของผู้กองปาร์คและรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมา เหมือนถ้าเกิดว่า ณ จุดจุดนี้ไม่มีเซฮุนละก็ ตาแก่นี่คงกระโดดกัดคอเขาแล้วโยนตึกชั้น6เป็นแน่ ...แต่ ใครจะสนกันละ?



             “ใช่หรอ?” เซฮุนเลิกคิ้วสงสัย จากที่สืบประวัติมา...ปาร์คชานยอลน่ะ เป็นคนจำพวกไม่เข้าสังคม แถมไม่มีประวัติครอบครัวหรือคนรู้จักของเขาอยู่ในทะเบียนราษฎ์แม้แต่น้อย มันยากที่จะเชื่อว่าคนคนนี้จะเป็นญาติกับเมเนเจอร์ของแบคฮยอน



             “อื้อ! ใช่ไหมผู้กอง” แต่ก็น่ะ...ถ้าแบคฮยอนบอกว่าใช่



             “ก็...คงงั้นมั้งครับ” ก็คงใช่หรอกมั้ง... 



             “เห็นไหมเซฮุน! ฉันฝากดูแลอิยูด้วยนะ สามวันซื้ออาหารเม็ดสัก 20 โลคงจะพอ อ้ะ!คีย์การ์ด เดี๋ยวค่อยเอาคืนตอนมารับอิยูมัน รักแกนะจุ๊บุ” แบคฮยอนทำปากจู๋พลางยื่นหน้าเข้าหาใบหน้าขาวของเพื่อนรัก แต่มันแปลกตรงที่โอเซฮุนไม่ได้ผลักหน้าเขาออกเหมือนที่เคยเป็น แต่มันยังคงยืนนิ่งมองหน้าผู้กองอย่างไม่ลดละ ซึ่งทางฝ่ายลุงผู้กองก็ไม่น้อยหน้ากันสักเท่าไร สองคนนี้แม่งทำเหมือนว่าถ้าพวกมันละสายตาออกจากกันเมื่อไรละก็ โลกคงจะถล่มฟ้าดินทะลายอะไรแบบนี้



              ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้เสียเวลาไปกับการงงพฤติกรรมระหว่างเพื่อนสนิทของเขากับผู้กองปาร์คชานยอล จู่ๆข้อมือของเขาก็โดนมือใหญ่ของผู้กองปาร์คคว้าขวับเข้าทั้งที่ไม่ได้ตั้งตัวอีกแล้ว






              ไฟช๊อตอีกแล้วเว้ยยยยย




              “ไปกันเถอะครับ สายมากแล้ว ทั้งผมและคุณก็ต้องมีงานต่อ”



              “ห้ะ? งาน งานอะ..” เป็นตาของร่างสูงบ้างแล้วที่ปิดปากไม่ให้บยอนแบคฮยอนพูด นี่ก็อยากจะถามอยู่ ว่านี่คือแรงปิดหรือแรงตบ ดังเป๊าะเหลยยยยย





              แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรหรอกนะ...คดีติดตัวเยอะไงประเด็



              “แล้วก็คุณเซฮุน...” ไม่ปล่อยให้นักแสดงเอาแต่ใจได้ประท้วงอะไร ผู้กองปาร์คก็ชิงพูดขัดขึ้นมาก่อน



              “...” ชานยอลเว้นจังหวะ ร่างสูงทั้งสองมองกันอย่างหยั่งเชิง ในขณะที่คนตัวเตี้ยสมองช้าเรื่องความคิดคนอื่นอย่างแบคฮยอนยังคงยืนโมโหฝ่ามือของปาร์คชานยอลเป็นฟืนเป็นไฟอยู่อย่างไม่ลดละ 



              “ผมหวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก”



              “...”



