ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 58


    บทที่  2

     

                    อาร์โรห์นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของวิหารชาฮาล  ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในวิหารแห่งนี้  การใช้ชีวิตอยู่ในวิหารที่ไม่มีอะไรเลยอาจเป็นการยากเกินไปที่จะนั่งว่างไปวันๆ

                    ทว่านี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด  เมื่อขึ้นวันที่สองเมื่อใดจะต้องมีใครสักคนที่ไม่อาจทนการอยู่แต่ในวิหารและต้องการออกไปจากที่นี่  เมื่อนั้นล่ะคือบททดสอบ  ใครก็ตามที่ออกไปจากตัววิหาร  แม้เพียงก้าวเดียวก็อาจถึงตายได้  ด้วยเพราะเขตแดนของเผ่าจะถูกปลดออก  ปีศาจอื่นๆก็จะสามารถเข้ามาในอาณาเขต  และเมื่อนั้นสงครามระหว่างเผ่าก็จะบังเกิดขึ้น  แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียงสองวันแต่สำหรับอินคิวบัสและซัคคิวบัสที่ยังไม่โตเต็มที่และไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมรบก็มักจะถูกเพ่งเล็งและมักจะตายเป็นพวกแรกๆเสมอ...ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน  และก็ไม่มีใครคิดที่จะบอกพวกเขา

                    อาร์โรห์มองออกไปนอกหน้าต่าง  ท้องฟ้าในเวลานี้ดูจะมืดอึมครึมยิ่งกว่าเวลาปกติเสียอีก  ทั้งยังมีควันพิษที่จะมีเฉพาะนอกเขตแดนลอยอบอวลไปทั่ว

                    ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ...

                    นัยน์ตาสีนิลมองสำรวจเท่าที่บานหน้าต่างเล็กๆนี้จะอำนวย  เขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเขาเข้ามาในเผ่ามากมาย  ไม่ว่าจะด้วยการสยายปีกโบยบินหรือการวิ่งเข้ามาด้วยขาก็ตาม

                    ภายนอกในตอนนี้...อันตราย...

     

                    วันแรกในการอยู่ในวิหารผ่านไปได้ด้วยดี  ทว่าในวันนี้ก็ได้มีผู้ที่ไม่อาจทนอยู่ในวิหารอันอุดอู้นี้ได้อีกต่อไป

                    “ข้าจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกแล้ว !!!” เสียงที่สื่อถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นพร้อมปะทุนั้นปลุกให้อาร์โรห์ตื่นขึ้นมา  เขามองไปยังต้นเสียงที่เดินกระแทกส้นตรงไปยังประตูของวิหาร  โดยมีเพื่อนๆคอยห้ามปรามตามไปติดๆ  ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดทำตามในสิ่งที่ตนตั้งใจ

                    อาร์โรห์ตัดสินใจลุกขึ้นก้าวเข้าไปขวางหน้าประตู

                    ไม่ใช่ว่าเขารู้จักมักจี่กับอีกฝ่ายจึงได้ห้าม  หากแต่เขาเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่มีอัตราการเกิดน้อย  และหากมีใครในที่นี้ตายไปสักคนคาดว่าคงส่งผลต่อเผ่าพันธุ์ไม่น้อยแน่

                    “เจ้าก็คิดจะขัดขวางข้างั้นรึ  เจ้าคนนอกคอก”

                    “ข้าจะไม่ขวางเจ้า  หากเจ้าไม่ได้กำลังจะพาพวกเราไปตายกันทั้งหมด”

    “ว่าไงนะ”

    “ข้างนอกนั่นมีปีศาจนอกเหนือจากพวกเราอยู่” อาร์โรห์กล่าวพลางเหลือบดวงตาไปทางหน้าต่าง  คนที่อยู่ใกล้หน้าต่างรีบหันไปดูแล้วก็ทำได้เพียงหน้าซีดลง

    “หากเจ้าออกไป  นอกจากเจ้าจะเป็นผู้บอกที่ซ่อนของพวกเรา  เจ้าเองก็อาจไม่ได้กลับมา  พวกเรายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม”

    เมื่อคำพูดของอาร์โรห์จบลง  ทุกคนก็ล้วนแต่ส่งเสียงเห็นด้วย  ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะหยุดทำตามความคิดของตนเอง  เขาหันไปตวาดใส่คนอื่นๆด้วยน้ำเสียงกร้าว

    “พวกเจ้ากลัวงั้นเรอะ !!!?  กลัวกับสิ่งที่เจ้าคนนอกคอกนี่พูด  พวกเจ้ากลัวงั้นเรอะ !?”

    ทุกคนต่างรีบเบือนหน้าหนี  ไม่แม้กระทั่งจะสบตามองอีกฝ่าย  แน่นอนไม่มีใครอยากเป็นคนขี้ขลาดในสายตาของคนอื่น  ทว่าในเรื่องที่ส่งผลต่อเรื่องของความเป็นและความตายก็ไม่มีใครอยากเสี่ยง...แม้จะรักการต่อสู้และการฆ่าฟัน  แต่หากเป็นผู้ถูกตามฆ่าก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ !

    เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบรับหรือปฏิเสธจึงทำได้เพียงกัดฟันสะบัดหน้ากลับมาที่อาร์โรห์อีกครั้ง  ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักร่างของอาร์โรห์ให้พ้นทาง  และเปิดประตูวิหารออกจากนั้นก็ก้าวออกไปสู่ภายนอก...

    ปีศาจทุกตนในวิหารต่างจ้องไปยังร่างของอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ  ขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มที่จะรู้สึกว่าภายนอกไม่ได้มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด  และผู้ที่คิดว่าตนได้กลับสู่อิสรภาพอีกครั้งกำลังหันมาทำสีหน้าเย้ยหยันอยู่นั่นเอง...

    เงาสีดำสายหนึ่งได้โฉบลงมาอย่างรวดเร็ว  และโดยไม่มีผู้ใดทันตั้งตัวเงาร่างนั้นก็เข้าถึงตัวของผู้ที่ยังไม่ได้แม้กระทั่งจะรู้สึกถึงแรงคุกคามว่าได้ถูกเพ่งเล็งเป็นเหยื่อ  และแล้วปีศาจตนนั้นก็เข้ากัดที่ไหล่ของอินคิวบัสที่ยังไม่โตเต็มที่ตนนั้นที่ทำได้เพียงเบิกตากว้างขึ้น  จากนั้นก็ปรากฏภาพสยดสยองที่ร่างของอีกฝ่ายถูกฉีกกล้ามเนื้อที่ไหล่ออกมาก้อนใหญ่จนเห็นกระดูก  ยังไม่ทันได้ร้องสักแอะร่างก็ถูกฉีกกระชากออกด้วยแรงมหาศาลของแวมไพร์  เหลือเพียงเศษเนื้อและโลหิตสีแดงสดที่สาดกระจายไปทั่วบริเวณ

    ผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนกรีดร้องลั่น  ไม่มีใครที่มีสติมากพอจะรีบไปปิดประตูวิหาร  กระทั่งแวมไพร์ที่เพิ่งกระทำการเชือดสดไปหมาดๆหันมาทางตัววิหาร  ส่งเสียงขู่คำรามและเริ่มพุ่งมาทางประตูด้วยความรวดเร็วนั่นล่ะอาร์โรห์ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดจึงได้สติและรีบผลักประตูปิดลงได้ก่อนที่แวมไพร์ตนนั้นจะเข้ามา

     เมื่อประตูปิดสนิท  เหล่าผู้ที่อยู่ภายในวิหารต่างก็ทรุดร่างลงนั่งกับพื้น  บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจและหวาดกลัว

    ทั้งวิหารเงียบลงทันตา  มีเพียงเสียงกระแทกประตูจากด้านนอกเท่านั้นที่ยังคงดังก้องไปทั่ว...

    ในวันต่อมาไม่มีใครที่นึกอยากจะออกไปจากตัววิหารอีกเลย  ความหวาดกลัวยังคงกอบกุมจิตใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์  ไม่มีผู้ใดส่งเสียงพูดคุย  กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศในวิหารนั้นอยู่ในช่วงตึงเครียดเสียจนรู้สึกหนักอึ้ง

    เวลาที่ทุกคนได้กลับสู่อิสระคือช่วงเช้าในวันถัดมาหลังพิธีจบลง  ไม่มีใครเอ่ยถึงผู้ที่ตายไป  แสร้งยิ้มยินดีกับการที่พวกตนได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มสาวอย่างเต็มตัว  โดยที่ในใจนั้นยังคงหนักอึ้ง

    คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่พวกเขาจะได้ไปยังโลกมนุษย์

     

    ในวันนี้เดลกลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ  แต่การทำงานเกินเวลาก็ทำให้เขาได้รับเงินค่าจ้างมากกว่าที่ได้ตกลงไว้กับนายจ้างเช่นกัน  ไม่แน่หากเขายังคงขยันทำงานเช่นนี้ต่อไป  อีกไม่นานเขาอาจมีเงินเก็บมากพอที่จะไปซื้อบ้าหลังเล็กๆสักหลัง  ไม่ต้องมาทนเสียค่าเช่าบ้านโทรมๆที่เก็บเงินเกินสภาพเช่นนี้ก็เป็นได้

    เดลผลักประตูบ้านที่ส่งเสียงออกมาราวกับพร้อมจะหลุดออกมาด้วยแรงที่เขาคิดว่าเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้  จากนั้นจึงเดินตรงขึ้นไปชั้นบนกลับเข้าห้องของตนเอง  ทว่าก็ต้องชะงักอยู่เพียงหน้าประตูเมื่อพบว่าในห้องของเขานั้นปรากฏร่างๆหนึ่งนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง

    เดลเพ่งพินิจมองอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน  ตั้งแต่เส้นผมสีนิลที่ถูกปล่อยยาวลงมาถึงเอว  ใบหน้างดงามที่ดูจะมีเค้าความเป็นบุรุษมากขึ้น...แม้จะเล็กน้อยก็ตาม  และส่วนสูงที่ดูจะมากขึ้นมาพอสมควร  ทว่าร่างกายของอีกฝ่ายก็ยังคงดูบอบบางเกินบุรุษอยู่ดี

    ทว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนเขาก็ยังสามารถจดจำอีกฝ่ายได้แทบจะในทันที  โดยเฉพาะใบหน้านั้น...เขายังคงจดจำได้ขึ้นใจ  แม้จะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่ครั้งก็ตามที

                    อย่าหาว่าเขาเป็นพวกโรคจิตนะ ก็ลองคิดดูสิอีกฝ่ายมีลักษณะที่โดดเด่นขนาดนั้น  แม้จะได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็ยังสามารถจำได้ขึ้นใจเลย !

