ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Shot / Short Fiction | HUNHAN

    ลำดับตอนที่ #28 : ( SF ) PROMISE : 03

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 60


    3

     


    3 ปีต่อมา

     

    ชายหนุ่มร่างเล็กหยุดยืนหน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาสูดลมหายใจเต็มปอด คลายยิ้มออกมาหลังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบรรยากาศคุ้นเคย ดวงตาคู่สวยกวาดมองภาพตรงหน้า อะไรบางอย่างเต็มตื้นล้นอกเมื่อพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

     

    ลู่หานกำลังอยู่หน้าบ้านของเขา

     

    บ้านที่ไม่ได้กลับมาเยือนถึงสามปีเต็ม

     

    คนตัวเล็กลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายก็พามันขึ้นมาวางกลางห้องนอนบนชั้นสองจนได้

     

    “สวัสดีครับ”

     

    ( รับสายเป็นทางการจัง )

     

    ลู่หานหัวเราะ ยกโทรศัพท์แนบหู เลือกปล่อยสัมภาระไว้มุมห้องแล้วทิ้งตัวใส่เตียงนอนหลังใหญ่

     

    ( ฉันโทรหานายคนแรกถูกไหม )

     

    “อื้อ ถูกต้อง”

     

    ( ถึงบ้านแล้วสิ? บอกจะไปรับก็ไม่ยอม ดื้อไม่เปลี่ยน )

     

    น้ำเสียงปลายสายติดจะดุนิดๆ ตามนิสัย แต่ลู่หานก็เข้าใจดีว่าอีกคนเป็นห่วงเขา...เหมือนที่เป็นมาตลอดสิบปี

     

    “ฉันโตแล้วน่าจงอิน ยี่สิบห้าแล้วนะ เดินทางจากสนามบินกลับบ้านแค่นี้ไม่ได้ก็แย่แล้ว”

     

    ( แต่นายไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งสามปี เกิดหลงขึ้นมาทำไงล่ะ )

     

    “เอาเวลาคอยห่วงเพื่อนไปดูแลคู่หมั้นเถอะน่า”

     

    สิ้นคำ คิมจงอินก็โวยวายยาวเหยียดข้อหาไม่รับความห่วงใยของเขาไม่พอ ลู่หานยังแซวเรื่องแฟนสาวที่คบกันได้สองปีของเขาอีก

     

    ความสัมพันธ์ฉันท์คนรักระหว่างพวกเขาจบลงด้วยดี ต้องขอบคุณจุมพิตคืนนั้นที่ทำให้ลู่หานจำต้องยอมรับทุกความรู้สึก ยอมรับว่าเขากับจงอินตกลงคบกันในช่วงวัยรุ่นที่อารมณ์ความรู้สึกยังซับซ้อนและไม่คงที่ และยอมรับว่าสิ่งที่ผูกพวกเขาไว้ด้วยกันจนจบมหาวิทยาลัยก็คือสายใยความเป็นเพื่อนที่ตัดไม่ขาด หาใช่ความลึกซึ้งอย่างคนรักไม่

     

    ซึ่งจงอินรู้ตัวก่อนลู่หาน ชายหนุ่มถึงพยายามก้าวถอยตั้งแต่ตอนนั้น

     

    และที่ลู่หานเคยร้องไห้เสียใจที่จงอินละเลย ไม่ใช่ด้วยกลัวเสียคนรัก แต่ลู่หานกลัวจะเสียเพื่อนที่ชื่อคิมจงอินไปต่างหาก

     

    คุยกันอีกไม่กี่นาทีจงอินก็วางสาย ลู่หานถอนหายใจยาว ปิดกล่องความทรงจำระหว่างตัวเขากับคิมจงอินลง

     

    ร่างเล็กหลับตานิ่งสักพักก็ยันกายลุกจากเตียง ตั้งใจจะเก็บของจากกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย แต่กลับสะดุดตารูปโพลาลอยด์ที่แปะซ้อนกันบนผนังห้องเสียก่อน

     

