คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
บทที่ 2
อาร์โรห์นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของวิหารชาฮาล ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในวิหารแห่งนี้ การใช้ชีวิตอยู่ในวิหารที่ไม่มีอะไรเลยอาจเป็นการยากเกินไปที่จะนั่งว่างไปวันๆ
ทว่านี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อขึ้นวันที่สองเมื่อใดจะต้องมีใครสักคนที่ไม่อาจทนการอยู่แต่ในวิหารและต้องการออกไปจากที่นี่ เมื่อนั้นล่ะคือบททดสอบ ใครก็ตามที่ออกไปจากตัววิหาร แม้เพียงก้าวเดียวก็อาจถึงตายได้ ด้วยเพราะเขตแดนของเผ่าจะถูกปลดออก ปีศาจอื่นๆก็จะสามารถเข้ามาในอาณาเขต และเมื่อนั้นสงครามระหว่างเผ่าก็จะบังเกิดขึ้น แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียงสองวันแต่สำหรับอินคิวบัสและซัคคิวบัสที่ยังไม่โตเต็มที่และไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมรบก็มักจะถูกเพ่งเล็งและมักจะตายเป็นพวกแรกๆเสมอ...ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน และก็ไม่มีใครคิดที่จะบอกพวกเขา
อาร์โรห์มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าในเวลานี้ดูจะมืดอึมครึมยิ่งกว่าเวลาปกติเสียอีก ทั้งยังมีควันพิษที่จะมีเฉพาะนอกเขตแดนลอยอบอวลไปทั่ว
...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ...
นัยน์ตาสีนิลมองสำรวจเท่าที่บานหน้าต่างเล็กๆนี้จะอำนวย เขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเขาเข้ามาในเผ่ามากมาย ไม่ว่าจะด้วยการสยายปีกโบยบินหรือการวิ่งเข้ามาด้วยขาก็ตาม
ภายนอกในตอนนี้...อันตราย...
วันแรกในการอยู่ในวิหารผ่านไปได้ด้วยดี ทว่าในวันนี้ก็ได้มีผู้ที่ไม่อาจทนอยู่ในวิหารอันอุดอู้นี้ได้อีกต่อไป
“ข้าจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกแล้ว !!!” เสียงที่สื่อถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นพร้อมปะทุนั้นปลุกให้อาร์โรห์ตื่นขึ้นมา เขามองไปยังต้นเสียงที่เดินกระแทกส้นตรงไปยังประตูของวิหาร โดยมีเพื่อนๆคอยห้ามปรามตามไปติดๆ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดทำตามในสิ่งที่ตนตั้งใจ
อาร์โรห์ตัดสินใจลุกขึ้นก้าวเข้าไปขวางหน้าประตู
ไม่ใช่ว่าเขารู้จักมักจี่กับอีกฝ่ายจึงได้ห้าม หากแต่เขาเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่มีอัตราการเกิดน้อย และหากมีใครในที่นี้ตายไปสักคนคาดว่าคงส่งผลต่อเผ่าพันธุ์ไม่น้อยแน่
“เจ้าก็คิดจะขัดขวางข้างั้นรึ เจ้าคนนอกคอก”
“ข้าจะไม่ขวางเจ้า หากเจ้าไม่ได้กำลังจะพาพวกเราไปตายกันทั้งหมด”
“ว่าไงนะ”
“ข้างนอกนั่นมีปีศาจนอกเหนือจากพวกเราอยู่” อาร์โรห์กล่าวพลางเหลือบดวงตาไปทางหน้าต่าง คนที่อยู่ใกล้หน้าต่างรีบหันไปดูแล้วก็ทำได้เพียงหน้าซีดลง
“หากเจ้าออกไป นอกจากเจ้าจะเป็นผู้บอกที่ซ่อนของพวกเรา เจ้าเองก็อาจไม่ได้กลับมา พวกเรายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม”
เมื่อคำพูดของอาร์โรห์จบลง ทุกคนก็ล้วนแต่ส่งเสียงเห็นด้วย ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะหยุดทำตามความคิดของตนเอง เขาหันไปตวาดใส่คนอื่นๆด้วยน้ำเสียงกร้าว
“พวกเจ้ากลัวงั้นเรอะ !!!? กลัวกับสิ่งที่เจ้าคนนอกคอกนี่พูด พวกเจ้ากลัวงั้นเรอะ !?”
ทุกคนต่างรีบเบือนหน้าหนี ไม่แม้กระทั่งจะสบตามองอีกฝ่าย แน่นอนไม่มีใครอยากเป็นคนขี้ขลาดในสายตาของคนอื่น ทว่าในเรื่องที่ส่งผลต่อเรื่องของความเป็นและความตายก็ไม่มีใครอยากเสี่ยง...แม้จะรักการต่อสู้และการฆ่าฟัน แต่หากเป็นผู้ถูกตามฆ่าก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ !
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบรับหรือปฏิเสธจึงทำได้เพียงกัดฟันสะบัดหน้ากลับมาที่อาร์โรห์อีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักร่างของอาร์โรห์ให้พ้นทาง และเปิดประตูวิหารออกจากนั้นก็ก้าวออกไปสู่ภายนอก...