    “เจ้าคือ...อาร์โรห์ ?”

    เสียงของเขาเรียกให้ใบหน้างดงามเงยขึ้น  พร้อมกับค่อยๆเปิดเปลือกตาเผยนัยน์ตาสีนิลกาลเช่นเดียวกับเส้นผมของอีกฝ่ายให้เขาได้เห็น

    “เดล...รีการ์ด...” เสียงของอีกฝ่ายที่กล่าวออกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มชาวมนุษย์มั่นใจ  ร่างตรงหน้าเขานี้คืออาร์โรห์อย่างไม่ต้องสงสัย

    “จ...เจ้าดู...เปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ”

    “งั้นหรือ...” อาร์โรห์กล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันกายนั่งลงบนเตียง

    เดลเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ  เหตุใดวันนี้อีกฝ่ายจึงได้มีท่าทีแปลกไป  ดูราวกับมีเรื่องทุกข์ใจแต่ไม่อาจกล่าวออกมาให้ใครฟัง

    “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”  เด็กหนุ่มกล่าวพลางเดินเข้าไปทิ้งกายลงนั่งข้างๆร่างที่บางกว่า  ส่งผลให้อีกฝ่ายหันมามองเขาก่อนจะถอนหายใจเฮือก

    ...เรื่องแบบนี้  ควรเล่าให้อีกฝ่ายฟังหรือเปล่านะ ?...

    อาร์โรห์นิ่งคิด  หากเขาบอกไปจะทำให้อีกฝ่ายกลัวหรือเปล่า ?  เรื่องที่ว่ามีคนตายต่อหน้าเขา  การฆ่าฟันกันเองของเหล่าปีศาจ  ในความเป็นจริงมันไม่ควรจะให้มนุษย์รู้เรื่องราวพวกนี้เสียด้วยซ้ำ  เพราะจิตใจของมนุษย์นั้น...เปราะบางเกินไป...

    เดลเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เข้าใจกระจ่างว่าเรื่องนี้อาร์โรห์ไม่คิดที่จะบอกเขา  แต่จะเก็บเรื่องนี้ให้ตนเองแบกรับไว้เพียงผู้เดียว

    “เจ้า...” ขณะที่เดลกำลังจะกล่าวอะไรออกไป  อาร์โรห์ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบกับริมฝีปากของตนเองเป็นสัญญาณให้เดลเงียบเสียงลง  นัยน์ตาต้องสาปมองอาร์โรห์อย่างไม่เข้าใจ...ทำไมอยู่ๆต้องให้เขาเงียบด้วย...

    ดวงตาของอาร์โรห์กลอกมองรอบด้านครู่หนึ่งร่างสูงเพรียวของเขาจึงได้ผุดลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง  เป็นเหตุให้เดลต้องลุกขึ้นเดินตามด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  ทว่าเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องอาร์โรห์กลับหันกลับมาหาเขา

    “เจ้ารออยู่ที่นี่  ห้ามออกมาจากห้องจนกว่าข้าจะมาเรียก” กล่าวจบอีกฝ่ายก็ปิดประตูลง

    เดลนิ่งมองประตูอยู่ครู่หนึ่ง  แม้ในใจจะรู้สึกกังขากับคำกล่าวของอาร์โรห์  ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงเชื่อในคำกล่าวนั้นแล้วกลับมาทิ้งกายลงนั่งบนผืนเตียง  ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิก่อนจะเท้าแขนลงบนนั้น  นั่งรอเวลาที่อาร์โรห์จะกลับมาเปิดประตูเรียกเขาออกไป

     

    อาร์โรห์เดินตรงมาตามทางเดินเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง  ทว่ามันกลับทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง  หัวใจเต้นระรัวขึ้นมากะทันหันเมื่อพบว่าห้องๆนี้คือห้องของ  ลูน่า  รีการ์ด...น้องสาวเพียงคนเดียวของเดล...

    สาเหตุง่ายๆที่ทำให้อาร์โรห์กังวลจนต้องออกมาจากห้องของเดลคือพลังแปลกปลอมของอินคิวบัสที่เข้ามาอยู่ในบริเวณบ้านหลังนี้  ทั้งๆที่อีกฝ่ายน่าจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา  แม้จะไม่ได้แผ่พลังออกมาเพื่อกางอาณาเขต  แต่อย่างน้อยก็น่าจะไว้หน้าหรือทำตามมารยาทกันบ้าง

    อาร์โรห์ผลักประตูห้องเปิดเข้าไปภายใน  เสียงดังของประตูทำให้ร่างที่กำลังขึ้นคร่อมร่างของเด็กสาวที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงผินใบหน้ามามอง  ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสยะยิ้ม

    “อ้าว  ที่แท้ก็เจ้าเองรึ  เจ้าคนนอกคอก” สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวไม่อาจทำให้อาร์โรห์เปลี่ยนสีหน้าที่เรียบนิ่งจนนิ่งสนิทได้แม้เพียงนิด  มันเป็นความสงบก่อนที่พายุครั้งใหญ่จะโหมกระหน่ำขึ้น