              “นะครับ”  โอเซฮุนเพียงแค่หลุดกระตุกยิ้มหลังจากได้ยินประโยคจาก คู่แข่งตลอดกาล ให้ตายเถอะ...ปาร์คชานยอล นี่มันปาร์คชานยอลจริงๆ



              “ไปกันเถอะครับคุณแบคฮยอน”



              “ห้ะ? เดี๋ยวดิผู้กอง ผมยังคุยกับเซฮุนไม่เสร็จเลยน่ะ ย๊า!” คนตัวเล็กที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกหลังจากที่เพิ่งมาสนใจกับประโยคที่คนสองคนคุยกันตะกี้ โวยวายสุดฤทธิ์เพราะทันทีที่ลุงผู้กองแกพูดจบ แกก็ฉุดเขาไปแบบไม่ทันตั้งตัว



              “เดี๋ยวสิครับผู้กอง มาพูดให้คนอื่นฟังแล้วจากไปโดยไม่ฟังคนอื่นไม่ใช่มารยาทที่ดีเลยนะครับ”



              “...” ร่างสูงหยุดชะงักกึก ทำให้บยอนแบคฮยอนที่เดินตามหลังเขามาชนเข้ากับแผนหลังกว้างของเขาอย่างจัง



              “โอ๊ะ!” อะไรว่ะครับคุณผู้อ่าน...นี้ไม่เข้าใจว่าทำไมตะกี้บอกให้หยุดไม่หยุด แต่พอหยุดเสือกไม่บอกกูสักคำ อารมณ์ผู้กองแกแก่แล้วแปรปรวนงี้? หรือ เมนส์ไม่มา? ทิฟฟี่สักแผงไหมฮัลโหล อีห่านนน



              แต่พอได้กลิ่นมาคุแผ่ซ่านออกมาจากชุดไปรเวทของผู้กองแกแล้ว...ประโยคชวนทะเลาะเรื่องตะกี้ไว้ทีหลังละกันเนอะ ;____;



             “..อย่าคิดนะ...ว่าสิ่งที่คุณสนใจ คนอื่นจะไม่สนใจ...”



              “...”



              “ว้า ทำไงดี? สิ่งที่ว่านี่ผมสนใจมานานแล้วสิ...”



              “อย่าทำเป็นรู้มากเรื่องของคนอื่นไปเลยครับ...ผมไม่อยากจะเสวนากับคุณแล้ว มันเสียเวลาชีวิตของผมมามากพอแล้ว”



              “งั้นหรอ...”



              “ไปกันเถอะครับแบคฮยอน”



              “ห้ะ? นี่คุยไรกันอะผู้กอง เห้ย! เดี๋ยว แล้วของของผมอะ!



              “เดี๋ยวค่อยให้คนขึ้นมาเอาครับ ลิฟต์มาแล้ว”




              ติ๊ง!



              “เอ้า! แล้วไม่บอกผมแต่แรกอะ แล้วให้ขนมาเพื่อ?”



              “หยุดถามคำถามอะไรแล้วยืนเงียบๆครับ พูดมากระวังเตี้ยลงนะครับ” ผู้กองหนุ่มผลักให้คนตัวเล็กเข้ามาในลิฟต์เบาๆก่อนที่ตัวเองจะเข้ามายืนขนาบข้างด้วย นักแสดงหนุ่มถอนหายใจแล้วกลอกตาไปมา โด่! ทำแบบนี้นอกจากจะปิดบังยังหลอกด่าเขาอีกนี่หว่า ผู้กองแม่ง...



              ทันทีที่เสียงเจี้ยวจ้าวและร่างของคนทั้งคู่หายไปกับลิฟต์ ก็ยังคงมีร่างของใครอีกคนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมใบหน้าของเขานั้น...กำลังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม



              รอยยิ้มแห่งความสนุก




              รอยยิ้มแห่งความท้าทาย




              ถึงแม้ความสนุกครั้งนี้...อาจจะแลกมาด้วยความเสียใจ ถ้าเกิดเขาแพ้...ก็ตาม

               

            




              ในขณะที่ฝนพรำและการจราจรกำลังแน่นขนัดในช่วงคนกำลังเดินทางไปทำงาน เวลาก็คง...ราวๆ 8 โมงเช้าเห็นจะได้ บนรถเบนซ์สีดำที่จอดนิ่งอยู่กลางถนนขณะติดไฟแดง มีร่างของชายหนุ่มสองคนอยู่บนตำแหน่งคนขับและตำแหน่งข้างคนขับ ชายหนุ่มคนขับอยู่ในสภาพที่กำลังหมดอะไรตายอยาก ในขณะที่ชายหนุ่มข้างคนขับกำลังเต้นดุ๊กดิ๊กส่ายไปมาจนน่ารำคาญ เชื่อว่าหากพระเจ้ากำลังมองอยู่ คงประเคนฝ่าผ่ากลางกระบาลทุยทุยนั่นสักหนเป็นแน่...ถ้าไม่ติดที่ชายหนุ่มคนนั้นเป็นบยอนแบคฮยอน พระเอกที่หน้าหวานกว่านางเอจากเรื่องไททานิคเกาหลีเวอร์ชั่นน่ะนะ เชื่อว่าพระเจ้าคงทำไปแล้ว...