ปีศาจทุกตนในวิหารต่างจ้องไปยังร่างของอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ ขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มที่จะรู้สึกว่าภายนอกไม่ได้มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด และผู้ที่คิดว่าตนได้กลับสู่อิสรภาพอีกครั้งกำลังหันมาทำสีหน้าเย้ยหยันอยู่นั่นเอง...
เงาสีดำสายหนึ่งได้โฉบลงมาอย่างรวดเร็ว และโดยไม่มีผู้ใดทันตั้งตัวเงาร่างนั้นก็เข้าถึงตัวของผู้ที่ยังไม่ได้แม้กระทั่งจะรู้สึกถึงแรงคุกคามว่าได้ถูกเพ่งเล็งเป็นเหยื่อ และแล้วปีศาจตนนั้นก็เข้ากัดที่ไหล่ของอินคิวบัสที่ยังไม่โตเต็มที่ตนนั้นที่ทำได้เพียงเบิกตากว้างขึ้น จากนั้นก็ปรากฏภาพสยดสยองที่ร่างของอีกฝ่ายถูกฉีกกล้ามเนื้อที่ไหล่ออกมาก้อนใหญ่จนเห็นกระดูก ยังไม่ทันได้ร้องสักแอะร่างก็ถูกฉีกกระชากออกด้วยแรงมหาศาลของแวมไพร์ เหลือเพียงเศษเนื้อและโลหิตสีแดงสดที่สาดกระจายไปทั่วบริเวณ
ผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนกรีดร้องลั่น ไม่มีใครที่มีสติมากพอจะรีบไปปิดประตูวิหาร กระทั่งแวมไพร์ที่เพิ่งกระทำการเชือดสดไปหมาดๆหันมาทางตัววิหาร ส่งเสียงขู่คำรามและเริ่มพุ่งมาทางประตูด้วยความรวดเร็วนั่นล่ะอาร์โรห์ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดจึงได้สติและรีบผลักประตูปิดลงได้ก่อนที่แวมไพร์ตนนั้นจะเข้ามา
เมื่อประตูปิดสนิท เหล่าผู้ที่อยู่ภายในวิหารต่างก็ทรุดร่างลงนั่งกับพื้น บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจและหวาดกลัว
ทั้งวิหารเงียบลงทันตา มีเพียงเสียงกระแทกประตูจากด้านนอกเท่านั้นที่ยังคงดังก้องไปทั่ว...
ในวันต่อมาไม่มีใครที่นึกอยากจะออกไปจากตัววิหารอีกเลย ความหวาดกลัวยังคงกอบกุมจิตใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงพูดคุย กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศในวิหารนั้นอยู่ในช่วงตึงเครียดเสียจนรู้สึกหนักอึ้ง
เวลาที่ทุกคนได้กลับสู่อิสระคือช่วงเช้าในวันถัดมาหลังพิธีจบลง ไม่มีใครเอ่ยถึงผู้ที่ตายไป แสร้งยิ้มยินดีกับการที่พวกตนได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มสาวอย่างเต็มตัว โดยที่ในใจนั้นยังคงหนักอึ้ง
คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่พวกเขาจะได้ไปยังโลกมนุษย์
ในวันนี้เดลกลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ แต่การทำงานเกินเวลาก็ทำให้เขาได้รับเงินค่าจ้างมากกว่าที่ได้ตกลงไว้กับนายจ้างเช่นกัน ไม่แน่หากเขายังคงขยันทำงานเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาอาจมีเงินเก็บมากพอที่จะไปซื้อบ้าหลังเล็กๆสักหลัง ไม่ต้องมาทนเสียค่าเช่าบ้านโทรมๆที่เก็บเงินเกินสภาพเช่นนี้ก็เป็นได้
เดลผลักประตูบ้านที่ส่งเสียงออกมาราวกับพร้อมจะหลุดออกมาด้วยแรงที่เขาคิดว่าเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงเดินตรงขึ้นไปชั้นบนกลับเข้าห้องของตนเอง ทว่าก็ต้องชะงักอยู่เพียงหน้าประตูเมื่อพบว่าในห้องของเขานั้นปรากฏร่างๆหนึ่งนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง
เดลเพ่งพินิจมองอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เส้นผมสีนิลที่ถูกปล่อยยาวลงมาถึงเอว ใบหน้างดงามที่ดูจะมีเค้าความเป็นบุรุษมากขึ้น...แม้จะเล็กน้อยก็ตาม และส่วนสูงที่ดูจะมากขึ้นมาพอสมควร ทว่าร่างกายของอีกฝ่ายก็ยังคงดูบอบบางเกินบุรุษอยู่ดี
ทว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนเขาก็ยังสามารถจดจำอีกฝ่ายได้แทบจะในทันที โดยเฉพาะใบหน้านั้น...เขายังคงจดจำได้ขึ้นใจ แม้จะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่ครั้งก็ตามที
อย่าหาว่าเขาเป็นพวกโรคจิตนะ ! ก็ลองคิดดูสิอีกฝ่ายมีลักษณะที่โดดเด่นขนาดนั้น แม้จะได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็ยังสามารถจำได้ขึ้นใจเลย !