    ปลายนิ้วเกี่ยวภาพหนึ่งขึ้นมา

     

    มันเป็นภาพคนสามคนยืนกอดคอกัน มีทะเลสีฟ้าใสเป็นฉากสวยงามด้านหลัง โดคยองซูยิ้มกว้างอยู่ด้านซ้าย ตรงกลางคือปาร์คชานยอลสวมแว่นกันแดด และโอเซฮุนยักคิ้วกวนๆ ริมขวามือ

     

     

     

    ไปเที่ยวทะเลมาว่ะ ถ่ายรูปเป็นของฝากให้คนป่วยด้วย

     

    “นิสัยไม่ดีอีกแล้วอ่ะเซฮุน”

     

    .

     

    “นอนไม่หลับ คุยเป็นเพื่อนหน่อย”

     

    “เสียงฉันเพราะล่ะสิ ได้ยินแล้วหลับฝันดีแน่ๆ”

     

    “หลงตัวเองเกินไปไหมครับคุณ”

     

    .

     

    “วันนี้เข้าสายนะ”

     

    “ตื่นสายเหรอ”

     

    “อือ เช็คชื่อให้ด้วยนะน้องเตี้ย”

     

    “เรียกแบบนี้โดนหักคะแนนไปเลยเถอะ!

     

     

     

    ราวกับความทรงจำถูกขุดคุ้ย ทันทีที่เรื่องแรกฉายชัดในสมอง อีกหลายเรื่องต่อมาก็ปรากฏราวกับจะกลั่นแกล้งให้เจ้าของมันต้องกระพริบตาถี่...

     

    ให้ตายสิ น้ำตาบ้าๆ จะไหลอีกแล้วงั้นเหรอ

     

    คนตัวเล็กยกหลังมือปาดป้ายลวกๆ นัยน์ตาวาววับเพราะหยาดน้ำจ้องมองภาพถ่ายอีกครั้ง คราวนี้ลู่หานจดจ้องริมฝีปากรูปหัวใจของคยองซู ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงบทสนทนาข้ามทวีปล่าสุดที่เพื่อนตัวเล็กโทรหา

     

    “กูจะถามมึงรอบที่แปดร้อยห้าสิบเก้านะลู่หาน เมื่อไหร่จะกลับเกาหลี”

     

    “ยังไม่รู้เลย...”

     

    “ปริญญาโทก็จบแล้ว จะรออะไรอีก” คยองซูถามดุๆ “พวกแบคฮยอนยังไม่หายโกรธด้วยซ้ำที่มึงไปต่อโทที่อเมริกาแบบไม่บอกใครน่ะ”

     

    “ก็ไม่อยากให้เศร้ากัน” ลู่หานถอนหายใจ “คือจริงๆ แล้ว...ไม่แน่อาจจะอยู่ทำงานที่นี่...”

     

    “อะไรนะ นี่มึงเกิดที่จีน โตที่เกาหลี แล้วจะทำงานที่อเมริกางั้นเหรอ!”

     

    “เสียงดังทำไมเล่า”

     

    “มึงทำตัวเป็นคนสามประเทศไม่ได้นะลู่หาน มึงต้องกลับเกาหลีเดี๋ยวนี้!

     

    คนฟังเกาหัวแกรก ทั้งงงที่คยองซูโทรมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนตั้งแต่เริ่มบทสนทนา ทั้งไม่เข้าใจว่าคนสามประเทศมันไม่ดีตรงไหน แต่ก็นั่นแหละ...คำพูดคยองซูตอนโมโหมักเข้าใจยากเสมอ

     

    เข้าใจที่พูดไหม มึงต้องกลับเกาหลีเดี๋ยวนี้

     

    ทำไม

     

    เพื่อนมึงจะแต่งงาน

     

    “.........”

     

    ได้ยินไหมลู่หาน เพื่อนสนิทมึงคนนั้นน่ะกำลังจะแต่งงาน!