               “โอ~ โอ~ ละน้อน้องรอดีดี~~” แบคฮยอนร้องคลอตามเพลงของพี่นก ตรงไป พร้อมกับดิ้นเร้าไปมาอย่างสุดฤทธิ์ หลังจากที่เหยียบย่างขึ้นมาบนรถของผู้กองนักแสดงหนุ่มก็เอาแต่เปิดเพลงแล้วเต้นดุกดิ๊กไปมา โดยไม่สนใจที่จะชวนปาร์คชานยอลคุยเลยสักนิด ว่าก็ว่าเถอะ แม้แต่ปลายหางตามาดูสีหน้าของเขา เด็กบ้านี่มันก็ไม่ทำ



              “เพลงโบราณจังครับ” เช่นเดียวกันที่เขาเองมักจะขัดแบคฮยอนเวลากำลังฟินกับเพลงที่เปิดทุกครั้ง จนเด็กนี่ต้องเปลี่ยนเพลงมาแล้วถึง 5 เพลง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ปาร์คชานยอลรู้สึกสนุกนิดหน่อย พอให้หายหงุดหงิดจากอารมณ์บ้าบ้าที่เกิดขึ้นเองได้บ้าง



              “ไม่ต้องมาขัดเลยน่ะผู้กอง! ผมไม่เปลี่ยนแล้ว น่ามคานจริมๆ ตื้อ~ ตื๋อ~ ช้ะช้ะ”




              ติ้ด!


              “เห้ย! ปิดทำไมเนี่ย”



              “รถผม ผมมีสิทธิ์ครับ” คนตัวสูงกระตุกยิ้มแล้วเตรียมออกรถเมื่อสัญญาณไฟเป็นสีเหลือง โดยไม่หันไปสนใจบยอนแบคฮยอน ที่ตอนนี้ดิ้นเร้าเพราะอารมณ์โกรธที่ไม่ใช่เพลงเสียงเพลงแม้แต่นิด




              บอกแล้ว ทำมาทำกลับไม่โกง




              “ทำงี้ได้ไงว้า ผู้กองเอาแต่ใจแบบนี้มาตั้งแต่เกิดเลยไง๊?”



              “ผมว่าคุณควรจะส่องกระจกแล้วถามตัวเองนะครับ” แบคฮยอนขยับปากพูดเป็นคำว่า กวน-ตีน แบบไม่มีเสียง ในตอนที่ผู้กองปาร์คส่องมองกระจกข้าง



              “ครับ...ยอมรับว่าผมกวน”



              “กะ..ก็รู้นี่” ยอมรับว่าแอบตกใจ...ลุงแม่งรู้ได้ไงว่ะ?



              “แต่ผมกวนอย่างอื่นเก่งมากเลยน่ะครับ”



              “จะมีอะไรที่ลุงกวนได้เก่งเท่าตีนว่ะครับ?”



              “หยาบคายจังครับ”



              “ทำมารับไม่ได้” แบคฮยอนหันออกไปมองวิวนอกกระจกรถแล้วเบะปากแรงๆจนเขาคิดว่าการเบะปากเป็นนิสัยประจำของเขาเวลาอยู่กับลุงผู้กองไปเสียแล้ว




              แกร๊ก


              ผู้กองหนุ่มดึงเกียร์ออโต้ไปสุดเพื่อหยุดรถ เพราะติดไฟแดงรอบที่ล้านแล้วมั้งเห็นจะได้ ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปหาแบคฮยอนที่ยังคงสนใจป้ายประกาศรับสมัครพนักงานที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนกับเสาไฟฟ้าด้านนอก โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลยสักนิด



              ชานยอลแกล้งถอนหายใจแรง จนแบคฮยอนขนลุกซู่เพราะเป็นคนรับรู้สัมผัสจากคอเร็วมาก พอหันขวับไปมองก็ถึงกับถอยหลังพิงติดประตูรถแทบไม่ทันเมื่อเห็นใบหน้าแสนกวนประสาทกับหูกางๆคล้ายโยดาในสตาร์วอร์ของผู้กองปาร์คอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ



              “อุ้ย! ผี”



              “ผีที่ไหนจะหล่อแบบนี้ครับ”



              “เพิ่งรู้ว่าหลงตัวเองขนาดนี้”



              “อยากมาหลงด้วยกันไหมครับ”





              “...” อึ้ง ดิ ครับ ... แม่ครับ พี่เขาเป็นบ้าหรอครับ? ใครก็ได้บอกที แกรับยามาเกินขนาดหรืออันใด? รู้นะว่าเป็นคนชอบกวนตีนและแกล้งกูแบบสุดสุดแต่แกล้งอะไรนี่เห็นใจกูบ้างงงงง นี่ตามไม่ทันแล้วนะบ่องตง





              “เด็กจังครับ มุกหลอกเด็กแค่นี้ก็ช๊อคไปซะแล้ว”



              “...”



              “ผมก็แค่จะบอกว่า...นอกจากผมจะกวนเท้าและประสาทของคุณ..ผมยังกวนอย่างอื่นเป็นนะครับ และผมคิดว่าผมกวนเก่งซะด้วยสิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือเวลาเท่าไรที่ใบหน้าของผู้กองปาร์คอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงแค่ช่วงลมหายใจเท่านั้น รู้แค่ว่าตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังเสียววาบ แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้มีอารมณ์พิศสวาทกับผู้กองปาร์คหมาเป็นแน่แท้ รับรองได้



              “จะบอกก็บอกมาเถอะ ลุงจะเว้นวรรคนานๆเพื่อให้ได้อะไร?” บอกว่าเหนื่อยใจที่ต้องลุ้นว่าลุงจะพูดอะไรก็ไม่กล้าไง



               “บอกมาก่อนสิครับ ว่าคุณเป็นอะไรกับโอเซฮุนกันแน่” อ๋ออออ คือที่แปลกไปนี่เพราะเซฮุนสินะ



              “ทำไม? ผู้กองอยากรู้ไปทำไม?”



              “โอเคครับ ถ้าไม่ตอบผมก็จะไม่บอก แถม...” ไม่ว่าเปล่าลุงปาร์คหมาก็ค่อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทีละน้อยจนแบคฮยอนหลับตาปี๋หดคอหนีแทบไม่ทัน




              ให้ตายเถอะซาราห์! ลุง มึงเป็นใช่ไหม!!




              “เออ! โอเคๆ ผมกับโอฮุนเราเป็นเพื่อนกัน”



              “โอฮุน? เพื่อน?”



              “เออ โอฮุนคือชื่อที่ผมเรียกมัน เพื่อนก็คือเพื่อนดิ”



              “คิดว่าผมฉลาดน้อยเหมือนคุณหรอครับ?”



              “ด่าผมโง่เหอะแบบนี้”



              “ไม่ครับมันไม่สุภาพ”



              “ให้ตายเถอะ” อยากตายครับแม่ ใครก็ได้มารับผมไปที พี่มินซอกกกกกก



              “แต่สายตาที่โอเซฮุนมองคุณมันแตกต่างจากคำว่าเพื่อนนะครับ”



              “อะ อะไรกัน เพื่อนกันมานานโด่...ผู้กองมโนแล่ว!” ใครจะบอกกันละว่า เซฮุนคือคนที่เคยมาจีบเขาตอนปี 1 แต่โดนเขาปฎิเสธไป เลยหันกลับมาตีสนิทเขาอีกครั้งแล้วบอกว่าอยากเป็นแค่เพื่อนแล้วจริงๆ จนถึงตอนนี้สถานะเราก็ยังคงเป็นแบบนั้น เพื่อนที่ดีต่อกัน



              “ครับ ผมเชื่อครับ”



              “เอาหน้าออกไปได้แล่ว!!” แบคฮยอนยกฝ่ามือเรียวขึ้น หวังจากผลักใบหน้าคมของผู้กองออกไป แต่ก็เดินมือหนาของผู้กองรวบไปกองอยู่บนหัว จนขยับไม่ได้ซะงั้น




              อ้าว...ตบไหมผู้กองเล่นงี้



              “ง่ายไปครับ”



              “ง่ายอะไร?”