“เจ้าคือ...อาร์โรห์ ?”
เสียงของเขาเรียกให้ใบหน้างดงามเงยขึ้น พร้อมกับค่อยๆเปิดเปลือกตาเผยนัยน์ตาสีนิลกาลเช่นเดียวกับเส้นผมของอีกฝ่ายให้เขาได้เห็น
“เดล...รีการ์ด...” เสียงของอีกฝ่ายที่กล่าวออกมานั้นทำให้เด็กหนุ่มชาวมนุษย์มั่นใจ ร่างตรงหน้าเขานี้คืออาร์โรห์อย่างไม่ต้องสงสัย
“จ...เจ้าดู...เปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ”
“งั้นหรือ...” อาร์โรห์กล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันกายนั่งลงบนเตียง
เดลเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เหตุใดวันนี้อีกฝ่ายจึงได้มีท่าทีแปลกไป ดูราวกับมีเรื่องทุกข์ใจแต่ไม่อาจกล่าวออกมาให้ใครฟัง
“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?” เด็กหนุ่มกล่าวพลางเดินเข้าไปทิ้งกายลงนั่งข้างๆร่างที่บางกว่า ส่งผลให้อีกฝ่ายหันมามองเขาก่อนจะถอนหายใจเฮือก
...เรื่องแบบนี้ ควรเล่าให้อีกฝ่ายฟังหรือเปล่านะ ?...
อาร์โรห์นิ่งคิด หากเขาบอกไปจะทำให้อีกฝ่ายกลัวหรือเปล่า ? เรื่องที่ว่ามีคนตายต่อหน้าเขา การฆ่าฟันกันเองของเหล่าปีศาจ ในความเป็นจริงมันไม่ควรจะให้มนุษย์รู้เรื่องราวพวกนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะจิตใจของมนุษย์นั้น...เปราะบางเกินไป...
เดลเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เข้าใจกระจ่างว่าเรื่องนี้อาร์โรห์ไม่คิดที่จะบอกเขา แต่จะเก็บเรื่องนี้ให้ตนเองแบกรับไว้เพียงผู้เดียว
“เจ้า...” ขณะที่เดลกำลังจะกล่าวอะไรออกไป อาร์โรห์ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบกับริมฝีปากของตนเองเป็นสัญญาณให้เดลเงียบเสียงลง นัยน์ตาต้องสาปมองอาร์โรห์อย่างไม่เข้าใจ...ทำไมอยู่ๆต้องให้เขาเงียบด้วย...
ดวงตาของอาร์โรห์กลอกมองรอบด้านครู่หนึ่งร่างสูงเพรียวของเขาจึงได้ผุดลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง เป็นเหตุให้เดลต้องลุกขึ้นเดินตามด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องอาร์โรห์กลับหันกลับมาหาเขา
“เจ้ารออยู่ที่นี่ ห้ามออกมาจากห้องจนกว่าข้าจะมาเรียก” กล่าวจบอีกฝ่ายก็ปิดประตูลง
เดลนิ่งมองประตูอยู่ครู่หนึ่ง แม้ในใจจะรู้สึกกังขากับคำกล่าวของอาร์โรห์ ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงเชื่อในคำกล่าวนั้นแล้วกลับมาทิ้งกายลงนั่งบนผืนเตียง ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิก่อนจะเท้าแขนลงบนนั้น นั่งรอเวลาที่อาร์โรห์จะกลับมาเปิดประตูเรียกเขาออกไป
อาร์โรห์เดินตรงมาตามทางเดินเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ทว่ามันกลับทำให้ใบหน้าของเขาซีดลง หัวใจเต้นระรัวขึ้นมากะทันหันเมื่อพบว่าห้องๆนี้คือห้องของ ลูน่า รีการ์ด...น้องสาวเพียงคนเดียวของเดล...