     

    มือสั่นๆ ของลู่หานแปะโพลาลอยด์ไว้ที่เดิม คำบอกเล่าจากคยองซูยังคงสั่นคลอนหัวใจเขาจนถึงวินาทีนี้ ดวงตาคู่สวยหม่นแสงขณะทอดมองชายหนุ่มร่างสูงในภาพ ยอมรับว่าอกซ้ายวูบโหวงเกินกว่าจะยิ้มแย้มด้วยความยินดี

     

    ถึงกระนั้นเขาก็กลับมาแล้ว...

     

    ลู่หานกลับมาเกาหลีอีกครั้งเพราะการ์ดแต่งงานที่ส่งไปหาถึงอเมริกา กลับมาด้วยความเข้มแข็งและพร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลง อาจทำใจยาก แต่ลู่หานก็เติบโตมากพอจะเข้าใจ

     

    ทุกชีวิตมีเส้นทางเป็นของตัวเอง

     

    อย่างน้อยเจ้าการ์ดแต่งงานสีเงินก็กำลังพาให้เขาพบเจอใครบางคนที่คิดถึงมาตลอดสามปีล่ะนะ

     

     

     

    *

     

     

     

    กลิ่นอายแห่งความสุขปกคลุมรอบด้าน สมกับเป็นพิธีแต่งงานของคู่รักที่คบหากันมานาน

     

    ลู่หานมาถึงสถานที่จัดงานก่อนเวลาร่วมชั่วโมง อดประหม่าไม่ได้เมื่อพิธีสำคัญวันนี้ดูยิ่งใหญ่หรูหรากว่าที่คิด ทั้งลูกโป่งสีชมพูสดใสและดอกไม้สีขาวตกแต่งทั่วบริเวณ กับแขกมากหน้าหลายตาที่เขาไม่รู้จัก

     

    ร่างเล็กกระชับชุดสูทสีเข้มเข้าหากัน จัดเส้นผมสีอ่อนล้อมกรอบหน้าให้เป็นทรง หากยังไม่ทันกวาดตามองหาคนสนิทเสียงหนึ่งก็ดังจากด้านหลัง

     

    “ลู่หาน!

     

    “คยองซู!

     

    เอ่ยได้แค่นั้นก็เกือบหงายหลังเพราะเพื่อนโผเข้าใส่เต็มแรงคิดถึง พวกเขากอดกันแน่นแทนคำพูดนับร้อยนับพันที่ไม่ได้เอ่ยต่อหน้ากันถึงสามปี ก่อนคยองซูจะผละตัวออก ดึงแขนลู่หานไปอีกมุมหนึ่งของงานโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ

     

    “พวกมึง ดูสิใครมา!

     

    “เฮ้ย...”

     

    “ลู่หาน!!

     

    คิมจุนมยอน คิมจงแด พยอนแบคฮยอน กับจางอี้ชิงนั่นเอง ตลอดเวลาที่ลู่หานไปเรียนต่ออเมริกาเพื่อนสนิททั้งกลุ่มก็ยังคงคบกันเหนียวแน่นแม้จะทำงานคนละสายก็ตาม

     

    กลุ่มคนที่คยองซูบอกว่ายังโกรธเคืองลู่หานทั้งหลายตรงเข้าสวมกอดร่างเล็กแน่น ต่างแย่งกันถามว่าลู่หานเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ผอมลงหรือเปล่าจนคนถูกถามร้อนผ่าวไปทั้งขอบตา

     

    “ไม่ต้องเอาน้ำตาเข้าช่วยเลย พวกกูยังโกรธมึงอยู่นะที่ไปไม่บอกน่ะ”

     

    “ขอโทษ...”

     

    “.........”