              “ให้ผมเอาหน้าออกไปมันง่ายไปครับ”



              “ง่ายบ้าไร? ผู้กองยังไม่ได้บอกผมเรื่องนั้นเลยน่ะอย่ามาทำไก๋”



              “เรื่อง?...อ๋อ...คุณไม่อยากรู้หรอกครับ”



              “มโนเก่งอีกละ ไม่รู้คือจะถามปะ?”



              “อารมณ์ร้อนแบบนี้ คิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้หรือเปล่าครับ?”



              “ไม่ได้ตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วปะ?”



              “นั่นสินะครับ”



              “แก่แล้วเลอะเลือน?”



              “หยาบอีกแล้ว ถ้าผมหยาบกลับนี่ระวังพูดไม่ออกไปทั้งวันนะครับ”



             “โอ้ยยย อปป้า ฉันกลัวจังเลยคร้า เหอะ! ถ้าแน่จริง...ก็ลองดูไหมละครับ” แบคฮยอนแทบสำลักอากาศหายใจตาย ผู้กองปาร์คเนี่ยนะจะหยาบคายอะไรได้? อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อเหอะ



              “โอเคครับ จัดให้ได้ตามที่หวัง...”



              “...”



              “จริงๆแล้วนอกจากผมจะกวนประสาทและฝ่าเท้าคุณเก่ง..”



              “ผู้กอง...จะทำอะไร!” แม่งไม่ใช่ละ จู่ๆผู้กองก็ยื่นหน้าเข้ามาไกล้ซอกคอของเขา ได้ยินชัดถึงเสียงลมหายใจที่เป่าอยู่บริเวณกกหูเลยจ้ะ ขนนี่ลุกตั้งแต่ขนตูดยันขนแขน



              “ฟังให้จบก่อนสิครับ..” นักแสดงหนุ่มพยายามดิ้นเร้าไปมา แต่พอยิ่งดิ้นใบหูของเขาก็ยิ่งสัมผัสกับกลีบเนื้อยุ่นของผู้กอง ทำให้ขุนลุกวาบบวกกับไฟฟ้าแล่นปราดไปทั้งร่าง เท่านั้นแหละ แบคฮยอนถึงกับหยุดดิ้นแล้วทำเหมือนว่าผู้กองปาร์คเป็นต้นไม้จำศีลในแฮร์รี่พอตเตอร์ยังไงอย่างงั้น



              “ผมน่ะ...ยังกวนใจและปากของคุณได้น่ะครับ ถ้าอยากลอง...” กวนใจ...กวนปาก  ยังไม่พอ นี่กวนหูด้วยช้ะ?ถาม กัดทำไมมม กัดหูทำไมมมมมมมมม



              “...”



             “ตายจริง ไฟเขียวแล้วครับ คุณน่าจะเตือนผมนะ” ยอมปล่อยมือทั้งสองข้างของเด็กปากดีที่อ้าปากค้างจนแมลงวันน่าจะทำรังได้สัก 10 รัง ออก พลางกระตุกยิ้มยักคิ้วให้



             ให้ตายเถอะ สนุกจริงๆเลยกับการกวนประสาท บยอน แบคฮยอน ถึงจะไม่พอใจผู้บังคับบัญชาบยอนแบคซานอยู่บ้างที่ให้เขามาทำคดีลูกชายของตัวเอง ยังไม่วาย สั่งให้คุ้มกันลูกชายแบบลับลับ อีก ให้ตายเถอะ แต่ก็นั่นแหละ เขาจะไปขัดใจอะไรผู้บังคับบัญชาได้กันละเนอะ



             



    TBC

    โอฮุน เราขอคอสตูมสีชมพูของนายได้ไหม? มุมิงี้จะเป็นเมะให้เขาเหยอ?

     สกรีมแท๊ก #ฟิคนักโทษของคุณปาร์ค กันได้น้าาา เราไม่ได้บังคับเเค่ร้องขอ

    ไม่ใช่ฟิคดราม่า มีแววว่าจะเป็นฟิคตลก

    เรารักพวกนายน่ะ♥


     

     

     

                                

             

          

             

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×