สาเหตุง่ายๆที่ทำให้อาร์โรห์กังวลจนต้องออกมาจากห้องของเดลคือพลังแปลกปลอมของอินคิวบัสที่เข้ามาอยู่ในบริเวณบ้านหลังนี้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายน่าจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา แม้จะไม่ได้แผ่พลังออกมาเพื่อกางอาณาเขต แต่อย่างน้อยก็น่าจะไว้หน้าหรือทำตามมารยาทกันบ้าง
อาร์โรห์ผลักประตูห้องเปิดเข้าไปภายใน เสียงดังของประตูทำให้ร่างที่กำลังขึ้นคร่อมร่างของเด็กสาวที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงผินใบหน้ามามอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสยะยิ้ม
“อ้าว ที่แท้ก็เจ้าเองรึ เจ้าคนนอกคอก” สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวไม่อาจทำให้อาร์โรห์เปลี่ยนสีหน้าที่เรียบนิ่งจนนิ่งสนิทได้แม้เพียงนิด มันเป็นความสงบก่อนที่พายุครั้งใหญ่จะโหมกระหน่ำขึ้น
“ออกมาจากลูน่าซะ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” เสียงเรียบเย็นของอาร์โรห์ไม่อาจสร้างความหวาดหวั่นแม้เพียงนิดให้แก่อีกฝ่าย ไม่เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีจะยอมละออกมาจากร่างของเด็กสาวชาวมนุษย์อีกด้วย...เหตุผลง่ายๆ เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายอยู่ในลำดับที่สูงกว่าเขา คิดว่าเขามีฝีมือที่ต่ำชั้นกว่าตนเอง
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้ หือ? อาร์โรห์ เลอร์จิล”
อาร์โรห์ไม่ตอบคำ ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นเด็กหนุ่มผู้บอบบางคนหนึ่งกลับเริ่มแปรเปลี่ยน เมื่อมีบางสิ่งที่ค่อยๆงอกยามออกมาจากศีรษะของเขา โผล่พ้นเส้นผมออกมายาวลงมาถึงใบหน้า ปรากฏเขาเรียวคล้ายเขาแพะก่อนที่ปีกซึ่งในเวลาปกติจะมีลักษณะคล้ายปีกนกสีนิลถูกสยายออก ทว่าปีกของเขาในตอนนี้กลับกลายเป็นมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว นัยน์ตาสีนิลราวกับสามารถแผ่ขยายออกจนครอบคลุมส่วนตาขาวทั้งหมด
อีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงได้ผละออกจากร่างของเหยื่อซึ่งหมายตาไว้ ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนสภาพจนมีลักษณะคล้ายกับอาร์โรห์
นั่นถือเป็นสัญญาณเปิดศึกระหว่างอินคิวบัสหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนประจันหน้ากันอยู่
อาร์โรห์ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า ขับเคลื่อนพลังเวทในร่างให้ไปรวมกันอยู่ที่กลางฝ่ามือเพื่อดึงเอาพลังความมืดรอบกายให้มารวมตัวกันบนฝ่ามือ ขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งฝ่ายคู่ต่อสู้เองก็กางฝ่ามือทั้งสองข้างออกในระดับเอว ใช้พลังสร้างวงเวทเรืองแสงสีแดงขึ้นบนพื้น พลังสีแดงที่ไม่ได้เข้มดั่งเลือดหากแต่ก็ไม่ได้อ่อนจนอยู่ในระดับที่อ่อนคล้ายเปลวไฟค่อยๆปรากฏขึ้นจากวงเวท ลอยขึ้นมารวมตัวกันบนฝ่ามือทั้งสองข้างพร้อมที่จะถูกซัดออกไปใส่ศัตรูทุกเมื่อ
คุมเชิงกันอยู่เพียงครู่อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายซัดพลังบนฝ่ามือออกไปก่อนเป็นเหตุให้อาร์โรห์ต้องเร่งซัดพลังบนฝ่ามือออกไป
พลังสองสีเข้าปะทะกันกลางอากาศ ความกดดันของพลังทั้งสองสายส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกราวกับมวลอากาศหมุนบิดเป็นเกลียว ลมกรรโชคขึ้นภายในห้องเล็กๆแห่งนี้จนเส้นผมของทั้งสองฝ่ายปลิวไปตามแรงลม
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที หากแต่ราวกับผ่านไปหลายนาทีในความรู้สึกของอาร์โรห์ในที่สุดพลังทั้งสองสายก็สลายหายไป ห้องทั้งห้องกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหนึ่ง
ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อฝ่ายร่างที่สูงใหญ่กว่าวาดมือทั้งสองข้างมาตรงหน้า บีบอัดพลังสีแดงเข้าด้วยกันจนมันมีรูปทรงเรียวยาว ปรากฏเป็นหอกสีแดงใส อาวุธที่สามารถใช้ต่อกรศัตรูได้ในระยะกลางและสามารถใช้ในการป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าอีกฝ่ายสามารถเลือกอาวุธได้ดี ในเมื่ออาร์โรห์นั้นถนัดอาวุธในระยะไกล อย่างเช่นธนู
...แต่ก็ใช่ว่าเขาจะใช้เป็นอยู่เพียงอย่างเดียว...
อาร์โรห์สะบัดมือออกไปข้างกาย พลังสีดำถูกบีบอัดเข้าด้วยกันจนปรากฏดาบยาวทรงตะวันตกขึ้นมาเล่มหนึ่ง
อาวุธที่จะสามารถชนะหอกที่ใช้ต่อสู้ในระยะกลางทั้งยังสามารถป้องกันไปได้ในเวลาเดียวกันนั้น มีเพียงอาวุธในระยะประชิดเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะได้ในเวลาที่น้อยที่สุด
อาจด้วยความโกรธที่สุมขึ้นในจิตใจที่ทำให้อาร์โรห์ลืมคิดไปว่าดาบนั้นเมื่อใดก็ตามที่เข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้ เขาจะต้องตะวัดดาบสะบั้นหัวอีกฝ่ายทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทันตั้งตัวและปัดการโจมตีของเขาออก
ทั้งสองเริ่มเข้าปะทะกันอีกครั้งด้วยความรวดเร็วที่สูสีกัน ฝ่ายหนึ่งวาดหอกออกมาเป็นวงกว้างจนอาร์โรห์ต้องถอยร่นออกมาจากระยะการโจมตีก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายเมื่อพบช่องโหว่ ทว่าอีกฝ่ายก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับได้อย่างรวดเร็วด้วยการหมุนควงหอก ดีดการโจมตีของอาร์โรห์ออกไปได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นจึงได้กระแทกด้ามหอกเข้าใส่อีกฝ่ายจนร่างของอาร์โรห์กระเด็นไปติดกำแพงอีกฟากหนึ่ง
เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวจนคนที่นั่งรออยู่ในห้องเช่นเดลสะดุ้งโหยง ในใจนึกหวั่นว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ และอาจส่งผลให้น้องสาวของเขาตกอยู่ในอันตราย...