    “ออกมาจากลูน่าซะ  ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” เสียงเรียบเย็นของอาร์โรห์ไม่อาจสร้างความหวาดหวั่นแม้เพียงนิดให้แก่อีกฝ่าย  ไม่เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีจะยอมละออกมาจากร่างของเด็กสาวชาวมนุษย์อีกด้วย...เหตุผลง่ายๆ  เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายอยู่ในลำดับที่สูงกว่าเขา  คิดว่าเขามีฝีมือที่ต่ำชั้นกว่าตนเอง

    “เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้ หือ?  อาร์โรห์  เลอร์จิล”

    อาร์โรห์ไม่ตอบคำ  ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นเด็กหนุ่มผู้บอบบางคนหนึ่งกลับเริ่มแปรเปลี่ยน  เมื่อมีบางสิ่งที่ค่อยๆงอกยามออกมาจากศีรษะของเขา  โผล่พ้นเส้นผมออกมายาวลงมาถึงใบหน้า  ปรากฏเขาเรียวคล้ายเขาแพะก่อนที่ปีกซึ่งในเวลาปกติจะมีลักษณะคล้ายปีกนกสีนิลถูกสยายออก  ทว่าปีกของเขาในตอนนี้กลับกลายเป็นมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว  นัยน์ตาสีนิลราวกับสามารถแผ่ขยายออกจนครอบคลุมส่วนตาขาวทั้งหมด

    อีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงได้ผละออกจากร่างของเหยื่อซึ่งหมายตาไว้  ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนสภาพจนมีลักษณะคล้ายกับอาร์โรห์

    นั่นถือเป็นสัญญาณเปิดศึกระหว่างอินคิวบัสหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้ากันอยู่

    อาร์โรห์ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า  ขับเคลื่อนพลังเวทในร่างให้ไปรวมกันอยู่ที่กลางฝ่ามือเพื่อดึงเอาพลังความมืดรอบกายให้มารวมตัวกันบนฝ่ามือ  ขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งฝ่ายคู่ต่อสู้เองก็กางฝ่ามือทั้งสองข้างออกในระดับเอว  ใช้พลังสร้างวงเวทเรืองแสงสีแดงขึ้นบนพื้น  พลังสีแดงที่ไม่ได้เข้มดั่งเลือดหากแต่ก็ไม่ได้อ่อนจนอยู่ในระดับที่อ่อนคล้ายเปลวไฟค่อยๆปรากฏขึ้นจากวงเวท  ลอยขึ้นมารวมตัวกันบนฝ่ามือทั้งสองข้างพร้อมที่จะถูกซัดออกไปใส่ศัตรูทุกเมื่อ

    คุมเชิงกันอยู่เพียงครู่อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายซัดพลังบนฝ่ามือออกไปก่อนเป็นเหตุให้อาร์โรห์ต้องเร่งซัดพลังบนฝ่ามือออกไป

    พลังสองสีเข้าปะทะกันกลางอากาศ  ความกดดันของพลังทั้งสองสายส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกราวกับมวลอากาศหมุนบิดเป็นเกลียว  ลมกรรโชคขึ้นภายในห้องเล็กๆแห่งนี้จนเส้นผมของทั้งสองฝ่ายปลิวไปตามแรงลม

    เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที  หากแต่ราวกับผ่านไปหลายนาทีในความรู้สึกของอาร์โรห์ในที่สุดพลังทั้งสองสายก็สลายหายไป  ห้องทั้งห้องกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหนึ่ง

    ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น  เมื่อฝ่ายร่างที่สูงใหญ่กว่าวาดมือทั้งสองข้างมาตรงหน้า  บีบอัดพลังสีแดงเข้าด้วยกันจนมันมีรูปทรงเรียวยาว  ปรากฏเป็นหอกสีแดงใส  อาวุธที่สามารถใช้ต่อกรศัตรูได้ในระยะกลางและสามารถใช้ในการป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน  ถือได้ว่าอีกฝ่ายสามารถเลือกอาวุธได้ดี  ในเมื่ออาร์โรห์นั้นถนัดอาวุธในระยะไกล อย่างเช่นธนู

    ...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะใช้เป็นอยู่เพียงอย่างเดียว...

    อาร์โรห์สะบัดมือออกไปข้างกาย  พลังสีดำถูกบีบอัดเข้าด้วยกันจนปรากฏดาบยาวทรงตะวันตกขึ้นมาเล่มหนึ่ง

    อาวุธที่จะสามารถชนะหอกที่ใช้ต่อสู้ในระยะกลางทั้งยังสามารถป้องกันไปได้ในเวลาเดียวกันนั้น  มีเพียงอาวุธในระยะประชิดเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะได้ในเวลาที่น้อยที่สุด

    อาจด้วยความโกรธที่สุมขึ้นในจิตใจที่ทำให้อาร์โรห์ลืมคิดไปว่าดาบนั้นเมื่อใดก็ตามที่เข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้  เขาจะต้องตะวัดดาบสะบั้นหัวอีกฝ่ายทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทันตั้งตัวและปัดการโจมตีของเขาออก