     

    “คิดถึงทุกคนนะ คิดถึงมากจริงๆ”

     

    เพียงเท่านั้นคิมจุนมยอนก็ปล่อยโฮคนแรก ไม่ต่างกับคยองซูและจางอี้ชิงที่ลอบปาดน้ำตาเงียบๆ มีแค่จงแดกับแบคฮยอนเท่านั้นที่ควักโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปเตรียมแบล็คเมล์เพื่อนขี้แยอย่างรวดเร็ว

     

    “กลับมาถาวรแล้วใช่ไหม”

     

    “อื้อ ไม่ไปไหนแล้ว”

     

    “ดี! แบบนี้ต้องฉลอง”

     

    ลู่หานตีไหล่แบคฮยอนที่หัวเราะร่า ดวงตาคู่สวยมองเพื่อนสนิททีละคนยิ้มๆ และหัวใจเขาเองก็ต้องเต้นผิดจังหวะเมื่อเอ่ยคำถามต่อมา

     

    “เซฮุน...กับชานยอลล่ะ”

     

    “ยังไม่เห็นหัวชานยอลเลยเนี่ย”

     

    “.........”

     

    “ส่วนไอ้ฮุนอุ้มเซจุนไปไหนไม่รู้ ลูกมันโคตรซนอ่ะมึง

     

    ลู่หานพยักหน้ารับ ริมฝีปากสั่นๆ ฝืนยิ้มทั้งที่ข้างในปวดปร่าไปหมด

     

    หนึ่งในเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ลู่หานไม่ยอมกลับเกาหลีสักที ไม่ว่าจะถูกคยองซูโทรมาขอร้องสักกี่ครั้ง เพราะเขาไม่รู้จะปั้นหน้ายิ้มให้โอเซฮุนได้ยังไงหากมีโอกาสพบกันขึ้นมา

     

    ลู่หานไม่คิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งถึงขนาดแสดงความยินดีกับครอบครัวอันสมบูรณ์แบบของเซฮุนได้

     

    หลังได้ข่าวจากคยองซูว่าเซฮุนมีลูกแบบไม่ได้ตั้งใจเมื่อปีก่อน ความรู้สึกทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอก็ตีรวนในใจลู่หานตลอดมา

     

     

     

    “นั่นไงมาพอดี ไอ้ฮุนทางนี้!

     

     

     

    ลู่หานเงยหน้าตามเสียง อาการแข็งชาเล่นงานทั่วสรรพางค์กาย

     

    โอเซฮุนสวมชุดสูทสีสุภาพที่ดูดีเหลือเกินเมื่ออยู่บนช่วงไหล่กว้างของเขา ชายหนุ่มแปลกไปจากภาพความทรงจำของลู่หานเพราะทรงผมที่สั้นขึ้น มองว่าเด็กลงก็ได้ มองเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมก็ใช่ และในอ้อมแขนแกร่งกำลังโอบอุ้มเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งอยู่

     

    เซฮุนส่งเซจุนให้กับจุนมยอน ชายหนุ่มก้าวตรงมาหา ก่อนหยุดยืนตรงหน้าลู่หานในที่สุด

     

    ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดหมุนยามสายตาสบประสาน ลู่หานซ่อนมือสั่นๆ ของตัวเองไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบเชียบ เขาอ่านสายตาเซฮุนไม่ออก และภาวนาให้เซฮุนอ่านใจเขาไม่ออกเช่นกัน

     

    “ลู่หาน”

     

    คำสั้นๆ ที่คุ้นหูผ่านเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินนับครั้งไม่ถ้วน นาทีนี้ลู่หานรับรู้ว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เซฮุนยังคงเป็นเซฮุนเหมือนเดิม

     

    เหมือนครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน

     

    เหมือนครั้งสุดท้ายที่เราจากกัน

     

    “ไปคุยกันหน่อยไหม”

     

    “แต่ว่าพิธี

     

    “ไม่เป็นไร ยังมีเวลา”

     

    บอกสั้นๆ แล้วก้าวนำไปอีกทาง เมื่อไร้เสียงทัดทานจากเพื่อนอีกห้าคนด้านหลังลู่หานก็ยอมเดินตามเซฮุนไปช้าๆ

     