...ลูน่า !!!
เมื่อคิดถึงน้องสาวร่วมสายเลือดเดลก็ผุดลุกขึ้นด้วยความร้อนรน ใบหน้าที่ถือได้ว่าขาวของเขาตอนนี้กลับยิ่งขาวซีดพอๆกับกระดาษ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปจากห้องโดยลืมคำของอาร์โรห์ที่บอกเขาไว้ด้วยความหวังดีเสียสนิท
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งสองมีความสามารถที่ทัดเทียมกัน ต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายและสร้างบาดแผลให้คู่ต่อสู้
ในตอนนี้ทั้งสองได้เปลี่ยนสถานที่ต่อสู้มาเป็นโถงทางเดินในชั้นล่างของบ้านแล้ว ด้วยฝีมือการหลอกล่อของอาร์โรห์ ใบหน้าของทั้งสองฝ่ายมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมา การต่อสู้ที่ไม่ได้กินระยะเวลาเกินยี่สิบนาทีกลับสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ที่คิดว่าตนเหนือกว่าได้มากนัก
เขาประจักษ์แล้วว่าฝีมืออีกฝ่ายนั้นสูสีกับเขามากทีเดียว...หรือบางทีอาจเหนือกว่าก็เป็นได้ เพียงแต่เขาไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น แน่นอนว่าเขาอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอีกฝ่ายเสมอมา แม้จะมีขึ้นมีลงแต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่าย
...ที่แท้เจ้าคนนอกคอกนี่ก็ออมมือมาตลอด...
แม้สมองจะคิดเช่นนั้นแต่สายตาของเขาก็ยังคงไม่ละออกจากร่างของอาร์โรห์ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากกว่าการยืนคุมเชิง ร่างของอาร์โรห์ก็หายวับไปจากธารสายตาของเขา
...ไม่...ไม่ใช่หายไป...แต่อีกฝ่ายเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่สายตาของเขาจะสามารถมองเห็นได้ต่างหาก...
คราวนี้อินคิวบัสหนุ่มถึงกับมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง สายตามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
...อยู่ไหน...อยู่ที่ไหนกัน...
“ช่องโหว่...เต็มไปหมด...”
เสียงกล่าวกระซิบที่ข้างหูเรียกให้อินคิวบัสหนุ่มเบิกตากว้างขึ้น...ต...ตั้งแต่เมื่อไหร่... เขาอยากรีบผละหนีห่างจากอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อหลักฐานมาแสดงอยู่เบื้องหน้า ...เขา...สู้อีกฝ่ายไม่ได้...ไม่มีทาง...ไม่มีทางที่จะชนะได้เลย...
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายลูน่าซะ” อาร์โรห์กล่าวเสียงเย็นเยียบที่ทำเอาคนฟังเย็นสันหลังวาบ ทว่าเขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อีกฝ่ายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนนอกคอกหรอกนะ !!
“หึ ข้าหมายตานางมานาน จนในที่สุดนางก็พร้อมสำหรับข้า เพราะฉะนั้นข้าไม่มีวันจะล้มเลิกแผนการของข้าเสียหรอก !” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่น้ำเสียงของเขากลับสั่น...สั่นไปด้วยความกลัว...
“เช่นนั้น...ข้าก็คงไม่อาจให้เจ้าอยู่ต่อไปได้อีก...”
ราวกับว่าอาร์โรห์ไม่มีสติอยู่กับตัว ด้วยความโกรธเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ เสียงที่ใช้กล่าวจึงฟังดูเลื่อนลอยอย่างไร้สติ
ในมุมมองของอาร์โรห์ เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธโอกาสสุดท้ายที่ตนได้หยิบยื่นให้ เขาก็รู้สึกโกรธ
...ไม่มีวันที่จะล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจไว้งั้นหรือ หรือว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนพูด เพียงเพราะว่าเขาถูกเรียกว่าคนนอกคอกอีกฝ่ายจึงได้ไม่ยอมแพ้งั้นหรือ...สาเหตุที่ทำให้ลูน่าตกอยู่ในอันตรายคือเขางั้นหรือ...เพียงเพราะเขาอยากจะเป็นสหายกับมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับนำพาเอาความยุ่งเหยิง ความเลวร้ายมาให้กับสองพี่น้อง...