    ทั้งสองเริ่มเข้าปะทะกันอีกครั้งด้วยความรวดเร็วที่สูสีกัน  ฝ่ายหนึ่งวาดหอกออกมาเป็นวงกว้างจนอาร์โรห์ต้องถอยร่นออกมาจากระยะการโจมตีก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายเมื่อพบช่องโหว่  ทว่าอีกฝ่ายก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับได้อย่างรวดเร็วด้วยการหมุนควงหอก  ดีดการโจมตีของอาร์โรห์ออกไปได้อย่างเฉียดฉิว  จากนั้นจึงได้กระแทกด้ามหอกเข้าใส่อีกฝ่ายจนร่างของอาร์โรห์กระเด็นไปติดกำแพงอีกฟากหนึ่ง

    เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวจนคนที่นั่งรออยู่ในห้องเช่นเดลสะดุ้งโหยง  ในใจนึกหวั่นว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์  และอาจส่งผลให้น้องสาวของเขาตกอยู่ในอันตราย...

    ...ลูน่า !!!

    เมื่อคิดถึงน้องสาวร่วมสายเลือดเดลก็ผุดลุกขึ้นด้วยความร้อนรน  ใบหน้าที่ถือได้ว่าขาวของเขาตอนนี้กลับยิ่งขาวซีดพอๆกับกระดาษ  ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปจากห้องโดยลืมคำของอาร์โรห์ที่บอกเขาไว้ด้วยความหวังดีเสียสนิท

    การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด  ทั้งสองมีความสามารถที่ทัดเทียมกัน  ต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายและสร้างบาดแผลให้คู่ต่อสู้

    ในตอนนี้ทั้งสองได้เปลี่ยนสถานที่ต่อสู้มาเป็นโถงทางเดินในชั้นล่างของบ้านแล้ว  ด้วยฝีมือการหลอกล่อของอาร์โรห์  ใบหน้าของทั้งสองฝ่ายมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมา  การต่อสู้ที่ไม่ได้กินระยะเวลาเกินยี่สิบนาทีกลับสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ที่คิดว่าตนเหนือกว่าได้มากนัก

    เขาประจักษ์แล้วว่าฝีมืออีกฝ่ายนั้นสูสีกับเขามากทีเดียว...หรือบางทีอาจเหนือกว่าก็เป็นได้  เพียงแต่เขาไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น  แน่นอนว่าเขาอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอีกฝ่ายเสมอมา  แม้จะมีขึ้นมีลงแต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่าย

    ...ที่แท้เจ้าคนนอกคอกนี่ก็ออมมือมาตลอด...

    แม้สมองจะคิดเช่นนั้นแต่สายตาของเขาก็ยังคงไม่ละออกจากร่างของอาร์โรห์  ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากกว่าการยืนคุมเชิง  ร่างของอาร์โรห์ก็หายวับไปจากธารสายตาของเขา

    ...ไม่...ไม่ใช่หายไป...แต่อีกฝ่ายเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่สายตาของเขาจะสามารถมองเห็นได้ต่างหาก...

    คราวนี้อินคิวบัสหนุ่มถึงกับมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง  สายตามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง

    ...อยู่ไหน...อยู่ที่ไหนกัน...

    “ช่องโหว่...เต็มไปหมด...”

    เสียงกล่าวกระซิบที่ข้างหูเรียกให้อินคิวบัสหนุ่มเบิกตากว้างขึ้น...ต...ตั้งแต่เมื่อไหร่...  เขาอยากรีบผละหนีห่างจากอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด  เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อหลักฐานมาแสดงอยู่เบื้องหน้า ...เขา...สู้อีกฝ่ายไม่ได้...ไม่มีทาง...ไม่มีทางที่จะชนะได้เลย...

    “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง  ล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายลูน่าซะ” อาร์โรห์กล่าวเสียงเย็นเยียบที่ทำเอาคนฟังเย็นสันหลังวาบ  ทว่าเขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อีกฝ่ายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนนอกคอกหรอกนะ !!

    “หึ  ข้าหมายตานางมานาน  จนในที่สุดนางก็พร้อมสำหรับข้า  เพราะฉะนั้นข้าไม่มีวันจะล้มเลิกแผนการของข้าเสียหรอก !” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่น้ำเสียงของเขากลับสั่น...สั่นไปด้วยความกลัว...

    “เช่นนั้น...ข้าก็คงไม่อาจให้เจ้าอยู่ต่อไปได้อีก...”

    ราวกับว่าอาร์โรห์ไม่มีสติอยู่กับตัว  ด้วยความโกรธเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์  เสียงที่ใช้กล่าวจึงฟังดูเลื่อนลอยอย่างไร้สติ

    ในมุมมองของอาร์โรห์  เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธโอกาสสุดท้ายที่ตนได้หยิบยื่นให้  เขาก็รู้สึกโกรธ

    ...ไม่มีวันที่จะล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจไว้งั้นหรือ  หรือว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนพูด  เพียงเพราะว่าเขาถูกเรียกว่าคนนอกคอกอีกฝ่ายจึงได้ไม่ยอมแพ้งั้นหรือ...สาเหตุที่ทำให้ลูน่าตกอยู่ในอันตรายคือเขางั้นหรือ...เพียงเพราะเขาอยากจะเป็นสหายกับมนุษย์คนหนึ่ง  แต่กลับนำพาเอาความยุ่งเหยิง  ความเลวร้ายมาให้กับสองพี่น้อง...