    ไกลจากบริเวณพิธี ไกลจากกลิ่นหอมของดอกไม้บริสุทธิ์ ไกลจากบรรยากาศแสนหวานอบอวลด้วยความอบอุ่น เซฮุนหยุดเดิน ริมฝีปากได้รูปขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง หากสุดท้ายก็เก็บกลืนลงไปเงียบๆ

     

    ไม่มีเสียงใดระหว่างคนสองคน นอกจากสายตาที่เอาแต่มองกันและกันเหมือนไม่เคยพบพาน

     

    ในสายตาลู่หาน เซฮุนสูงขึ้น ช่วงไหล่กว้างกว่าเก่า หากใบหน้าคมคายยังหล่อเหลาเหมือนเดิม ที่ต่างออกไปคงเป็นบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่เท่ๆ สมกับอาชีพช่างภาพนิตยสารชื่อดัง

     

    “เป็นยังไงบ้างเหรอ”

     

    “ก็...สบายดี” ร่างสูงยิ้มเฝื่อน “นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว”

     

    “มาสิ...”

     

    “.........”

     

     

    “เพื่อนแต่งงานทั้งคน ไม่มาได้ยังไง”

     

     

    พูดออกไปแล้วก็วูบโหวง ใจหาย ลู่หานได้แต่แค่นหัวเราะปกปิดความรู้สึกนั้น

     

    “เหงาๆ เหมือนกันนะ ว่าไหม”

     

    “อื้อ”

     

    เพิ่งไล่เตะกันไปไม่กี่ปีแท้ๆ ชิงแต่งงานก่อนใครซะแล้ว...ไอ้ชานยอล

     

    “.........”

     

    “เอ้า ขี้แยอีกแล้วเหรอลู่หาน”

     

    แกล้งแซวกลั้วหัวเราะให้คนตัวเล็กก้มหน้าซ่อนความอ่อนแอที่ไม่อาจปิดบังได้ ลู่หานปาดน้ำตาป้อยๆ ไหล่แคบสั่นสะท้านจนกลายเป็นคนมองที่อึดอัดไปทั้งใจ

     

    เซฮุนกำหมัดรวบรวมความกล้า ปัดความประหม่าที่ไม่ควรเกิดขึ้น

     

    มือใหญ่ขยับออกไปหาร่างเล็ก เขาหยุดชะงักกลางทาง ก่อนจะข่มใจอีกครั้ง

     

    ท้ายที่สุดอ้อมแขนแกร่งก็รั้งร่างเล็กเข้ามากอดจนได้...

     

     

     

    หยุดหัวเราะเลย...อึก...

     

    หึหึ

     

    เซฮุน...นิสัย...เสีย...

     

     

     

    ความทรงจำเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาทันทีที่สองแขนสัมผัสกันและกันอีกครั้ง

     

    เซฮุนกับลู่หานยังคงจดจำทุกเหตุการณ์ในวันที่เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบได้ดี อาจเพราะต่างเก็บมันไว้ในหัวใจส่วนลึก...จึงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเสมอมา

     

    “ยังไม่หายขี้แยอีกเหรอ”

     

    “.........”

     

    “เหมือนฉันเลย”

     

    “.........”

     

    “ฉันก็ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปเหมือนกัน”

     

    ลู่หานเงยหน้าตามแรงรั้งจากฝ่ามืออุ่นประคองข้างแก้ม น้ำตาเขารินไหล แต่ไม่ใช่เพราะวูบโหวงที่เพื่อนสนิทจะแต่งงานอีกแล้ว

     

    หากเป็นเพราะภาพตัวเองในดวงตาโอเซฮุน

     

     

     

    “ฉันคิดถึงนาย”

     

     

     

    เปลือกตาบางหลับพริ้ม ลู่หานกำชายเสื้อสูทเซฮุนแน่นเมื่อชายหนุ่มก้มมาหาจนหน้าผากพวกเขาแนบชิดกัน สัมผัสแผ่วเบาถ่ายทอดทุกความรู้สึก ทุกความคิดถึง ทำให้แน่ใจว่าระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาไม่เคยศูนย์เปล่า

     

    ไม่ใช่แค่ความผูกพันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เป็นความรักลึกซึ้งที่กัดกินหัวใจพวกเขาตลอดหลายปี

     

    “ลู่หาน”

     

    “อื้อ”

     

    “จะเป็นอะไรไหม ถ้า...”