...เลิกซะดีไหม?
...ไม่...ไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว...ต้องเดินหน้าต่อ...มีเพียงทางนี้เท่านั้น...
...ฆ่าอีกฝ่ายทื้งซะ !
ไวเท่าความคิด อาร์โรห์กล่าวออกไปด้วยเสียงเย็นเยียบแสดงเจตนาของตนออกมาให้ผู้ที่ได้รับฟังสะท้านเฮือก “เช่นนั้น...ข้าก็คงไม่อาจให้เจ้าอยู่ต่อไปได้อีก...”จากนั้นดาบในมือก็ถูกเงื้อขึ้น
ดวงตาของอาร์โรห์ในเวลานี้ว่างเปล่า ไม่ใช่ในรูปแบบของเย็นชา ทว่ามันไม่แม้กระทั่งจะแสดงอารมณ์และความคิดของเขาออกมาแม้เพียงเสี้ยว
อินคิวบัสหนุ่มหันกลับมามองอาร์โรห์ด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ทว่าดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อดาบสีดำสนิทนั้นพุ่งตรงมายังตนเอง !!!
เมื่อเดลเดินออกมาเขาก็ทำได้เพียงตกตะลึง โถงทางเดินเล็กๆบนชั้นสองของบ้านในตอนนี้ราวกับเป็นบ้านที่ผ่านระยะเวลามากว่าร้อยปี พื้นไม้บางจุดพังลงจนกลายเป็นช่องที่สามารถมองผ่านลงไปด้านล่างได้ ตามกำแพงมีร่องรอยของของมีคมเฉือนลึกเข้าไปอีกหลายสิบรอย สรุปคือสภาพโถงทางเดินในตอนนี้ราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆอย่างไรอย่างนั้น
เปรี้ยง !
อะไรน่ะ !?
เสียงแปลกๆที่ได้ยินทำให้เดลยื่นหน้าไปมองผ่านพื้นไม้ที่กลายเป็นรูใหญ่ แสงสว่างที่วูบวาบอยู่ที่ชั้นล่าง และร่างสองร่างที่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงและดุเดือดทำให้เดลรีบออกห่างจากจุดที่ยืนอยู่ ก่อนจะรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังห้องของ ลูน่า
เดลที่วิ่งไปตามโถงทางเดิน รู้สึกถึงหัวใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยิ่งวิ่งไปยังห้องของน้องสาวเท่าไหร่ร่องรอยการต่อสู้ก็ยิ่งดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าบางทีจุดที่เริ่มการต่อสู้คงจะเป็นในบริเวณนี้
ทว่าเขาก็ต้องสูดหายใจเฮือกเมื่อร่างของเขามาหยุดอยู่หน้าห้องของผู้เป็นน้องสาว
ภายในห้องเรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเค้าเดิม ผนังห้องด้านหนึ่งกลายเป็นรูโบ๋ใหญ่ขนาดใหญ่กว่าตัวของเดลเองเสียอีก นอกจากนี้ส่วนอื่นๆในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนต่างๆ หรือแม้กระทั่งผนังห้องรวมไปถึงพื้นและเพดานก็ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของการปะทะกันทั้งนั้น มีเพียงจุดๆเดียวที่ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ
เตียงไม้ที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องนอนเล็กๆแห่งนี้ มีร่างๆหนึ่งยังคงนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนผืนเตียงแข็งๆ ร่างบางๆของเด็กสาวพลิกตัวไปมาตามปกติที่เคยเป็นด้วยเพราะรู้สึกถึงอากาศร้อนอบอ้าวของหน้าร้อน
...นี่ก็นอนหลับสนิทดีจริง...
เดลแอบคิดอยู่ในใจ แต่เมื่อภาพการปะทะอันรุนแรงของสองปีศาจแฝงฝันผุดขึ้นมาในสมองเขาก็ได้แต่รีบเข้าไปเขย่าปลุกน้องสาวที่ยังนอนไม่รู้เรื่องรู้ราว
ทว่าขณะที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงร่างของน้องสาวนั้น เขากลับพบว่ามีอะไรบางอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกที่เหมือนมีพลังบางอย่างหมุนวนอยู่ตรงหน้าจนเขาชักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้ากลับมา
โดยไม่รู้ตัวนัยน์ตาสีโลหิตเรืองแสงสีแดงขึ้นพร้อมกับการปรากฏของวงเวทที่ราวกับถูกสลักฝังลึกลงไปในดวงตา
ในความรู้สึกของเดล รอบด้านเขากลับค่อยๆกลายเป็นสีแดง ราวกับใครเอาเลือดมาทาทั่วทั้งโลก แต่ในทางกลับกันตรงหน้าเขาก็ค่อยๆปรากฏกำแพงสีดำโปร่งใสรูปวงกลมล้อมรอบบริเวณเตียงคลอบคลุมไปถึงเพดานด้านบนผืนเตียงของลูน่า
เดลยื่นมือไปสัมผัสกำแพงนั้น ความรู้สึกราวกับสัมผัสถูกของแข็งทำให้เขาก้าวเข้าใกล้กำแพงนั้นอีกก้าว ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาจากปลายนิ้วก็ทำให้เขาต้องรีบชักมือออกพร้อมถอยหนีออกจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่
...นี่มันอะไรน่ะ
“อ้ากกกกกกกกกกกกกก !!!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกายเตรียมออกตัววิ่งออกไปจากห้อง ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อตรงหน้าเขานั้นปรากฏกำแพงสีดำโปร่งใสขวางกั้นเส้นทางที่เขากำลังจะก้าวต่อไปอยู่พอดี
อย่างนี้ก็ออกไปไม่ได้น่ะสิ...