    ...เลิกซะดีไหม?

    ...ไม่...ไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว...ต้องเดินหน้าต่อ...มีเพียงทางนี้เท่านั้น...

    ...ฆ่าอีกฝ่ายทื้งซะ !

    ไวเท่าความคิด  อาร์โรห์กล่าวออกไปด้วยเสียงเย็นเยียบแสดงเจตนาของตนออกมาให้ผู้ที่ได้รับฟังสะท้านเฮือก “เช่นนั้น...ข้าก็คงไม่อาจให้เจ้าอยู่ต่อไปได้อีก...”จากนั้นดาบในมือก็ถูกเงื้อขึ้น 

    ดวงตาของอาร์โรห์ในเวลานี้ว่างเปล่า  ไม่ใช่ในรูปแบบของเย็นชา  ทว่ามันไม่แม้กระทั่งจะแสดงอารมณ์และความคิดของเขาออกมาแม้เพียงเสี้ยว

    อินคิวบัสหนุ่มหันกลับมามองอาร์โรห์ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน   ทว่าดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อดาบสีดำสนิทนั้นพุ่งตรงมายังตนเอง !!!

    เมื่อเดลเดินออกมาเขาก็ทำได้เพียงตกตะลึง  โถงทางเดินเล็กๆบนชั้นสองของบ้านในตอนนี้ราวกับเป็นบ้านที่ผ่านระยะเวลามากว่าร้อยปี  พื้นไม้บางจุดพังลงจนกลายเป็นช่องที่สามารถมองผ่านลงไปด้านล่างได้  ตามกำแพงมีร่องรอยของของมีคมเฉือนลึกเข้าไปอีกหลายสิบรอย  สรุปคือสภาพโถงทางเดินในตอนนี้ราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆอย่างไรอย่างนั้น

    เปรี้ยง !

    อะไรน่ะ !?

    เสียงแปลกๆที่ได้ยินทำให้เดลยื่นหน้าไปมองผ่านพื้นไม้ที่กลายเป็นรูใหญ่  แสงสว่างที่วูบวาบอยู่ที่ชั้นล่าง และร่างสองร่างที่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงและดุเดือดทำให้เดลรีบออกห่างจากจุดที่ยืนอยู่  ก่อนจะรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังห้องของ  ลูน่า

    เดลที่วิ่งไปตามโถงทางเดิน  รู้สึกถึงหัวใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยิ่งวิ่งไปยังห้องของน้องสาวเท่าไหร่ร่องรอยการต่อสู้ก็ยิ่งดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ  คาดว่าบางทีจุดที่เริ่มการต่อสู้คงจะเป็นในบริเวณนี้

    ทว่าเขาก็ต้องสูดหายใจเฮือกเมื่อร่างของเขามาหยุดอยู่หน้าห้องของผู้เป็นน้องสาว

    ภายในห้องเรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเค้าเดิม  ผนังห้องด้านหนึ่งกลายเป็นรูโบ๋ใหญ่ขนาดใหญ่กว่าตัวของเดลเองเสียอีก  นอกจากนี้ส่วนอื่นๆในห้อง  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนต่างๆ  หรือแม้กระทั่งผนังห้องรวมไปถึงพื้นและเพดานก็ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของการปะทะกันทั้งนั้น  มีเพียงจุดๆเดียวที่ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ

    เตียงไม้ที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องนอนเล็กๆแห่งนี้  มีร่างๆหนึ่งยังคงนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนผืนเตียงแข็งๆ  ร่างบางๆของเด็กสาวพลิกตัวไปมาตามปกติที่เคยเป็นด้วยเพราะรู้สึกถึงอากาศร้อนอบอ้าวของหน้าร้อน

    ...นี่ก็นอนหลับสนิทดีจริง...

    เดลแอบคิดอยู่ในใจ  แต่เมื่อภาพการปะทะอันรุนแรงของสองปีศาจแฝงฝันผุดขึ้นมาในสมองเขาก็ได้แต่รีบเข้าไปเขย่าปลุกน้องสาวที่ยังนอนไม่รู้เรื่องรู้ราว

    ทว่าขณะที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงร่างของน้องสาวนั้น  เขากลับพบว่ามีอะไรบางอย่างแปลกประหลาด  ความรู้สึกที่เหมือนมีพลังบางอย่างหมุนวนอยู่ตรงหน้าจนเขาชักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้ากลับมา

    โดยไม่รู้ตัวนัยน์ตาสีโลหิตเรืองแสงสีแดงขึ้นพร้อมกับการปรากฏของวงเวทที่ราวกับถูกสลักฝังลึกลงไปในดวงตา

    ในความรู้สึกของเดล  รอบด้านเขากลับค่อยๆกลายเป็นสีแดง  ราวกับใครเอาเลือดมาทาทั่วทั้งโลก  แต่ในทางกลับกันตรงหน้าเขาก็ค่อยๆปรากฏกำแพงสีดำโปร่งใสรูปวงกลมล้อมรอบบริเวณเตียงคลอบคลุมไปถึงเพดานด้านบนผืนเตียงของลูน่า

    เดลยื่นมือไปสัมผัสกำแพงนั้น  ความรู้สึกราวกับสัมผัสถูกของแข็งทำให้เขาก้าวเข้าใกล้กำแพงนั้นอีกก้าว  ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาจากปลายนิ้วก็ทำให้เขาต้องรีบชักมือออกพร้อมถอยหนีออกจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่

    ...นี่มันอะไรน่ะ

    “อ้ากกกกกกกกกกกกกก !!!

    เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกายเตรียมออกตัววิ่งออกไปจากห้อง  ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อตรงหน้าเขานั้นปรากฏกำแพงสีดำโปร่งใสขวางกั้นเส้นทางที่เขากำลังจะก้าวต่อไปอยู่พอดี

    อย่างนี้ก็ออกไปไม่ได้น่ะสิ...

    เดลเม้มปาก  นัยน์ตาสีแดงที่ยังคงเปล่งแสงและมีวงเวทปรากฏอยู่กวาดมองไปทั่วกำแพงโปร่งแสงสีดำตรงหน้า

    ...ไม่ว่าอย่างไรเวททุกบทก็ต้องมีจุดอ่อน  หากหาจุดอ่อนนั้นเจอเขาก็มีสิทธิ์ที่จะสามารถทำลายสิ่งที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเขาได้  โดยที่ใช้กำลังน้อยที่สุด...

    เขาสามารถพบจุดที่มีพลังอ่อนกว่าจุดอื่นๆโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน  มันอยู่สูงเหนือเขาขึ้นไปอีกประมาณครึ่งช่วงตัว  เป็นความสูงที่ไม่ได้สูงเกินเอื้อมถึงสักเท่าไหร่

    ...ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาวิธีแก้ก่อน...ราวกับตอบรับความคิดของเขา  นัยน์ตาต้องสาปเริ่มทำการวิเคราะห์ส่งผลให้ดวงตาของเขาเปล่งแสงมากกว่าเดิม

    พลังเวท...สายมืด

    ความเข็งแกร่ง...ระดับกลาง

    ประเภทของเวท...ป้องกัน และกับดัก

    วิธีการแก้...ใช้พลังเวทที่มีระดับสูงกว่ากระแทกจุดที่อ่อนแอที่สุด

    “ก็ไม่ได้แก้ยากอะไร” เดลพึมพำก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับจุดที่เขาหมายตาไว้เมื่อครู่  จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ

    แสงสีขาวค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันบนฝ่ามือของผู้ที่ใช้เวท หลังจากนั้นไม่นานการรวมตัวกันของแสงก็หยุดลงตามความคิดที่คิดว่าพลังมากพอที่จะทะลวงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

    เปลือกตาของเด็กหนุ่มถูกเปิดขึ้นพร้อมกับที่พลังถูกซัดออกไป

    ลูกพลังพุ่งชนจุดที่มีพลังอ่อนที่สุดของกำแพงนั้น  เกิดเสียงคล้ายมีอะไรบางอย่างแตกร้าวดังขึ้นพร้อมกับรอยแยกที่เริ่มขยายตัว  จากนั้นมันก็ลามออกไปเรื่อยๆเป็นใยแมงมุม

    เพล้ง !

    สิ่งที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา  เมื่อเศษของกำแพงนั้นตกกระทบพื้นมันก็สลายไปราวกับมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

    “เยี่ยม” เดลมองดูผลงานของเขาอย่างพอใจ  ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง  มุ่งตรงสู่ชั้นล่าง

    สภาพของด้านล่างนั้นดูจะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าด้านบนเสียอีก  ร่องรอยการต่อสู้ที่กระจายไปทั่วทั้งบ้าน  ทั้งยังร่องรอยการใช้เวทที่รุนแรงมันทำให้เดลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่น...การต่อสู้ระหว่างปีศาจ  ที่แท้ก็รุนแรงถึงขนาดนี้...

    ตึก

    เสียงฝีเท้าที่มาหยุดลงตรงหน้าเดลทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาจากร่องรอยการต่อสู้รอบด้านมายังร่างตรงหน้า  ร่างที่สูงเลยไหล่ของเขาขึ้นมาเล็กน้องนั่นคือร่างของอาร์โรห์  ใบหน้างดงามน่าจับตาในบัดนี้จากปกติที่ดูไร้สีเลือดอยู่แล้วตามแบบของปีศาจตอนนี้กลับซีดขาวกว่าเดิม  ทั้งยังมีรอยเลือดกระเด็นอยู่ทั่วตัว

    อีกฝ่ายมองมาทางเขาด้วยนัยน์ตาสีนิลที่สะท้อนแววหวาดหวั่น  นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

    “เจ้าออกมาทำไม” อาร์โรห์กล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก  แม้จะพยายามทำให้ดูเป็นปกติก็ตาม

    “ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ เลยออกมาดู  แล้วก็เห็นเจ้า...” เดลชะงักไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าที่ผิดปกติยิ่งกว่าเดิม  จนอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ? สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ”

    อาร์โรห์เม้มปาก  ในหัวสมองยังเห็นภาพเมื่อครู่ติดตา  ภาพของผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ที่ถูกฟันจนขาด  กลิ่นเลือดนั้นยังคงคละคลุ้งอยู่ในโพรงจมูก  เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาลงมือฆ่าอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่  สิ่งที่เขาจำได้มีถึงเพียงว่า เขากำลังต่อสู้แล้วเขาก็คิดจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เลิกยุ่งกับลูน่า  แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธแล้วเขาก็โกรธ...