     

    “.........”

     

    “ฉันอยากทวงสัญญา”

                           

     

     

    อนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะอีกกี่ปีต่อจากนี้...ถึงตอนนั้นหากเราไม่มีใคร...”

     

    “ถ้าขอต่อเวลา ฉันอยากให้นายตอบตกลง”

     

     

     

    ประโยคที่โอเซฮุนเฝ้ารอจะพูดต่อหน้าลู่หานมาตลอด เมื่อเอ่ยไปแล้วไม่ต่างอะไรกับการควักหัวใจออกมาวางบนมือน้อยๆ ของลู่หานสักนิด และเขาหวังเหลือเกินว่าร่างเล็กตรงหน้าจะปรานี...

     

    นัยน์ตาเรียวคมจดจ้องริมฝีปากแดง ไม่มีคำตอบเพราะเจ้าของมันเม้มปากแน่น เขาไล่สายตาจนพบนัยน์ตาฉ่ำหวาน เซฮุนไม่เห็นความรักในนั้น มีแค่ความเจ็บปวดสับสนที่ฉายชัดออกมา

     

    “ขอโทษนะเซฮุน ฉัน

     

     

     

    “พวกมึง ได้เวลาแล้ว”

     

     

     

    เวลา...อีกแล้วงั้นหรือ

     

    เป็นเวลาอีกแล้วที่พรากพวกเขาออกจากกัน เซฮุนแค่นยิ้ม เดินไปหาคิมจุนมยอนที่ออกมาตาม รับเด็กน้อยจากอ้อมแขนเพื่อนสนิทแล้วก้าวกลับเข้าไปในงานเงียบๆ

     

    เขาทรุดกายลงนั่งเก้าอี้ที่เพื่อนเตรียมไว้ให้ ลูบศีรษะเซจุนที่สะอื้นแผ่วเบาตามประสาเด็กง่วงนอนจนงอแง มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มอย่างปลอบประโลม...ทั้งเด็กคนนี้ ทั้งตัวเขาในเวลาเดียวกัน

     

    เซฮุนไม่พูดอะไรอีกแม้ลู่หานจะนั่งลงข้างๆ เขาแล้ว ชายหนุ่มมองตรงไปยังพิธีศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าคล้ายตั้งใจนักหนา ทว่า ภาพเพื่อนสนิทกับเจ้าสาวคนสวยกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเงาสะท้อนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งทีละน้อย

     

     

    “ฉันชื่อลู่หาน นายล่ะ”

     

    “เซฮุน โอเซฮุน”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

     

     

     

    รอยยิ้มของลู่หานสวยงามสำหรับเซฮุนเสมอ ติดตรึงสายตาและหัวใจเขาตั้งแต่แรกเจอ ลู่หานทำให้เซฮุนแทบเป็นบ้าเมื่อรู้ทีหลังว่าเจ้าตัวมีแฟนที่คบหากันตั้งแต่มัธยมอยู่แล้ว เขาได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ เลือกคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

     

    ถ้าไม่มองคนอื่น สายตาเขาก็เอาแต่จดจ้องลู่หาน หัวใจก็เอาแต่คิดถึงลู่หาน แม้ได้ผลไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์นักแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ความรักของเขาทำลู่หานลำบากใจ

     

     

     

    “...อา...ฮุน...”