เดลเม้มปาก นัยน์ตาสีแดงที่ยังคงเปล่งแสงและมีวงเวทปรากฏอยู่กวาดมองไปทั่วกำแพงโปร่งแสงสีดำตรงหน้า
...ไม่ว่าอย่างไรเวททุกบทก็ต้องมีจุดอ่อน หากหาจุดอ่อนนั้นเจอเขาก็มีสิทธิ์ที่จะสามารถทำลายสิ่งที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเขาได้ โดยที่ใช้กำลังน้อยที่สุด...
เขาสามารถพบจุดที่มีพลังอ่อนกว่าจุดอื่นๆโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน มันอยู่สูงเหนือเขาขึ้นไปอีกประมาณครึ่งช่วงตัว เป็นความสูงที่ไม่ได้สูงเกินเอื้อมถึงสักเท่าไหร่
...ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาวิธีแก้ก่อน...ราวกับตอบรับความคิดของเขา นัยน์ตาต้องสาปเริ่มทำการวิเคราะห์ส่งผลให้ดวงตาของเขาเปล่งแสงมากกว่าเดิม
พลังเวท...สายมืด
ความเข็งแกร่ง...ระดับกลาง
ประเภทของเวท...ป้องกัน และกับดัก
วิธีการแก้...ใช้พลังเวทที่มีระดับสูงกว่ากระแทกจุดที่อ่อนแอที่สุด
“ก็ไม่ได้แก้ยากอะไร” เดลพึมพำก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับจุดที่เขาหมายตาไว้เมื่อครู่ จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ
แสงสีขาวค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันบนฝ่ามือของผู้ที่ใช้เวท หลังจากนั้นไม่นานการรวมตัวกันของแสงก็หยุดลงตามความคิดที่คิดว่าพลังมากพอที่จะทะลวงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
เปลือกตาของเด็กหนุ่มถูกเปิดขึ้นพร้อมกับที่พลังถูกซัดออกไป
ลูกพลังพุ่งชนจุดที่มีพลังอ่อนที่สุดของกำแพงนั้น เกิดเสียงคล้ายมีอะไรบางอย่างแตกร้าวดังขึ้นพร้อมกับรอยแยกที่เริ่มขยายตัว จากนั้นมันก็ลามออกไปเรื่อยๆเป็นใยแมงมุม
เพล้ง !
สิ่งที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา เมื่อเศษของกำแพงนั้นตกกระทบพื้นมันก็สลายไปราวกับมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
“เยี่ยม” เดลมองดูผลงานของเขาอย่างพอใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง มุ่งตรงสู่ชั้นล่าง
สภาพของด้านล่างนั้นดูจะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าด้านบนเสียอีก ร่องรอยการต่อสู้ที่กระจายไปทั่วทั้งบ้าน ทั้งยังร่องรอยการใช้เวทที่รุนแรงมันทำให้เดลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่น...การต่อสู้ระหว่างปีศาจ ที่แท้ก็รุนแรงถึงขนาดนี้...
ตึก
เสียงฝีเท้าที่มาหยุดลงตรงหน้าเดลทำให้เด็กหนุ่มต้องละสายตาจากร่องรอยการต่อสู้รอบด้านมายังร่างตรงหน้า ร่างที่สูงเลยไหล่ของเขาขึ้นมาเล็กน้องนั่นคือร่างของอาร์โรห์ ใบหน้างดงามน่าจับตาในบัดนี้จากปกติที่ดูไร้สีเลือดอยู่แล้วตามแบบของปีศาจตอนนี้กลับซีดขาวกว่าเดิม ทั้งยังมีรอยเลือดกระเด็นอยู่ทั่วตัว
อีกฝ่ายมองมาทางเขาด้วยนัยน์ตาสีนิลที่สะท้อนแววหวาดหวั่น นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“เจ้าออกมาทำไม” อาร์โรห์กล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก แม้จะพยายามทำให้ดูเป็นปกติก็ตาม
“ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ เลยออกมาดู แล้วก็เห็นเจ้า...” เดลชะงักไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าที่ผิดปกติยิ่งกว่าเดิม จนอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ? สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
อาร์โรห์เม้มปาก ในหัวสมองยังเห็นภาพเมื่อครู่ติดตา ภาพของผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ที่ถูกฟันจนขาด กลิ่นเลือดนั้นยังคงคละคลุ้งอยู่ในโพรงจมูก เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาลงมือฆ่าอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่เขาจำได้มีถึงเพียงว่า เขากำลังต่อสู้แล้วเขาก็คิดจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เลิกยุ่งกับลูน่า แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธแล้วเขาก็โกรธ...