    จำไม่ได้...ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าเป็นคนลงมือเอง  แต่ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้...ปวดหัว...คิดอะไรไม่ออกเลย...

    “ข้า...” ...ไร้ประโยชน์...คิดยังไงก็ไร้ประโยชน์...ราวกับว่าช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์  เป็นเพียงคนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์นั้น...

    “อาร์โรห์...”

    ใคร...

    “อาร์โรห์ !

    ใครเรียกข้า...

    “อาร์โรห์ !!!

    เฮือก !

    ร่างของอินคิวบัสหนุ่มสะดุ้งตัวโยน  เขาเลื่อนตวงตาขึ้นมองไปยังเดลที่ยื่นมือมาพยุงร่างของเขา  เพิ่งจะรู้ตัวว่าร่างของเขาเริ่มเอนไปด้านหน้า  หากไม่ได้เดลเขาคงลงไปนอนฟุบอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว

    “เจ้าเป็นอะไร  อยู่ๆเจ้าก็ทำท่าจะล้มลงไป  เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” เดลอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเป็นชุด  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นสีหน้าอ่อนล้าของอาร์โรห์  เห็นดังนั้นมันก็ทำให้เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องฝืนไปมากกว่านี้จึงช่วยพยุงให้ร่างที่เพรียวกว่ายืนให้มั่น  จากนั้นจึงผละออกมาให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ

    และก็เป็นตอนนั้นเองที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างเย็นชืดที่ขาดออกเป็นสองส่วน  ดวงตาของร่างนั้นเบิกกว้างและมองมาทางเขา...มันอาจเป็นการคิดไปเอง  แต่มันก็สามารถทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน  แผ่นหลังรู้สึกเย็นวาบ  ไม่สามารถละสายตาออกมาจากร่างไร้ชีวิตนั้นได้ราวกับถูกสะกด  เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมาบนใบหน้าและฝ่ามือ

    ทว่าอยู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดลงพร้อมกับสัมผัสที่แนบลงมาบนเปลือกตาและเสียงที่กล่าวเบาๆ “ภาพนี้ไม่ใช่ภาพที่เจ้าควรจะมองหรอกนะ”

    กลิ่นหอมแปลกๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เดลรู้ว่าคนที่ใช้มือปิดตาเขาอยู่คืออาร์โรห์  เขาควรจะขอบคุณอีกฝ่าย  แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากและตีบตันจนไม่อาจส่งเสียงใดๆออกมา

    ...เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก...กลัว...

    “หลับตาลงแล้วค่อยๆหันมาเถอะ  เดล” เสียงของอาร์โรห์นั้นคล้ายกับสายน้ำเย็นที่นิ่งสงบ  ทำให้จิตใจของเดลที่สั่นระรัวเมื่อครู่ค่อยๆสงบลง  เขาทำตามที่อีกฝ่ายบอก  ปิดเปลือกตาลงก่อนจะค่อยๆหันกลับไปหาอาร์โรห์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

    “ขอโทษด้วย” เสียงกล่าวเบาๆของอาร์โรห์เรียกให้เดลงงงัน  กำลังจะเปิดเปลือกตาเพื่อจะได้พูดคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง  ทว่าสัมผัสเบาๆที่หน้าผากก็ทำให้ร่างของเขาชะงัก  รู้สึกได้ถึงกระแสพลังเวทที่แล่นเข้ามาสู่หัวสมองทำให้เขาเผลอใช้พลังเวทเพื่อป้องกันไปโดยไม่รู้ตัว  หัวสมองเขาปวดแปล๊บก่อนที่มันจะแล่นไปทั่วร่างจนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถคงสติของตนเองเอาไว้ได้

    ขณะที่สติของเขากำลังเลือนรางเขาก็ได้ยินเสียงกล่าวขอโทษของอีกคนที่อยู่ด้วยกัน

    ...ทำไม...

    อาร์โรห์คุกเข่าลงรับร่างของเดลที่ทรุดลงกับพื้น  เขาไม่อยากทำแบบนี้  แต่เพื่อให้อีกฝ่ายลืมภาพที่ได้เห็น  ไม่ถูกภาพนั้นครอบงำจนไม่อาจใช้ชีวิตตามปกติได้  และเพื่อให้ตัวเขาเอง...สบายใจ...

    ...ข้าแบกรับมันไว้คนเดียวก็พอแล้ว...

    ...เพราะข้านั้น...เห็นแก่ตัว...

    อาร์โรห์ไม่ได้รู้เลยว่าการผนึกความทรงจำของเขานั้น...ยังไม่สมบูรณ์...
     


    __________________________________________________
    จบไปอีกตอนแล้ว เย้!
    ตอนนี้ฉากต่อสู้จัดมาเต็ม แล้วเดี๋ยวก็จะมีโผล่มาอ-----//โดนดูดเสียง
    ในตอนนี้เหมือนจะพยายามสื่อนิสัยของอาร์โรห์ออกมาพอสมควรล่ะนะคะ
    แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบงงๆตอนจบว่าสรุปว่าอาร์โรห์รู้สึกยังไง
    (แต่งเองงงเอง 5555+)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×