     

     

     

    เสียงเด็กชายในอ้อมแขนเรียกสติสัมปชัญญะเซฮุนกลับสู่ปัจจุบัน แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจก็คือลู่หานสะดุ้งหันขวับมามองอย่างรวดเร็วต่างหาก

     

    “อาฮุน อาฮุน”

     

    “ชู่ว์” ชายหนุ่มจุ๊ปาก “อย่าเสียงดังครับเซจุน”

     

    เซจุนเป็นเด็กไม่ดื้อ ไม่ซน แค่ได้ยินเสียงทุ้มกระซิบข้างขมับก็ยอมเงียบอย่างว่าง่าย

     

    ตรงข้ามกับเด็กตัวโตข้างๆ เขาที่ลุกลี้ลุกลนนั่งไม่นิ่งอีกต่อไป กระทั่งหันไปมอง ลู่หานถึงยอมหยุด แต่ก็ไม่วาย...เอื้อมมือเล็กๆ มาจับชายเสื้อให้หัวใจเซฮุนต้องปั่นป่วนจนได้

     

     

     

    *

     

     

     

    พิธีสำคัญสิ้นสุดด้วยดี ปาร์คชานยอลเดินมาทักทายพวกเขา เซฮุนแอบยิ้มเมื่อลู่หานงอแงต่อหน้าเจ้าบ่าวจนถูกชานยอลขยี้ศีรษะให้ยุ่งเหยิงเหมือนที่ชอบแกล้งกันสมัยเรียนไม่มีผิด

     

    “พวกมึงกลับยังไง”

     

    “กูกลับกับลู่หาน” คยองซูตอบ “แบคฮยอนกลับกับจุนมยอน อี้ชิง จงแด เหลือแต่มึงแหละคุณพ่อลูกหนึ่ง เอายังไง”

     

    “บอกกี่ครั้งแล้วว่าหลาน สัด” เซฮุนไม่ลืมปิดหูเด็กน้อยก่อนพ่นคำหยาบ “กูขับรถมา”

     

    “โอเค งั้นแยกย้าย คืนนี้สี่ทุ่มเจอกันคอนโดกู เลี้ยงฉลองที่ลู่หานกลับมา”

     

    “...เออ”

     

    ชายหนุ่มทั้งเจ็ดบอกลากันบริเวณลานจอดรถ ต่างแยกย้ายกันเดินไปหารถของตัวเอง ยกเว้นลู่หานที่ยืนหันซ้ายหันขวา กัดริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิดให้คยองซูที่สังเกตมาตลอดหลุดหัวเราะ

     

    “นี่ ลู่หาน”

     

    “ว...ว่าไง”

     

    “กูจะถามอีกครั้งนะ”

     

    “.........”

     

    ตกลงคู่จิ้นของมหาลัยจะกลายเป็นคู่จริงว่างั้น?”

     

    และโดคยองซูแน่ใจเหลือเกินว่าคำตอบที่จะได้รับนาทีนี้คงต่างจากสามปีก่อนอย่างสิ้นเชิง

     

    เขาตบไหล่เพื่อนสนิทปุๆ เมื่อลู่หานยิ้มแห้ง ก่อนคนตัวเล็กจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วบอกเสียงใส

     

    “รอตรงนี้นะคยองซู เดี๋ยวกลับมาตอบ”

     

    ลู่หานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักวิ่งที่ออกตัวตอนได้ยินเสียงปืน เขาขยับขาทั้งสองข้างอย่างไม่คิดชีวิต จากแผ่นหลังกว้างที่ห่างไกลก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนสู่สายตา

     

    เซฮุนหันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งจับไหล่ลู่หานหลังคนตัวเล็กหยุดหอบสั่นตรงหน้า

     

    “มีอะไรลู่หาน ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”

     

    “ม...ไม่อยาก...ให้เซฮุนรอแล้ว”

     

    “.........”

     

    “ขอโทษนะ...คือ...”

     

    ลู่หานหยัดแผ่นหลังตั้งตรง สูดลมหายใจลึกจนอาการหอบจางหาย เหลือแค่สายตากับเสียงเท่านั้นที่ยังสั่นเทา

     

    “เมื่อกี้น่ะ ตอนเซฮุนถาม...ฉันนึกว่านายมีครอบครัวแล้ว ก็เลย...”