จำไม่ได้...ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าเป็นคนลงมือเอง แต่ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้...ปวดหัว...คิดอะไรไม่ออกเลย...
“ข้า...” ...ไร้ประโยชน์...คิดยังไงก็ไร้ประโยชน์...ราวกับว่าช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เป็นเพียงคนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์นั้น...
“อาร์โรห์...”
ใคร...
“อาร์โรห์ !”
ใครเรียกข้า...
“อาร์โรห์ !!!”
เฮือก !
ร่างของอินคิวบัสหนุ่มสะดุ้งตัวโยน เขาเลื่อนตวงตาขึ้นมองไปยังเดลที่ยื่นมือมาพยุงร่างของเขา เพิ่งจะรู้ตัวว่าร่างของเขาเริ่มเอนไปด้านหน้า หากไม่ได้เดลเขาคงลงไปนอนฟุบอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าเป็นอะไร อยู่ๆเจ้าก็ทำท่าจะล้มลงไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” เดลอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเป็นชุด แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นสีหน้าอ่อนล้าของอาร์โรห์ เห็นดังนั้นมันก็ทำให้เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องฝืนไปมากกว่านี้จึงช่วยพยุงให้ร่างที่เพรียวกว่ายืนให้มั่น จากนั้นจึงผละออกมาให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ
และก็เป็นตอนนั้นเองที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างเย็นชืดที่ขาดออกเป็นสองส่วน ดวงตาของร่างนั้นเบิกกว้างและมองมาทางเขา...มันอาจเป็นการคิดไปเอง แต่มันก็สามารถทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน แผ่นหลังรู้สึกเย็นวาบ ไม่สามารถละสายตาออกมาจากร่างไร้ชีวิตนั้นได้ราวกับถูกสะกด เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมาบนใบหน้าและฝ่ามือ
ทว่าอยู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดลงพร้อมกับสัมผัสที่แนบลงมาบนเปลือกตาและเสียงที่กล่าวเบาๆ “ภาพนี้ไม่ใช่ภาพที่เจ้าควรจะมองหรอกนะ”
กลิ่นหอมแปลกๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เดลรู้ว่าคนที่ใช้มือปิดตาเขาอยู่คืออาร์โรห์ เขาควรจะขอบคุณอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากและตีบตันจนไม่อาจส่งเสียงใดๆออกมา
...เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก...กลัว...
“หลับตาลงแล้วค่อยๆหันมาเถอะ เดล” เสียงของอาร์โรห์นั้นคล้ายกับสายน้ำเย็นที่นิ่งสงบ ทำให้จิตใจของเดลที่สั่นระรัวเมื่อครู่ค่อยๆสงบลง เขาทำตามที่อีกฝ่ายบอก ปิดเปลือกตาลงก่อนจะค่อยๆหันกลับไปหาอาร์โรห์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“ขอโทษด้วย” เสียงกล่าวเบาๆของอาร์โรห์เรียกให้เดลงงงัน กำลังจะเปิดเปลือกตาเพื่อจะได้พูดคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ทว่าสัมผัสเบาๆที่หน้าผากก็ทำให้ร่างของเขาชะงัก รู้สึกได้ถึงกระแสพลังเวทที่แล่นเข้ามาสู่หัวสมองทำให้เขาเผลอใช้พลังเวทเพื่อป้องกันไปโดยไม่รู้ตัว หัวสมองเขาปวดแปล๊บก่อนที่มันจะแล่นไปทั่วร่างจนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถคงสติของตนเองเอาไว้ได้
ขณะที่สติของเขากำลังเลือนรางเขาก็ได้ยินเสียงกล่าวขอโทษของอีกคนที่อยู่ด้วยกัน
...ทำไม...
อาร์โรห์คุกเข่าลงรับร่างของเดลที่ทรุดลงกับพื้น เขาไม่อยากทำแบบนี้ แต่เพื่อให้อีกฝ่ายลืมภาพที่ได้เห็น ไม่ถูกภาพนั้นครอบงำจนไม่อาจใช้ชีวิตตามปกติได้ และเพื่อให้ตัวเขาเอง...สบายใจ...
...ข้าแบกรับมันไว้คนเดียวก็พอแล้ว...
...เพราะข้านั้น...เห็นแก่ตัว...
อาร์โรห์ไม่ได้รู้เลยว่าการผนึกความทรงจำของเขานั้น...ยังไม่สมบูรณ์...
__________________________________________________
จบไปอีกตอนแล้ว เย้!
ตอนนี้ฉากต่อสู้จัดมาเต็ม แล้วเดี๋ยวก็จะมีโผล่มาอ-----//โดนดูดเสียง
ในตอนนี้เหมือนจะพยายามสื่อนิสัยของอาร์โรห์ออกมาพอสมควรล่ะนะคะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบงงๆตอนจบว่าสรุปว่าอาร์โรห์รู้สึกยังไง
(แต่งเองงงเอง 5555+)
ความคิดเห็น