     

    “ทำไมคิดอย่างนั้น”

     

    “คยองซูเคยโทรมาบอกว่านายมีลูกแล้ว”

     

    ราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก เซฮุนพร่างพรูลมหายใจยาว และไม่อาจห้ามริมฝีปากให้กลั้นยิ้มได้เลย

     

    “แต่สัญญาเมื่อสามปีก่อน ฉันว่าเรา...ลืมๆ มันไปเถอะนะ”

     

    “ลู่หาน?”

     

    “ก็ฉัน...ไม่อยากให้เราต่อเวลาแล้วนี่”

     

    “.........”

     

    “อยากเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยกันมากกว่า”

     

    สุขเหมือนได้ครอบครองโลกทั้งใบเป็นยังไง โอเซฮุนได้รู้ซึ้งก็นาทีนี้เอง

     

    “ถ้าฉันขอแบบนั้น...เซฮุนจะว่ายังไง...”

     

    “.........”

     

    “เซฮุน...”

     

    อยากแกล้งให้คนน่ารักใจเสียอยู่หรอก หากพวกเขาก็เสียเวลาเพื่อความรักครั้งนี้มานานเหลือเกินแล้ว เซฮุนจึงทำเพียงแค่คลายยิ้ม โน้มใบหน้ากระซิบข้างหูลู่หานเบาๆ

     

    “นัดคืนนี้น่ะ...รออยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวฉันไปรับ”

     

    “...ทำไม?”

     

    ก็แฟนทั้งคน จะปล่อยให้ขับรถไปเองได้ยังไง”

     

    .

    .

     

    บีเอ็มคันสวยแล่นทะยานสู่ท้องถนนทอดยาว สารถีหน้าหวานหลังพวงมาลัยวาดยิ้มกว้าง ฮัมเพลงอย่างมีความสุขจนคนข้างกายไม่อาจทนมองเฉยๆ ได้

     

    “กลับนอกมาก็ได้ผัวเลยเนอะ”

     

    “คยองซู น่าเกลียด!

     

    “เอ้า หรือไม่จริง ไอ้เราก็อุตส่าห์กระตุ้นว่ามันมีลูกแล้วจะได้รีบกลับมารับขวัญหลานตั้งแต่ปีก่อน ที่ไหนได้ ยังเอาแต่...”

     

    เสียงเพื่อนสนิทดังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ลู่หานปล่อยคยองซูบ่นยืดยาวโดยไม่เอ่ยปากทัดทานคำใด

     

    หาใช่เบื่อจะฟัง แต่ข้อความสั้นๆ บนหน้าจอเรียกความสนใจจากเขาไปหมดแล้วต่างหาก

     

     

    ลืมบอกไป ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฉันน่ะ...

     

    รักนายนะ

     

     

    ฉวยจังหวะสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ลู่หานพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ แต่หวังอย่างมากมายว่ามันจะทำให้เซฮุนยิ้ม เหมือนที่เขากำลังยิ้มอยู่ตอนนี้

     

     

    เหมือนกัน

     

     

     




    END.

     


     

    บอกแล้วว่าเราไม่ทำร้ายใคร ฮา

    ดีใจที่หลอกคนอ่านได้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีอีกห้าเปอร์เซ็นต์แอบเดาถูก เก่งมาก ปรบมือสามจังหวะรัวๆ

    ตอนแต่งเราฟัง One Call Away ของ Charlie Puth สลับกับ จะบอกเธอว่ารัก ของ The Parkinson ลองอ่านไปฟังไปนะเผื่อจะอินมากขึ้น<3

    สำหรับรวมเล่ม ตอนนี้เริ่มทำไปบ้างแล้ว ประมาณกลางเดือนเมษาคงปล่อยรายละเอียด ใครอยากได้รอติดตามด้วยน้า เวลามีน้อยแต่ตั้งใจทำเหมือนเดิม

    แล้วเจอกันสถานีถัดไปที่ Precious you นะคะ

    ขอบคุณทุกคอมเม้นกับทุกแท็กเลยยยย

    #promisehunhan

     

     




     

     

     

     

    H a s h
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×